
ห้วงนทีกาล บทที่ 1 : พงศ์สุบรรณ สุวรรณนเรศ
โดย : สิปัณฑ์
สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co
เช้าตรู่ที่ไม่สดใสเท่าใดนักของหญิงสาวที่ไม่กล้าข่มตาหลับ…เหตุอันเนื่องมาจากฝันประหลาดเมื่อกลางดึกจึงทำให้ร่างกายของสุวรรณนเรศตื่นตัวราวกับเบื้องหน้าของตนกำลังยืนอยู่กลางสมรภูมิก็ไม่ปาน
สุวรรณนเรศที่ลงมาที่ลานธนูตั้งแต่เช้ามืดก่อนจะซ้อมยิงธนูไปแล้วนับไม่ถ้วน หากแต่ฝีมือการยิงธนูที่เคยแม่นยำราวจับวางของนางกลับไม่เป็นอย่างเช่นทุกวันเพราะยังไม่มีธนูดอกใดที่เข้ากลางเป้าแม้แต่ดอกเดียว
ภาพที่วนเวียนอยู่ในหัวขณะนี้นั้นมีเพียงสายตาเรียบเฉยของชายแปลกหน้าที่เล็งคันธนูมาที่ตนกับลูกศรนาคราชสีดำที่สร้างบาดแผลไว้ที่กลางผ่ามือของสุวรรณนเรศ
“เหตุร้ายแรงเพียงนี้ไยเก็บเงียบไว้ผู้เดียว!”
เสียงทักทายเข้มขรึมแต่เช้าตรู่ยามเมื่อเห็นใบหน้าอิดโรยของสุวรรณนเรศ หญิงสาวที่บัดนี้ได้แต่เอาสองมือปิดหูทั้งสองข้างในทันทีเมื่อยามได้ยินเสียงคุ้นหูมาแต่ไกล
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเข้มรัดกุมจรดปลายเท้ากับผ้าพาดไหล่ซ้ายสีขาวนวลเช่นเดียวกับสีวรกายเมื่อยามกลายร่างเป็นองค์พญาครุฑ ผมตัดสั้นสีดำสนิทรับกับใบหน้าหล่อเหลากับสายตาที่แสนห่วงใยมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างตั้งคำถาม
“พงศ์เวชไชยยันต์ ตรัสวิน เบาเสียงลงหน่อย…เจ้าจักตะโกนให้รู้ทั่วฉิมพลีเลยหรืออย่างไร”
ตรัสวินโอรสแห่งพญาเวชไชยยันต์หนึ่งในผู้ครองนครทั้งเก้าแห่งฉิมพลี สุวรรณนเรศที่มองไปยังตรัสวินกล่าวออกมาเสียงเรียบหากแต่สองมือยังคงกุมไว้ที่หูทั้งสองข้างพลางมองไปยังชายหนุ่มที่เดินมาหยุดตรงหน้านางอย่างรู้ทัน
“ข้าก็กำลังถาม พงศ์สุบรรณ สุวรรณนเรศ หากอนิละไม่บอกข้า เจ้าจะเอ่ยปากเมื่อใด”
น้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อยามมองไปยังท่าทีของสุวรรณนเรศยามเมื่อไม่ต้องอยู่ต่อหน้าเหล่าบรรดาไพร่พลครุฑแห่งฉิมพลีนคร
“เจ้าถามในฐานะแม่ทัพแห่งฉิมพลีนครหรือถามในฐานะคู่หมายข้ากันเล่า…”
สุวรรณนเรศจึงค่อยๆ ยกมือที่ปิดหูออกก่อนจะมองไปยังตรัสวินด้วยใบหน้าจริงจัง เขาไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่ยื่นมือไปรับธนูที่นางถือไว้แน่นมาไว้ในมือตนก่อนจะทรุดตัวนั่งลงที่พื้น
“ในสายตาเจ้าข้าเคยเป็นแม่ทัพเมื่อใด จะเพลาใดก็เป็นเพียงตรัสวิน”
เสียงถอนหายใจที่ดังขึ้นก่อนสุวรรณนเรศจะทรุดตัวลงข้างๆ เขา นางไม่กล่าวสิ่งใดพลางหันหน้าไปมองใบหน้าของเขาอย่างพินิจก่อนจะพบว่าบัดนี้เขาสวมใส่รัดเกล้าที่นางมอบให้ เมื่อเห็นเช่นนั้นรอยยิ้มจึงปรากฏบนใบหน้าในทันที
