มรดกมนตรา บทที่ 16 : ซินแสของเอกภพ

มรดกมนตรา บทที่ 16 : ซินแสของเอกภพ

โดย : วัชรนริศ

Loading

มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน

ในคืนนั้นที่บ้านของอัคคีรัตน์

“เทวีครับ ไอ้เอกภพมันมีเครื่องรางที่ช่วยปกป้องมันอยู่” สมิงดงพูดด้วยความโกรธ

อัคคีรัตน์ค่อยๆ เดินเยื้องย่างและหัวเราะ “พวกเจ้าไม่ต้องเสียใจไป ข้าแค่จะให้บทเรียนกับมันเฉยๆ แต่อีกไม่นานหรอก มันจะต้องตกเป็นอาหารของพวกเจ้า”

เช้าวันรุ่งขึ้น เอกภพนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงภายในโรงพยาบาล วุฒิเพื่อนของเขาเดินทางมาเยี่ยมชายหนุ่ม วุฒิยืนอยู่ข้างเตียงเพื่อนของเขา “เฮ้ยแกเป็นยังไงบ้างวะ”

เอกภพค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาร้องอุทานด้วยความตื่นกลัว “อัคคีรัตน์!”

วุฒิมองด้วยความสงสัย “เออ คุณอัคคีรัตน์ เมื่อวานแกอาสาไปส่งเธอไม่ใช่หรือ แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมแกถึงมานอนอยู่โรงพยาบาลได้”

เอกภพค่อยๆ หันมาสบตากับเพื่อนของเขา “อัคคีรัตน์ไม่ใช่คน เธอเป็นปีศาจ”

“ไอ้ภพ แกนี่ท่าจะทำงานหนักไปนะ ปีศาจอะไรที่ไหนวะ ฉันกับแกก็เห็นอยู่ว่าคุณอัคคีรัตน์เธอเป็นคนปกติ แถมยังสวยด้วย แกนี่ท่าทางจะเพี้ยนไปใหญ่ละ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แต่ฉันเห็นจริงๆ นะเว้ย เออแล้วเมื่อคืน คนขับรถของฉันมันก็หายไปจอดทิ้งไว้แต่รถ หรือว่า…มันจะถูกไอ้สองคนนั้นจัดการไปแล้ว”

วุฒิพูดเสริมด้วยความสงสัย “สองคนไหนหรือแก ยิ่งพูดยิ่งงง”

“ที่บ้านของนางปีศาจนั่น มันไม่ได้มีแค่มันคนเดียว แต่มีผู้ชายที่เป็นคนรับใช้มันอีกสองคน เมื่อคืนไอ้สองคนนั้นละที่พยายามจะกัดฉัน มันต้องไม่ใช่คนธรรมดา หน้าตาพวกมันเมื่อคืนเหมือนผีดิบในหนังเลย”

เอกภพพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แกช่วยพาฉันไปหาซินแสเต๋าหน่อย ถ้าแกไม่เชื่อฉันจะพิสูจน์อะไรบางอย่างให้แกเห็นเอง”

 

บ่ายวันนั้นที่บ้านของดอกเตอร์อมร เขาได้กลับมาพักรักษาตัวต่อ เขานั่งมองออกไปที่นอกหน้าต่างและคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้นรวมถึงกริชอาคมที่ออกมาช่วยชีวิตเขาไว้ เขาต้องการที่จะหาคำตอบให้ได้ จึงได้เดินเข้าไปในห้องพระเพื่อทำการนั่งสมาธิ

เมื่ออมรทำสมาธิรวบรวมจิตเขาก็เกิดนิมิตอีกครั้ง เมื่อเขาลืมตาขึ้น ร่างของเขาก็มาปรากฏอยู่ในห้องพิธีของผู้เป็นอาจารย์ของเขา…ฤๅษีอนันตเทพ

“ท่านอาจารย์” อมรพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความหวังเมื่อได้พบกับอาจารย์ของเขา ฤๅษีอนันตเทพนั่งสมาธิด้วยความสงบนิ่ง และค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“อมร ข้ารู้เรื่องของเจ้าหมดแล้ว กริชอาคมที่ออกมาปกป้องเจ้า คือกริชอาคมที่เป็นอาวุธปลุกเสกที่อยู่กับเจ้ามาตั้งแต่อดีตชาติ และบัดนี้กริชอาคมก็ได้ทำหน้าที่ปกป้องนายของมันอีกครั้ง” เมื่อฤาษีอนันตเทพพูดจบกริชอาคมก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าอมรอีกครั้ง

