
เปลือกมุกสีชมพู บทที่ 4 : Suffering Bastard คนเลวที่กำลังเจ็บตัว
โดย : ขวัญอินทร์
เปลือกมุกสีชมพู โดย ขวัญอินทร์ นวนิยายดราม่าเข้มข้นที่อ่านเอานำมาให้ได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวที่จะแสดงให้เห็นว่าเราอาจไม่เคยมองเห็นเนื้อแท้ของใครได้เลย ถ้าเราเลือกมองแค่เพียงเปลือก ความสำเร็จ ความล้มเหลว และภาพจำที่ผู้อื่นตีกรอบให้ เราจึงไม่ควรด่วนตัดสินใคร เพราะสุดท้ายผลกรรมจะเปิดโปงทุกอย่างไม่ช้าก็เร็ว
เบอร์เบิน จิน น้ำมะนาว แต่งด้วยรสขมของอังกอสตูรา จิงเจอร์เบียร์แช่เย็น
กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมาฯ เสียงสวดมนต์จากมือถือป้อมชัย เปิดให้กับศิษย์เอกอย่างมุกอันดาฟังตามคำขอ ติ๊ต่างว่าตัวเองกำลังนั่งฟังพระสวดอยู่ที่หน้าโลงศพคุณย่าเหมือนเช่นคนอื่น ทั้งที่ไม่รู้หรอกว่าเค้าสวดกันบทไหน ทำเอาป้อมชัยถึงกับขำไม่ออก แม้จะอยากขำ
มุกอันดามาที่ร้าน ทั้งโกรธทั้งเสียใจ พร่ำรำพันเรื่องโดนป้าเอาไปประจาน รู้ทั้งรู้ว่าเรื่องจริงที่ทำให้ย่าช็อกตายเพราะอะไร ไม่ใช่เรื่องที่เธอทำงานบาร์สักหน่อย เพราะเรื่องนั้นคุณย่ารู้มาตลอดว่าเธอทำงานอะไร
“มุกไม่หลาบไม่จำ ป้าเคยจริงใจกับใครบ้าง นินทาลับหลัง เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ตั้งแต่มุกเป็นเด็กอยู่แล้ว” เธอพูดเสียงดังได้เต็มที่ เพราะขณะนี้นั่งอยู่ในครัวหลังร้านพร้อมเหล้าแดงหนึ่งแบน ที่พร่องไปเล็กน้อย
“เออๆ ฟังพระสวดให้จบ กรวดน้ำให้ป้า เอ๊ย ให้ย่า เผื่อใจแกสงบได้มั่ง” พี่ป้อมบอกก่อนผลุบหายไปหน้าบาร์ คืนนี้แกต้องวุ่นอยู่หน้าร้านคนเดียว แต่ก็ยังมีแก่ใจโผล่หน้ามาให้เห็นว่าแอบดูอยู่ หรือคิดอีกทีก็นึกอยากมาตามให้ไปช่วยงานดีกว่านั่งอมทุกข์
ปกติเธอไม่ชอบดื่มตอนเศร้า แต่คืนนี้มันไม่ไหวจริงๆ เสียงพระสวดที่ลอยมาช่วยได้จริงๆ อย่างน้อยเธอก็ไม่ทำให้รู้สึกผิดไปมากกว่านี้ ถ้าจะพูดกันจริงๆ ก็เพราะอารมณ์วู่วามของเธอที่ทำให้คุณย่าต้องตาย งานศพคืนแรกเธอยังเกือบทำพัง ไปด่าแขกอีก
อารมณ์ตอนนี้จึงมีทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ และที่ลึกลงไปจนทำให้แทบบ้าคือคำว่ารู้สึกผิด
“คุณย่า อภัยให้หลานเลวคนนี้ด้วย” มุกอันดายกมือท้วมหัว เมื่อพระสวดจบจนถึงกรวดน้ำ และแผ่เมตตา หาอะไรไม่ทันก็คว้าแก้วน้ำแถวนั้นกรวดแทน หวังว่าบุญกุศลที่แทบไม่มีจะส่งถึงวิญญาณคุณย่า เพราะเธอไม่มีหน้าไปร่วมนั่งเสื่อหน้าโลงศพกับใครได้
