บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 69 : ประสายาก

บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 69 : ประสายาก

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

ในคอกควายของพ่อนายบ้านทวาย ควายยืนเคี้ยวเอื้องสงบเสงี่ยมในแสงไต้สลัว มีแต่เสียงเคี้ยวฟางดังมา กลิ่นสาปควายจะว่าหอมก็หอม

บนเรือนพ่อแม่ทวายจุดตะเกียงสว่างไสวอบอุ่น     

ฮุนวางเสื้อแขนยาว กางเกงฝรั่งที่ซักสะอาดพับเรียบร้อยลง หมวกทรงปานามาที่สวมวันก่อนซ้อนอยู่ข้างบนสุด ลงบนพื้นเรือนไม้กระดานที่ขัดจนขึ้นเงา

“ ขอบพระเดชพระคุณคุณพ่อที่ให้ยืมมาขอรับ ”

พ่อทวาย ผู้มีนามว่ามลิวัน สบตากับแม่มะเอ่ แล้วผลักเสื้อผ้าอาภรณ์คืนมาให้

“ เอาไปเถิด เจ้าเมฆ เอาไว้ใช้เวลาต้องออกจากหมู่บ้านเราเข้าเมือง จะได้ดูเหมือนคนในสัปปะเยกฝาหรั่ง จะได้ไม่ถูกจับ

ฮุนกับลำจวนที่นั่งพับเพียบเคียงกันถึงกับสะดุ้ง

 

คนที่เป็นลูกจ้างทำงานให้บริษัทต่างชาติ ที่เรียกว่าคนในสัปปะเยกหรือ subject เริ่มเป็นที่พบเห็นในเมืองไทยกันอยู่บ้างแล้วในสมัยนั้น ที่ธุรกิจหลากหลายของชาติฝรั่งต่างๆเริ่มก่อตั้งขึ้น แต่มาเพิ่มจำนวนมากขึ้นเมื่อได้รับรองสิทธิ์ตามกฎหมายเต็มที่ในอีกประมาณสิบแปดปีต่อมา หลังทำสนธิสัญญาเบาริ่งกันในสมัยรัชกาลที่สี่  คนในบังคับของประเทศต่างๆไม่ว่าจะเป็นชาติอะไร มีสิทธิพิเศษ คือ ได้อยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศต้นสังกัด ไม่ต้องขึ้นศาลไทย และมีสิทธิพิเศษอีกหลายอย่าง เช่น ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานเป็นไพร่สังกัดมูลนาย หรือเป็นทหารไปรบ มีเสรีภาพในการนับถือศาสนาฯ เป็นต้น

“ จะได้ไม่ต้องคอยเขียนลายสักเลกสังกัดมูลนายเป็นไพร่ บางวันก็มี บางวันก็หาย เวลาโดนน้ำเหงื่อออก ก็ลบหมด ”

ฮุนและลำจวนสบตากัน ละอายแก่ใจ รีบกราบลงพร้อมกัน

พ่อทวาย ตบหลังไหล่ชายหนุ่มเบาๆ

“ ไม่ต้องกลัว พ่อของพ่อ เป็นไพร่ทวายที่ถูกเกณฑ์มารบกับทัพสยามครั้งแผ่นดินต้น   พอรบแพ้ ก็ถูกกวาดมาเป็นเชลย มาตั้งบ้านเรือนกันอยู่แถวหลังวัดสระเกศ ท่านเกิดไปรักชอบกับแม่ ที่เป็นลูกเมียบ่าวของคุณหลวงชาวสยาม ที่เป็นคนกว้างขวางอยู่แถวคลองมหานาค ต้องพากันหนีหัวซุกหัวซุน เข้าไปแอบอยู่แถววัดป่าสมอราย..สมัยนั้นยังมีเสือชุม ก็อยู่กันอย่างหวาดๆกลัวๆหลบๆซ่อนๆ จนหลวงท่านให้พวกทวายขยับขยายมาอยู่แถวนี้ พ่อแม่พ่อ จึงได้ตามมาแทรกซึมปะปนกับคนอื่นๆ พ่อเกิดที่นี่”

“ ส่วนพ่อของแม่ เป็นนายบ้านที่นี่แต่ต้น ตอนที่แม่ชอบกับพ่อเขา พ่อแม่ของแม่ก็ห้าม เพราะเขามีแม่เป็นคนไทย พวกทวายเก่าๆบางคน ยังขยาด..ว่าพวกสยามบังคับขับไสกวาดต้อนเรามา  แลเห็นครอบครัวพ่อเขาต้องหลบๆซ่อนๆปิดๆบังๆ เกรงกริ่งว่าพวกของคุณตาของเขาที่เป็นขุนน้ำขุนนางจักมาตามรังคัดรังแค ”

แม่มะเอ่เพิ่มเติม

“ พ่อเห็นเอ็งสองคนก็นึกเห็นพ่อแม่ตัวเอง ดังนั้น..เอ็งสองคนไม่ต้องกลัวว่าพ่อจะชิงชังรังเกียจเลยหนา ”