“อมรเจ้าจงรับมันไป ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าจงใช้กริชนี้เพื่อปกป้องตัวของเจ้าเองและขจัดอสูรร้าย” อมรพยักหน้าและยื่นฝ่ามือเข้าไปใกล้อาจารย์ เมื่อนั้นกริชอาคมก็ส่องแสงสีทองสว่าง และค่อยๆ ลอยมาอยู่บนมือของเขา

ฤๅษีอนันตเทพพูดเสริมต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“กริชอาคมของเจ้าทำได้เพียงปกป้องผู้เป็นนายของมัน และขจัดสิ่งชั่วร้ายได้เพียงเท่านั้น แต่สำหรับเจ้าอสูรร้ายนั้น ด้วยพลังของกริชอาคมของเจ้าก็มิอาจต้านทานพลังของมันได้”

“เพราะเจ้าอสูรร้ายนี้มันมีพลังมากเกินกว่ากริชอาคม สิ่งเดียวที่จะปราบมันลงได้นั่นคือ พระขรรค์เพลิงพยัคฆ์”

อมรพูดเสริมด้วยความสงสัย “พระขรรค์เพลิงพยัคฆ์ แล้วผมจะไปตามหาได้ที่ไหนครับอาจารย์”

ฤๅษีอนันตเทพสบตาอมรอย่างอ่อนโยน

“อมร…ในอดีตเจ้าเคยใช้พระขรรค์นี้สยบอสูรร้ายไว้ ดวงจิตของอสูรได้ถูกจองจำอยู่ภายในเทวรูป แต่สุดท้ายในภพชาติต่อมาก็มีคนที่ต้องการใช้พลังความชั่วร้ายนี้ทำลายผู้อื่นโดยการปลุกเจ้าอสูรออกมาเป็นครั้งที่สอง”

“และเจ้าได้แยกดวงจิตกับร่างของมันออกจากกัน ดวงจิตนั้นถูกผนึกไว้ภายในกล่องเทพมนตรา แต่สุดท้ายอสูรกลับออกมาอีกครั้ง มันคงเป็นลิขิต และมันคงถึงเวลาแล้วที่จะต้องจบสิ้นเรื่องนี้กันเสียที”

เมื่อฤๅษีอนันตเทพพูดจบ อมรก็กลับมาสู่ห้วงเวลาเดิม เขาลืมตาขึ้นและพูดกับตัวเอง

“มันคงถึงเวลาแล้ว” อมรพูดแล้วมองไปที่พานตรงหน้าหิ้งพระ บนพานบูชาปรากฏว่ากริชอาคมอาวุธประจำกายของเขาถูกวางอยู่ อมรยิ้มด้วยความหวัง

 

ณ ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง เสียงรถยนต์ถูกขับมาจอดบริเวณหน้าทางเข้า เอกภพและวุฒิได้เดินลงมาจากรถ คนดูแลศาลเจ้าเดินออกมาต้อนรับ “สวัสดีครับท่านเอกภพ วันนี้มาหาซินแสหรือครับ”

เอกภพทักทายด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจ “สวัสดีครับ ผมมาพบซินแสครับ วันนี้ท่านอยู่ไหมครับ”

“เชิญเข้าไปรอด้านในก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะไปตามซินแสให้” ไม่นานซินแสเต๋าก็เดินเข้ามา

“สวัสดีครับซินแส” เอกภพและวุฒิยกมือไหว้สวัสดี ซินแสมองหน้าเอกภพ ราวกับจะรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะเดินทางมาหา

“ลื้อมาหาอั๊วเพราะเรื่องเมื่อคืนที่ลื้อเจอมาใช่ไหม”

เอกภพหันมองหน้าเพื่อนของเขาด้วยความฉงนว่าทำไมซินแสถึงรู้ “ซินแสท่านรู้ได้ยังไงครับ” เอกภพถามด้วยเสียงแปลกใจ

“ลื้อไม่ต้องถามให้มันมากเรื่อง เอาเป็นว่าในเวลานี้ลื้อกำลังมีเคราะห์ ฮู้ยันต์ที่อั๊วให้ลื้อไปยังเก็บอยู่ไว้ไหม ลื้อจงเก็บติดตัวไว้ให้ดี เพราะอีกไม่นานเจ้าอสูรปีศาจนั้นมันจะกลับมาเล่นงานลื้ออีก”

เอกภพสีหน้ากังวลและถามด้วยความลนลาน “แล้วแบบนี้ซินแสพอจะมีทางปราบมันได้ไหมครับ”