“บอกแล้วอย่างไร รัดเกล้านี้เหมาะกับใบหน้าเจ้าที่สุด”
นางไม่พูดเปล่าก่อนจะเอื้อมมือหมายจะสัมผัสรัดเกล้านั้นหากแต่ตรัสวินกลับคว้ามือของสุวรรณนเรศไว้อย่างแผ่วเบา ก่อนจะพบว่ามีผ้าสีขาวพันที่ฝ่ามือของนางจนสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน
“เรื่องนี้ดูเบาไม่ได้นะสุวรรณนเรศ ข้าพูดจริงๆ เจ้ารู้ดีว่าพวกเราเป็นกึ่งเทพไม่อาจนิมิตหากมิมีลางบอกเหตุ”
ไร้คำตอบใดจากปากของสุวรรณนเรศก่อนนางจะกอดอกพลางถอนหายใจออกมาอย่างเช่นเดิม
“ข้ารู้ หากแต่จะเรียกนิมิตก็เหมือนจริงเกินกว่าจะกล่าวเช่นนั้น อีกทั้งครั้งนี้แผลที่มือยังติดตามข้าออกมาจากห้วงความฝัน…เจ้าดู…”
สุวรรณนเรศกล่าวพลางแกะผ้าสีขาวที่พันอยู่ที่ฝ่ามือออกก่อนจะปรากฏบาดแผลสีดำที่กลางฝ่ามือ ตรัสวินที่พินิจมองนั้นก็ทราบได้ในทันทีว่าเกิดจากพลังของนาคราช
เสียงถอนหายใจที่ดังขึ้นนั้นกลับกลายเป็นตรัสวินเสียเอง เขาไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่กุมมือของสุวรรณนเรศไว้แน่น
“ต่อไปมีอะไรต้องบอกข้า ห้ามเก็บเงียบไว้อีกเข้าใจฤๅไม่”
สุวรรณนเรศพยักหน้าเล็กๆ หากแต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวสิ่งใด อนิละที่วิ่งหน้าตาตื่นตกใจเข้ามายังทั้งสองก่อนทั้งสุวรรณนเรศและตรัสวินจะรีบลุกขึ้นยืนในทันที
“ยังไม่ทันจะได้กล่าวถึงก็มาเสียแล้ว ต้นเรื่องคือผู้ใดกันนะ…ที่เอะอะโวยวายจนเรื่องใหญ่เรื่องโตเข้าหูองค์ตรัสวินเข้า”
สุวรรณนเรศเย้าอารักษ์คนสนิทเล่นหากแต่สีหน้าของอนิละกลับไม่สู้ดีเท่าใด
“องค์ท่านอย่าพึ่งคาดโทษข้าเลย ขอเชิญทั้งสององค์มากับข้าก่อนเถิด…”
สีหน้าจริงจังผิดวิสัยของอนิละเพียงเท่านั้นทั้งสองก็ทราบได้ทันทีว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเป็นแน่
ไม่ไกลจากลานฝึกซ้อมยิงธนูนักภายใต้ขอบเขตของห้วงเวหาที่บัดนี้ทิวต้นงิ้วสูงตระหง่าน เหล่าทหารครุฑจำนวนหนึ่งที่กำลังมุงดูบางสิ่งภายใต้ผ้าคลุมสีขาว เมื่อทั้งสามเดินเข้ามาใกล้ทหารทุกนายที่มุงกันอยู่นั้นจึงหลีกทางให้กับจอมทัพของตนก่อนจะพบว่าผ้าสีขาวที่มองดูแต่ไกลนั้นกลับมีของเหลวสีดำซึมออกมา
“พลราชตระเวนที่บินไปลาดตระเวนที่แนวเขตแดนเมื่อช่วงเช้าหากแต่เมื่อยามกลับมาถึงค่ายก็สิ้นใจเสียแล้ว ข้าไม่อาจช่วยเขาไว้ได้ทัน…”
อนิละพูดพลางค่อยๆ เปิดผ้าคลุมสีขาวออกก่อนจะพบพลทหารครุฑร่างหนึ่งที่ไร้ซึ่งลมหายใจนอนนิ่งอยู่ ที่บริเวณลำตัวนั้นคล้ายบุรุษร่างกายกำยำหากแต่ส่วนศีรษะเป็นนกขนาดใหญ่ บริเวณริมฝีปากดำคล้ำกับเลือดสีดำที่ทะลักออกมานั้นคาดว่าคงทุกข์ทรมานไม่น้อยก่อนสิ้นใจ
“ใครช่างอาจหาญ…”
สุวรรณนเรศที่กล่าวเสียงเรียบหากแต่ค่อยๆ ย่อตัวลงที่ข้างๆ ร่างของทหาร นางมองสำรวจไปทั่วหากแต่พบร่องรอยคล้ายถูกยิงด้วยลูกศรของธนู
