ทำยังไงนักเขียนจะมีที่ทาง  บนตลาดนิยายไทยกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยเป็นใจอย่างนี้

ทำยังไงนักเขียนจะมีที่ทาง บนตลาดนิยายไทยกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยเป็นใจอย่างนี้

Loading

ต่อจากการคุยถึงโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น ๖ เมื่อครั้งที่แล้ว ฮูกเลยขอถามในสิ่งที่กำลังสนใจอยู่เสียเลย เพราะหลายปีมานี้ เรื่องหนึ่งที่ได้ยินแบบหนาหูคือตลาดนิยายไทยชะลอตัวลง แต่ถึงอย่างนั้นเรากลับพบว่ายอดจำหน่ายนิยายในอีบุ๊กนั้นสูงจนน่าตื่นเต้น ซึ่งย้อนแย้งกับสิ่งที่ได้ยิน เลยทำให้เกิดความลังเลสงสัยว่า สรุปแล้วตลาดเป็นอย่างไรกันแน่ ครั้งนี้เลยชวนนักเขียนชั้นครูอย่างพี่เอียด พี่ปุ้ย พี่โอ๊ต มาคุยกันต่อในประเด็นนี้ด้วยค่ะ

 

นิยายไทยไม่มีวันตาย

“พี่ว่านิยายไทยปัจจุบันมีความทันสมัย ความร่วมสมัย มีแนวแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้คนอ่านเสมอ คิดว่าความแข็งแรงของนิยายไทยยังมีอยู่ เราก็มีนักเขียนรุ่นใหม่ๆ ที่น่าสนใจเยอะมาก แต่วันนี้เรามีสื่ออื่นมาแย่งเวลาการอ่านของคนไปเยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสตรีมมิง เรื่องของโซเชียลมีเดีย เพราะฉะนั้น ถามว่านิยายไทยขาลงมั้ย คิดว่าถ้าดูเฉพาะตัวนิยาย ยังโอเคนะครับ เพียงแต่ว่าอาจขาลงเพราะคนเอาเวลาไปใช้กับสื่ออื่นมากขึ้นเพราะฉะนั้น ถ้านิยายไทยที่เราเขียนแบบแข็งแรง เป็นที่น่าสนใจ เป็นกระแสจริงๆ คนก็ยังอ่าน” พี่หมอโอ๊ตตอบคำถามเมื่อเราเปิดประเด็นว่า จริงหรือไม่ที่นิยายไทยอยู่ในช่วงขาลง

“พี่ว่าไม่ใช่แค่นิยายไทยที่ขาลงนะคะ หนังสือมันลงหมดเพราะคนยุคนี้มีเวลาน้อยมีกิจกรรมมาก และมีสื่ออื่นที่ให้ความบันเทิงได้ถึงตัวและสะดวกกว่าอ่านหนังสือ หนังสือยังอยู่ได้ค่ะ เพียงแต่ไม่อู้ฟู่เหมือนเมื่อก่อนเท่านั้น” พี่ปุ้ยกล่าวเสริม

“ถ้าขาลงจริงจะมีล่องลอยอยู่ในเว็บใหญ่อย่างเด็กดีหรือ meb เว็บละเป็นแสนๆ เรื่องหรือคะ ที่ว่าขาลงพี่ว่าธุรกิจสิ่งพิมพ์มากกว่า ซึ่งนั่นคือการปรับตัวของรูปแบบการบริโภคของผู้คน อันที่จริงทั้งนิยายไทยและนิยายแปลวิ่งกระทบไหล่กัน ควบคู่กันมาตลอดทางตั้งแต่ยุคนิตยสารแล้วค่ะ” พี่เอียดแสดงความคิดเห็น

เศรษฐกิจ กับ การซื้อนิยาย

ไหนๆ ก็มาถึงตรงนี้แล้ว เลยขอคุยถึงเรื่องเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยโสภาสักเท่าไหร่กันต่อเลยว่าเมื่อสถานการณ์ตรงนี้ไม่เป็นใจ จะส่งผลแค่ไหนกับการซื้อหนังสือ

“จริงๆ คิดว่ามีผลนะ ในฐานะที่พี่เป็นนักเขียนด้วย แล้วก็มีสำนักพิมพ์ด้วย เราจะเห็นความเคลื่อนไหวต่างๆ ของวงการตลอดทุกช่วงเวลา ช่วงนี้เศรษฐกิจมีปัญหาจริงๆ แล้วยังมีสภาวะสังคมอื่นๆ มาด้วย ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง การสงคราม เพราะฉะนั้น มันเป็นกลไกของทางเศรษฐศาสตร์อยู่แล้วที่พอมีเหตุการณ์แบบนี้ปุ๊บ คนก็จะเริ่มประหยัด เริ่มใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นจริงๆ

