
บุปผาตีตรา บทที่ 20 : เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็น
โดย : สีน้ำฟ้า
![]()
บุปผาตีตรา โดย สีน้ำฟ้า นวนิยายสะท้อนอคติและพลังคำพูด ผ่านชีวิต “นวลปราง” ที่ใช้การศึกษาโต้กลับคำครหา และ “อุรา” ผู้หลงทางจนกลายเป็นเมียเช่า เรื่องราวในอีสานยุคสงครามเวียดนาม ถ่ายทอดมิตรภาพ ความรัก และบาดแผลจากการถูกตีตรา ชี้ให้เห็นว่าคำพูดบางคำอาจผลักดันหรือทำลายชีวิตคนได้ อ่านออนไลน์ได้แล้วบนเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co
ในวันนั้นเมื่อทุกคนอาบน้ำอาบท่าเสร็จสรรพ แต่งกายแบบสุภาพ ดวงฤดีสวมเสื้อผ้าของนวลได้พอดี สามสาวในชุดไทยอีสานสวยงามโดดเด่น หนุ่มฝรั่งผิวดำกับหนุ่มไทยผิวคล้ำสวมชุดผู้ชายเท่าที่พอจะจัดหาได้ เพราะเจสันสูงกว่าอุระ กางเกงแม้จะใส่กันได้แต่ขาก็ออกจะลอยๆ นวลถึงแม้จะเป็นคนตัดเย็บเสื้อผ้าเก่งแต่เจสันมาโดยไม่แจ้งล่วงหน้าเลยไม่ได้เตรียมชุดไว้ให้
หนุ่มสาวและบรรดาพ่อแม่ เดินรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่มุ่งตรงไปวัด คนมองทั้งหมู่บ้าน ใครที่แต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกเดินตามกันมาเป็นขบวนใหญ่กว่าเดิม เสียงคุยกันสัพเพเหระ ดังแข่งกับเสียงนกกาที่เริ่มโบยบินออกหากินยามเช้า
ทุกคนเดินตามกันไปมุ่งหน้าไปวัดประจำหมู่บ้าน ซึ่งวันนี้เป็นวันพระ และคืนนี้จะเป็นคืนแรกที่มีมหรสพจัดงานครบรอบหนึ่งปี นับตั้งแต่จัดตั้งเป็นวัดขึ้นมา ชาวบ้านถวายที่ดินให้หลวงพ่อ ท่านเจ้าอาวาส ชาวบ้านช่วยกันทำศาลาและกุฏิสำหรับพระสงฆ์ขึ้นมา ทางการประกาศจัดตั้งให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนา โดยให้ชื่อว่า วัดเกษรเสมาราม
ท่ามกลางบรรยากาศแช่มชื่นก็อดไม่ได้ที่จะมีอุปสรรคมาให้อุราหงุดหงิด เมื่อเสียงนินทาดังไม่น้อยลอยมาเข้าหู ยังดีนี่เป็นทางไปวัด ยังไม่ใช่การนินทาระหว่างนั่งฟังธรรม นวลก็ได้ยินได้แต่จับแขนเพื่อนสาวไว้แน่น ไม่อยากให้มีเรื่องมีราว
“ยิ้มไว้อุรา อย่าใส่ใจ”
นวลเอียงหน้าไปกระซิบกระซาบพยายามเบรกอารมณ์เพื่อนรัก ก่อนที่เธอจะวางระเบิดแล้วชิ่งหนีกลับบ้านก่อนใคร
“เจ้าฟังสิ จะว่าไปแล้วถึงไม่อยากฟังก็ยังได้ยิน”
“เออ บ่เป็นหยังดอก”
“ข้อยกับนวลอยู่หม้องนี้เด้อสู จะนินทาก็ให้มันเบาๆ นี่กำลังจะไปวัดทำบุญ อย่าได้ทำบาปทำกรรม ด้วยการผิดศีลห้าเลยเด้อพี่หน้องเห้อ แล้วนิโกรนั่นก็คน คนตัวเป็นๆ เลยมีเลือดเนื้อมีหัวใจ จะไปว่าเพิ่น คนบ้านเรายังมีฟันเหยิน ฟันจอบ จมูกแหว่ง อ้ายเจสันเพิ่นดำแต่ใจดี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คิดอยากมาทำระบบน้ำ ระบบประปาให้หมู่บ้านของเรา พวกเจ้ามีปัญญาไหม ถ้าไม่มีให้เงียบไว้เด้ออย่าปากมาก”