เธอมันนอกคอก นอกคอก ตั้งแต่เกิด เกิดมาเพื่อประจานพ่อ แม่จะเก็บเธอไว้ทำไมไม่รู้ น้ำตาอุ่นๆ ไหลอาบแก้มเป็นรอบที่ร้อย เช็ดจนขี้เกียจเช็ด เธอไม่เสียน้ำตาให้เรื่องพวกนี้นานแล้ว เพราะฟังเรื่องชีวิตตัวเองจนชาชิน ตั้งแต่ฟังภาษาออกเธอก็โดนป้าว่า อย่าสันดานต่ำเหมือนแม่ พอโตเธอเลยลองมาเป็นเด็กกลางคืนดูเสียเลย แต่ป้าจีไม่รู้ว่าเธอทำงานที่นี่
จนกระทั่งเมื่อเช้า ที่เธอต้องงัวเงียตื่นเพราะเสียงเคาะประตู ตอนนั้นเธอคิดคุณย่าจะป่วยหนัก แต่เมื่อเปิดประตูออกมา เธอก็โดนโทรศัพท์มือถือปาใส่หน้า ตามมาด้วยเสียงเกรี้ยวกราดของป้าจี
“ตื่นแล้วหรือแม่ตัวดี ไหนแกบอกว่าทำงานโรงแรมไง แล้วนี่อะไร”
“พูดกันดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องปาเลย ไหนว่าต้องมีมารยาทไง” มุกอันดาหงุดหงิด เจ็บที่หน้าไม่เท่าไร แต่เจ็บใจที่อุตส่าห์ลุกขึ้นมาเจอเรื่องอะไรก็ไม่รู้
“ยังจะมาปากดี นี่แกดู แกดูให้เต็มตา ว่าฉันควรจะมีมารยาทกับแกมั้ย” ป้าขจีชี้ไปที่โทรศัพท์ที่เธออุตส่าห์รับไว้ได้ เปิดดูจึงได้รู้ว่า เป็นวิดีโอเหตุการณ์ตอนเธอทะเลาะกับลูกค้าเมื่อคืนนี้
เธอปฏิเสธ และพยายามอธิบาย ป้าจีก็ไม่ฟัง เรื่องคงไม่รุนแรง ถ้าไม่ใช่เพราะแกบังคับให้เธอลาออกจากงานบาร์
“แกไปลาออกจากงานบาร์ บ้าๆ นั่นเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นแกไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่“
ประโยคนี้ของป้าจีกระมังที่ทำให้เธอปรี๊ดแตก เอ่ยทวงสิทธิ์เจ้าของบ้านในฐานะ ลูกสาวพ่อออกไปเช่นกัน
“บ้านป้า มุกไม่ไปเหยียบหรอก แต่นี่มันบ้านพ่อมุก เพราะงั้นป้าไม่มีสิทธิ์ไล่”
“ย่าแกยกบ้านหลังนี้ให้ฉันนานแล้ว“
เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสบถคำใดออกไป แต่เมื่อป้าจีอธิบายต่อว่า ยกให้ป้าเพื่อใช้หนี้
”ฉันถึงได้เชื่อมบ้านสองหลังต่อกันไงล่ะ”
คำพูดป้าขจีเย้ยหยัน หลอกหลอนเธอจนถึงตอนนี้ ถ้าเพียงแต่ตอนนั้นเธอไม่ไปเค้นถามความจริงกับคุณย่าท่านก็คงไม่ตาย อีกครั้งที่เธอต้องซดเหล้าขม รสชาติของมันขมพอๆ กับเธอตอนนี้
“ไม่จริง มุกจะไปบอกคุณย่าว่าป้าขี้โกง” พูดจบเธอก็เดินแกมวิ่งออกไปจากห้อง โดยที่ป้าจีพยายามคว้าแขนเธอไว้ แต่ก็ไม่ทัน
“หยุดนะ มุก มุก ฉันบอกให้หยุด ย่าแกไม่สบายอยู่นะ”