พ่อกับแม่บอกเล่าเรื่องของตัวเอง แต่ไม่ขุดคุ้ยเรื่องของทั้งสอง เหมือนไม่ต้องการรับรู้อันใดมากไปกว่าที่เคยบอก ทำให้สองหนุ่มสาวอึ้งไปด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจอันกว้างขวาง  รู้สึกเป็นโชคดีเหลือเกิน ที่ได้มาพบท่าน จึงพากันก้มลงกราบอีก

 

ตะวันสะท้อนน้ำระยิบระยับ

ตาทออู หัวหน้าช่างมอญ กำลังสอนงานก่ออิฐให้ฮุน

ผิวขาว บัดนี้ไหม้แดดจนคล้ำเกรียม ตัดผมเกรียน ถอดเสื้อ เขียนลายสักข้อมือ มีผ้าโพกหัวกันเหงื่อไหลอาบหน้า ออกแรงแข็งขัน

เหล่าคนงานชายฉกรรจ์ มีทั้งช่างอิสลาม ช่างลาว รวมทั้งพระหนุ่ม ที่ใส่แค่สบงกับอังสะ  กำลังช่วยกันก่ออิฐ

พ่อมลิวันทำหน้าที่ผสมปูนสอสำหรับใช้ก่อ คือปูนขาวที่ได้จากหินปูน เปลือกหอยเผาตำ ผสมกับทรายแม่น้ำ หมักน้ำอ้อยเป็นกาวให้เหนียว  มีท่านสมภารคอยชี้แนะสัดส่วน ส่วนพวกช่างทำอิฐมอญ ขนอิฐด้วยบุ้งกี๋ไผ่สาน มาเรียงซ้อนเป็นกองภูเขาเลากา ให้ช่างเตรียมใช้ก่อเจดีย์รูปสำเภาลำใหญ่

บรรดาเมียๆที่แต่งตัวต่างกันตามสัญชาติ จับกลุ่มกันตั้งหม้อ ถาด จานชามอาหาร ที่นำมาเลี้ยงเหล่าผัว ตรงลานร่มใต้เงาไม้ใหญ่ริมน้ำ

ท่านสมภารเข้ามาทักทายสนิทสนม

“ เตรียมเสบียงอาหารมาช่วยกันครบทุกหมู่บ้านเลยหนา ปีนี้แลปีหน้าหมดหน้านาแล้ว ไม่ต้องกลัวพวกผัวจักว่าง วัดเรา..ยังมีอีกหลายงานที่จ้างให้มาทำกัน มีค่าแรงให้ทุกคน งานสร้างงานบูรณะวัดของในหลวงท่าน มิใช่งานเกณฑ์แรงเปล่าๆดอก ”

ลำจวนกับแม่มะเอ่กระเดียดกระจาดใส่ขนมจาก ขนมกล้วย มาถึงพอดี

“ เมื่อสร้างเสร็จ เจดีย์รูปเรือใหญ่โตเพียงนี้ คนผ่านไปผ่านมา คงแปลกใจ ว่านี่ชะลอเรือสำเภาแท้ๆ ขึ้นมาจอดบนบกหรือไรนะเจ้าคะ หลวงพ่อ ”

แม่มะเอ่ชวนท่านคุย

ลำจวนชะโงกดูอาหารต่างๆ  เห็นหม้อขนาดใหญ่ มีข้าวหุงสีเหลือง ที่ปรุงด้วยเครื่องเทศเหมือนแกงกะหรี่ของบ้านอิสลาม

แกงสีแดง น้ำยาขนมจีนข้นคลั่ก ของบ้านช่างอิฐมอญ

น้ำพริกและ ไข่ต้ม ผักต้ม ของบ้านช่างลาวหลังวัดลาว

ฮุนหันมาเห็นลำจวน ก็ยิ้มให้ มีกำลังใจ ให้ก่ออิฐถือปูนด้วยฝีมือประณีต

“ ท่านพระราชทานชื่อวัดใหม่ว่าวัดญาณนาวาอย่างไร ”

ท่านสมภารบอกแม่มะเอ่

พ่อมลิวันเดินมาดื่มน้ำ ผสมโรงคุยด้วย

“ ยานนาวา ที่แปลว่าเรือนั่นเอง ”

“ มิได้ ”

พระภิกษุขยายความ

“ ญาณ..ญ.หญิงอา..ณ.เณร.. ญาณ..อันเป็นพาหนะดุจดังสำเภา บรรทุกสัตว์โลก ให้ข้ามโอฆสงสาร ”

“ โอฆสงสาร? ”

ฮุนที่ตามพ่อทวายมาดื่มน้ำด้วย หันมองหน้าลำจวน คำนี้ชายหนุ่มไม่รู้จัก

“ โอฆ..แปลว่าห้วงน้ำ โอฆสงสาร เป็นห้วงแห่งกิเลสที่สัตว์โลกเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ”

ลำจวนจารนัยตามนิสัย ทำให้ท่านสมภารหันมามองอย่าพิศวง

“ สีกาผู้นี้..รู้คำพระดี..”