“ก่อนสิ้นใจมีผู้ใดนำธนูออกจากร่างฤๅไม่” ตรัสวินกล่าวหากแต่รอบข้างกลับไร้ซึ่งคำตอบ
“เรียนองค์ท่าน ข้าคือผู้พบเขาบินมาจวนเจียนจะหมดสติหากแต่เมื่อรับร่างไว้ก็สิ้นใจเสียแล้ว ขณะนั้นไม่พบแม้ธนูหรืออาวุธใดหากแต่ก่อนคลุมผ้าสีขาวกลับพบบาดแผลที่ทรวงอกเท่านั้น”
ทหารครุฑนายหนึ่งกล่าวหากแต่สีหน้าของสุวรรณนเรศกลับครุ่นคิดบางสิ่ง นางมองไปยังรอยไหม้สีดำที่บริเวณปากแผล ภายในใจสับสนวุ่นวายเสียจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
เจ้าของมือบางที่แม้ภายในใจจะสับสนเพียงใดหากแต่ค่อยๆ เอื้อมมือของตนไปที่ดวงตาที่เบิกโพลงด้วยความเจ็บปวดของร่างทหารที่ไร้วิญญาณ ก่อนจะค่อยๆ ปิดมันลงตลอดกาล
“จัดการอย่างสมควรด้วย ตรัสวินกับอนิละตามเรามา…”
ร่างบางหยัดยืนขึ้นหลังตรงมองไปเบื้องหน้าอย่างห้าวหาญ หากแต่บัดนี้ภายในใจที่แจ่มชัดเพียงภาพของชายผู้ถือคันศรเล็งมาที่ตนในห้วงนิมิต
‘ต้องมิใช่เหตุบังเอิญ…’
นางคิดพลางถอนหายใจ หากแต่เมื่อทั้งสามกลับมายังโถงใหญ่ของห้องที่บัดนี้ว่างเปล่าหากแต่เพียงสุวรรณนเรศโบกมือไปด้านหน้าครั้งหนึ่ง รัศมีสีทองก็ส่องสว่างก่อนจะปรากฏแผนที่สมรภูมิขึ้น
“อนิละ เราจะไปลาดตระเวนยังเส้นทางของพลราชตระเวนที่ไปเมื่อเช้า เจ้าไปเตรียมตัวเสีย…”
“จะไปด้วยองค์เองเช่นนั้นฤๅ” อนิละถามขึ้นอย่างตกใจ
“เจ้าไปกับเรา ไม่ต้องนำไพร่พลไปด้วยจะเป็นที่สนใจของเหล่านาคจนเกินไป ส่วนเจ้าตรัสวิน…กว่าท่านพี่จะกลับมาจากเขาอัสกันต่อแต่นี้สิทธิ์ขาดทุกอย่างให้เจ้าตัดสินใจตอนเราไม่อยู่…”
สุวรรณนเรศกล่าวอย่างร้อนใจก่อนจะมองไปยังคู่หมายของตนที่บัดนี้ไร้ซึ่งคำตอบรับใด ตรัสวินที่ยืนกอดอกมองยังเส้นแผนที่ลาดตระเวนเมื่อเช้าหากแต่รู้สึกผิดสังเกตบางอย่าง
“ใกล้ลานบรรณาการเกินไป เจ้าไปไม่ได้…”
น้ำเสียงเย็นเยียบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหากแต่สุวรรณนเรศกลับขมวดคิ้วมองไปที่เขาในทันที
“นับแต่ที่เจ้าเคยหายตัวไป ณ ลานถวายบรรณาการ เจ้ารู้หรือไม่ข้อพิพาทของครุฑและนาคยิ่งรุนแรงขึ้น หากเป็นกลลวงซึ่งแน่แท้ว่าใช่…ไม่เช่นนั้นจะเลือกยามที่สัมปาตีกับสดายุไปบำเพ็ญที่เขาอัสกันฤๅ”
ภายในใจที่สับสนของสุวรรณนเรศแต่บัดนี้กลับร้อนรุ่มอย่างประหลาด นางเพียงนึกถึงคันศรในห้วงฝันและแผลที่ปลิดชีพทหารเท่านั้น คิ้วคมที่ขมวดเข้าหากันเป็นปมหากแต่เมื่อนั้นราวสัมผัสที่หกของตนกำลังกระซิบบางสิ่ง
ภายนอกที่เคยนิ่งสงบบัดนี้กลับบังเกิดเมฆก้อนขนาดมหึมาขึ้น ห่าฝนที่สาดเทลงมาราวท้องฟ้าจะทลายลงสู่พื้นพิภพ แม้สายฝนเย็นชื่นฉ่ำเพียงใดกลับยิ่งทำให้ภายในใจของสุวรรณนเรศร้อนดั่งไฟผลาญ
