มรดกมนตรา บทที่ 22 : ความลับของกริชอาคม

มรดกมนตรา บทที่ 22 : ความลับของกริชอาคม

โดย : วัชรนริศ

Loading

มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน

รุ่งเช้าเมื่อทิพย์ธิดาเดินลงมาจากห้อง เธอสังเกตเห็นชายหนุ่มที่ดูเคร่งเครียด

“คุณรวี เป็นอะไรรึเปล่าคะ ดูเหมือนคุณมีเรื่องในใจ”

ชายหนุ่มหันมายิ้มให้ทิพย์ธิดา “ไม่เป็นไรครับคุณทิพย์ ผมแค่มีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ”

ทิพย์ธิดาพยักหน้าและยิ้ม “ค่ะ คุณรวี”

รวีคิดในใจว่าเขาจะต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องทิพย์ธิดา ตามคำแนะนำของหม่อมเจ้าอดิศร และเขาจะต้องหาทางแก้ไขปริศนาที่คฤหาสน์นี้ให้ได้

โฉมสุรางค์กำลังนั่งอ่านหนังสือแฟชั่นอยู่ในศาลาหน้าคฤหาสน์ บริเวณด้านหลังของเธอมีมือปริศนาที่มีเล็บสีดำแหลมคมยาว พยายามพุ่งเข้าใส่ตัวเธอ แต่เมื่อมือนั้นพยายามพุ่งเข้าใส่ กลับเกิดแสงสว่างบางอย่างส่องประกายออกมาคุ้มครองเธอไว้

มือที่พยายามเข้ามาทำร้ายหยุดชะงักทันทีกลางอากาศ แสงสว่างที่ส่องประกายนั้นเหมือนกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ส่งความร้อนรอบข้าง มือปริศนานั้นถูกผลักออกห่างจากร่างของโฉมสุรางค์ ทำให้เห็นว่าเจ้าของมือคือนางสายใจที่อยู่ในร่างบุษบา นางสายใจต้องถอยออกไปด้วยความเจ็บปวด

“มันคือแสงอะไรกัน ทำไมโฉมสุรางค์ถึงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองมัน!” นางสายใจพูดด้วยเสียงอาฆาตและความแค้น “ถือว่าวันนี้แกโชคดีไปนะ แต่ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าแกพกอะไรไว้”

นางสายใจในร่างบุษบาเดินถอยออกไปหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งของศาลา มองดูโฉมสุรางค์ที่ยังคงอ่านหนังสืออย่างไม่รู้ตัวถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อสายใจไม่สามารถเข้าถึงเธอได้ ก็ต้องหาทางหาคำตอบว่าทำไมโฉมสุรางค์ถึงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง

ในขณะที่นางสายใจกำลังถอยห่างออกไป โฉมสุรางค์รู้สึกถึงอะไรบางอย่างแปลกๆ รอบตัว เธอหยุดอ่านหนังสือและมองไปรอบๆ อย่างสงสัย แต่เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติ เธอก็กลับไปที่หนังสือของเธอต่อ โดยไม่รู้เลยว่ามีสิ่งที่คอยปกป้องเธอจากภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในเงามืด

ทิพย์ธิดากำลังเดินออกมาจากคฤหาสน์ ก็ต้องเดินสวนทางกับบุษบา “คุณบุษบาเป็นยังไงบ้างคะ คุณกับบัวอย่าไปถือสาคุณโฉมสุรางค์เขาเลยนะคะ คุณโฉมเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายหรอก เธอก็เป็นของเธอแบบนั้นละค่ะ”

บุษบาพยักหน้าด้วยแววตาไม่พอใจ “ค่ะ คุณทิพย์ คุณโฉมเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรหรอกค่ะ แต่เธอก็ทำให้ฉันและคนที่นี่รู้สึกไม่ดีนะคะ คนแบบนั้นมันควรจะถูกสั่งสอนซะบ้าง”

ทิพย์ธิดาถามด้วยความสงสัยในคำพูดของบุษบา “สั่งสอนอะไรหรือคะ นี่คุณบุษบา ทิพย์บอกไว้ก่อนนะว่าอย่าไปแกล้งอะไรเธอเข้า เดี๋ยวจะเป็นเรื่องไปกันใหญ่”

บุษบาพยักหน้า “ค่ะ คุณทิพย์”

