‘ก่อนความฝันจะหมดอายุ เราควรไปต่อหรือพอแค่นี้’  มาจุดไฟในตัวให้ลุกโชนกับ อ่านเอาก้าวแรก รุ่น ๖ กันเถอะ

‘ก่อนความฝันจะหมดอายุ เราควรไปต่อหรือพอแค่นี้’ มาจุดไฟในตัวให้ลุกโชนกับ อ่านเอาก้าวแรก รุ่น ๖ กันเถอะ

Loading

การมีโอกาสเข้าไปร่วมฟังวิทยากรให้ความรู้ใน ‘โครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น ๖’ ทำให้พี่ฮูกได้ยินครูกอล์ฟ-ดร.สรรัตน์ จิรบวรวิสุทธิ์ นักเขียนบทภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิทยากรพูดขณะที่บรรยายว่า ‘อย่าให้ความฝันของคุณหมดอายุ’ เพราะนิยายก็มีช่วงเวลาของตัวเองเช่นกัน

นี่เป็นคำพูดที่สะกิดใจและชวนขบคิดในการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างมาก และเชื่อว่านักเรียนในโครงการนี้ทั้ง ๖๐ คนก็ล้วนแต่ต้องการต่ออายุให้ความฝันของตัวเองกันทั้งนั้น และต้องบอกว่าวิทยากรหลักทั้งสามท่าน พี่เอียด ‘ปิยะพร ศักดิ์เกษม’ พี่ปุ้ย ‘กิ่งฉัตร’ พี่หมอโอ๊ต ‘พงศกร’ ต่างก็ช่วยนักเรียนในทุกมิติเพื่อก่อไฟฝันของทุกคนให้ลุกโชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปูพื้นฐานของงานเขียนที่ดี ซึ่งนำมาจากประสบการณ์ของตัวเองโดยตรง และมีให้อ่านกันในคู่มือ ‘ใครๆ ก็เขียนนวนิยายกันได้’ อีกทั้งในคลาสยังมีรายละเอียดปลีกย่อยเข้ามาเสริมเพื่อให้เห็นภาพชัดมากขึ้น รวมถึงวิทยากรรับเชิญ ไม่ว่าจะเป็น คุณศิริลักษณ์ ศรีสุคนธ์ ครีเอเตอร์และสคริปต์ไรเตอร์ ช่องวัน 31 ที่มาพร้อมกับ ครูกอล์ฟ ก็มาแชร์ แนะนำ ช่วยไขข้อข้องใจ ในหัวข้อ ‘คิดยังไงให้ไปถึง พัฒนาจากไอเดียให้เป็นพล็อตได้อย่างไร’ นอกจากนี้ยังมีคุณปูเป้-ศิริวิมล วิสุทธิ์ศักดิ์ชัย Marketing Division จาก meb&readAwrite ก็มาแนะนำในเรื่องของการลง E-Book ให้ทุกคนเข้าใจภาพและวิธีการมากยิ่งขึ้นด้วย

เรียกว่าตลอดสองวันของโครงการ (๑๔-๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๘) ซึ่งจัดขึ้นที่ สถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ (ThaiHealth Academy) นักเรียนต่างก็ได้รับความรู้กันแบบจัดหนัก จัดเต็ม

หลังจากจบการอบรมสองวัน พี่ฮูกก็ชวนๆ พี่ไปวิทยากรมาพูดคุยกันถึงภาพรวมที่เกิดขึ้นของโครงการความประทับใจ มุมมองที่มีกับนักเรียนรุ่นนี้ นอกจากนั้นยังคุยกับพี่ทั้งสามท่านเกี่ยวกับสถานการณ์ของนิยายไทยที่ได้ยินมาพักใหญ่อีกด้วย บอกเลยว่าน่าสนใจมากๆ ค่ะ

ภาพรวมอ่านเอ้าก้าวแรก รุ่น ๖

“จริงๆ ต้องบอกว่า รุ่น ๖ เป็นรุ่นที่มีความตั้งใจมากๆ ครับ แล้วก็นักเรียนที่มาในคลาสครึ่งนึงไม่เคยเขียนนิยายที่ไหนมาก่อนเลย ทุกคนมาด้วยความฝัน พี่ดีใจมากๆ ที่มีโครงการนี้ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ความฝันของทุกคนเป็นความจริงได้” พี่หมอโอ๊ตพูดถึงภาพรวมของนักเรียน รุ่น ๖ “แต่สำหรับคนที่เคยมีผลงานมาแล้ว คิดว่าเขาจะได้แรงบันดาลใจเพื่อที่จะได้ปลดล็อกอะไรบางอย่างที่อาจมีปัญหาอยู่ หวังว่าโครงการนี้จะตอบโจทย์ให้กับนักเรียนทุกคนที่ตั้งใจเข้ามาครับ”