หญิงสาวใจหายวาบ สำนึกว่าลืมตัวอวดเก่งให้คนผิดสังเกตอีกแล้ว

“ เอ่อ..อิฉัน..มีหลวงพี่..เป็นพระเหมือนกันเจ้าค่ะ ”

ลำจวนพนมมือ แก้ตัว

“ แต่คนทั่วไปก็ต้องคิดว่า ยานนาวาสะกดด้วยน.หนู ที่แปลว่าเรือ..หนาขอรับ ”

พ่อทวายมลิวันว่า

ท่านสมภารจึงบอกพระราชกุศโลบายที่แท้

“ ที่จริงในหลวงท่านทรงเกรงว่าคนรุ่นหลังจักไม่เคยเห็นสำเภา ด้วยเพลานี้ เรือกำปั่นขนาดใหญ่ใช้เครื่องแรงดันไอน้ำกำลังเข้ามาแทนมากขึ้นทุกทีๆ ท่านอยากให้ลูกหลานไม่ลืม ว่าบ้านเมืองเรา เป็นปึกแผ่นขึ้นมาในเพลานี้ได้ เพราะการค้าสำเภา จึงทรงให้สร้างเจดีย์เป็นดังนี้ เพื่อให้คนรุ่นหลังดู ”

“ ท่านเจ้าสัวโตบอกว่าเรือสำเภาแล่นใบ ได้ทำการค้าทำเงินทำทองให้เรามาก่อนจะมามีเรือกำปั่น เราต้องไม่ลืมบุญคุณขอรับ ”

ฮุนเสริม

ทำให้ลำจวนรีบอธิบายแทบไม่ทัน

“ พ่อเมฆเขาเคยไปรับจ้างสร้างโบสถ์สร้างวิหารที่วัดเจ้าสัวโต ข้างๆอู่ต่อเรือบางกอกใหญ่เจ้าค่ะ หลวงพ่อ ”

พลันหญิงสาวมองเห็นเหงื่อเต็มตัวฮุน  จึงรีบฉวยโอกาสเปลี่ยนเรื่อง

“ ดูเถอะ เหงื่อราวกับน้ำ เนื้อตัวมอมแมมนัก ”

เธอเอาผ้าที่พาดบ่ามา เข้าไปซับเหงื่อตามเนื้อตัวฮุนอย่างกระตือรือร้น

หารู้ไม่ว่าทำให้พวกเมียคนมอญ และตัวนายทออูหัวหน้างาน หันมามองหน้ากันอย่างอึดอัดใจ

 

เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำไปทางฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ

ลำจวนและฮุนลงไปอยู่ที่ท่าน้ำ หญิงสาวช่วยตักน้ำราดตัว ราดแขนให้ชายหนุ่ม ล้างผงธุลีจากปูน หลังงานเสร็จ

“ เหนื่อยไหม? ”

เธอมองเนื้อตัวที่กล้ามเนื้อเกร็งปรากฏขึ้น หลังการถูกใช้งานหนักกว่าที่เคย

“ ไม่เท่าใดดอก ได้เรียนงานเรียงอิฐด้วย เป็นวิชาใหม่ อีกหน่อย จะได้สร้างบ้านเองได้ ”

“ โอ้โห จะสร้างบ้านเป็นอิฐฉาบปูนเลยรือ? ”

ลำจวนหัวเราะ

“ ทนอยู่กระท่อมฟากไม้ไผ่มุงจากไปก่อนหนา คุณ..แล้ววันหนึ่ง ผมจะสร้างตึกให้อยู่ ”

ฮุนเอามือมาจับแก้มลำจวนหยอกเย้า

“ อ๊าย ”

หญิงสาวตีมือชายหนุ่ม ทำจริตกระตุ้งกระติ้ง

“ หน้าฉันเลอะหมด ”

ตาทออู ช่างปูนมอญ ยังจับตามองด้วยความไม่สบายใจ

 

ช่างเขียนหนุ่มสองคนเดินมานั่งล้างจานสี ถ้วยชามใส่สี และแปรงเขียนภาพผนังพระอุโบสถ ที่ท่าน้ำมุมนึงกันอย่างตั้งใจ

ฮุนจ้องสำรวจอุปกรณ์ต่างๆของช่างสีอย่างเผลอตัว

“ เขียนประตูบานแผละเสร็จหมดแล้ว ขอข้าพักสักสองสามวันหนา  ปวดหลังเหลือเกิน ท่าจะแก่เสียแล้ว ”

ช่างเขียนผู้หนึ่งกล่าวแก่เพื่อน

ฮุนหันมาเห็นสายตาลำจวนที่มองมาอย่างละห้อย ก็รีบพยักชวนให้เดินขึ้นจากท่า

ลำจวนจับมือชายอันเป็นที่รักจูงเดิน พลางกระซิบ

“ อยากเข้าไปดูภาพเขียนข้างในโบสถ์หรือไม่? ”

