
สาปไอยรา บทที่ 1 : บทนำ
โดย : ต้นไผ่กวนอิมสีทอง
สาปไอยรา เรื่องราวของ สัตวแพทย์หนุ่มผู้ต้องคำสาปได้ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาช่วยเหลือรักษาสัตว์ โดยหวังว่าผลบุญจะลบล้างคำสาปไปได้บ้าง แต่เจ้ากรรมนายเวรก็ไม่ได้ใจดี เพราะต้องมีความรักที่จริงใจเท่านั้นถึงจะช่วยได้! นวนิยายน่าอ่านโดย ต้นไผ่กวนอิมสีทอง ที่อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้อ่านใน anowl.co และเพจอ่านเอา
กลางปี พ.ศ.2535
ภายในวัดป่าสาครร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่หลากหลายชนิด ด้านหลังวัดมีภูเขาสูงและมีลำธารไหลผ่านตลอดปี ซึ่งมีพระสงฆ์จำวัดอยู่เพียงรูปเดียว ที่ดินตรงนี้เดิมเป็นของเศรษฐีที่ดินนามว่า คชา ซึ่งเป็นคนใจบุญสุนทาน เมื่อทราบว่ามีพระสงฆ์รูปหนึ่งมาปักกลดธุดงค์ จึงมาสนทนาธรรมกับท่านพร้อมภรรยา และเตรียมอาหารมาใส่บาตรเป็นประจำจนเกิดความศรัทธา จึงนิมนต์ให้พระรูปดังกล่าวจำวัดอยู่ที่นี่เสียเลย โดยบริจาคที่ดินตรงนี้เพื่อทำเป็นวัดป่า ให้ท่านได้จำวัด และเพื่อให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ได้มาทำบุญกันด้วย
คชาในวัยหนุ่มฉกรรจ์ขับรถกระบะเข้ามาจอดใต้ร่มไม้ภายในวัดป่า พร้อมกับแขไขผู้เป็นภรรยา ก่อนที่คชาจะลงจากรถได้หยิบตะกร้าใส่ดอกไม้ธูปเทียนและเถาปิ่นโตมาถือไว้เอง แล้วให้ผู้เป็นภรรยาลงจากรถไปตัวเปล่า แต่ก่อนที่จะเดินไปถึงกุฏิของพระบุญนั้นก็ได้พบกับช้างเชือกหนึ่งยืนสะบัดหู หางก็แกว่ง และงวงก็สะบัดไปมาขวางทางอยู่ พร้อมกับมีควาญนั่งอยู่บนขอนไม้ใกล้ๆ กัน
คชากับแขไขไม่กล้าเดินต่อ เพราะไม่คุ้นชินกับช้างตัวโตๆ ตรงหน้า และไม่รู้ว่าช้างเชือกนี้อยู่ในอารมณ์ไหน จะหันมาทำร้ายคนหรือเปล่า หรือเขากับเมียจะรีบหันหลังกลับไปขึ้นรถดี ไม่ต้องทำบุญกันแล้ว
“ไม่ต้องกลัวหรอกครับคุณ มันกำลังอารมณ์ดี เดินผ่านไปได้เลยครับ”
ควาญปั้นรีบบอกเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนนิ่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ พลางส่งยิ้มให้ผู้มาใหม่อย่างคนที่อัธยาศัยดี ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่มากก็ตาม
“มันไม่ทำอะไรแน่นะ”
แขไขเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยไว้วางใจนัก ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนรักสัตว์ แต่กับสัตว์ที่ยังไม่คุ้นเคยแถมตัวยังใหญ่กว่าคนมาก ก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา
“แน่ครับ ใบบัวหลีกทางให้คุณๆ เขาหน่อยเร็ว”
ควาญปั้นบอกอย่างมั่นใจ ก่อนจะหันไปเอ่ยเรียกพังใบบัวช้างคู่ใจอย่างสนิทสนมให้ขยับตัวหลบ ช้างแสนรู้ได้ยินเสียงควาญประจำตัวสั่งแบบนั้นก็ขยับขาเดินหลีกทางให้กับเพื่อนมนุษย์ เพื่อให้คนทั้งสองเดินผ่านไปได้อย่างสะดวก แล้วผงกหัวเหมือนขอโทษขอโพยที่ยืนขวางทาง
“ขอบใจนะ”