เธอน่าจะฟังเสียงห้ามนั้น ทำไมเธอไม่ฟัง ยิ่งเมื่อเห็นพี่ฟ้านั่งประคองคุณย่าอยู่บนเตียง เธอก็ยิ่งปรี๊ดแตกอารมณ์ อิจฉา อยากเอาชนะท่วมท้นหัวใจ
“มุกขอโทษนะคะคุณย่า อโหสิกรรมให้หลานเลวคนนี้ด้วย” มุกอันดาพึมพำ
“คุณย่ายกบ้านให้ป้าหรือคะ ไหนย่าบอกว่า ต่อให้ไม่มีอะไรเหลือ บ้านหลังนั้นต้องเป็นของพ่อของมุก”
อีกครั้งที่น้ำตาไหลพราก เสียงสั่นเครือในตอนนั้นยังสั่นระริกอยู่ที่ริมฝีปากเธอตอนนี้ สั่นจนเปลี่ยนเป็นเบะปาก ร้องฮือ ฮือ ออกมาอย่างไม่อาย ตอนนั้นทำไมเธอถึงไม่เห็นว่า คุณย่าตกใจและเจ็บปวดขนาดไหน ท่านส่งเสียงร้องสุดเสียง พยายามยกแขนขึ้น
“ย่าแกไม่รู้เรื่อง แกออกไปพูดกับฉันข้างนอก” ป้าจีตวาดเสียงลั่น ดึงแขนเธอไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้คุณย่า
“ไม่รู้เรื่อง หมายความว่าไงคะ ป้าโกหกใช่มั้ย”
“ออกไปคุยข้างนอก!” ป้าขจีตวาดสุดเสียง จิกเล็บลงบนแขน ดึงทึ้ง ตบตีเธอเหมือนคนเสียสติ จนป้าศรีต้องมาช่วย พี่ฟ้าเห็นท่าไม่ดี จึงประคองให้คุณย่านอนลงบนเตียง แต่คงเป็นเพราะรีบเธอไม่ได้ยกคอกกั้น
ระหว่างที่กำลังชุลมุนกัน ก็ได้ยินเสียงโครมใหญ่ พร้อมกับตัวคุณย่าตกลงมา ตามด้วยเสียงกรี๊ด ทุกคนที่ผละไปประคองคุณย่า ยกเว้นเธอที่ประสาทด้านชา ละเมอแต่คำว่า คุณย่า เสียงแทบไม่พ้นคอ ขาจะก้าวไปก็แทบไม่มีแรง ได้แต่ยืนมองคุณย่า ส่งเสียงอือ อือ ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยว พยายามพูดอะไรบางอย่าง มือหงิกงอสั่นระริก ชี้มาที่เธอก่อนที่มันจะปิดลง พร้อมดวงตาคุณย่าที่ปิดลงตลอดกาล
“คุณย่า มุกขอโทษ ฮือๆ มุกไม่เอาบ้านก็ได้ ย่าอยากยกให้ป้า มุกก็ไม่ว่า” มุกอันดาเสียใจ ตีอกชกหัวตัวเอง จนป้อมชัยซึ่งโผล่เข้ามาดู วิ่งเข้ามาห้าม
“เฮ้ย มุกใจเย็นก่อน” เขาเองก็ละล้าละลัง หน้าบาร์ก็ไม่มีใคร มุกอันดาก็กำลังแย่ มีทางเดียวคือลากออกไปอยู่หน้าบาร์ “มุก พี่รู้ว่าเอ็งเสียใจ แต่คุณย่าตายไปแล้ว แต่ตอนนี้ถ้าเอ็งไม่ช่วยพี่ พี่ตายแน่…ไปช่วยตักน้ำแข็งก็ยังดี”
ป้อมชัยใช้มุกเจ้านายโหดเท่าที่นึกออก ซึ่งก็ได้ผลมุก อันดากลั้นสะอื้น ซดเหล้าแดงเพียวหนึ่งกรึบ ปาดน้ำตาลวกๆ หันไปล้างหน้าที่อ่างล้างจาน เอาผ้าขนหนูสำหรับเช็ดมือที่เอวพี่ป้อมมาเช็ดหน้า ก่อนเดินออกไปหน้าบาร์ ป้อมชัยเอามือตบหน้าผากตัวเองหนึ่งทีไล่ความเครียด ทั้งสองไม่พูดอะไรอีก เธอกับพี่ป้อมอยู่กันดิบๆ แบบนี้แหละ เจ็บปวดก็ต้องทน ไม่ใช่บ้างาน แต่เพราะมันต้องกล้ำกลืน
