
บุปผาตีตรา บทที่ 10 : ขวัญมาเด้อหล่า
โดย : สีน้ำฟ้า
![]()
บุปผาตีตรา โดย สีน้ำฟ้า นวนิยายสะท้อนอคติและพลังคำพูด ผ่านชีวิต “นวลปราง” ที่ใช้การศึกษาโต้กลับคำครหา และ “อุรา” ผู้หลงทางจนกลายเป็นเมียเช่า เรื่องราวในอีสานยุคสงครามเวียดนาม ถ่ายทอดมิตรภาพ ความรัก และบาดแผลจากการถูกตีตรา ชี้ให้เห็นว่าคำพูดบางคำอาจผลักดันหรือทำลายชีวิตคนได้ อ่านออนไลน์ได้แล้วบนเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co
ทั้งสามเดินออกจากร้านทองด้วยความอิ่มเอิบใจเมื่อนึกถึงความสุขของคนในครอบครัวที่กำลังจะได้พบ พากันเดินไปซื้อขนมที่จำได้ว่าพ่อแม่เคยบอกชอบกินสมัยที่น้อยซื้อไปฝาก และทุกคนก็ไม่ลืมที่จะซื้อไปให้พ่อแม่ของน้อย และผู้ใหญ่คนอื่นแบบที่น้อยแนะนำ
แล้วพากันเดินมาที่คิวรถในตลาด ตรงจุดนี้จะมีรถเมล์สีขาวผ่าน รถนี้จะวิ่งไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน แล้วเดินเท้าเข้าไปอีกไม่ไกลมาก ยังไงก็เดินกันจนชินอยู่แล้ว
รถมาจอดเทียบทั้งสามรีบก้าวขึ้นไป บนรถมีสาวคนไทยกับหนุ่มฝรั่งนั่งคุยกันแนบชิดอยู่สองสามคู่ และมีชายฝรั่งเป็นกลุ่มสี่คนนั่งอยู่เบาะยาวหลังสุด คนขับมองกระจกหลัง เมื่อเห็นทุกคนขึ้นรถแล้วก็ตะโกนบอกให้จับราวให้ดีๆ รีบไปหาที่นั่ง ก่อนจะขับรถแล่นออกไป เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม ลมพัดเย็นพัดกรูเกรียวมาทางหน้าต่างและประตูที่เปิดโล่ง
นวลนั่งอยู่เบาะซ้ายใกล้ประตูทางลงด้านหน้า อุรานั่งติดกัน ส่วนอุระแยกไปนั่งอีกทาง
“พวกเจ้าจะไปไหนกัน”
ผู้หญิงบนรถที่นั่งกับฝรั่งเบาะหน้า ลุกขึ้นยืนหันมาชวนคุยด้วยภาษาบ้านเกิด นวลยิ้ม
“ข้อยจะกลับบ้านโนนบุปผาแดง”
“แล้วจะมาอีกไหม”
“ใช่ ข้อยต้องกลับมาอีก เพราะว่าทำงานได้เงินหลาย ข้อยทำที่ร้านก๋วยเตี๋ยว กลางคืนไปชงเหล้า เสิร์ฟในบาร์”
“ขยันแท้”
“พวกเจ้าไปไหนมา หรือจะไปไหน”
“พาฝรั่งไปเที่ยววัดมา นี่จะพาไปเที่ยววัดข้างหน้า อีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว”
“อื้อ ฝรั่งหนุ่มๆ แบบนี้ไปเที่ยววัดกันรึ”
“โอ๊ย หมู่นี้ชอบหลาย พระตรงไหนที่ว่าดีเขาก็ไปขอ ไปบูชาทั้งนั้นแหละ เพิ่นเป็นทหารเนาะคงอยากได้ของดีไว้ปกป้องคุ้มครองนั่นแล”
นวลและอุราพยักหน้าพร้อมกัน หญิงสาวคนที่นั่งด้านหน้าถือว่าแต่งตัวสุภาพเหมาะสำหรับการไปวัด แต่สวยแปลกตา ด้วยเสื้อเชิ้ตสีสด มีที่คาดผมเป็นโบสีแดงดอกใหญ่เตะตา หมู่นี้ที่เธอเอ่ยถึงคงจะหมายถึงกลุ่มฝรั่งที่มาด้วยกันทั้งหมด ท่าทางคนที่นั่งข้างคงเป็นแฟนของเธอ สวนคนข้างหลังน่าจะเป็นเพื่อนกลุ่มก๊วนเดียวกัน
แวบหนึ่งนวลคิดถึงเจสัน เขาก็เป็นทหารเหมือนกัน ไม่รู้ตำแหน่งอะไร ยศอะไร และไม่รู้ว่าทำหน้าที่อะไร ได้คุยกับผู้หญิงตรงหน้าก็ดีเหมือนกัน นวลกลับบ้านเดี๋ยวไปขอบูชาหลวงพ่อที่วัดมาเป็นของขวัญให้เขาดีกว่า ใครจะนับถือพระเจ้าแบบไหนนวลเชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาก็สอนให้คนเป็นคนดีทั้งนั้นแหละ