แขไขกับคชาต่างเอ่ยขอบใจกับพังใบบัวที่แสนรู้แล้วแถมยังมีน้ำใจ ทำให้ทั้งคู่เกิดความประทับใจในความน่ารักของมันมากขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินผ่านพังใบบัวและควาญปั้นไปทางกุฏิหลังเล็กของพระบุญ เมื่อก้าวย่างขึ้นบนบันไดกุฏิ ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังออกมาเบาๆ จึงค่อยๆ เดินเข้ากุฏิไปนั่งห่างจากท่านพอประมาณ วางสิ่งของต่างๆ ไว้ข้างตัว แล้วพนมมือฟังพระบุญทำวัตรเช้าอย่างสงบเสงี่ยม
ใกล้เวลาเจ็ดโมงเช้าพระบุญก็ทำวัตรเช้าเสร็จ ก่อนจะก้มลงกราบพระพุทธรูปสามครั้ง แล้วหันกลับมานั่งเผชิญหน้ากับผู้ที่มาเยือนทั้งสอง
“นมัสการครับหลวงพี่”
คชาก้มลงกราบพระบุญสามครั้งแล้วนั่งพับเพียบอย่างสำรวม ส่วนแขไขเพียงพนมมือก้มไหว้ให้หัวนิ้วโป้งอยู่ระหว่างคิ้วแทนการก้มกราบ เพราะติดท้องที่กำลังตั้งครรภ์หกเดือน
“เจริญพรเถิดโยมทั้งสอง”
“วันนี้แขตั้งใจมาทำบุญถวายอาหารก่อนที่จะมาไม่ไหวเพราะท้องเริ่มใหญ่แล้วค่ะ”
แขไขบอกความตั้งใจของเธอให้กับพระบุญได้ฟัง ก่อนจะสะกิดสามีให้หยิบเถาปิ่นโตที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาเตรียมประเคน
“ดีแล้วละโยม สั่งสมบุญไว้ให้เยอะๆ”
พระบุญกล่าวชมพลางยื่นมือไปรับเถาปิ่นโตพร้อมดอกไม้ธูปเทียนจากมือของคชาที่ประเคนให้ โดยมีมือของแขไขจับอยู่ที่แขนของผู้เป็นสามี แล้วท่านก็เห็นนิมิตผุดขึ้นมาเป็นเรื่องราวในอนาคตอันใกล้ มันมีทั้งเรื่องดีและไม่ดีจนท่านคิดว่าคงต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือสองสามีภรรยาคู่นี้ให้ได้พ้นทุกข์บ้างไม่มากก็น้อย ที่ท่านต้องมาอยู่ตรงนี้ที่นี่ ก็เพราะเรื่องนี้สินะ!
“ค่ะ แขกับพี่คชาก็พยายามทำทุกครั้งที่มีโอกาส”
แขไขเอ่ยบอกอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วเตรียมกรวดน้ำรับพรเพื่อความเป็นสิริมงคลจากพระสงฆ์ที่เธอและสามีนับถือ เธอแตะแขนสามีที่กำลังเทน้ำออกจากที่กรวดน้ำลงถ้วยรอง แล้วตั้งจิตกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรและผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
เสียงของพระบุญสวดให้พรฟังแล้วรู้สึกอุ่นใจและรู้สึกปลอดภัยทุกครั้ง อีกทั้งจิตใจก็รู้สึกปลอดโปร่ง แขไขวางมืออีกข้างไว้บนหน้าท้องเมื่อรู้สึกว่าลูกของเธอในท้องดิ้นเบาๆ เธอจึงคิดในทางที่ดีว่าลูกของเธอคงได้รับบุญจากการที่เธอมาทำบุญในครั้งนี้ด้วย บนใบหน้าจึงมีรอยยิ้มพิมพ์ใจอย่างมีความสุข
“โยมเห็นช้างไหม ก่อนเข้ามาที่นี่”
พระบุญตัดสินใจเอ่ยปากถามทั้งคู่ ท่านยังไม่ได้ลงไปจากกุฏิตั้งแต่เช้า เลยไม่ทราบว่าช้างกับควาญที่มาขออาศัยวัดอยู่ตั้งแต่เมื่อวานนั้น วันนี้จะออกเดินทางไปที่อื่นหรือยัง
“เห็นครับ ได้คุยกับควาญด้วย ช้างก็ดูแสนรู้ดีครับ”
คชาเอ่ยตอบยิ้มๆ ตามความรู้สึกจริงๆ ที่ได้พบเจอ โดยมีแขไขเอ่ยเสริม
