ห้วงนทีกาล บทที่ 21 : มหามนตร์ไตรทิพย์

ห้วงนทีกาล บทที่ 21 : มหามนตร์ไตรทิพย์

โดย : สิปัณฑ์

Loading

สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

เสียงสงครามเลื่อนลั่นกึกก้องสะเทือนท้องนภาและบาดาล เบื้องบนคือห้วงนภาไร้ขอบเขตหากแต่เบื้องล่างคือห้วงนทีไร้จุดสิ้นสุด

เหล่าพงศ์ครุฑาบัดนี้ล่องลอยสยายปีกอยู่ในอากาศ หากแต่เหล่านาคาที่รายล้อมอยู่เบื้องล่างนั้นก็มิได้มีจำนวนน้อยไปกว่ากันมากนัก

ภัทรเนตรยังคงคุมเชิงอยู่ที่เบื้องล่างหากแต่มิได้คืนร่างเป็นพญานาคราช ด้วยบัดนี้พญานาคราชสีเงินยวงเจ็ดเศียรที่รั้งคออยู่เหนือมหานทีกลับมีสีหน้าที่เรียบเฉยอธิบายได้ยากยิ่ง

พญาครุฑสีแดงฉานที่มีปีกสีทองสุวรรณใบหน้าเกรงขามนั้นดุดัน เพียงมองปราดเดียวก็ทราบได้ในทันทีว่าคือพญาสัมปาตี ค่อยๆ บินลงมาให้พ้นซึ่งกลุ่มเมฆาที่บดบังพลันกล่าว

“เหล่านาคราช ข้าพงศ์สุบรรณ สัมปาตี บัดนี้พวกท่านได้ละเมิดข้อตกลงอันจะสงบศึก”

สุรเสียงดังก้องของพญาสัมปาตีบัดนี้กล่าวด้วยเสียงเข้มดุดัน แววตานิ่งไร้สีหน้าหวาดกลัวแม้แต่น้อย

“แลอันการมิส่งบรรณาการตามประเพณีนั้นยังมิร้ายแรงเท่าที่ท่านสังหารทั้งชาวเราและชาวบาดาลด้วยกันเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ขอจงส่งผู้กระทำการและอาวุธที่ก่อให้เกิดเหตุอันใหญ่หลวงนี้เพื่อพิจารณาสำเร็จโทษที่ควรจักได้รับ…”

ภัทรเนตรพลันมองไปยังศิรกัลป์ บัดนี้ร่างของพญานาคราชกลับเรืองรัศมีสีเงินขึ้นสว่างไสว ไร้จิตสังหารใด…ทั้งสัมปาตีและสดายุที่ยังคุมเชิงอยู่บนน่านฟ้าก็ภาวนาเช่นกันให้การสงครามเป็นหนทางออกสุดท้ายเท่านั้น

เมื่อกลับคืนร่างเป็นมาณพหนุ่มยืนเคียงข้างภัทรเนตรอีกครั้ง อาภรณ์สีเงินยามต้องสายลมพัดพลิ้วอย่างงดงามหากสีหน้าและริมฝีปากยังซีดเผือดด้วยพิษจากโลหิตของสุวรรณนเรศที่ยังไม่อาจขจัดออกจากร่างของตน

“ศิรกัลป์…” ภัทรเนตรพึมพำเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของสหาย

แม้สติใกล้เลือนรางเต็มทนหากแต่ยังคงฝืนทนกัดฟันมองไปยังเบื้องบนนภา ร่างของพญาสัมปาตีและพญาสดายุยังคงมองมาที่ตนไม่วางตาหากไร้เงาของผู้ที่เฝ้ามองหา

“นาคราชผู้นั้นฤๅที่ผูกติดกับสุวรรณนเรศ” สัมปาตีกล่าวถามขึ้น

สดายุพยักหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะมองไปยังศิรกัลป์ที่บัดนี้สีหน้าไม่สู้ดีนัก สดายุเองอดแปลกใจไม่ได้เพราะเขาคือผู้ที่ฝังคมเขี้ยวลงที่น้องสาวตน เหตุใดว่าที่นาคาธิบดีผู้นี้จึงมีสภาพเช่นนั้น อีกทั้งเมื่อยามตรัสวินนำร่างของสุวรรณนเรศกลับไปยังฉิมพลีกลับยังไร้ร่อยรอยของบาดแผล ที่สำคัญพิษร้ายของนาคราชที่ถูกคมเขี้ยวยังหายจนหมดสิ้น