ฮุนตัดใจ

“ ไม่อยากดอก  รีบกลับบ้านเราดีกว่า ”

ลมเย็นพัดมา ผมหญิงสาวที่ยาวผิดรูปและขาดการจับน้ำมันให้เข้าทรง ปลิวพลิ้ว ลำจวนส่งเสื้อให้ฮุนสวม เพราะอากาศเริ่มเย็น เมื่อจวนค่ำ

เธอช่วยผูกเชือกเสื้อผ่าหน้าที่พ่อทวายมอบให้เขา

ตาทออูกระแอมดัง

สองหนุ่มสาวหันไป

“ เจ้าเมฆ..มานี่หน่อย ข้ามีอะไรจะบอก ”

สายตาแกมองที่มือที่จับกระชับกันของทั้งคู่อย่างวิตกกังวล จนฮุนและลำจวนรู้ตัว ต้องรีบผละจากกัน

“ หากไม่ใช่ห่วงใยสงสารเจ้า ข้าคงไม่พูด พวกข้าคนมอญถือเรื่องผีนักหนา  ผัวหนุ่มเมียสาว..จะใกล้ชิดกัน รอกลับถึงบ้านก่อนก็ดีหนา ถึงพวกเจ้าจะไม่ใช่คนมอญ ไม่ได้ถือผี ..แต่ข้าเป็นห่วง เกรงว่าพวกเจ้าจะผิดผีในวัดในวา แลจะนำมาซึ่งเรื่องราวอัปมงคล ”

ชายสูงวัยพาฮุนไปคุยกันลำพังเบาๆ เกรงอกเกรงใจ แต่ไม่อาจเก็บไว้เฉยๆ

“ ถ้าเป็นคนมอญ คนที่รักกัน แต่ฐานะชาติตระกูลทำให้ต้องถูกกีดขวาง ก็ต้องหักอกหักใจจากกันเช่นนั้นรือขอรับ ”

“ ถูกแล้ว ถ้าพ่อแม่ไม่ยกให้ แล้วหนีตามกันไป แลร่วมหมอนนอนกัน  ถึงแม้ต่อมาจักไปทำพิธีขอสมาลาโทษกันในภายหลัง  แต่ต่อไปพอมีบุตรหลาน พวกมันจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธีมงคลรืองานบุญงานกุศลสำคัญ เช่น มันจะไม่ได้เป็นสาวเชิญเตียบ พานขันหมากงานแต่งงานชาวบ้าน หรืออุ้มต้นเทียน อุ้มเครื่องอัฐบริขาร เหมือนเพื่อนๆสาวๆอื่นๆ ”

นายช่างผู้ควบคุมกลุ่มหมู่บ้านมอญบอกสอน

“ เช่นนั้นรือขอรับ? ”

ฮุนก้มหน้ารับ

“ มิเช่นนั้น ทุกคนก็จักรักกันหนา พากันหนี  เอาตามอย่างกันไปหมด พ่อแม่ต้องอับอายคน แลต่อไปจะเหลืออะไรให้ต้องเคารพเชื่อฟัง สิ่งดีงามทั้งหลาย ก็จะเสื่อมสูญไม่มีเหลือ เขาทำกันมาเช่นนั้น คนทำหนีตามกัน มันผิดประเพณี ชาวบ้านเขาก็ต้องร่วมกันลงโทษ ”

ผู้อาวุโสบอกกล่าว

ฮุนรู้สึกเศร้าใจ หันไปมองลำจวนที่ยืนรออยู่

หญิงสาวไม่ได้ยิน แต่ส่งยิ้มอย่างงงๆ มาให้กำลังใจ

 

อาเหมยโบตั๋นเดินให้บ่าวกางร่มบังแดดยามเช้า กันไม่ให้หน้าที่ขาวจนเป็นประกายต้องหมอง เดินเข้ามาจากทางท่าน้ำ ทำให้ชายฉกรรจ์ที่กำลังด้อมมองศาลเจ้าอยู่ในตรอกคนเดินด้านข้าง หันมามองด้วยความสนใจ

กลิ่นน้ำอบฝรั่งที่หอมระรื่นมาก่อน กับความงามของดวงหน้าเล็กเรียวเหมือนภาพเขียน อาภรณ์ไหมแพรงามระยับ เครื่องประดับเพชรพลอยไข่มุกกระตุ้งกระติ้ง อาการเดินเชิดหน้าก้าวเท้าเร็วถี่เหมือนเลื่อนลอยผ่าน มีข้าทาสถือร่ม และอีกคนถือปิ่นโตไม้ไผ่สานแบบจีน ตามติด เรียกให้ชายนั้นต้องเผลอชะเง้ออย่างเคลิบเคลิ้ม

ที่แท้ในห้องหับด้านหลัง อาหง หมวยร้านข้าวต้มริมทางมาถึงก่อน กำลังออดอ้อนให้กงกินข้าวต้มกับที่ตนนำมา