“แต่มันดูตัวใหญ่จังเลยนะคะ โดยเฉพาะที่ท้อง ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ได้เป็นโรคอะไรหรอกโยม เท่าที่อาตมาได้คุยกับควาญปั้น ช้างเชือกนั้นกำลังท้อง ใกล้จะคลอดแล้วละ แต่ยังไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เพราะเร่ร่อนหางานทำมาตลอด พอช้างใกล้คลอดทำงานไม่ไหว เงินที่มีก็หมดลง ที่อยู่ก็ไม่มี เลยมาขออาศัยที่นี่อยู่ไปก่อน”
พระบุญเล่าเรื่องราวของคนกับช้างที่อยู่นอกกุฏิให้ทั้งคู่ฟัง พลางคิดว่าคงเป็นโชคชะตาลิขิตที่พาให้ช้างท้องเชือกนั้นมาอยู่ที่นี่
“น่าสงสารจังเลยค่ะ”
แขไขไม่มีความคิดว่าช้างเชือกนั้นจะท้องเลยด้วยซ้ำ หรือเป็นเพราะในชีวิตนี้เธอยังไม่เคยเห็นช้างท้องเลยสักครั้งก็เป็นได้ จึงทำให้มีความคิดไปแบบนั้น
“โยมทั้งคู่เอาไปเลี้ยงไว้ได้ไหมรวมทั้งควาญปั้นด้วย เผื่อเอาไว้ใช้งาน ช่วยเหลือสัตว์ใหญ่ก็ได้บุญหนักเหมือนกัน และมันจะเป็นผลดีกับโยมในอนาคต ลูกช้างที่เกิดมาจะได้เป็นเพื่อนเล่นกับลูกของโยมทั้งสองด้วย”
ณ ตอนนี้ท่านบอกและช่วยเหลือได้แค่นี้ ก็อยู่ที่คนทั้งคู่จะตัดสินใจกันเอาเอง และคงไปบังคับให้ทั้งคู่เอาช้างไปเลี้ยงก็ไม่ได้ เพราะการช่วยเหลือสัตว์ต้องทำด้วยใจที่บริสุทธิ์จริงๆ เท่านั้น ท่านได้แต่ภาวนาอยู่ในใจให้ทั้งคู่นั้นเชื่อในคำพูดของท่านด้วยเถิด
“เราเลี้ยงไว้ได้ไหมคะพี่คชา แขสงสารมัน กำลังท้องเหมือนแขด้วย”
แขไขหันไปเอ่ยปากขอกับผู้เป็นสามีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ยิ่งได้ฟังเรื่องราวจากปากของพระบุญ ก็ยิ่งทำให้เธออยากจะเลี้ยงช้างกับลูกช้างในท้องไว้ ถึงแม้จะไม่มีความรู้เลยก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังมีควาญปั้นที่จะคอยช่วยเหลือหากพวกเธอตัดสินใจเลี้ยงจริงจัง
“พี่ต้องขอคุยกับควาญปั้นก่อนนะ ว่าเขาอยากไปอยู่กับเราหรือเปล่า”
คชายังไม่รับปากกับภรรยา แต่เพียงแค่ได้ฟังเขาพูด แขไขก็มั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่า สามีเห็นด้วยกับเธอ
“ถ้างั้นก็ลงไปคุยด้วยกันเลย อาตมาจะลงไปด้วย”
พระบุญลุกขึ้นจากอาสนะแล้วเดินนำลงกุฏิไปทันที ทำให้คชากับแขไขต้องลุกขึ้นเดินตามลงไปด้วย
ควาญปั้นที่กำลังยืนให้กล้วยสุกกับเจ้าพังใบบัวหันไปเห็นพระสงฆ์รูปที่ใจดีให้เขาและเจ้าพังใบบัวได้อาศัยอยู่ที่นี่เดินเข้ามาหาตน จึงรีบนั่งคุกเข่าลงที่พื้นแล้วพนมมือไหว้อย่างเคารพนบนอบ
“ตามสบายเถอะควาญปั้น อาตมาแค่มาคุยด้วยเท่านั้น”
“คุยอะไรเหรอครับ”
ควาญปั้นเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางยืนขึ้นและยืนสนทนากับท่านอย่างสำรวม ยิ่งเห็นผู้ที่มาหาพระบุญก่อนหน้านี้เดิมตามท่านมาด้วยก็ยิ่งสงสัยหนัก ทั้งคู่ดูท่าทางใจดีจึงไม่ทำให้เขารู้สึกเกร็งมากนัก
“อาตมาเล่าให้โยมสองคนนี้ฟังว่าควาญปั้นกับพังใบบัวไม่มีที่อยู่ เลยแนะนำให้เขาเอาไปเลี้ยง รวมทั้งควาญปั้นด้วย จะว่ายังไง”
พระบุญเอ่ยบอกกับคนที่มีช้างเป็นเหมือนคนในครอบครัวได้ฟัง และคงให้เขาเป็นคนตัดสินใจเองเช่นกัน ว่าจะตกลงไปอยู่กับคชาและแขไขหรือไม่ ท่านทำได้ก็เพียงแค่แนะนำเท่านั้น