ตรัสวินมองไปยังสุวรรณนเรศที่ยังคงไร้ซึ่งคำพูดใดหากแต่สีหน้าและแววตาของนางกลับแสดงออกอย่างชัดเจน เสียงฟ้าคำรามลั่นฟังคล้ายในห้วงฝันไม่มีผิด…ฝ่ามือสองข้างที่จู่ๆ ก็กำแน่นก่อนร่างของสุวรรณนเรศจะวิ่งออกไปยังด้านนอกในทันที
“สุวรรณนเรศ…”
แผ่วเบาราวเสียงกระซิบที่ข้างกายเมื่อยามร่างของนางอาบไปด้วยสายฝน ตรัสวินและอนิละที่วิ่งตามออกมาด้านนอกทราบได้ในทันทีว่าสายฝนที่กำลังโปรยปรายนี้ไม่ใช่ฝนธรรมดา!
ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมานั้น…ร่างของสุวรรณนเรศที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำฝนและเหนือสิ่งอื่นใดคือละอองสีเงินยวงที่ล่องลอยระยิบระยับอยู่โดยรอบ สุวรรณนเรศที่มองไปที่ตรัสวินครู่หนึ่ง สายตาของนางราวกับกำลังตั้งคำถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
ก่อนจะหลับตาลงราวกับว่าจะทะยานหายไปในห้วงนภา!
“สุวรรณนเรศ ข้าตรัสวินขอห้ามไม่ให้เจ้าไป!!!”
สิ้นเสียงตะโกนของตรัสวินร่างของหญิงสาวพลันหยุดชะงัก เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงเร่งกระโจนเข้าไปเพื่อคว้าต้นแขนของสุวรรณนเรศเอาไว้หากแต่ปีกสีทองขนาดใหญ่กลับสยายออกที่กลางหลังในทันที รัศมีสีทองสว่างไสวของพญาปักษาก็แผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง
ร่างของตรัสวินที่ไม่ทันได้ป้องกันกระเด็นออกไปด้านข้างกระทบกับอนิละที่วิ่งตามมาก่อนจะล้มพับไปที่พื้นทั้งสองคน สุวรรณนเรศไม่กล่าวสิ่งใดก่อนจะทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
ร่างบางที่กลางหลังเป็นปีกสีทองสยายกางรับลมในทันทีหากแต่นางเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่าตนจะไปยังที่ใด รู้เพียงสัญชาตญาณนั้นจะนำพาในทิศทางที่เป็นต้นเหตุแห่งความร้อนในใจนี้
บนท้องนภากว้างปีกสีทองที่บัดนี้สยายรับสายลมที่พัดผ่านร่าง หยาดสายฝนโปรยปรายนั้นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะเมื่อยามเข้าใกล้มหานทีกว้าง สายตาแหลมคมของสุวรรณนเรศที่แม้ทัศนวิสัยจะไม่เข้าข้างนางเท่าใดนักแต่ด้วยเนตรของพญาครุฑจึงแจ่มชัดราวไร้ซึ่งพายุโหมกระหน่ำ
เสียงกระซิบที่แว่วมาตามสายลมราวกับมีผู้กำลังเรียกชื่อของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันชัดเจนเสียจนสุวรรณนเรศทำได้เพียงเร่งความเร็วของปีกทั้งสองข้างทะยานไปด้านหน้าอย่างไม่ลดละ
รัศมีสีทองของพญาปักษีที่บัดนี้ส่องสว่างไปทั่วเสียจนบรรดาทหารนาคาที่เฝ้ารักษาชายแดนนั้นรับรู้ได้ถึงการมาของคลื่นพายุขนาดใหญ่ที่เกิดจากการทะยานบินอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นสายลมกระโชกพัด
“ผู้บุกรุก!!!”