ซินแสก้มหน้าเขียนยันต์ให้กับเอกภพ “ลื้อจงเอายันต์นี้ไปติดไว้บริเวณหน้าทางเข้าบ้านของลื้อนะ และให้ถือศีลเป็นเวลาสิบห้าวัน หลังจากติดยันต์ไว้หน้าทางเข้าบ้านแล้ว ลื้อก็อย่าออกไปไหนจนกว่าจะครบสิบห้าวัน เพราะไม่อย่างงั้นแล้ว ลื้ออาจจะชะตาขาดได้”

เอกภพหันหน้ามองวุฒิด้วยความไม่สบายใจ “ครับซินแส ผมจะระวัง”

เมื่อเอกภพกลับถึงบ้าน เขาได้นำยันต์ไปติดไว้เหนือประตูทางเข้าบ้าน วุฒิเพื่อนของเขามองด้วยความไม่สบายใจ

“เออยังไงแกช่วงนี้ก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ แต่สิ่งที่ซินแสพูดมา ฉันว่ามันเหลือเชื่อเกินไปว่ะ แต่เพื่อความสบายใจของแก แกก็พักผ่อนมากๆ ไว้ฉันจะมาเยี่ยมใหม่” วุฒิขับรถกลับออกไป

ในเวลายามค่ำ วุฒิเพื่อนของเอกภพขับรถอยู่ระหว่างทาง ทันใดนั้นอัคนีนาฏเทวีได้จำแลงกายเป็นควันสีดำลอยตามรถของเขาไป และเข้าไปอยู่ภายในรถ เธอนั่งอยู่บริเวณเบาะหลังคนขับ เมื่อชายหนุ่มมองกระจกหลังจึงทำให้เขาเกิดอาการผงะทันที เพราะเขามองเห็นอัคคีรัตน์นั่งอยู่และจ้องมองมาที่เขา ทำให้ต้องเบรกรถโดยกะทันหันด้วยความกลัว

เขาค่อยๆ หันหลังไปมองที่เบาะหลัง แต่ก็ไม่พบกับอะไร เขาถอนหายใจและอุทานกับตัวเอง “นี่จะบ้าไปกันใหญ่แล้ว ฟังไอ้ภพมากไปจนเก็บมาคิดเป็นตุเป็นตะเลยหรือวะเรา”

ไม่นานก็ปรากฏกลุ่มควันสีดำคล้ายร่างของคนบริเวณเบาะข้างคนขับ ทำให้วุฒิต้องร้องด้วยความตกใจอีกครั้ง ควันสีดำนั้นค่อยๆ ปรากฏเป็นใบหน้าของอัคคีรัตน์ เธอหัวเราะด้วยความสนุกใจ ทันใดนั้นเธอได้สะกดเขาและสั่งชายหนุ่ม

“แกจงฟังฉัน จงกลับไปที่บ้านของไอ้เอกภพ ทำลายยันต์ของมันที่ติดอยู่หน้าบ้านซะ และจงเอาฮู้ยันต์นั้นที่มันห้อยคออยู่ออกไปด้วย”

วุฒิจึงขับรถวนกลับไปบ้านของเอกภพอีกครั้ง เมื่อไปถึงหน้าประตูทางเข้าภายในบ้าน มียันต์ติดอยู่ด้านบน เขาได้เอื้อมตัวไปดึงยันต์นั้นออกและโยนทิ้ง

แม่บ้านที่อยู่ภายในบ้านของเอกภพเดินมาเห็นวุฒิ “อ้าวคุณวุฒิมาทำอะไรคะ เมื่อเย็นก็เห็นคุณมาส่งคุณเอกภพไม่ใช่หรือคะ

ชายหนุ่มยืนนิ่งและตอบอย่างเย็นชา “ฉันมาหาเอกภพเขาอยู่ไหม ไปตามมาให้หน่อย”

แม่บ้านเดินไปเคาะประตูห้องนอนเอกภพ “คุณเอกภพคะ คุณวุฒิมาค่ะ”

“แล้วมันอยู่ไหนล่ะ”

“อยู่ศาลาหน้าบ้านค่ะ”

เอกภพเดินลงไปหาวุฒิที่ศาลาหน้าบ้าน “ไอ้วุฒิแกมีอะไรอีกวะ เมื่อเย็นก็เพิ่งมาส่งฉันไม่ใช่หรือ”

วุฒิหันมาด้วยใบหน้าที่เย็นชา เขารีบกระตุกสร้อยของเอกภพโดยทันที ชายหนุ่มไม่ทันตั้งตัวสร้อยที่สวมคออยู่ขาดออกจากกันทันที เมื่อนั้นปักษาดำในร่างของนกยักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง มันบินลงมาจากท้องฟ้าและใช้กรงเล็บที่แหลมคมตวัดร่างของเอกภพขึ้นไป เขาร้องโหยหวนด้วยความตกใจสุดขีด