อุราพูดยืดยาว ส่งสายตาเกรี้ยวกราดหันไปมองคนที่เดินตามด้านหลัง นวลมองดวงฤดี แต่ดวงฤดีหันมามองอุรายิ้มๆ นวลเลยยิ้มตาม
“แสบไม่น้อยเชียวเพื่อนสาวของนวลคนนี้”
ดวงฤดีเดินไปกระแซะนวล เอียงหัวเข้าไปใกล้ๆ กระซิบกระซาบ หัวเราะคิกคัก อุราหันมาทางเสียงหัวเราะแล้วค้อนแบบเคืองๆ นวลเห็นเพื่อนมองมาอย่างคาดโทษก็ทำหน้าทะเล้นเข้าใส่ เจสันกับอุระที่เดินตามมองมาพอดี สองหนุ่มมองหน้ากันกลั้นยิ้มแล้วผินหน้าไปคนละทาง
ถนนดินแดงที่ทอดยาวไปถึงปากทางวัดคึกคัก เต็มได้ด้วยผู้คนที่ศรัทธาในพุทธศาสนา ผ่านบ้านไหนเรือนไหนคนก็ออกจากบ้านเดินตามกันเป็นขบวนใหญ่ ประหนึ่งว่าทุกคนในหมู่บ้านไปรวมกันที่วัดจนหมด เด็กตัวเล็กก็แต่งตัวสะอาด เด็กหญิงแลดูสวยงาม ส่วนเด็กชายก็เรียบร้อยสวมเสื้อผ้าหลากสีสัน ช่างเป็นงานบุญที่ชื่นตาชื่นใจ
นวลแอบหันไปดูเจสัน ประเมินว่าเขาชอบสถานการณ์แบบนี้ไหม เมืองไทย คนไทย ผูกพันกัน บ้านวัด และโรงเรียน แทบจะแยกกันไม่ออกออก แต่เท่าที่อ่านหนังสือมา เมืองนอกเมืองนาเขาอยู่กันแบบบ้านใครบ้านมัน ลูกที่โตแล้วก็แยกจากพ่อแม่ไปทำงาน อยู่เอง กินเอง แต่คนไทย ขนาดไอ้แดงเพื่อนของนวล แต่งงานกับสาวบ้านเดียวกัน ก็ยังอยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่ ยังทำไร่ ไถนา อยู่เรือนหลังเดียวกัน
บนถนนสายที่ทอดยาวมุ่งหน้าไปวัด คนทยอยเดินตามกันไปเป็นทางเหมือนขบวนมดไต่ไปในทางเดียวกัน ความเป็นฝรั่งผิวดำและคนแปลกหน้า เด็กๆ แวดล้อมหน้าล้อมหลังเจสันเหมือนเป็นของแปลก บางคนใจกล้า ส่งเสียง ‘ฮัลโล้ ฮัลโล่’ บางคนใจกล้าขนาดจับนิ้วมือใหญ่ๆ เรียวยาวของเขาแกว่งไปมา ท่าทางเจสันจะรับได้ เพราะเขาเล่นกับเด็กเพลินแลเป็นธรรมชาติ ไม่มีท่าทางรังเกียจ บางคนแอบหยิกเขาด้วย เขาได้แต่หัวเราะ เด็กมันคงสงสัยว่านี่สัตว์ประหลาดตัวใหญ่ตัวดำเห็นแต่ฟันที่ขาว
เจสันเล่นกับเด็กๆ พอมองไปทางนวล เห็นว่าเธอมองมา เขาส่งยิ้มให้และทันได้เห็นแก้มสาวออกสีชมพูระเรื่อ เขายิ่งยิ้มกว้าง ยิ้มทั้งตาและปาก จนนวลต้องแทบจะสะดุด ดีว่าดวงฤดีคว้าไว้ทัน
ขบวนผ่านหน้าบ้านของแดง แดงกับหลานวันนี้แต่งตัวหล่อเป็นพิเศษ รอเดินเข้ามาร่วมขบวน แดงรอจะเดินไปพร้อมอุรา หลานน้อยของเขาเห็นเจสันสูงโย่ง โดดเด่นมาแต่ไกล เขาสลัดมือที่แดงกำลังจับไปไว้ วิ่งเข้าไปหา
เด็กน้อยไปหยุดยืนต่อหน้าเจสัน เอียงคอมอง ขบวนคนเดินไปวัดคนข้างหลังเริ่มหยุดเดิน เสียงพูดคุยเงียบหายไป คนข้างหน้าสงสัยหันมามองเลยหยุดด้วย
เหมือนโลกกำลังหยุดเดิน แล้วมีแค่พวกเขาสองคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้