ดร.สิริพันธุ์ กระแสร์แสน ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ สถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

สำหรับพี่เอียด เธอเล่าผ่านมุมมองของตัวเองว่า “นักเรียนรุ่นนี้ตั้งใจ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความฝันเหมือนทุกรุ่นที่ผ่านมาค่ะ ดูจากดวงตาและการตอบสนองในระหว่างการเรียนทั้งสองวัน มั่นใจว่าความฝันของทุกคนจะยิ่งลุกโชน และใครที่เคยตีบ เคยตัน เคยท้อแท้ น่าจะกลับไปมุ่งมั่นเดินต่อได้ จากพลังบวกที่ได้รับจากคุณครู รุ่นพี่และเพื่อนๆ ในคลาส” ส่วนพี่ปุ้ยเองก็มองไปในทิศทางเดียวกับวิทยากรอีกสองท่านเช่นกัน “นักเรียนอ่านเอาก้าวแรก รุ่น ๖ ค่อนข้างกระตือรือร้น  ตั้งใจเรียน  โต้ตอบกับวิทยากรด้วยความสนใจเนื้อหาอย่างจริงจัง  เห็นความมุ่งมั่นที่จะทำงานเขียนตามความฝันให้ได้จากผู้เข้าอบรมหลายท่านเลยค่ะ”

คุณศิริลักษณ์ ศรีสุคนธ์ ครีเอเตอร์และสคริปต์ไรเตอร์ ช่องวัน 31 และครู กอล์ฟ-ดร.สรรัตน์ จิรบวรวิสุทธิ์ นักเขียนบทภาพยนตร์และละครโทรทัศน์

โมเมนต์ที่รู้สึกประทับใจ

ต้องบอกว่าตลอดเวลาของการเรียนแบบ On Site ที่ผ่านมา มีช่วงเวลาดีๆ มากมายเกิดขึ้นทั้งกับฝ่ายวิทยากรและฝ่ายนักเรียน สำหรับพี่เอียดนั้นเธอชอบช่วงถามตอบมากเป็นพิเศษ เพราะทุกครั้งที่มีการเปิดโอกาสให้ซักถามก็จะเห็นนักเรียนยกมือถามกันอย่างคึกคัก “พี่ชอบและประทับใจมากๆ ทุกคนมีส่วนร่วม ทุกคนตั้งใจและกระตือรือร้น ทั้งถาม ช่วยตอบ และแชร์ประสบการณ์ซึ่งมีมาหลากหลายจริงๆ” แต่ถ้าเป็นพี่หมอโอ๊ต เขาบอกว่า เป็นช่วงเช้าของทั้งสองวันเพราะเป็นช่วงเวลาที่นักเรียนจะได้พัฒนา บริหารจินตนาการของตัวเอง “ในช่วงแรกของแต่ละวัน จะเริ่มด้วย Creativity Thinking ครับ เรามีโจทย์ให้น้องๆ ได้ลองเล่นกัน เพื่อที่จะบริหารจินตนาการของตัวเอง เพราะพี่คิดว่า จินตนาการเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของความเป็นนักเขียน กิจกรรมตรงนี้ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก นักเรียนได้พูดคุยกัน ได้ทำความรู้จักกัน พี่คิดว่าจินตนาการเหมือนกล้ามเนื้อมัดหนึ่ง ถ้าเราออกกำลังกายบ่อยๆ กล้ามเนื้อมัดนี้ก็จะแข็งแรง”

พี่ปุ้ยเอง เธอบอกว่ามีอีกโมเมนต์หนึ่งที่เกิดขึ้นจนเป็นความประทับใจนั่นคือน้ำใจไมตรีที่เพื่อนๆ ร่วมคลาสมีให้แก่กัน “นอกจากความประทับใจจากวิทยากรพิเศษที่ให้ความรู้เต็มที่แล้ว ยังประทับใจกับความมีน้ำใจและช่วยเหลือกันของผู้เข้าอบรม ไม่ว่าจะช่วยแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง ช่วยถามตอบเพื่อหาความรู้ และประทับใจที่สุดกับการที่ผู้เข้าอบรมไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่กลับให้ความช่วยเหลือผู้เข้าอบรมที่เป็นผู้พิการทางสายตาอย่างดีราวกับว่าเป็นพี่น้องเป็นญาติ ประทับใจมากค่ะ”