—-
เกือบสี่ทุ่ม ฟ้าพราวเพิ่งได้ถึงบ้าน ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาก็พบว่า คุณขจีผู้เป็นแม่นอนหลับอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น เธอจึงเดินเข้าไปปลุก
“มาแล้วหรือฟ้า” คุณขจีสะดุ้งตื่น เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา หลังจากนอนดูทีวีรอจนเผลอหลับไป นึกเห็นใจเมื่อเห็นใบหน้าอิดโรยของลูกสาว แต่ก็ภูมิใจในตัวเธอเช่นกัน วันนี้ใครๆ ก็พูดชมว่าฟ้าพราวจัดการงานศพได้เรียบร้อย ไม่มีที่ติ ทั้งที่จัดงานในบ้าน
”ยังไม่นอนอีกหรือคะแม่จะห้าทุ่มแล้ว” ฟ้าพราวเอ่ยถามเธอเห็นแม่กลับเข้ามาในบ้านตั้งแต่สามทุ่ม ส่วนตัวเองก็เดินตรวจตราความเรียบร้อยของบ้านก่อนเข้านอน
“นอนไม่หลับ” คุณขจีปิดรีโมตทีวีเปลี่ยนจากท่าเอนนอนมาเป็นท่านั่ง ฟ้าพราวเอนตัวบนโซฟาเหยียดเท้าวางบนตักแม่เพื่อให้ท่านนวด
“เรียบร้อยดีมั้ยลูก” คุณขจีถามพลางนวดคลึงฝ่าเท้านั้นเบาๆ เพื่อช่วยผ่อนคลาย
“ดีค่ะ” ฟ้าพราวหลับตา พึมพำตอบเบาๆ พยักหน้ารับ ทุกอย่างเรียบร้อยดีเสมอ แต่วันนี้ดันมีเรื่องกวนใจหลายอย่าง
“แขกเหรื่อชมกันใหญ่ว่าฟ้าจัดการอาหาร คาวหวาน ได้ดีมาก แต่ยังไงฟ้าก็ดูพวกแม่ครัวด้วยนะ เดี๋ยวทำเยอะเกินไปจะเสียของ…แม่กลัวขาดทุนด้วย”
ในยุคเศรษฐกิจ ของแพงแบบนี้ ไม่แปลกที่คุณขจีจะกังวล บางคนใส่ซองไม่กี่ร้อย แต่เดินเวียนตักอาหารที่จัดวางเป็นบุปเฟต์ไม่รู้ต่อกี่รอบ ฟ้าพราวจ้างแม่ครัวให้ทำกับข้าว คิดเหมาจ่ายค่าแรง ส่วนกับข้าวก็เบิกตามจ่ายจริง แน่นอนว่าเจ้าภาพต้องมีเงินหมุนเวียน
“อาหมอนคิดดอกเบี้ยเท่าไหร่คะ” ฟ้าพราวถามไปถึงเรื่องที่เธอกับแม่รู้กันเพียงสองคน ตอนนี้สภาพคล่องที่บ้านเธอไม่ดี หรือจะเรียกว่า ไม่มีเงินสดมากพอที่จะเอาซื้อของเลี้ยงแขกได้ รายได้จากค่าเช่าตลาด และค่าเช่าบ้าน ก็พอแค่ส่งธนาคาร และใช้จ่ายในครอบครัว
“ร้อยละยี่สิบ” น้ำเสียงสะบัด ชิงชังยามพูดถึงดอกเบี้ย ฟ้าพราวรู้สึกเจ็บปวดพอๆ กับคุณขจี อาหมอนที่เธอกับคุณขจีพูดถึง คือภรรยาของอากรณ์ ญาติพี่น้องของเธอเอง
“อากรณ์รู้เรื่องมั้ยคะ” ฟ้าพราวลุกขึ้นนั่ง รู้แล้วว่าตนเองขุ่นมัวเรื่องอะไร
“ถึงรู้ อาแกก็แกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่อยู่ดี เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ปล่อยให้เมียคิดดอกได้ ทุเรศ ไม่ถึงคราวเราบ้างก็แล้วกัน”