เด็กน้อยค่อยๆ พิจารณาชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์ผิวพรรณคล้ายกับตัวเอง เท้าเล็กๆ ก้าวเดินเข้าไปใกล้ๆ ยื่นมือเล็กๆ ที่ผิวสีดำสนิทของเขามาแตะที่มือใหญ่ผิวสีเดียวกัน เจสันยิ้มเห็นฟันขาว เด็กน้อยยิ้มเห็นฟันขาววาววับ ชายหนุ่มก้มไปอุ้มเด็กน้อยด้วยความอาทร สองชีวิตเข้าใจกันโดยไม่ต้องใช้คำพูดใด
เด็กน้อยซบที่บ่าของเขา เจสันใช้มือใหญ่ๆ ลูบผมหยิกหยอยเส้นเล็กนุ่มสลวยนั้นเบาๆ ในใจเขาผ่อนคลาย อากัปกิริยาของของเด็กน้อยคือความบริสุทธิ์ใจที่เขาได้รับครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาเป็นคน เด็กเอ๋ยคงลำบากเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกมาตลอดชีวิตน้อยๆ ของเธอสินะ เขาร้อนวูบที่ดวงตา น้ำตาของลูกผู้ชายเอ่อเต็มจนดวงตาพร่ามัวจนต้องกะพริบตาไล่ให้น้ำใสๆ หยดลงมา
นวลตื้นตันกับภาพที่เห็นตรงหน้า ผู้ใหญ่หลายคนที่มองมา คนเฒ่าคนแก่อดไม่ได้ที่จะหาผ้ามาซับน้ำใสๆ ที่หัวตา ดวงใจพิสุทธิ์สองดวงของคนแปลกหน้าที่สื่อสาร ถ่ายทอดความอบอุ่นให้กันและกันสวยงามกว่าใดในโลกหล้า
เสียงของเด็กผู้หญิงผมสีทองตาสีฟ้าตะโกนเรียก แล้วส่งกางมือขอให้เจสันอุ้ม ปลุกทุกคนให้กลับมามีสติ เจสันก้มลงช้อนตัวเด็กหญิงไว้ที่แขนแข็งแรงอีกข้าง ไม่รู้เสียงปรบมือดังมาจากไหน ทุกคนปรบมือต่อๆ กันดังเนิ่นนาน แล้วสรรพชีวิตก็เคลื่อนไหวต่อไปตามปกติ
ภาพชายฝรั่งผิวดำ อุ้มเด็กลูกครึ่งสองคนกำลังเดินไปวัดพร้อมชาวบ้านโนนบุปผาแดงจะเป็นภาพที่ตราตรึงในใจของผู้คน จะกลายเป็นตำนานเล่าขานไม่รู้จักจบต่อไป
แดดสายเริ่มร้อนแรง เมื่อจบจากพิธีการยามเช้าในวัด ผู้คนแยกย้ายกันกลับบ้านแต่นวลพาเพื่อนๆ ไปหาหลวงพ่อที่ยังนั่งคุยกับญาติโยมอยู่ในโบสถ์ พวกผู้ใหญ่พอเห็นเด็กๆ มาก็ถอยฉากออกไป ให้พวกของนวลได้เข้าไปกราบหลวงพ่อ
“เพื่อนข้อยค่ะ หลวงพ่อ คุณดวงฤดี เป็นพยาบาล ส่วนเจสัน เป็นทหารในกองทัพทำหน้าที่พ่อครัว”
ดวงฤดีกราบหลวงพ่ออีกครั้ง เจสันก็ทำตาม
หลวงพ่อพินิจดูผู้มาใหม่ทั้งสองคน แล้วกล่าวอย่างผู้มีเมตตา
“เออ ขอให้อยู่ดีมีสุขกันนะลูกหลาน”
“หลวงพ่อพูดฝรั่งได้บ่”
อุระแซว เพราะรู้ว่าพูดได้ และเป็นคนที่ย้ำให้เขาและน้องๆ เรียนภาษาอังกฤษเพราะมันสำคัญ มีโอกาสได้ใช้ในภายภาคหน้า ซึ่งภาคหน้าของหลวงพ่อไม่ได้ไกลเลย
“โอ๊ย จะมาเว้าอะไร ฝรั่ง ฝะเหริ่ง หลวงพ่อบ่เว้าเป็นดอก”
แล้วหลวงพ่อก็หันไป สปีกฝรั่งสำเนียงไทยว่า
“หลวงพ่อดีใจหลายที่เห็นเจ้ามามื้อนี้ ขอให้อยู่ดีมีความสุขนะพ่อหนุ่ม”