“ กง..ไม่ชอบไก่ตุ๋นฝีมืออาเตี้ยอั๊วะเหรอ อีตั้งใจทำมาให้กงกินฟื้นกำลังวังชา กินให้หมดซี่ ”

“ กงอิ่มแล้วจริงๆ  เอาเก็บไว้อุ่นตอนเย็นก็แล้วกัน ฝากบอกอาเตี้ยลื้อ ว่าอั๊วะกำเสี่ยๆ ”

“ พวกเราก็เป็นเหมือนพี่เหมือนน้องกัน กง..เพลานี้ กงอยู่คนเดียว อั๊วะขอมาดูแล ”

อาเหมยลูบแขนชายสูงวัยอ่อนโยน

เหมยเดินเข้ามาเห็นเด็กสาวก็ผงะ แต่ฝ่ายหง พอเห็นหน้าหญิงสาวรุ่นพี่ กลับโผเข้ามาปล่อยโฮ

“ ฮือ..เจ๊..เขาพูดกันทั้งตลาดน้อยถึงสามเพง เรื่องพี่ฮุนกับอาใต้เท้าคุณเฉก..ที่แท้ อีเป็นจาโบเกี้ย   อั๊วะอุตส่าห์หลงบูชานึกว่าเป็นเทพบุตร กลับเป็นนางจิ้งจอก ”

สาวน้อยสะอึกสะอื้นราวทารก

“ ผู้หญิงก็ร้าย ผู้ชายก็เลว แอบเป็นชู้รักกันแล้วโกหกหลอกลวงผู้คนไปทั้งบ้านทั้งเมือง  นึกว่าอาฮุนรักกับผู้ชายด้วยกันเอง เป็นพวกไม้ป่าเดียวกัน ที่ไหนได้ อาฮุนเป็นหมาวัดตะกายหมายดอกฟ้า เมินดอกหญ้าริมทางอย่างพวกเรา ”

เหมยเคียดแค้น

“ อั๊วะก็นึกว่ามันเป็นพวกอากัว วิปริตผิดเพศ ไม่ยอมคบหาชอบพอกับหญิงใด  ที่แท้ กลับเป็นว่ามันลอบรักใคร่กับอาคุณหนูคนนี้มาแต่อียังไม่ได้ตัดจุก อั๊วะจำได้ วันที่มันมือหักแทบพิกลพิการไป คนที่ทำ คือพี่ชายคุณหนูคนนี้ ”

กงเฉลย

สตรีงามของชายทั้งเมืองตบ-อก

“ หา! คุณเฉกคนนี้ คือเด็กผู้หญิงข้างวัดทอง ที่ทำให้ฮุนถูกกระทืบแทบตายในคราวนั้นรือ? ”

“สุดท้าย มันเลือกผู้หญิงที่เป็นเมียเจ้าคุณนครบาล..พาเมียชาวบ้านหนี ยอมทิ้งงานช่างเขียนหลวง ..ทิ้งอั๊วะ ”

มือผอมซีด เหี่ยวแห้งปาดน้ำตา

เหมยเข่าอ่อน นั่งลงร่วมวง

“ เขาบอกว่ามันขนเอาเครื่องเพชรเครื่องทองของเจ้าคุณไปด้วยไม่ใช่น้อย เจ้าคุณคนนั้นคงไม่ยอมปล่อยให้ลอยนวลดอก อั๊วะเห็นพวกนครบาลมาด้อมๆมองๆ  คอยดักรวบตัวอาฮุนอยู่ข้างนอกโน่น”

กงคอตก สิ้นหวัง

“ ถ้ามันมีทรัพย์สินมากถึงเพียงนั้น..มันก็คงไปครองรักกันอย่างสุขสบายที่หัวเมืองสักแห่งไม่กลับมาแล้วล่ะ ”

 

บ่ายแก่ เมื่อทาสคนเรือเรือนเจ้าคุณราชภักดี กรมพระคลังมหาสมบัติ ที่จอดเรือรออยู่ที่ท่า ปะปนกับเรือขุนนางหลายลำที่จอดรอรับส่งนาย มองเห็นคุณพุ่มผู้เป็นนายหญิงของตนเดินกลับออกมาจากวัง มีนางเต็มถือหีบหมาก นายหมายถือพานที่ใช้ใส่พู่กลิ่นที่ทำมาทูลเกล้าถวายเป็นประจำทุกวัน ชักขบวนติดตามใกล้เข้ามา ก็รีบขยับเตรียมเรือเข้าไปเทียบรับ

แต่คุณพุ่มกลับหยุดจ้องหน้าชายฉกรรจ์สองนายที่เดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น แล้วเดินอาดๆเข้าไปหาตรงๆ ทำให้ทั้งนางเต็มและนายหมายถึงแก่หน้าตื่น

“แหม..ดูเหมือนว่าพวกนครบาลนี่ช่างไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะติดตามฉันจริงนะ ..ฉันเข้าวังไปถวายเครื่องแขวนดอกไม้สดทุกวี่ทุกวัน ทำมาเป็นปีๆแล้วไม่เคยเปลี่ยน จากแพท่าพระ เข้าวัง จากวังกลับแพท่าพระ..มีอันใดให้สะกดรอยตามสอดส่องนักหนา ”