“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย” เสียงนั้นดังโหยหวนและค่อยๆ เงียบหายไป เจ้าปักษาดำบินหายขึ้นไปในความมืดของยามค่ำคืน

วุฒิที่ถูกมนตร์สะกดอยู่ก็รู้สึกตัวขึ้น “นี่ฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง แล้วเมื่อกี้มันอะไรกันวะ” เขาเดินไปที่รถและขับกลับออกไปอย่างปกติ

ในเวลาเดียวกันเอกภพได้ถูกปักษาดำนำตัวกลับมาที่เทวาลัยอีกครั้ง อัคนีนาฏเทวีนั่งอยู่บนบัลลังก์หินของเธอ เมื่อเขาถูกนำตัวเข้ามาอยู่กลางห้อง เธอปรบมือและหัวเราะด้วยความชอบใจ

“แหมๆ คุณเอกภพ คุณก็ช่างโชคดีเหลือเกินนะคะ ที่อุตส่าห์หนีออกไปได้ แต่ครั้งนี้ฉันสัญญาค่ะว่าคุณจะไม่ได้กลับออกไปอีกแน่นอน เพราะปักษาดำและสมิงดง เขายังไม่หายหิวนะคะ”

เอกภพมองหน้าเทวีด้วยความโมโห “พวกแกมันเป็นใครกันแน่ ฉันขอร้องละอย่าฆ่าฉันเลย พวกแกต้องการเงินเท่าไหร่บอกฉันมาได้เลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงลนลาน

“คุณเก็บเงินของคุณไว้เถอะค่ะ เพราะเงินพวกนี้สำหรับฉันมันอาจจะไม่มีค่าพอ คุณเคยบอกฉันไม่ใช่หรือคะ ว่าให้ได้แม้กระทั่งชีวิตและวิญญาณ”

เอกภพนั่งคุกเข่าลงและพนมมือร้องขอชีวิต “ผมขอละ พวกคุณอย่าทำอะไรผมเลย ผมไม่เคยไปทำอะไรพวกคุณ แล้วทำไมพวกคุณต้องฆ่าผมด้วย” เอกภพพูดเสียงสั่น

เทวีหัวเราะด้วยความผยอง “คนอย่างพวกเจ้า มันเป็นคนชั่วช้า ละโมบโลภมากไม่รู้จักพอ อยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ สู้เอาเลือดเนื้อของเจ้ามาสังเวยให้แก่พวกข้าน่าจะดีกว่า”

เอกภพตอบด้วยความโกรธที่รุนแรง “นางแม่มดชั่ว แกจะต้องไม่ตายดี พวกแกจะต้องตายทั้งหมด”

อัคนีนาฏเทวีมองด้วยแววตาเย่อหยิ่ง “ข้านะหรือที่จะตาย ข้าว่าไม่น่าจะใช่นะ ปักษาดำ สมิงดง กินมัน!”

ปักษาดำและสมิงดงจำแลงร่างกลับมาเป็นอสูรร้าย และพุ่งเข้ากัดที่คอและตัวของเขาโดยทันที เอกภพร้องโหยหวนด้วยความทรมานจนสิ้นใจ ร่างของเขาถูกทั้งสองกัดกินต่อหน้าอมฤตเทวีราวกับเป็นชิ้นเนื้อ เธอนั่งดูและหัวเราะด้วยความสนุกใจ ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชนส่องสว่างไปทั่วภายในเทวาลัย

ซินแสที่กำลังนั่งสวดมนต์อยู่ภายในศาลเจ้า จู่ๆ ก็เกิดรู้สึกร้อนขึ้นมาทั้งตัวราวกับถูกไฟเผ่า เขาค่อยๆ ล้มลงและร้องขอความช่วยเหลือ “ทำไมมันร้อนแบบนี้ ช่วยด้วยใครก็ได้”

คนที่ดูแลศาลเจ้าได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งเข้ามาช่วยซินแสไว้ “อาซินแส ลื้อเป็นอะไร”

“นังปีศาจนั้นมันใช้ไสยดำกับอั๊ว ช่วยด้วย ทำไมมันร้อนแบบนี้”

ระหว่างนั้นภายในเทวาลัยของอัคนีนาฏเทวี เธอนั่งหลับตาสวดคาถามนต์ดำอยู่บนบัลลังก์หินของเธอ

ซินแสร้องเจ็บปวดทนไม่ไหว “อั๊วจะไม่ยอมแพ้นางปีศาจตนนั้นหรอก”