“ถามว่า ‘หนังสือจำเป็นไหม’ ถ้าเกิดมองในเรื่องของปัจจัยสี่คือ อาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย หนังสือก็จะเป็นปัจจัยหลังๆ ซึ่งคิดว่ามันช่วยผ่อนคลายความเครียด ช่วยให้ความบันเทิง แต่ในวันที่คนประหยัด คนก็อาจใช้จ่ายกับพาร์ตนี้น้อยลง แต่ก็ยังมีอยู่ครับ

“แต่สำหรับคนที่อยากเขียน พี่ว่าถ้าการเขียนคือความสุขของคุณ ก็เขียนไปเถอะ แล้วอาชีพนักเขียนมันเป็นอาชีพที่ดีมากๆ อยู่ที่ไหนในโลกใบนี้ก็ทำได้ จะทำงานเวลาไหนก็ทำได้ ไม่เหมือนงานออฟฟิศที่ต้องเข้างานแปดโมงเช้าทำงานถึงห้าโมงเย็น เพราะฉะนั้น ถ้ามันคือแพสชั่น มันคือความฝัน มันคือความสุขของคุณ ก็เขียนไปเถอะ อย่าไปคิดว่า ‘เศรษฐกิจไม่ดี คนไม่ซื้อหรอก ฉันไม่เขียนดีกว่า’ แบบนั้นพี่ว่าน่าเสียดายครับ”

การปรับตัวกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง

พอถึงตรงนี้แล้ว เลยขยับมาคุยในเรื่องการปรับตัวของนักเขียนกันบ้าง เพราะเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป นักเขียนเองก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งพี่ปุ้ยเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน

“คนทำงานด้านหนังสือหรือนักเขียนก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ใช้สื่ออื่นให้เป็นประโยชน์อย่างทำหนังสือเสียง ต่อยอดหนังสือไปเป็นสื่อด้านอื่นๆ  ต้องวิ่งตามยุคสมัยให้ทัน นิยายมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  ตัวละครเปลี่ยน  พล็อตเปลี่ยน  ทุกอย่างเปลี่ยนตามยุคสมัยและรสนิยมของผู้เสพ ตัวคนเขียนเองก็เปลี่ยนไป แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยคือการที่คนเขียนเป็นคนอ่านคนแรก ดังนั้นเขียนให้สนุก เขียนให้ตรงกับความชอบของตัวเอง เขียนให้มีความสุขถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วค่ะ”

และสำหรับพี่เอียดนั้นเธอได้ให้คำแนะนำในเรื่องนี้ว่า “สิ่งที่ควรปรับเปลี่ยนคือรูปแบบการนำเสนอ และวิธีการเล่าเรื่องค่ะ รูปแบบคือต้องสร้างตลาดและตัวตนของตัวเองให้ได้ คนที่ขยันเผยแพร่ ทำงานสม่ำเสมอก็จะประสบความสำเร็จไม่ยาก ส่วนวิธีการเล่าเรื่องนั้นก็คือการเล่าเรื่องให้เร็วและกระชับขึ้นแต่ไม่ได้หมายความว่าความประณีตงดงามไม่สำคัญนะคะ ทั้งสองอย่างไปด้วยกันได้ค่ะ”

คุณสมบัติของนักเขียนที่ควรมี และไม่ควรมี

เมื่อคุยถึงคุณสมบัติสำคัญที่นักเขียนควรมีและไม่ควรมี พี่ๆ ก็ได้แสดงความคิดเห็นไว้ได้อย่างน่าสนใจไม่แพ้ประเด็นอื่นๆ

“คุณสมบัติของนักเขียนที่ดีอย่างแรกคือ ‘วินัย’ ครับ ต้องมีวินัยในการเขียน พี่มองว่าทุกอาชีพต้องมีวินัย เข้าใจแหละว่างานเขียนเป็นงานศิลปะ แต่ถ้าอยากจะเป็นนักเขียนมืออาชีพ หรือเป็นนักเขียนที่จะไปสู้กับนักเขียนคนอื่นๆ ได้ เราต้องมีวินัย ไม่ใช่ว่าวันนี้ไม่มีอารมณ์ฉันไม่เขียน รออีกสามปีค่อยเขียน ความฝันหรือไอเดียของคุณอาจจะตกยุคไปแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าอยากเป็นนักเขียนมืออาชีพจริงๆ สิ่งสำคัญคือ วินัย แปลว่าต้องทำงานสม่ำเสมอ นักเขียนรุ่นใหญ่ที่ประสบความสำเร็จทุกคน เป็นคนที่ทำงานอย่างมีวินัยหมดเลย วินัยหมายถึง เขียนสม่ำเสมอ วันนี้เหนื่อย ก็เขียนน้อยหน่อย แต่ก็ต้องเขียน สร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง จบเรื่องหนึ่งก็ไปเขียนเรื่องใหม่ พี่คิดว่ามันจะทำให้แคเรียร์ของความเป็นนักเขียนมันชัดเจนขึ้น” พี่หมอโอ๊ตกล่าว ส่วนสิ่งที่ไม่ควรมีนั้น เขามองว่าเป็นเรื่องของความอิจฉาริษยา “ความรู้สึกว่า ของเขาดีกว่าของฉัน ทำไมเขาประสบความสำเร็จ ฉันไม่ประสบความสำเร็จ ทำไมยอดวิวเขาเยอะกว่าฉัน พี่มองว่านักเขียนน่ะแข่งกับตัวเอง ไม่ได้แข่งกับคนอื่น ถ้ามัวแต่อิจฉาคนอื่น แล้วไม่ทำงานของตัวเอง มันก็ไปไม่ถึงจุดที่ตั้งใจไว้ อย่าเอาพลังงานไปเสียเวลากับการเทียบตัวเองกับคนอื่น เอามาทำงานของตัวเองให้ดีดีกว่าครับ”