สองบุรุษทำหน้าเลิ่กลั่ก รีบไหว้เธอนอบน้อม ก่อนจะรีบเดินเลี่ยงหนีไป

“ต๊ายตาย เก่งกล้าขนาดนครบาลยังกลัว ”

นางเต็มอกสั่น กระซิบกับนายหมาย

“ ผ่านไปตั้งเกือบเดือนแล้ว เจ้าคุณนครบาลยังไม่วางมืออีก ”

คุณพุ่มหันมาบ่น

“ แล้วเช่นนี้ คุณเฉก..เอ๊ย  ลำจวน กับเจ้าเมฆทอง จักหลบซ่อนกันอยู่ได้อีกสักกี่น้ำ หนีไปตัวเปล่าแท้ๆ ผ้าผ่อนยังมีกันแค่คนละชุดด้วยซ้ำ ”

นายหมายพึมพำกระซิบ

“ นั่นสิ แต่ลือกันไปทั่วเลยว่ามีเพชรมีทองของเจ้าคุณอินทราติดไปมากมายมหาศาล ”

นางเต็มเสริม

“ เจ้าเมฆทองกลายเป็นยี่เหี่ยตั่วเหี่ยอั้งยี่ไปแล้ว ทั้งค้าฝิ่น ทั้งเป็นโจร ทั้งฉุดเมีย ทั้งปล้นทรัพย์ ถูกจับเมื่อใด เขาเอามันตายแน่ๆ ”

นายหมายว่า มองตามพวกนครบาลไป แววตาชิงชัง

ผู้เป็นนายฟังแล้ว ก็ยิ่งกลัดกลุ้ม

ค่ำนั้น หลังจากคิดทบทวนหลายตลบ คุณพุ่มก็นั่งลงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งอย่างรวดเร็ว

“ เต็ม..พรุ่งนี้แต่เช้า ช่วยเอาหนังสือข้าไปส่งให้คุณพระมหามนตรีพระตำรวจในขวา ที่ทิมตำรวจด้วย ”

“ พระมหามนตรี ที่เขียนเรื่อง..ระเด่นลันได ที่อิฉันเกลียดนั่นรือคะ  มีอันใดกันคะ จักชวนกันมาเขียนกลอนรือ? ”

นางเต็มไม่วายกระแนะกระแหน

“ ไม่ต้องถามมากความ ใช้ให้ไปก็ไป ”

คุณพุ่มไม่ล้อเล่นด้วย หน้าตาเคร่งขรึม ไม่สนทนาต่อ

 

ลมหนาวยังไม่ซา โดยเฉพาะบริเวณทุ่งนากว้างเมื่อย่ำค่ำ มุ้งที่ลำจวนกำลังเอาลง ปลิวไสว หญิงสาวเดินไปงับบานประตูห้อง และเอาไม้ค้ำบานหน้าต่างลง ปิดหน้าต่างทุกบาน เพราะรู้สึกเย็นยะเยือก แม้จะห่อหุ้มกายหนาหลายชั้นแล้ว

ฮุนนั่งนับเงินพดด้วงสองสามอันอยู่หน้าตะเกียง ครุ่นคิด

“ น้องอยากซื้อหาผ้าใหม่ๆ หรือข้าวของเครื่องใช้อันใดรือไม่? ”

“ ฉันมีทุกอย่างแล้ว ไม่ต้องการสิ่งใด ”

“ อัฐที่พ่อนายบ้านทวายท่านแบ่งค่าขายข้าวมาให้  รวมกับค่าแรงสร้างเจดีย์วันนี้   หากลำจวนต้องการซื้อหาอันใด ก็มาหยิบเอาจากหีบหนา ”

ฮุนเก็บเงินลงหีบไม้

“ ถ้าขาดเหลืออะไร ฉันจักบอกเอง ”

ฮุนนั่งคิด แล้วเอ่ยเกรงใจ

“ เช่นนั้น..หากลำจวนยังไม่ใช้อันใด..พี่จักขอแบ่งไป..ฝากให้อากงแกก่อนสักหน่อย ”

ลำจวนมองเขา แววตาอ่อนโยน

“ เอาไปเถิดพี่..”