หนุ่มสาวชาวหมู่บ้านโนนบุปผาแดงยิ้ม แต่คนกรุงเทพกับฝรั่งรูปหล่อตาค้าง ไม่คาดว่าจะเจอคนรุ่นพ่อแบบหลวงพ่อที่พูดภาษาอังกฤษได้ชัดขนาดนี้ ดวงฤดีถึงกับกระซิบกับนวลว่าคนในเมืองนี้ก็น่าทึ่งมาก เรียนรู้ได้ไว หลังจากมีฐานทัพทหารมาตั้งมั่นไม่ถึงปีการเปลี่ยนแปลงในจังหวัดนี้ก็ปรับตัวได้รวดเร็ว ธุรกิจต่างๆ เอื้ออำนวยต่อทหารในกองทัพ
พวกเหล่าทหารต่างชาติ ต่างภาษา มาร่วมรบชนิดที่ว่าไม่รู้ว่าจะตายวันไหน เมื่อทางกองทัพจัดให้มีสวัสดิการ สันทนาการ พวกทหารเหล่านี้จึงกิน ดื่ม และใช้ชีวิตชนิดที่ว่าไม่คิดถึงวันพรุ่งนี้ แต่กับเจสันที่ไม่ได้ออกรบโดยตรง เขายังมีความหวังอยากมีชีวิตที่ยืนยาวต่อไปหลังจบการเป็นทหารเกณฑ์ เขาอยากสร้างครอบครัว ฝันของเขาคือมีใครสักคนให้รักและคิดว่าเขาเจอเธอแล้ว
เจสันได้คุยกับหลวงพ่อเรื่องต่อน้ำใช้มาถึงในหมู่บ้าน กระจายไปตามบ้านทุกคนจะได้ไม่ลำบากไปหาบน้ำจากที่ไกลๆ โดยเฉพาะบ้านไหนที่สามารถขุดบ่อบาดาลในพื้นที่ของตนเองได้ หลวงพ่อได้คุยถึงเรื่องการประสานงาน และฝนหลวงที่ในหลวงรัชกาลปัจจุบันกำลังริเริ่มซึ่งกำลังทดสอบทางภาคอีสานนี่แหละแต่ที่นี่ยังเป็นพื้นที่ที่ต้องรอคิว ส่วนทางภาคใต้มีฝนตกชุกทั้งปี
นวลนั่งฟังชายหนุ่มคุยกับหลวงพ่อ ทำให้เหมือนรู้จักเขามากขึ้น เจสันเป็นลูกชายคนเดียว แม่กับพ่อค้าขายของเก่า ฐานะดี เขาเองมีบ้านเป็นของตัวเอง ก่อนมาเป็นทหารเกณฑ์ เขาเป็นเจ้าของร้านอาหาร เขาชอบร้องเพลง เล่นกีตาร์ได้ เขาร้องเพลงที่ร้านอาหารของตัวเองด้วย เจสันมาอยู่เมืองไทยจะครบกำหนดแล้ว เมื่อครบกำหนดเขาต้องกลับประเทศตัวเอง เพื่อดำเนินเรื่องทหารให้จบแล้วจะกลับมาใหม่ เขาอยากอยู่เมืองไทย เกือบสองปีที่เขาอยู่ที่นี่ได้รับความทรงจำที่ดี เขายังไม่แต่งงานซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยคิด แต่อาจจะคิดในเร็วๆ นี้
หญิงสาวนั่งเป็นตัวประกอบฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ดวงฤดีเป็นนักแปลที่พยายามสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน นวลแอบอิ่มใจเบาๆ เมื่อรู้ถึงความตั้งใจของเจสัน ที่อยากให้ทุกคนในหมู่บ้านมีน้ำใช้พอเพียง แม้จะเป็นไปได้ยาก แต่นวลยินดีที่จะช่วยเขา อุระและอุราก็ด้วย
พวกเขาลาหลวงพ่อกลับเมื่อได้เวลาฉันเพล เจสันบอกหลวงพ่อว่าเขาจะกลับมาหาหลวงพ่อแน่นอน และวันหนึ่งเขาอยากจะบวชเรียนในพระพุทธศาสนาเพื่อได้เรียนรู้วิถีชีวิตคนที่นี่มากขึ้น
เมื่อทุกคนกราบลาหลวงพ่อ หลวงพ่อได้กล่าวคำหนึ่งกับทุกคน เหมือนหลวงพ่อได้รับรู้เหตุการณ์ตอนที่กำลังเดินเข้าวัดอย่างไรก็อย่างนั้น
“จำไว้นะ ใครพูดอะไรก็ช่างเขา กรรมมันอยู่ที่เขา ไม่ได้อยู่ที่เรา ไม่ต้องเอามาใส่ใจ”[1]
“สาธุ” คนไทยยกมือพนมท่วมหัว ฝรั่งเห็นก็ทำตามและกล่าวเสียงเลียนแบบว่าสาธุด้วยเช่นกัน