พี่ปุ้ยเองก็ได้พูดถึงประเด็นนี้ไว้ว่า “พี่ว่าคุณสมบัติของคนอยากเขียนหรือนักเขียนที่กี่ปีก็ไม่เปลี่ยนคือคนอยากเขียนต้องอ่านให้มาก เปิดกว้างรับข้อมูลข่าวสารรอบตัว ช่างสังเกต ขยันตั้งคำถามกับตัวเองและกับสังคม มีจินตนาการ มีความมั่นใจในตัวเองที่จะลงมือทำงานตามที่ตัวเองรักและฝันถึง ส่วนข้อห้ามของนักอยากเขียนคือการไม่ยอมลงมือทำงาน  การหาข้ออ้างสารพัดเพื่อที่จะไม่ทำงาน เหนื่อยบ้าง ไม่รู้จะเขียนอะไรบ้าง เขียนแล้วไม่ดีไม่อยากเขียนต่อบ้าง คิดแบบนี้คงเริ่มลงมือเขียนยาก ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย สุดท้ายไม่ได้งานเลย”

สำหรับพี่เอียดเธอมีมุมมองคล้ายๆ กันกับพี่ปุ้ย “พี่ยังยืนยันว่านักเขียนทุกคนต้องเป็นนักอ่านมาก่อนค่ะ ยิ่งอ่านมากยิ่งมีอุปกรณ์เครื่องมือในการเขียนมาก และถ้าหากมุ่งมั่นมาที่เรื่องแต่งอย่างนิยายก็ต้องมีจินตนาการคิดต่อยอดให้มากๆ ถ้าไม่เคยมีก็ลองฝึกทำอย่างที่เราสอนและทำกันในคลาสอ่านเอาก้าวแรกค่ะ สิ่งที่ควรมีคือหัวใจในการรักการอ่าน การเขียนและการเล่าเรื่องอย่างแท้จริง สิ่งที่ไม่ควรมืก็คือมุมกลับกัน…คือการไม่เคยรักในการเขียนการอ่านนั่นแหละค่ะ”

พี่ๆ ฝากถึงนักเรียนรุ่น

สุดท้ายก่อนปิดการสนทนา พี่ๆ ทั้งสามคนยังได้มีคำพูดมาฝากถึงนักเรียน รุ่น ๖ ไว้อีกด้วย โดยครูใหญ่ของคลาสได้กล่าวไว้ว่า “พี่เชื่อว่าไฟถูกจุดขึ้นในชั้นเรียนของเราแล้ว ขอให้ทุกคนดูแลหัวใจของตัวเอง อย่าให้มันดับนะคะ ใช้มันเป็นเป้าหมายและพลังผลักดันตลอดไปค่ะ”

“อยากให้เขียนสิ่งที่ตัวเองอยากเขียน อย่าไปเขียนสิ่งที่ตลาดกำลังดังอยู่ตอนนี้ เพราะตลาดหรือโซเชียลมีเดีย เปลี่ยนไปเรื่อยๆ คุณไม่มีทางเปลี่ยนตัวเองให้ทันหรอก เพราะฉะนั้น ทำสิ่งที่ตัวเองรัก แล้วก็เขียนมันออกมาครับ” พี่หมอโอ๊ตกล่าวต่อ

“ฝากถึงนักเรียนหรือผู้เข้าอบรม…คงจะเหมือนเดิมที่พี่ทิ้งท้ายไว้ในคลาส คุณเห็นโอกาสที่อ่านเอามอบให้ไหมคะ ทีมงานทำเต็มที่เพื่อความฝันและความสำเร็จของพวกคุณ ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกคุณต้องลงมือทำเพื่อความฝันของตัวเองแล้ว สู้ ๆ ค่ะทุกคน”

พวกเราชาวอ่านเอารออ่านผลงานของนักเรียนทั้ง ๖๐ คนอยู่ เขียนให้จบ สร้างให้เป็นจริง และอย่าปล่อยให้ความฝันหมดอายุนะคะ

Don`t copy text!