 

ลำจวนมองชายหนุ่มจีนที่เคยผึ่งผายสง่าสะดุดตาผู้คน ที่บัดนี้ ผมสั้นระบัดปกคลุมศีรษะดูกลมเป็นผลลูกตาล หน้าคล้ำ ผอมดำ แล้วหันไปหยิบกระปุกยาไพลตำผสมสีผึ้งมาเปิด

“ อย่ากลุ้มไปเลยพี่ มานี่เถิด ”

ฮุนเข้ามานั่งเคียงลำจวน ที่หน้ามุ้ง

หญิงสาวจับมือใหญ่นิ้วยาวเรียวมาลูบเบา

“..ช่างหยาบกร้าน แห้ง แตกระแหง ใช่หรือไม่? ”

ชายหนุ่มดักคอ หัวเราะเบาๆ

“ งานช่างปูนหนักเกินไปหรือไม่ ข้อมือแลนิ้วจะเสียหรือไม่ ต่อไป จะเขียนรูปได้อีกรือ? ”

ลำจวนรำพึง

“ เขียนได้สิ! ”

ฮุนปลอบ

“ หากพี่ไม่มารักฉัน ป่านนี้..ก็ได้เป็นช่างเขียนหลวง แลอีกไม่ช้า ก็คงได้เป็นคุณหลวงคุณพระกับเขาบ้าง ”

ลำจวนมองหน้าฮุน รักแสนรัก สงสารแสนสงสาร

“ หากลำจวนไม่มารักพี่ ป่านนี้..ก็อาจได้อยู่วังเจ้านาย ได้เป็นหม่อมห้าม รืออย่างต่ำๆ ก็เป็นคุณหญิงคุณนาย สุขสบาย มีความเป็นอยู่อย่างคนชั้นผู้ลากมากดีไปแล้ว..”

ฮุนแกล้งยอกย้อน ทำหน้าล้อๆ

ทว่าลำจวนควักยามาทาถูนวดมือที่แตกยับอย่างตั้งอกตั้งใจจริงจัง

“ ถ้าแถวนี้มีใครจ้างให้คัดลอกหนังสือ รือจ้างให้เขียนอันใดบ้างก็คงจะดี ฉันจะได้ช่วยพี่หาเงินหาทองบ้าง ”

“ ค่อยๆดูไป..อาจจักมีลู่ทางให้พี่ทำอันใดที่ได้เงินดีกว่านี้สักวัน ”

ชายหนุ่มกลับกล่าวอย่างสบายอารมณ์

ทั้งสองสบตา อ่อนหวาน ลำจวนจับมือฮุนมาพรมจูบเบาๆที่นิ้ว ทีละนิ้วๆ อย่างทะนุถนอมยิ่ง

 

ฟ้าแล่บๆแปลบปลาบเจิดจ้า จนทุ่งนายามราตรีสว่างวาบ

ฟ้าร้องเปรี้ยง

ฝนตกพรมซู่ลงสู่ผิวน้ำคลองลำประโดง

ม่านฝนสาดแรงใส่กระท่อมน้อยริมคลองจนเรือนรักคลอนไหวเยือกๆ

ฝนเทถั่งหลั่งลงมากระหน่ำผืนนาจนโชกชุ่มซึมซาบอาบดินอันอุดม แล้วค่อยๆซาลงเหลือเพียงบางเบาเมื่อเข้าค่อนคืน

ปลายใบจากที่ชายคามีหยาดน้ำหยดเผาะๆ

ลำจวนย่องออกมาที่ชานกระท่อม ทอดตามองไปในนาอันเจิ่งด้วยน้ำ ลมพัดแรงหนาวจนหญิงสาวตัวสั่นสะท้าน

ชานเรือนขยับยวบเมื่อฝีเท้าฮุนก้าวตามออกมา เขาเห็นหญิงสาวกอดอกแน่น ตัวสั่นเทา จึงเข้ากอดมารวบไว้แนบร่าง

“ ฝนหลงฤดู ”

ลำจวนหันมาบอกเสียงสดชื่น

“ ออกมาทำไม หนาวออก ”

ฮุนกระซิบดุๆ

“ พี่ดูนั่นสิ ”

ลำจวนเบี่ยงตัวจากเขา ชี้ไปในนา

ไกลออกไป มีแสงไฟเรืองๆจากไต้บ้าง ตะเกียงบ้างเคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้น ตรงนี้

“ นั่นเขามาทำอันใดกันเต็มทุ่ง ”

ฮุนงุนงง แต่ลำจวนหัวเราะเสียงใส

 

ฝนขาดเม็ดแล้ว ดินนุ่มตีน เป็นเลนเหลวปลิ้นขึ้นมาตามซอกนิ้วเมื่อเหยียบย่ำ บางช่วงน้ำขังเป็นแอ่ง กระเซ็นสาดกระจายเมื่อวิ่งลงไป

แสงตะเกียงในมือลำจวนส่องนำทางบนคันนา  ฮุนถือข้องสะพาย วิ่งตามติด

บนตลิ่งริมคลองลำประโดง ปลาใหญ่น้อย กระดี่ หมอ สลิด ช่อน ขึ้นมาดิ้นแถกคะนองน้ำไปตามผืนนา

ลำจวนกระโดดตะครุบ ฮุนช่วยจับใส่ข้อง

กบผู้กบเมียจับคู่ลืมตัวในแอ่งน้ำ ให้พวกเด็กเลี้ยงควายจับได้เต็มถุงตาข่าย

ลำจวนวิ่งลื่นล้มคลุกโคลน ฮุนช่วยฉุด แล้วลื่นลงไปเกลือกกลิ้งด้วยกัน ฉุดกันและกันให้ลุก แต่พากันล้มแล้วล้มอีก เสียงหวีดกรี๊ดผสมเสียงหัวเราะคิกคักสนุกสนานของหญิงสาวราวเด็กๆ