คุณขจีคิดเสมอว่า กรณ์ ลูกของ สส.ไกร ซึ่งก็มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของตนเองนั้น มีเงินทอง ร่ำรวยขึ้นมาเพราะการเป็นนายกเทศบาลเมืองหาดบุรี แค่คิดว่าโครงการแต่ละโครงการที่ผู้รับเหมาต้องจ่ายให้นายกฯ เพื่อเป็นค่าอำนวยความสะดวก แต่ละปีมากขนาดไหน นี่อยู่มาจะแปดปีแล้ว มีหรือจะไม่รวย พอร่ำรวยก็ให้เมียมาปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูง
“ได้ข่าวว่าจะให้ก้องเกียรติลงสมัคร สท.แทนอากรณ์นี่คะ” ในที่สุดฟ้าพราวก็ได้พูดเรื่องที่ทำให้ตนเองขุ่นมัวมาทั้งวัน ก้องเกียรติกับเธออายุเท่ากัน เรียนชั้นเดียวกันมาตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมปลาย เพิ่งแยกย้ายตอนที่เรียนมหา’ลัย และไปสนิทกันอีกครั้งตอนเรียนเมืองนอก
“ใช่จ้ะ ฟ้าของแม่เก่งกว่าเยอะ” คุณขจีรู้ดีว่าก้องเกียรติเรียนโง่ขนาดไหน สมัยเด็กๆ เอาแต่เล่นเกม ไม่ส่งงาน บ่อยครั้งที่สมรแม่ของก้องเกียรติต้องมาขอให้ฟ้าพราวช่วย
“เก่งกว่าแล้วไงคะ ใครเค้าจะคืนอำนาจให้เรา” ฟ้าพราวพูดเสียงเยาะ ถ้าหากอาจ่าง พ่อของมุกอันดาไม่ทำเสียเรื่องจนโดนไล่ออกจากตำแหน่ง ป่านนี้ตำแหน่งนี้ก็ยังอยู่ในสายคุณตาไกร และถัดจากอาจ่างก็ต้องเป็นเธอ เพราะคนอย่างมุกอันดาไม่มีทางสนใจเรื่องแบบนี้ หรือถ้าสนใจคนอย่างนั้นก็ไม่มีวันทำได้
“แต่แหม ฟ้าช่วยงานตาไกร ลุงกรณ์ตั้งเยอะ น่าจะนึกถึงกันบ้าง อย่างไอ้ก้องจะมีปัญญาทำอะไรได้”
“ก็แค่ลงบังหน้านั่นแหละคะ อำนาจบริหารต้องอยู่กับอากรณ์อยู่ดี..แต่ฟ้าว่าไม่ง่ายนักหรอกค่ะ”
หาดบุรีเป็นอำเภอก็จริง แต่เป็นอำเภอที่เป็นเทศบาลขนาดใหญ่ เป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ ที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น นักการเมืองต่างก็อยากลงมาแบ่งเค้กด้วย
“เฮ้อ ช่างเถอะ เรามาพูดเรื่องของเราดีกว่า อย่างที่แม่บอกยังไงฟ้าก็ดูเรื่องค่าใช้จ่ายให้ดีนะลูก อย่าให้บานปลาย เผื่อได้เหลือเงินมาโปะดอกเบี้ยบ้าง”
“ค่ะแม่ เออ แม่คะ อาภูนี่เค้าทำอสังหาด้วยหรือคะ ฟ้าได้ยินคุณต้นคุยเรื่องสร้างคอนโดกับอากรณ์” ฟ้าพราวถามถึงชายหนุ่มที่เจอในวันนี้ ดูท่าทางการแต่งตัวเขาไม่ธรรมดา มีทั้งฐานะและรสนิยม หุ่นสูงสมาร์ต ใบหน้าแม้ไม่ได้หล่อจัดแต่ก็ดูดี ตามสไตล์ไทยผสมจีน สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือทุกครั้งที่ยิ้ม จะมีรอยบุ๋มที่ข้างแก้ม จนเธอที่เป็นผู้หญิงๆ นึกอิจฉา และน่าประทับใจ