เสียงตะโกนก้องหากแต่ร่างของนาคราชหลายสิบตนก็ทะยานขึ้นมาจากมหานทีในทันที
รัศมีสีทองสุวรรณส่องประกายหากแต่เมื่อยามสายลมพัดผ่านทำให้ละอองสีทองที่ลอยละล่องออกมาจากร่างงดงามราวกับเทพธิดาอยู่เบื้องหน้าก็ไม่ปาน ร่างบอบบางในชุดอาภรณ์รัดกุมสีเข้มและปีกใหญ่สีทองที่กลางหลังมองไปยังเหล่านาคาที่เบื้องล่างอย่างสง่างาม
สุวรรณนเรศที่ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งหากแต่บัดนี้ร่างกายที่เปียกชุ่มไปหยาดน้ำจากสายฝนที่ยังคงตกลงมาไม่ขาดสาย ภายในที่ร้อนดั่งไฟด้วยนางนั้นราวเข้าใกล้ความรู้สึกเช่นเดียวกับห้วงนิมิตอีกครั้ง
“ท่านรุกล้ำเขตแดนเรา พงศ์สุบรรณ!”
เสียงดุดันของนาคราชเสียงหนึ่งดังขึ้น ดวงรัศมีสีทองและปีกกว้างนั้นแน่ชัดแล้วว่านางคือผู้ใด ราวชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งสุวรรณนเรศที่มองไปยังเบื้องล่างกำลังเร่งตัดสินใจบางสิ่งด้วยนางไม่อาจเป็นสาเหตุแห่งการก่อศึกอีกครั้ง
จิตใจที่กำลังคิดลังเลหากแต่จู่ๆ ที่บาดแผลที่ฝ่ามือก็เจ็บปวดขึ้นมา หยาดโลหิตที่ไหลซึมผ้าสีขาวจนสุวรรณนเรศเองที่ไม่อยากเชื่อสายตา ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดเมื่อร่างบางของพงศ์สุบรรณสุวรรณนเรศทะยานออกไปในทันที
“จับนางไว้!”
สิ้นเสียงตะโกนก้องหากแต่รัศมีของพญาครุฑก็แผ่กระจายออกตามจังหวะการทะยานของปีกใหญ่สีทองสุวรรณ เสียงไพเราะราวสกุณานับพันขับขานก่อนร่างของเหล่านาคราชที่พุ่งทะยานเข้ามาเพื่อหมายจะหยุดนางกลับถูกรัศมีของนางดีดสะท้อนจนกระเด็นกระดอนไปคนละทิศทาง
“เราไม่ประสงค์จะสังหารผู้ใด เพียงอยากรู้เหตุผลที่มีผู้สังหารทหารของเราเท่านั้น!”
น้ำเสียงราวประกาศิตของสุวรรณนเรศดังกึกก้องหากแต่เมื่อเหล่าทหารนาคาที่ยังพอมีสติกลับตกใจเป็นอย่างมากกับข้อกล่าวหาที่ออกมาจากปากของจอมทัพแห่งฉิมพลี
เมื่อรู้แน่ว่าไม่อาจได้คำตอบที่ตนตามหา…ครู่หนึ่งที่สุวรรณนเรศไม่สนใจแม้เหล่าทหารนาคราชที่ติดตามมา ราวภาพฝันที่เคยฉายชัดเมื่อยามราตรีที่เคลื่อนคล้อย สุวรรณนเรศร่อนลงที่ลานหินกว้างกลางมหาสมุทรทันทีพลันความทรงจำที่คล้ายจะลืมเลือนไปจึงค่อยๆ ปรากฏ
ลานหินกว้างกลางมหานทีที่บัดนี้ตนยืนอยู่ ณ ใจกลางของมันพอดิบพอดี บริเวณกึ่งกลางลานคล้ายมีร่องรอยของการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน
“ลานถวายบรรณาการ!”