เพื่อนๆชาวนา วิ่งไล่จับปลาผ่านไป หันมาหัวเราะขำสองผัวหนุ่ม-เมียสาว ที่เลอะเทอะไปทั้งตัว หน้าตา หัวหูเต็มไปด้วยโคลนเลน

ลำจวนล้มลุกคลุกคลาน ช่วยกันกับเด็กๆเลี้ยงควายจับปลาตัวใหญ่ ฮุนก็ได้กบมาหลายตัว

ชาวนา ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ทวาย มอญ ลาว ไทย จับกบจับปลากันอย่างเบิกบานหลังฝน  บนผืนดินอันอุดม

วันนั้นและอีกหลายๆวันต่อมา ชาวบ้านแถบนั้นมีปลา กบ เขียด ได้กินกันอิ่มเอมเอร็ดอร่อย

 

ตะวันขึ้นเหนือคลองกรวย หน้าวัดลาว เช้าตรู่ก่อนแดดจะร้อน มีติดตลาดน้ำ เรือพายขายของแน่นขนัด

บนท่าน้ำ แม่ค้าลาวตั้งหาบขายขนมจีน มีคนรุมเต็ม วางม้านั่งให้นั่งกินกันข้างๆหาบ

มีคนขายข้าวเหนียวที่นึ่งมากระติ๊บใหญ่ ให้กินกับลาบนกเป็นอ่าง มีน้ำพริก ผักต่างๆ  ปลา กบ อึ่ง เขียดย่างเป็นไม้ๆ

สองแม่ค้าหน้าใหม่วางกระจาดคู่กัน ลำจวนขายห่อหมกหน่อไม้แบบลาว ใส่ห่อใบตองพับๆ สุกด้วยการปิ้ง  แม่มะเอ้ขายขนมจาก ขนมกล้วยทำเอง

คนยังไม่คุ้นหน้า จึงพากันเดินผ่านไปมุงแต่หาบขนมจีนเจ้าเก่าเลิศรส

ลำจวนจำได้ ว่าพวกลูกค้าชอบที่แม่จำปาร้องขายผ้าเก่งปานใด  เธอจึงยืนขึ้น ร้องขายเสียงใส

“ มาแล้วจ้าๆ.. หมกหน่อไม้อ่อนๆใส่ผักอีตู่  กอไผ่โดนฝนหลงฤดูในนาข้าว  หอมปลาแดกหมักเกลือสินเธาว์  คลุกเคล้าข้าวเบือข้าวเหนียวใหม่ๆหอมๆเด๊อ..

แม่ชาวทวายขำคิก

แต่ชาวลาวที่อยู่กันหนาแน่นรอบวัดลาวได้ยินเข้าก็สนใจ หยุดยืน บ้างซื้อขายสิ่งอื่นอยู่ก็เหลียวมาดู

แต่ลูกสาวนายโรงละคร ไม่มีวันประหม่าต่อสายตาคนจำนวนมาก

หญิงสาวร้องซ้ำ มั่นใจ เสียงดังขึ้น

“ ขนมจากอย่างทวายก็มีเด๊ออ้าย  ใบจากไหม้หอมจับใจเป็นนักหนา โตนดหวานจากต้นตาลที่คันนา เค็มมันบักพ้าวทึนทึกในสวนของข้า..น้อยเอย..”

แม่มะเอ่มอง ทึ่ง ตะลึง ประทับใจ

หญิงสาวเสียงหวาน ขับขานกลอนตลาดคล้องจอง ชักพาชาวบ้านมาออกันชม

ลำจวนก็ร้องขาย-วนซ้ำๆไป

นายบ้านลาวพาลูกเมียเข้ามา

“ ขนมจาก  ..อย่างทวายรือ? ”

“ จ้า ปิ้งใหม่ๆเมื่อเช้าเลยจ้า ”

แม่มะเอ่อวด

เมียนายบ้านลาวหยิบขนมขึ้นมาสูดกลิ่น

“ เป็นตากินแท้ ”

เธอมองลำจวน เอ็นดู

“ นี่ลูกสาวรือ? ร้องขายขนมเป็นกลอนไพเราะจริง ”

ลำจวน  ไหว้ ยิ้มประจบ

“ ซำบายดีบ่อจ้า? ”

เมียนายบ้านกิ๊วก๊าว

“ เอ้า ไม่ใช่ผู้สาวทวาย เป็นผู้สาวลาวคือกั๋นกับข้อยหนิ? ”

ลำจวนหยอกล้อเจรจา

“ อีพ่อเป็นทวาย อีแม่เป็นลาวจ้า ”

นายบ้านฮาฮิ้ว ผู้คนที่มามุงฟัง หัวเราะขันหญิงสาวผู้คมขำคมคาย ต่อปากต่อคำมีเสน่ห์ขี้เล่นขี้หัว

 



Don`t copy text!