ทิพย์ธิดามองบุษบาด้วยความกังวลใจเล็กน้อยก่อนจะเดินต่อไป เธอรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของบุษบา แต่หวังว่าบุษบาจะไม่ทำอะไรที่เกินเลย หญิงสาวหายใจลึกๆ และคิดในใจว่าเธอจะต้องจับตาดูเหตุการณ์นี้ให้ใกล้ชิดขึ้น

บุษบาเธอกลับมาที่เทวาลัยของอัคนีนาฏเทวี เธอสังเกตเห็นเทวียืนคิดอะไรบางอย่างอยู่

“เทวีเป็นอะไรไปคะ เหมือนท่านมีความกังวลใจอะไร ในเมื่อตอนนี้พลังของท่านก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล จนไม่อาจมีใครมาต่อกรกับท่านได้”

หญิงสาวหันมามองนางสายใจด้วยแววตาเย็นชา “เจ้าคิดอย่างนั้นจริงหรือ พลังของข้าต่อให้มีมากมายขนาดไหนก็ไม่อาจต้านทานพลังของพระขรรค์เพลิงพยัคฆ์ได้”

เมื่อเธอพูดจบ ภาพของศิวะและศรีออนก็ปรากฏขึ้นในความคิดของเธอ ภาพจำที่ศิวะและศรีออนรักกันทำให้เธอรู้สึกเคียดแค้น “เจ้ารู้ไหมสายใจว่าทำไมข้าถึงได้พยายามเข้าใกล้รวีและทิพย์ธิดา”

นางสายใจมองด้วยความสงสัย “เพราะพวกมันเป็นลูกหลานของคนที่เคยทำร้ายเทวีใช่ไหมคะ”

อัคนีนาฏเทวีหันมามองอย่างจริงจัง “ไม่ใช่เพียงแค่นั้นหรอกนะสายใจ แต่รวีคือศิวะยอดรักของข้า และศรีออนคือทิพย์ธิดา ทั้งสองเคยมีอดีตชาติร่วมกันกับข้า พวกมันหักหลังข้าและพยายามทำร้ายข้า”

นางสายใจฟังด้วยความตกใจและสนใจ “ศิวะและศรีออนได้กลับมาเกิดใหม่เป็นรวีและทิพย์ธิดาอย่างนั้นหรือคะ”

เทวีหัวเราะเบาๆ “ต่อให้ผ่านไปกี่ภพกี่ชาติ ความรักและความแค้นที่ข้ามีก็ไม่เคยจางหายไป ข้าจะทำให้พวกมันรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความทรมานที่ข้าเคยได้รับ ข้าจะทำให้พวกมันต้องสูญเสียทุกสิ่งที่รักไป”

นางสายใจพยักหน้า “ข้าจะช่วยเทวีให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านต้องการค่ะ”

อัคนีนาฏเทวีมองนางสายใจด้วยความพอใจ “ข้าขอบใจเจ้ามากสายใจ อีกไม่นานพวกมันจะต้องได้รับความเจ็บปวดในอีกไม่ช้า” เธอพูดด้วยแววตาเคียดแค้น

 

กลางดึกในขณะที่อมรกำลังนั่งสมาธิอยู่ภายในห้องพระของเขา แสงเทียนที่ส่องสว่างไปทั่วห้องผสมกับกลิ่นกำยานที่ถูกจุดบูชาอยู่ทำให้บรรยากาศภายในห้องอบอวลไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ อยู่ๆ สุนัขที่อยู่รอบบริเวณบ้านก็ต่างส่งเสียงเห่าราวกับมีใครกำลังมา ผ้าม่านที่หน้าต่างของห้องพระอยู่ๆ ก็ปัดปลิวด้วยแรงลมที่อยู่ภายนอก คล้ายกับฝนจะตก

อมรหลุดจากสมาธิและลืมตาขึ้น เขามีลางสังหรณ์บางอย่างว่ามีพลังงานชั่วร้ายบางอย่างที่กำลังเดินทางมาที่นี่ ไม่นานบริเวณสนามหน้าบ้านก็ปรากฏหมอกควันสีดำที่รวมตัวกันเป็นร่างของอัคนีนาฏเทวี เธอปรากฏตัวพร้อมกับผู้รับใช้ของเธอ ปักษาดำและสมิงดง