“ภูวดลน่ะเหรอ ลูกคนงานล้างท่อเทศบาล ตั้งแต่คุณตาเป็นนายกสมัยแรกโน่นแน่ะจ้ะ ปีนั้นมีน้ำท่วมใหญ่ พ่อแม่ภูวดลตกท่อจมน้ำตาย คุณยายสงสารเลยรับอุปการะ แต่ก็…พอปีกกล้าขาแข็ง ก็ไม่เคยกลับมาดูดำดูดี ลูกถึงจำไม่ได้” คุณขจีเว้นจังหวะคิดเล็กน้อย เพราะเรื่องเกี่ยวกับภูวดลละเอียดอ่อนเกินกว่าจะเล่าให้ลูกสาวฟังได้หมด
”ดีนะคะ เด็กในบ้าน ลูกคนล้างท่อ รวยกว่าเราอีก” ฟ้าพราวเอ่ยประชดปนขมขื่น
“เพราะได้เมียรวยหรอก เมื่อก่อนเป็นแค่ช่างก่อสร้างต๊อกต๋อย พอได้ทุนเมียเลยได้จับโครงการใหญ่”คุณขจีเอ่ยเสียงเหยียด ไม่อาจทำใจยอมรับได้ว่าภูวดลได้ดีกว่าตน ลึกกว่านั้นคือเธอเลือกคนผิด
“วันนี้ลูกชายเค้าเห็นตอนมุกด่าเพื่อนแม่ด้วยนะคะ ไม่รู้จะเหมาว่าเราเป็นพวกปากตลาดด้วยหรือเปล่า” เรื่องสุดท้ายที่ฟ้าพราวกังวล คือกลัวว่าจะเสียภาพลักษณ์ในสายตาคนนอก โดยเฉพาะชายหนุ่มที่น่าสนใจคนนั้น เขามีบางอย่างที่น่าค้นหา นอกจากหน้าตาดี มีฐานะ แล้วยังมีความสามารถระดับที่น่าพอใจ
“อย่าพูดถึงยัยคนนั้นให้อารมณ์เสีย แม่ละเจ็บใจนัก วันๆ ทำแต่เรื่อง จนย่าตายแล้วยังคิดได้ไม่ได้”
คุณขจีเลือกที่จะโยนความผิดให้มุกอันดา เพราะถ้าไม่ทะเลาะกัน ก็ไม่ต้องพูดเรื่องบ้านให้คุณแม่ช้ำใจ แกเองก็ไม่เคยคิดจะขับไล่ไสส่ง เพียงขู่ให้มุกอันดากลัว จะได้เลิกทำอาชีพบ้าๆ เสียที จะดีจะชั่วยังไงก็เป็นหลาน แม้จะเป็นหลานที่ไม่ได้ดั่งใจก็ตาม
ทั้งที่อบรมเหมือนฟ้าพราวทุกอย่าง แต่มุกอันดาก็แหกคอก แหกกฎ แกจึงได้แต่โทษว่าเป็นเพราะมีเลือดชั่วของแม่ ที่เป็นเด็กใจแตกห้องอาหาร ที่น้องชายไปคว้ามาเป็นเมียจนได้มุกอันดามา
“แม่ก็อย่าเอาเรื่องมุกไปเล่าให้คนอื่นฟังสิคะ แค่นี้ก็อายคนจะแย่”
เรื่องของมุกอันดาเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเธอก็จริง แต่เธอก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณยายเสีย เธอได้ชื่อว่าเป็นหลานรักเพิ่งมาพักหลังที่ไม่ได้เข้าไปดูแล ความรู้สึกสูญเสียคุณยายจึงเป็นอารมณ์ที่บอกไม่ถูก เธอเห็นคุณยายทรมานมาหลายปี และภาระค่าเลี้ยงดูแต่ละเดือนก็ค่อนข้างเยอะ เหตุการณ์วันนี้เป็นเรื่องน่าสะเทือนใจก็จริง แต่ก็นำมาซึ่งความโล่งใจด้วย ซึ่งเธอก็พยายามปัดความคิดนี้ทิ้งไป เพราะนึกละอายใจตัวเอง