เขาพยายามท่องบทสวด แต่ด้วยความร้อนราวกับถูกไฟเผ่าทำให้ซินแสเจ็บปวดจนทนไม่ไหว

“พวกลื้อไปหยิบน้ำมนต์ในแจกันที่อยู่หน้าเจ้าแม่กวนอิมมาให้อั๊วที” คนดูแลศาลเจ้ารีบวิ่งไปหยิบแจกัน แต่ด้วยพลังอำนาจของอัคนีนาฏเทวี เธอได้ทำให้แจกันนั้นกระเด็นตกแตก ในที่สุด ซินแสก็ทนไม่ไหวขาดใจตายในที่สุด

“ใครที่บังอาจจะมาขัดขวางข้า มันต้องพบจุดจบ” อัคนีนาฏเทวีหัวเราะเสียงก้องไปทั่วเทวาลัยของเธอ

 

ในยามเช้าของคฤหาสน์วารีมรกต โฉมสุรางค์และแม่ของเธอเดินลงมาพร้อมกับกระเป๋า รวีและทิพย์ธิดานั่งดื่มกาแฟอยู่ที่ศาลาหน้าบ้าน

“สวัสดียามเช้าค่ะทุกคน” โฉมสุรางค์ทักทายด้วยน้ำเสียงสดชื่น

รวีและทิพย์ธิดาหันไปสบตากับโฉมสุรางค์ “นี่คุณกับคุณราตรีจะไปไหนกันครับ”

“โฉมกับคุณแม่คิดว่าจะกลับไปพระนครสักพักนะคะ เราสองคนอยู่ที่นี่นานแล้วรู้สึกเบื่อ”

ราตรีพูดเสริม “คุณรวีคะว่างๆ ก็หาเวลากลับลงไปพระนครบ้างนะคะ พักนี้ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับโฉมเขาเลย ไม่ค่อยได้ออกงานด้วยกันนานแล้ว แม่อยากให้ทั้งสองคนมีเวลาให้กันบ้าง”

ชายหนุ่มพยักหน้า “ครับ คุณราตรี ไว้ผมจะลงไปพระนครนะครับ”

ทิพย์ธิดาพูดเสริม “เดินทางปลอดภัยนะคะ”

โฉมสุรางค์และราตรีมองเธอด้วยความเย่อหยิ่ง

“ค่ะ ไว้พวกเราจะกลับมาใหม่” ราตรีตอบเสียงแข็ง

ภายในห้องโถง สายใจในร่างของบุษบายืนมองภาพของหม่อมเจ้าอดิศรและหม่อมเจ้าหญิงสวาทสุภาย์ด้วยแววตาที่โหยหาผสมความคับแค้นใจ

“ท่านชาย มันนานเหลือเกินที่ดิฉันยังติดอยู่กับที่นี่ไม่ได้ไปไหน ท่านชายรู้อะไรไหมเพคะ ว่าดิฉันรักท่านมากขนาดไหน ตั้งแต่ท่านจากไปท่านไม่เคยมาหาดิฉันเลย ต่อให้ท่านจะทำร้ายดิฉันมากแค่ไหน ดิฉันก็รักท่านแต่เพียงผู้เดียว” เธอได้เอามือไปแตะที่ภาพของท่านชายด้วยความคิดถึง

ทิพย์ธิดาเดินกลับเข้ามาภายในห้องโถง และเห็นบุษบามีท่าที่เศร้าแปลกๆ “คุณบุษบาเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

บุษบาเอามือปัดน้ำตาที่หน้าของเธอ “ไม่เป็นอะไรค่ะ ขอบคุณ” และเธอก็รีบเดินออกไป

ทิพย์ธิดารู้สึกสงสัยอะไรบางอย่าง รวีได้เดินตามหลังเข้ามา “คุณทิพย์มีอะไรหรือเปล่าครับ”

เธอหันมาสบตาชายหนุ่ม “คุณรวีคะ ดิฉันคิดว่าพักนี้คุณบุษบามีท่าทางแปลกๆ”

“แปลกยังไงหรือครับ ผมก็เห็นเธอดูปกติ”

“แปลกสิคะ เพราะพักนี้ดูเธอพูดน้อยลง และก็ดูเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ฉันเป็นห่วงเธอนะคะ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“ผมว่าคุณบุษบาเธอน่าจะมีเรื่องอะไรในใจน่ะครับ บางทีถ้าคุณทิพย์ขึ้นไปกราบพระบนห้อง ก็ลองชวนเธอขึ้นไปสวดมนต์ไหว้พระด้วยกันเลยก็น่าจะดีนะครับ อาจจะทำให้เธอสบายใจ” รวีมองหญิงสาวอย่างโยน

 



Don`t copy text!