อมรลุกขึ้นไปมองดูที่ริมหน้าต่าง ก็เห็นอัคนีนาฏเทวีและผู้รับใช้ของเธอปรากฏตัวอยู่ด้านนอก เมื่อนั้นกริชอาคมที่ถูกวางอยู่ก็เกิดเปล่งแสงเพราะรู้ว่าอสูรร้ายอยู่ไม่ไกล อมรเดินไปหยิบกริชอาคมขึ้นมาด้วยแววตาที่กล้าหาญ เขาเดินออกไปบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน

อัคนีนาฏเทวีกับผู้รับใช้ทั้งสองของเธอกำลังค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้ตัวบริเวณบ้าน เมื่ออมรเดินออกมาเผชิญหน้า เจ้าหล่อนก็หัวเราะเย้ยหยัน “มาแล้วหรืออมร” เธอพูดด้วยสีหน้าท้าทาย

“ท่านจงออกไปจากที่นี้เดี๋ยวนี้ ที่นี่ไม่ต้อนรับท่าน” อมรพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและหนักแน่น

หญิงสาวหรี่ตาลงและยิ้มเย้ย “ครั้งที่แล้วถือว่าเจ้าโชคดีนะที่กริชอาคมของเจ้าออกมาช่วยเจ้า แต่วันนี้เจ้าคงไม่ได้โชคดีแบบนี้ตลอดไปหรอก” เธอก้าวเข้ามาใกล้กว่าเดิม และแสงจากกริชอาคมในมืออมรก็ส่องสว่างยิ่งขึ้น

“ข้าจะไม่ยอมให้ท่านเข้ามาทำร้ายใครอีก ข้าจะปกป้องคนที่ข้ารักด้วยทุกสิ่งที่ข้ามี” อมรยกกริชขึ้นและแสงจากกริชก็ส่องประกายเจิดจ้า ทำให้เทวีและผู้รับใช้ของเธอหยุดชะงัก

ปักษาดำและสมิงดงคำรามและเตรียมตัวจะเข้าจู่โจม แต่อัคนีนาฏเทวียกมือขึ้นห้าม

“อย่าเพิ่ง ข้าต้องการให้เจ้าดอกเตอร์อมรได้เห็นว่า พลังของข้านั้นยิ่งใหญ่เพียงใด” เธอพูดและหัวเราะ

อมรยืนมั่นคงด้วยความกล้าหาญ แม้ว่าในใจจะรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย “ข้าจะไม่ยอมให้ท่านทำร้ายคนบริสุทธิ์อีกต่อไป ต่อให้ข้าต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม” อมรจับกริชอาคมขึ้นมาและชี้ไปที่หญิงสาว เขาหลับตาและทำสมาธิ ไม่นานกริชอาคมก็สำแดงฤทธิ์ ลอยพุ่งเข้าหาเทวีด้วยความเร็วสูง

อัคนีนาฏเทวีได้ปล่อยพลังของเธอเพื่อพยายามหยุดกริช แสงสีดำที่รวมตัวกันก็พุ่งออกมาจากมือของเธอ กริชอาคมกระเด็นออกห่างจากตัวเธอไปด้วยแรงเหวี่ยงของพลัง แต่กริชนั้นก็พยายามพุ่งเข้าใส่เธออีกครั้ง เธอหยุดยืนนิ่งและหลับตา เมื่อเธอลืมตาขึ้นภายในดวงตาของเธอมีแสงไฟลุกโชนราวกับเปลวเพลิงจากนรก

เมื่อกริชกำลังพุ่งใส่ หญิงสาวใช้มือของเธอจับกริชนั้นไว้ อมรรู้สึกตกใจที่เธอสามารถจับกริชอาคมของเขาได้อย่างง่ายดาย

อัคนีนาฏเทวีหัวเราะเบาๆ ด้วยเสียงที่เย็นชา “เจ้าคิดหรือว่ากริชเล็กๆ นี่จะหยุดข้าได้ พลังของข้านั้นเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้” เธอพูดพลางบีบกริชให้แน่นขึ้น จนกริชได้หักออกจากด้าม

อมรพยายามจะดึงพลังจากกริชอาคมเพื่อโจมตีอีกครั้ง แต่ดูเหมือนพลังของเขาจะไม่สามารถต้านทานพลังของหญิงสาวได้ เขาถอยหลังและพยายามหาวิธีใหม่ที่จะต่อสู้กับเธอ

เทวีหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าจะทำอย่างไรต่อไปอมร ข้าพร้อมที่จะทำลายทุกสิ่งที่เจ้ารัก” เธอพูดพร้อมกับเหวี่ยงกริชอาคมลงไปที่พื้นและพุ่งเข้าไปบีบคออมรด้วยความเร็ว เธอบีบคอชายหนุ่มจนเท้าของเขาลอยเหนือพื้น อมรหลับตาและนึกถึงฤๅษีอนันตเทพผู้เป็นอาจารย์ของเขา

ทันใดนั้นเองทับทิมสีแดงที่อยู่ปลายด้ามของกริชอาคมที่ร่วงหล่นบนพื้นก็เกิดสว่างขึ้น ส่องแสงเป็นประกายสีแดงเจิดจ้า กริชอาคมลอยขึ้นอยู่เหนืออากาศราวกับมีคนหยิบกริชนั้นขึ้นมา กริชค่อยๆ ส่องแสงสว่างและเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นตรีศูล อาวุธนั้นลอยพุ่งกลับมาหาอสูรร้ายอีกครั้ง เธอได้ปล่อยมือออกจากคอของอมรและรีบหลบดาบนั้นด้วยความตกใจ อมรลงไปนั่งกองอยู่ที่พื้น ตรีศูลนั้นได้ลอยมาตกอยู่ใกล้ๆ ที่ตัวเขาราวกับต้องการให้เขาหยิบมันขึ้นมาใช้ อมรคว้าตรีศูลขึ้นมาด้วยความมั่นใจ เขายืนขึ้นอีกครั้ง มองไปที่หญิงสาวที่ตอนนี้เริ่มมีท่าทางหวั่นไหว ตรีศูลในมือของเขาส่องแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ อมรพูดด้วยเสียงหนักแน่น

“พลังของข้ายังไม่หมด ยังมีพลังที่ได้รับจากอาจารย์ข้าอยู่ ข้าจะปกป้องทุกคนจากท่าน”

อัคนีนาฏเทวีจ้องมองด้วยความโกรธแค้น “เจ้าคิดว่าไอ้อาวุธบ้าๆ นี่จะหยุดข้าได้หรือ” เธอตะโกนด้วยเสียงดังก้อง ดวงตาของเธอลุกโชนด้วยความโกรธ

อมรเริ่มเดินเข้าหาหญิงสาว ตรีศูลในมือของเขาส่องแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ “ข้าไม่กลัวท่าน ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่ข้ารัก” เขาพูดพร้อมกับยกตรีศูลขึ้นพร้อมที่จะโจมตี

อัคนีนาฏเทวีเริ่มใช้พลังของเธอเพื่อสร้างคลื่นพลังที่พุ่งเข้าหาอมร แต่ตรีศูลกลับสามารถป้องกันและสะท้อนคลื่นพลังนั้นออกไปได้ อมรเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น ทุกครั้งที่เธอใช้พลังของเธอ ตรีศูลในมือของอมรจะส่องแสงสว่างมากขึ้นและสามารถต้านทานพลังของเธอได้

การต่อสู้ระหว่างอมรและอัคนีนาฏเทวียังคงดำเนินต่อไป ด้วยความมั่นใจและความกล้าหาญ อมรสามารถใช้ตรีศูลอาคมต่อสู้กับได้อย่างมีหญิงสาวได้มากขึ้น ทุกครั้งที่เทวีพยายามโจมตี ตรีศูลอาคมจะสะท้อนพลังนั้นกลับไป ทำให้เธอเริ่มหมดแรงและต้องถอยกลับไป

ในที่สุด อมรสามารถใช้ตรีศูลอาคมโจมตีอัคนีนาฏเทวี ได้ตรงๆ จนทำให้เธอได้รับบาดเจ็บและต้องถอยหนีออกไป

“เจ้าชนะในครั้งนี้ แต่อย่าคิดว่าข้าจะยอมแพ้ง่ายๆ” เธอพูดด้วยความโกรธแค้น ก่อนที่จะหายไปในความมืด อมรยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างที่ตรีศูลสร้างขึ้น เขาหายใจลึกๆ และมองไปรอบๆ ด้วยความมุ่งมั่น

“ข้าจะไม่ยอมให้ท่านกลับมาทำร้ายใครอีก ข้าจะปกป้องทุกคนจากความมืดนี้” เขาพูดกับตัวเอง ก่อนที่จะกลับเข้าไปในบ้าน