ก่อนกินข้าวเย็นเป็นช่วงที่รอคิวเข้าอาบน้ำ นวลจึงพาเจสันไปทำความรู้จักกับอีเผือกและอีดำ เล่าให้เขาฟังว่าเมื่อก่อนเธอเป็นเด็กเลี้ยงควาย เคยตกควายด้วย อายเพื่อนๆ มาก อีเผือกน้อยตอนนี้ถูกสนตะพายมีเชือกล่ามเพราะตัวโตมาก
เจสันถามว่าเขาจับตัวควายได้ไหม นวลบอกจับได้ ขี่ก็ยังได้เลย เอาไว้มาครั้งหน้า มีเวลามากกว่านี้ นวลจะพาเขาออกไปกลางทุ่ง ไปเลี้ยงควายและสอนให้ขี่ควาย เจสันหัวเราะชอบใจ
อีเผือกก็แสนรู้อยู่เป็น พยายามเข้ามาใกล้เอาหัวมาถูไถคอกเหมือนจะเรียกร้องความสนใจ เจสันตื่นเต้นมาก แต่ไม่ทันได้เล่นกับควาย เสียงดวงฤดีก็ตะโกนมาจากบนบ้านว่าอาบน้ำเสร็จแล้ว ให้คนต่อไปไปอาบน้ำได้เลย จะได้รีบกินข้าวแล้วไปเที่ยวงานวัด
เชิงอรรถ :
(1) คำสอนของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 20 : เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็น
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 19 : บ้านนอก
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 17 : ดวงฤดี
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 16 : โรงหนังใหญ่
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 15 : ฤาจะเป็นโชคชะตา
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 18 : เงินหาง่าย
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 14 : สร้างตัวตน
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 13 : โลกเป็นโรงละครใหญ่
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 12 : ยินดีที่รู้จัก
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 11 : ในเรื่องเล่า
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 10 : ขวัญมาเด้อหล่า
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 9 : บังเอิญมีจริงไหม ?
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 8 : ชีวิตที่ต้องเรียนรู้
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 7 : น้องเขาเพิ่งมาใหม่
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 6 : ทางเลือกและทางรอด
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 5 : เฮ้ย ! นั่นที่นาใคร
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 4 : เอื้อยชอบแบบนี้
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 3 : ฝันร้าย
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 2 : เด็กเลี้ยงควาย
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 1 : โนนบุปผาแดง