หากแต่ต่อหน้าตนนั้นกลับเป็นนาคราชนามศิรกัลป์ผู้นี้ซึ่งราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส

ดวงเนตรของทิพยพงศ์สุบรรณจึงมองตรงไปยังเขาในทันที กลับพบว่าบัดนี้ภายในกายของเขามีโลหิตของครุฑไหลเวียนอยู่ซึ่งเป็นพิษกับเผ่าพงศ์นาคา

“พี่ท่านได้โปรดช้าลงก่อน…”

สดายุกล่าวห้ามสัมปาตีในทันที ด้วยไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าตน

“ในกายของนาคราชผู้นี้มีโลหิตของสุวรรณนเรศอยู่ ข้าเกรงว่า…”

“เขาคือผู้ถอนพิษนาคราชออกจากกายสุวรรณนเรศ”

สัมปาตีกล่าวต่อจนจบประโยคในทันที ภายในใจพลันคิดหาเหตุผลที่ศิรกัลป์กระทำเช่นนั้น

“ข้ามิได้มาเพื่อกระทำสงครามอันเป็นเหตุให้ต้องนองด้วยเลือดของสองเผ่าพันธุ์ เพียงส่งตัวศิรกัลป์นาคราชแลคันศรมายังฉิมพลี เราในฐานะจอมทัพแห่งฉิมพลีของสาบานต่อฟ้าดินว่าจะไม่ต้องมีการส่งเครื่องบรรณาการใดอีกต่อแต่นี้สืบไป”

สุรเสียงราวประกาศิตแม้กล่าวแล้วมิอาจคืนคำของสัมปาตีที่ประกาศก้องราวสายฟ้าฟาดลงที่ภัทรเนตรในทันที ไม่ว่าทางใดก็ไม่มีสิ่งใดแลกมาได้ด้วยการไม่สูญเสียผู้ใดไป

ภัทรเนตรไม่อาจกล่าวสิ่งใดหากแต่สายตามองเพียงพื้นหินเท่านั้น ฝ่ามืออุ่นของศิรกัลป์บัดนี้ทาบทับบนไหล่ของสหายอย่างเบามือพลันน้ำตาของจอมนาคราชจึงไหลรินอีกครั้ง

“เจ้ามิต้องรู้สึกผิดต่อข้า ยิ่งมิต้องรู้สึกติดค้างต่ออุรกาฬและปัทเนตร”

ศิรกัลป์กล่าวพลันยิ้มให้ภัทรเนตรอย่างจริงใจ หากแต่ดวงตาที่แดงก่ำนั้นไม่อาจเก็บกักน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป ภัทรเนตรหันไปมองผู้เป็นสหายช้าๆ ด้วยแววตาของผู้รู้สึกผิด

“เจ้าจงอย่างได้กล่าวโทษที่ไม่อาจปกป้องปัทเนตรได้ ทุกผู้ล้วนมีโชคชะตาเป็นของตน…หากแต่โชคชะตาที่ข้าว่านั้นคือการตัดสินใจในทางที่คนผู้นั้นคิดว่าดีที่สุด หาใช่ทางที่ถูกต้องที่สุด…”

สิ้นคำของศิรกัลป์ร่างของนาคราชหนึ่งจึงทะยานขึ้นไปยังห้วงนภาในทันที ภัทรเนตรที่แท้จริงแล้วนั้นรู้แก่ใจเนิ่นนานแล้วว่าเขาคืออุรกาฬในอดีตชาติด้วยความรู้สึกติดค้างมากมาย ไม่ว่าศิรกัลป์จะต้องการกระทำสิ่งใดเขาจึงคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเสมอมา

แผ่นหลังของสหายที่ห่างออกไปเรื่อยนั้น ไม่อาจหยุดยั้งลงได้ด้วยเป็นสิ่งที่ศิรกัลป์ตัดสินใจด้วยตนเอง พญานาคราชศิรกัลป์ทะยานขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าของจอมทัพทั้งสอง พลันที่ฝ่ามือจึงปรากฏคันศรสหัสนาคาขึ้นมาในทันที

“เมื่อท่านถวายสัตย์ ข้าก็จะ…”

ท่ามกลางความกดดันต่างๆ นั้นยังมิทันสิ้นคำพูดของศิรกัลป์จึงบังเกิดลมพายุรุนแรงพัดมายังทิศที่ทั้งสองอยู่ในทันที รัศมีสีสุวรรณสายหนึ่งพุ่งมาอย่างรวดเร็วกั้นกลางระหว่างพี่ชายและศิรกัลป์เอาไว้ “เหตุใดพวกท่านจึงชอบพิพากษ์เรื่องข้า โดยไร้ข้าทุกครั้งไป!”