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมกริชอาคมถึงได้เปลี่ยนรูปร่างมากลายเป็นตรีศูลได้” เขาพูดพร้อมมองไปที่ตรีศูลด้วยความสงสัยพลางเดินกลับเข้าไปในห้องพระ และนำตรีศูลวางลงบนพาน ด้ามของตรีศูลมีทับทิมสีแดงกลมประดับอยู่ที่ปลาย ทับทิมสีแดงเม็ดนั้นยังคงส่องแสงอยู่เหมือนต้องการจะบอกอะไรเขา เขาจ้องมองไปที่ทับทิมสีแดงนั้น

“เอ๊ะ! ทำไมทับทิมยังส่งพลังออกมาอยู่ หรือต้องการจะบอกอะไรกันแน่” เขาตัดสินใจนั่งสมาธิอีกครั้งเพื่อพยายามติดต่อกับพลังงานบางอย่างที่ออกมาจากทับทิมเม็ดนั้น

เมื่ออมรเข้าสมาธิอย่างลึกซึ้ง แสงที่ส่องออกจากเทียนดูเหมือนจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ ทับทิมบนด้ามของตรีศูลเริ่มเปล่งประกายแสงสีแดงอ่อนๆ ชายหนุ่มรู้สึกถึงพลังที่แผ่ออกมาจากทับทิม เขาหลับตาลงและสวดมนต์ในใจ ทับทิมเม็ดนั้นเริ่มเปล่งแสงแรงขึ้น ราวกับมีบางอย่างในทับทิมกำลังตอบสนองต่อพลังสมาธิของเขา

ทันใดนั้น แสงสว่างที่ออกมาจากทับทิมเริ่มหมุนวนและเกิดการรวมตัวเป็นรูปร่างเล็กๆ กลางอากาศ เงาของร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากทับทิมเป็นนักรบโบราณ แสงของร่างนั้นสะท้อนกับแสงไฟจากเทียนในห้อง

นักรบโบราณก้มศีรษะให้กับอมร และพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาแต่มีพลัง

“ข้าเป็นวิญญาณนักรบผู้ปกป้องอาวุธนี้ ข้ารู้ว่าอีกไม่นานเจ้าจะต้องเผชิญกับศึกใหญ่กว่าทุกครั้ง ข้าจะมอบพลังของข้าให้กับเจ้า”

อมรฟังด้วยความเคร่งครัดและพยักหน้า “ผมต้องการปกป้องคนที่ผมรักและปกป้องความยุติธรรม ผมจะใช้อาวุธนี้อย่างรู้คุณและเคารพต่อวิญญาณของท่าน”

นักรบโบราณยิ้มอย่างอ่อนโยนและยื่นมือออกมา แสงจากทับทิมสว่างขึ้นจนเกือบจะเทียบกับแสงเทียนในห้อง ตรีศูลนั้นได้ลอยขึ้นเหนือตัวเขา

“ต่อไปนี้คงถึงเวลาแล้วที่กริชอาคมของเจ้าจะเผยสิ่งที่แท้จริงออกมา นั่นคือ ตรีศูลสุริยะพิโรธ การปรากฏของตรีศูลนี้เกิดขึ้นเพื่อเป็นการบอกเจ้าว่า ศึกครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของเจ้า และเจ้าจงใช้สิ่งนี้เพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้จบสิ้นไป” วิญญาณนักรบกล่าว

อมรรับตรีศูลไว้และรู้สึกถึงพลังที่แผ่ซ่านเข้ามาในร่างกาย เขารู้ว่านี่คืออาวุธที่จะช่วยเขาในการเผชิญหน้ากับอสูรร้ายและภยันตรายที่กำลังมาถึง “ข้าขอขอบคุณวิญญาณนักรบผู้ปกป้องกริชอาคม ข้าจะใช้พลังนี้ด้วยความเคารพและความระวัง” อมรกล่าวด้วยความตั้งใจ

นักรบโบราณพยักหน้าและค่อยๆ จางหายไปในแสงสีแดงของทับทิม ปล่อยให้อมรอยู่กับตรีศูลสุริยะพิโรธ ที่พร้อมจะต่อสู้กับอันตรายที่จะมาถึง

 



Don`t copy text!