“พังใบบัวท้องอยู่นะครับ ยังทำงานไม่ได้ จะเป็นภาระกับคุณทั้งสองหรือเปล่า”
ควาญปั้นเป็นกังวลกับเรื่องนี้ ถ้าช้างของเขาไม่ท้อง ไปอยู่ด้วยก็ยังคงพอมีประโยชน์ให้ใช้งานได้บ้าง แต่นี่ช้างที่เขาดูแลกำลังท้องและใกล้ถึงเวลาคลอดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้วด้วย กลัวจะเป็นภาระให้คนใจดีทั้งคู่
“ไปอยู่กับเราไม่ได้มีงานอะไรหนักๆ ให้ทำหรอก ว่าแต่พังใบบัวจะคลอดเมื่อไหร่ล่ะ”
คชาเป็นคนเอ่ยบอกอย่างสงสาร มาเห็นทั้งควาญทั้งช้างยืนสงบเสงี่ยมเจียมตัวก็ยิ่งเอ็นดูในความแสนรู้ของมัน อีกทั้งตัวเขาเองเป็นคนมีฐานะ มีที่ดินมากมายไว้ในครอบครอง โดยปล่อยให้ชาวบ้านเช่าที่ทำมาหากินบางส่วน บางส่วนก็ขายถ้าใครต้องการซื้อ ดังนั้นการรับเลี้ยงช้างกับควาญที่มีชะตาต้องให้มาพบเจอกัน ก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร
“น่าจะอีกสักสองสามเดือนครับ มันเริ่มเดินไม่ค่อยไหวแล้ว จึงมาขออาศัยอยู่ที่นี่ก่อนครับ”
ควาญปั้นเอ่ยตอบพร้อมกับเล่าอย่างคนที่มีความรู้เรื่องช้างดีเมื่อเห็นแววตาสงสัยของทั้งคู่อีกว่า ช้างเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ มีระยะเวลาตั้งท้องประมาณ 20-22 เดือน โดยช้างตัวเมียจะโตเต็มวัยพร้อมผสมพันธุ์เมื่ออายุประมาณ 18-20 ปีขึ้นไป และสิ้นสุดความสามารถในการสืบพันธุ์เมื่ออายุประมาณ 40-50 ปีขึ้นไป อีกทั้งช้างยังมีอายุขัยใกล้เคียงกับมนุษย์อีกด้วย และตอนนี้พังใบบัวเพิ่งมีอายุเพียง 23 ปีเท่านั้น
เขาได้ช้างตัวนี้มาตั้งแต่เจ้าพังใบบัวยังเด็ก และตอนนั้นเขาเพิ่งอายุ 15 ปี โดยพ่อของเขาเข้าป่าไปคล้องลูกช้างมาเพื่อเลี้ยงไว้ใช้งานลากซุง จนกระทั่งพ่อของเขาจากไปในปีที่รัฐบาลสั่งยกเลิกสัมปทานป่าไม้ทั่วประเทศพอดี ทำให้เขาตกงานจนต้องพาเจ้าพังใบบัวออกรับจ้างทำงานอย่างอื่นเพื่อหาเงินยังชีพไปทั่ว คอยอาศัยอยู่ตามวัด ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง
“ถ้างั้นก็ไปอยู่กับพวกเราดีไหม ผมมีที่ดินด้านหลังบ้านเป็นป่าติดลำธาร มีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี ช้างคงชอบ”
คชาตัดสินใจเอ่ยชวนด้วยความสงสาร พลางพูดโน้มน้าวโดยยกเอาสภาพความเป็นอยู่ที่ทั้งคู่จะได้พบเจอหากไปอยู่ด้วยกันขึ้นมาช่วยในการตัดสินใจ ยิ่งเห็นสายตาของผู้เป็นภรรยาที่แสดงออกว่าดีใจที่เขาทำตามความต้องการของเธอ ก็คิดว่าเขาทำถูกต้องแล้ว เพราะความสุขของภรรยาคือความสุขของเขาด้วยเช่นกัน
อีกอย่างจะให้มาเป็นภาระของพระบุญผู้ซึ่งเป็นพระสายปฏิบัติ ชอบนั่งกรรมฐาน ท่านไม่รับปัจจัยที่เป็นเงินทอง จะรับบิณฑบาตเป็นอาหารในแต่ละวันเท่านั้น ท่านคงไม่สามารถที่จะเลี้ยงดูช้างกับควาญได้เป็นแน่
“ก็ได้ครับ ผมจะไม่ลืมบุญคุณของคุณทั้งสองเลย”
ควาญปั้นยอมตกลงไปอยู่กับคนใจดีทั้งสอง พลางยกมือไหว้คชากับแขไขอย่างนอบน้อม โดยไม่ลืมสะกิดให้เจ้าพังใบบัวชูงวงแล้วผงกหัวขอบคุณพร้อมกัน เป็นภาพที่น่ารักน่าประทับใจสำหรับคชาและแขไขมาก