เมื่อยามแสงสีทองสุวรรณสลายหายไปนั้น พลันแทนที่ด้วยร่างบางที่สยายปีกใหญ่โบกพัดลอยตัวอยู่เบื้องหน้าทุกคนอย่างองอาจ ใบหน้านิ่งเฉยมองไปยังสัมปาตีและสดายุ

“สุวรรณนเรศ…”

สดายุพลันเรียกชื่อน้องสาวออกมาในทันทีด้วยความตกใจ หากแต่เบาใจยิ่งกว่าด้วยสีหน้าและท่าทางของสุวรรณนเรศนั้นหมายถึงนางหายดีจากอาการบาดเจ็บทั้งปวง

สุวรรณนเรศไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่ยังคงหันหลังให้กับศิรกัลป์ ราวกับการเผชิญหน้ากันในครั้งนี้ให้ความรู้สึกประหม่ากว่าทุกครั้ง สุวรรณนเรศไม่กล้าแม้มองไปยังชายที่อยู่เบื้องหลังด้วยรู้ดีว่าจะรู้สึกเช่นไร

สายตาที่ตกตะลึงเมื่อเห็นแผ่นหลังที่คุ้นชินนั้นยังไม่อาจเทียบได้กับปิ่นบงกชสีเงินที่ปักไว้ที่มวยผมสีดำขลับ แววตาที่แสนตื้นตันไม่อาจเก็บซ่อนความดีใจที่ฉายชัดได้อีกต่อไป หากกระนั้นดวงตาทั้งสองกลับแดงก่ำขึ้นด้วยน้ำตาที่เกาะพราวที่ขอบตาได้หลั่งไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

แม้ศิรกัลป์จะรู้สึกยินดีเพียงใดที่ปิ่นบงกชปักอยู่ดังเดิม หากแต่ความหมายอีกอย่างนั้นคือบัดนี้สุวรรณนเรศจดจำได้แล้วทุกห้วงความทรงจำที่ขาดหาย

“กลับฉิมพลีกันเถิดท่านพี่ หยุดเพียงเท่านี้….ยังสูญเสียไม่พออีกฤๅ”

สุวรรณนเรศกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน หากแต่ไม่อาจเปลี่ยนใจทั้งสัมปาตีและสดายุได้

“หาได้ไม่ ไม่ว่าอย่างไรศิรกัลป์นาคราชต้องถูกกุมตัวกลับไปที่ฉิมพลีเท่านั้นจะเป็นอื่นไปมิได้ อีกทั้งเจ้าแลเขาผูกติดกันด้วยคำสัตย์สุดท้ายยิ่งมิอาจปล่อยไว้ได้…”

สัมปาตีกล่าวเสียงแข็งหากแต่สุวรรณนเรศมองไปยังสดายุที่อยู่ข้างพี่ชายคนโตด้วยสายตาอ้อนวอน หากแต่พี่รองของนางกลับหลบสายตาด้วยเห็นด้วยกับสัมปาตีเช่นกัน

“หากเขาต้องไปฉิมพลี แล้วไยไม่ส่งข้าไปบาดาลเล่า…คำสัตย์นี่นั้นข้าเจ็บเขาเจ็บ ข้ามอดม้วยยามใดเขาเองก็เช่นกัน”

สุรเสียงหวานใสหากแต่แฝงไปด้วยอำนาจไม่ต่างจากจอมทัพทั้งสอง พงศ์สุบรรณสุวรรณนเรศหาใช่ครุฑแรกจุติเมื่อครั้งหลายร้อยปีก่อน บัดนี้นางก็เทียบเท่าจอมทัพเช่นกัน

“พงศ์สุบรรณ สุวรรณนเรศ!”

สัมปาตีเรียกชื่อผู้เป็นน้องสาวของตนครั้งหนึ่ง ก่อนสดายุที่เห็นท่าจะไม่ดีเสียแล้วด้วยไม่อาจหาข้อยุติได้เป็นแน่จึงเอื้อมมือไปจับที่ไหล่ของพี่ชายไว้ในทันที

“พอเท่านี้เถิดสุวรรณนเรศ เพียงยุติสงครามเท่านั้นข้าจะเป็นเช่นไร…”

“คนที่สมควรพอเท่านี้เถิดคือท่านศิรกัลป์ ยุติสงครามและบรรณาการก็เรื่องหนึ่ง…เรื่องท่านไปฉิมพลีก็เรื่องหนึ่ง แม้ไม่เห็นแก่ข้าเลยสักนิดก็เห็นแก่ตัวท่านเองเถิด…”