กว่า ๙๐ % คือติดกับดักตัวเอง

การได้นั่งฟังการบรรยายไปเรื่อยๆ ทำให้พบว่าหนึ่งในปัญหาของผู้อบรมคือ หลายคนติดกับดักของตัวเอง “ใช่ครับ ที่เห็นจากทุกรุ่นที่ผ่านมา จะมีนักเขียนกลุ่มหนึ่งซึ่งอาจเคยมีผลงานมาแล้ว แล้วหยุด ไม่ทำต่อ คิดว่าจะสู้เรื่องเก่าได้ไหม เรื่องใหม่จะยังไงดี พี่มองว่างานหนึ่งชิ้น พอจบแล้วก็คือจบ อย่าย้อนไปวนเวียนกับมัน อย่าคิดจะแก้ไขซ้ำไปซ้ำมา ทำเรื่องใหม่ดีกว่า บทเรียนจากเรื่องเก่า เช่นเห็นว่ามีจุดอ่อนอะไร ก็เอามาแก้ในเรื่องใหม่ แต่ของเก่า อย่าย้อนไป ไม่งั้นคุณจะวนเวียน ไม่ได้ทำเรื่องใหม่เสียที” พี่หมอโอ๊ตบอกเล่าปัญหาที่พบมาและวิธีแก้ไข “อีกเรื่องคือไม่กล้าเริ่มสักที มีความลังเล ความสงสัย เหมือนที่ครูกอล์ฟวิทยากรของเรากล่าวไว้ในคลาส ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้วิธีแก้คือต้องย้อนกลับมาดูว่า สิ่งที่เราจะเขียน เราเห็นชัดเจนแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ชัดเจน มันก็จะเติมไปเรื่อย เติมนั่นเติมนี่  ดีหรือยัง สมบูรณ์หรือยัง ให้ย้อนกลับมาที่หลักการที่เรียนกัน พล็อตชัดหรือยัง ตัวละครรู้จักเขาดีพอหรือยัง ข้อมูลแน่นไหม ฉากเห็นภาพหรือเปล่า โลกของเรื่องจะเกิดขึ้นที่ไหน กลับมาที่พื้นฐาน ทำให้แน่น แล้วมันจะไปต่อได้”

พี่ปุ้ยเองก็แชร์ปัญหาที่เธอมองเห็นให้ฟังเช่นกัน “หลักๆ ของรุ่นนี้ก็น่าจะเหมือนทุกรุ่นคือ  มีฝันแต่ไม่กล้าลงมือทำตามความฝัน มักมีข้ออ้างมาปลอบตัวเองว่าทำไมถึงยังไม่ลงมือเขียนหนังสือเสียที หลายคนรู้ปัญหาของตัวเอง รู้ว่าต้องแก้ไข แต่ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร หรือต้องการไฟจากคลาสมาช่วยกระตุ้น ข้อแนะนำของพวกพี่คือ  ก้าวต่อไปข้างหน้า ลงมือทำงาน ถ้ารู้ว่าที่ไหนเป็นปัญหาก็แก้ วิทยากรและเพื่อนๆ พร้อมจะให้คำปรึกษาและให้กำลังใจค่ะ ไหน ๆ มาเรียนแล้วต้องทำให้สำเร็จค่ะ”

เมื่อคุยถึงเรื่องนี้พี่เอียดก็บอกว่า “ปัญหาแบ่งเป็นสองกลุ่มค่ะ กลุ่มแรกเป็นพวกยังไม่เคยเขียน กลุ่มนี้ได้เรียนในคลาสจบแล้วก็จะได้ติดอาวุธไปพอสมควร เมื่อเอาไปผนวกเข้ากับความฝันความมุ่งมั่นที่มีอยู่ก็น่าจะเขียนได้ค่ะ ส่วนอีกกลุ่มคือพวกที่เคยเขียนแล้วแต่หมดไฟหรืออยากเปลี่ยนแนว หลังเข้ามาเรียนในคลาสทั้งสองวันก็เชื่อว่าจะทะลุจุดอับของตัวเองได้ค่ะ”

คุณปูเป้-ศิริวิมล วิสุทธิ์ศักดิ์ชัย Marketing Division จาก meb&readAwrite

เรียกว่าการเข้าโครงการอ่านเอาก้าวแรกนั้นช่วยต่ออายุความฝันของนักเรียนได้แน่ๆ ส่วนจะไปต่อได้แค่ไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับคนๆ นั้น ส่วนใครที่เห็นกับดักของตัวเองที่วางไว้แล้ว รีบยกออกนะคะ เพราะถ้านานไป ฝันของคุณอาจหมดอายุอีกครั้งก็เป็นได้

คราวหน้าเราจะมาคุยกับพี่เอียด พี่ปุ้ย พี่โอ๊ต กันต่อถึงสถานการณ์ของนิยายไทยในปัจจุบัน ลองมาอ่านกันนะคะว่า เมื่อมาถึงวันนี้นิยายไทยจะก้าวต่อไปอย่างไร นักเขียนจำเป็นแค่ไหนต้องปรับตัวแค่ไหน และคุณสมบัติที่นักเขียนควรมีรวมถึงไม่ควรมีคืออะไร สำหรับนักเรียน รุ่น ๖ ครั้งหน้า พี่ๆ ทั้งสามคนมีเรื่องมาฝากบอกด้วยค่ะ

Don`t copy text!