แต่เดิมครุฑและนาคต่อสู้ห้ำหั่นกันในสงครามเสียจนสิ้นชีพไปมากมายไม่อาจนับตั้งแต่โบราณกาล จนกระทั่งความลับของเหล่านาคราชถูกเปิดเผย เป็นเหตุให้เหล่าครุฑรู้วิธีจับนาคที่หางเพื่อทิ้งหินที่กลืนลงท้องเพื่อเพิ่มน้ำหนักแล้วจึงลากครุฑลงสู่ใต้บาดาล
เมื่อเหล่าครุฑที่รู้กลอุบายนี้ก็จับนาคกินเป็นอาหารสร้างความสูญเสียให้แก่เหล่านาคเป็นอย่างมาก องค์อนันตนาคราชและองค์วาสุกรีกษัตริย์แห่งนาคทั้งปวงจึงทำข้อตกลงสงบศึกกับพญาสุบรรณกษัตริย์แห่งครุฑทั้งปวงว่า ในทุกเจ็ดวันจะส่งนาคมาเป็นบรรณาการที่ลานแห่งนี้ให้แก่เหล่าครุฑ
ซึ่งจะไม่มีการก่อสงครามอันเป็นเหตุให้ต้องสูญสิ้นชีวิตมากมายอีก!!!
สุวรรณนเรศที่ย่อตัวลงที่พื้นก่อนจะสัมผัสไปยังร่องรอยของกรงเล็บบนโขดหินแล้วจึงรีบดึงมือกลับในทันที เพราะเมื่อยามใช้จิตสัมผัสนั้นคล้ายราวกับเสียงกรีดร้องของนาคผู้เป็นบรรณาการยังชัดเจนเสียจนนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้านไปถึงก้นบึ้งของดวงใจ
สัมผัสแห่งความโศกเศร้า แค้นเคือง และเจ็บปวดยังคงคุกรุ่นไม่จางหายไปตามกาลเวลา
ร่างบางลุกขึ้นยืนช้าๆ พลางมองไปยังสายฝนที่ยังลงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย สุวรรณนเรศที่ยื่นมือออกไปรับสายฝนนั้นพลางปล่อยให้หยดน้ำกระทบลงที่ฝ่ามืออย่างเงียบงัน
“สายน้ำชุ่มเย็นเหตุใดไฟแห่งสงครามนี้ยังคงลุกโชน…”
สุวรรณนเรศพึมพำขึ้นกล่าวกับตนเองก่อนจะหลับตาลงช้าๆ คล้ายสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง เสียงฟ้าร้องคำรามลั่นหากแต่เสียงคลื่นคลั่งฟังคล้ายในห้วงฝันไม่มีผิด
“แล้วไยไม่ถามสายลมว่าเหตุใดยังพัดโหมกระหน่ำ…”
สิ้นคำของสุวรรณนเรศ เสียงเข้มกล่าวขึ้นในทันทีไพเราะราวเสียงคลื่นซัดสาดหากแต่ทรงพลังเกินกว่าจะเป็นคลื่นแห่งนทีในยามนิ่งสงัด สุวรรณนเรศบัดนี้ที่จังหวะของหัวใจเต้นไม่เป็นระส่ำเพ่งพินิจไปยังร่างของชายที่อยู่เบื้องหน้าตน
รัศมีสีเงินยวงระยิบระยับเป็นประกายสะท้อนพื้นลานหินที่เปียกชุ่มไปด้วยสายฝน ร่างของใครผู้หนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้า พลันทุกสรรพสิ่งเงียบสงัดลงในบัดดล…สายฝนที่เคยโปรยปรายหรือแม้แต่คลื่นคลั่งของมหาสมุทรเมื่อครู่ราวถูกสะกดให้หยุดนิ่งด้วยใบหน้าและดวงตาที่เรียบเฉยราวห้วงลึกของมหานที