สุวรรณนเรศกล่าวเสียงดุพลันหันมามองค้อนเขาไปครั้งหนึ่ง ศิรกัลป์ราวคำพูดที่มีถูกกลืนหายไปจนหมดสิ้น

ศิรกัลป์ที่จับจ้องไปยังแผ่นหลังของสุวรรณนเรศราวสายตาเริ่มพร่าเลือนลงช้าๆ คันศรสหัสนาคาในมือคล้ายสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนด้วยเหตุผลบางอย่าง สุวรรณนเรศที่ยืนอยู่เบื้องหน้าศิรกัลป์นั้นราวรับรู้ได้ถึงบางสิ่งหากแต่เพียงเสี้ยววินาทีที่คลื่นพลังสีดำมหาศาลไหลทะลักออกจากคันศรอีกครั้ง

ร่างบางลอยละลิ่วไปตามแรงสะท้อนของพลังจากคันศรในทันที หากแต่สดายุและสัมปาตีสามารถรับไว้ได้ทัน

“เป็นอะไรฤๅไม่”

ผู้เป็นพี่ถามอย่างร้อนใจหากแต่สุวรรณนเรศที่ไม่ทันจะได้กล่าวสิ่งใด คลื่นพลังสีดำก็ส่องแสงไปทั่วบริเวณอย่างรุนแรง ศิรกัลป์พยายามใช้พลังทิพย์ของตนเข้าไปเพื่อยับยั้งจิตอาฆาตที่อัดแน่นอยู่ภายในหากแต่ไม่เป็นผล

ด้วยร่างกายที่อ่อนแอจากโลหิตและพิษที่ยังคงอยู่นั้น ทำให้เขาไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป

ร่างของศิรกัลป์บัดนี้โอบล้อมไปด้วยพลังสีดำทมิฬที่ทะลักออกมาจากคันศรอย่างต่อเนื่อง สติสัมปชัญญะที่ค่อยๆ หลุดลอยไปจนในที่สุดสติสุดท้ายของศิรกัลป์ก็ดับสิ้นลง

เงาทมิฬของจิตอาฆาตควบคุมร่างของนาคราชหนุ่มในทันที เมื่อดวงเนตรทั้งสองค่อยๆ ลืมขึ้นนั้นก่อนริมฝีปากจะแย้มยิ้มออกมาอย่างโหดเหี้ยม พลันร่างกายของศิรกัลป์ก็ไม่ใช่ของศิรกัลป์อีกต่อไป

เมื่อคันศรกระชับด้วยมือเพียงข้างเดียวราวกับไม่รู้สึกถึงน้ำหนักที่มหาศาลของมันก่อนจะปรากฏลูกศรคล้ายพญานาคสีดำขึ้น แล้วเตรียมง้างมาที่จอมทัพแห่งฉิมพลีในทันที

นัยน์ตาสีดำทมิฬที่มองมายังสุวรรณนเรศหาใช่ศิรกัลป์ที่นางรู้จัก ลูกศรนาคราชที่ง้างจนสุดแขนนั้นยิงตรงมาที่นางในทันที เสียงคำรามของพญานาคราชสีดำที่เกิดจากจิตอาฆาตนั้นแผดเสียงกังวานลั่นก่อนจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมหาศาล กลายเป็นนาคราชสีดำโจมตีไปที่จอมทัพทั้งสามพี่น้อง

เหล่าพลครุฑที่รั้งคอยคำสั่งของสัมปาตีอยู่เมื่อเห็นดังนั้นจึงไม่รั้งคอยอีกต่อไป ด้วยทั้งหมดต่างพร้อมใจกันทะยานเข้าสู่สมรภูมิเช่นเดียวกับเหล่านาคาที่อยู่เบื้องล่าง เมื่อกำเนิดความปั่นป่วนจากสายลมที่โหมพัดเหล่าทหารนาคราชก็ทะยานเข้าสู่สมรภูมิเช่นกัน

สดายุยังคงพยุงสุวรรณนเรศไว้หากแต่บัดนี้สัมปาตีกลับสยายปีกออกกว้าง พลันตั้งจิตก่อนจะเกิดเป็นเกราะแก้วคล้ายปีกสีทองขนาดใหญ่โอบล้อมป้องกันศรนาคาที่ตรงเข้ามายังทั้งสามไว้ได้ทันและสะท้อนกลับไปด้วยพลังของสัมปาตี ก่อนจะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกเท่าทวีโจมตีไปยังทิศทางของไพร่พล

“องค์พี่มีเพียงไตรทิพย์จึงสามารถชำระล้างให้บริสุทธิ์ได้!”

ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดอีก เพียงสิ้นเสียงของสุวรรณนเรศเท่านั้นร่างของพญาครุฑทั้งสองจึงทะยานบินขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว สุวรรณนเรศที่บัดนี้รัศมีสีสุวรรณเรืองรองขึ้นอย่างเจิดจ้าพลันร่างของพญาครุฑวรกายสีสุกปลั่งอำไพจึงปรากฏขึ้นในทันทีที่ร่างบางทะยานบินขึ้นไปในทิศที่สัมปาตีและสดายุขึ้นบินไปก่อนหน้า

ไตรทิพย์อันหมายถึงสามองค์แห่งพงศ์สุบรรณบัดนี้เมื่อทะยานขึ้นสู่ท้องนภาที่เหนือเศียรพลันปรากฏอัญมณีประจำกายส่องประกายเจิดจ้าขึ้นในทันที ก่อนแสงสว่างของมันจะเจิดจ้าขึ้นเสียจนรัศมีทิพยของทั้งสามส่องสว่างไปทั่วทุกบริเวณ

จิตอาฆาตที่ใช้ศิรกัลป์เป็นหุ่นเชิดเมื่อร่างของมันอาบไปด้วยทิพยสีทองแห่งพงศ์สุบรรณทั้งสาม มันจึงยิ้มออกมาอย่างท้าทาย บัดนี้ร่างของพญาครุฑทั้งสามองค์ทะยานบินออกห่างกันประจำคนละทิศก่อนจะกำเนิดพลังสีทองกางเป็นอาณาเขตกว้างจากแผ่นฟ้าจรดพื้นน้ำในทันที

เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นเมื่อยามแสงนั้นกระทบแผ่นหินและแผ่นดินที่ก้นมหาสมุทร เสียงของคลื่นน้ำมหาศาลที่ถูกยกขึ้นจากอาณาเขตแบ่งกั้นทำให้บัดนี้เหล่านาคาที่อยู่ที่พื้นน้ำได้รับผลกระทบด้วยถูกพัดพาไปตามกระแสน้ำในทันที

อาณาเขตที่แผ่กระจายออกไปกว้างไร้ที่สิ้นสุด ด้วยพลังของทั้งสามเมื่อเร่งทิพยพลังจนถึงขีดสุดเพื่อชำระล้างเหล่าศรนาคราชสีดำที่คล้ายรับรู้ได้ถึงอันตรายจึงแหวกอากาศอย่างรวดเร็วผ่านร่างของทั้งนาคาและครุฑ ไม่ใช่เพียงเพื่อสังหารอย่างไม่เลือกหน้าเท่านั้นยังหนีพลังแห่งไตรทิพย์อีกด้วย

หากแต่เมื่อพลังชั่วร้ายนั้นสัมผัสกับรัศมีพลังแห่งพระเวทไตรทิพย์ก็สลายหายไปในที่สุด

สุวรรณนเรศเร่งมองหาศิรกัลป์ไปทั่วและยังคงเร่งพลังเพื่อช่วยชีวิตเหล่านาคและครุฑที่อยู่ในรัศมีของศรสหัสนาค หากแต่บัดนี้กลับไม่เห็นร่างของศิรกัลป์ที่เบื้องล่าง นางตกใจเป็นอย่างมากเร่งมองหาไปทั่วบริเวณหากแต่ยังคงหาไม่พบ

“เป็นไปได้อย่างไร ไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดหรือนาคาตนใดหลุดพ้นจากอาณาเขตพระเวทไตรทิพย์ได้”

สุวรรณนเรศพึมพำกับตนเอง หากแต่เร่งพลังทิพยจนถึงขีดสุดด้วยหวังชำระล้างจิตสังหารให้หมดสิ้น สายตายังคงสาดส่องไปโดยรอบด้วยเพราะร่างของตนโอบล้อมไปด้วยมหาเวทไตรทิพย์จึงมิได้ทันระวัง

“หากแต่เจ้าคงจักลืมเลือนไป ว่าศิรกัลป์มีกำไลขนปักษาของเจ้าพงศ์สุบรรณ!”

น้ำเสียงเย็นเยียบจับขั้วหัวใจของศิรกัลป์ดังขึ้นจากด้านหลัง สุวรรณนเรศหันกลับไปในทันทีหากแต่คันศรกลับง้างยิงตรงมาที่ตนเสียแล้ว…

 



Don`t copy text!