“นี่เจ้าจะไปวัดไหนกัน”
“ข้อยจะไปวัดโพธิ์ชัย หลวงพ่อนาค เขาว่าท่านศักดิ์สิทธิ์หลาย มีใครไม่รู้ลักไปขายฝรั่ง ฝรั่งจะเอาขึ้นเครื่องบินกลับบ้านแต่เครื่องไม่ขึ้นต้องเอามาคืน”
“โอ้…สาธุ”
นวลยกมือไหว้กลางอากาศ
“ศักดิ์สิทธิ์แท้ เที่ยวกันให้สนุกนะ”
“นวล เราต้องลงศาลาไทยข้างหน้าแล้วนะ” อุระเดินมาถือของเตรียมพร้อมจะลงจากรถ
“เราต้องลงข้างหน้านี่แล้ว ไปก่อนนะ โชคดี”
“อื้อ ขอบใจหลาย”
มีหนึ่งในผู้หญิงก๊วนนั้นจดชื่อที่ทำงานยื่นให้อุรา กระซิบข้างหูว่าหน้าตาแบบอุราฝรั่งชอบ ถ้าสนใจไปทำงานพิเศษด้วยกันให้เดินไปหา อุรามองหน้าผู้หญิงคนนั้นตาขวาง แต่ไม่ทันได้ทำอะไร รถก็จอดเทียบที่ศาลาไทยหน้าป้ายทางเข้าหมู่บ้าน สามคนช่วยกันหิ้วข้าวของลงมา
พวกเขามาถึงในเวลาบ่ายแก่ๆ ที่ศาลาไม่มีใครเลย จึงพากันเดินเท้าเข้าหมู่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลแล้ว สองข้างทางเป็นท้องนา นวลมองหน้าเพื่อนและพี่ชายของเพื่อน ใบหน้าของอุราแสดงความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือแววตาเป็นประกายแห่งความสุข สีหน้าของเธอยิ้มแย้ม อุระเป็นคนไม่พูดมาก ดวงหน้าเรียบเฉย ไม่รู้ว่าเขาซ่อนความนัยใดไว้ข้างในใจ
ถนนสายนี้เป็นลูกรังสีแดงมีรอยยุบของล้อเกวียนเป็นทางยาวไปข้างหน้า ท้องนาสองข้างทางยังว่างเปล่า เพิ่งจะผ่านพ้นฤดูเก็บเกี่ยวไปได้ไม่นาน รอคอยฤดูกาลใหม่มาก็จะเข้าหน้าหว่านไถ แดดบ่ายร้อนแรงจนเหงื่อซึม เดินกันหัวโล่งๆ ไม่มีใครสวมหมวกสักคน ในมือต่างถือถุงกระดาษและถุงบรรจุของเต็มมือ
อุราเร่งฝีเท้าเดินนำ แต่ก็หันมาชวนคุย
“ไม่น่าเชื่อว่าเป็นเดือนแล้วที่พวกเราไปทำงานในเมือง”
นวลก้าวเท้าเดินตาม อุระรั้งท้าย เขาเป็นคนหอบสัมภาระมากที่สุด นวลไม่ได้ตอบคำถามของอุราแต่ถามเรื่องวัดที่ผู้หญิงคนนั้นเล่าบนรถ เธอยังติดใจ
“เจ้าอยากไปด้วยสิ วัดนั้น” อุราถามอีก
“อือ เราไปบูชาหลวงพ่อดีกว่า มีเงินค่อยไปทำกรอบทองห้อยคอกัน ไปไหม”
“เข้าท่านะ นวล อ้ายจะลองถามเพื่อนดูว่ามีใครไปบ้าง” อุระที่เงียบอยู่พูดขึ้นมาบ้าง
“ไปยังไง อ้าย เลยบ้านเราไปไกลไหม”
“อ้ายก็ไม่รู้เหมือนกัน กลับไปคราวนี้ อ้ายจะไปถามเพื่อนสามล้อ มีคนเก่งๆ ที่ชอบพาฝรั่งเที่ยว เขาบอกว่าจะออกรถเก๋งเอาไว้พาฝรั่งเที่ยวด้วย คงรู้ทางดี”
“ข้อยว่าพวกเราโชคดีนะที่เราได้ไปทำงานในเมือง เราได้รู้หลายเรื่องเลย เมื่อก่อนใครจะคิดว่าอย่างพวกเราจะมีเงินซื้อทองให้พ่อแม่ แถมยังมีเงินสดเหลือมาให้เขาเก็บไว้ใช้อีก”
“เขาถึงว่าในเสียมีดียังไงล่ะ หลวงพ่อวัดบ้านเรานี่ละ สอนอ้ายเสมอ”
“อ้อ เกือบลืม อ้ายอุระบวชเรียนแล้วนี่นะ”
“หลวงพ่อเราทันสมัยด้วยนะ เขาไปกรุงเทพ เอาหนังสือมาฝากอ้ายล้ายหลาย”
“อื่อ อ้ายอ่านหนังสือเก่ง ฉลาดกว่าพวกเราทั้งหมดเลย ฉลาดกว่าใครในหมู่บ้าน” นวลชมเปาะ
“แล้วมานี่ อ้ายเอาสามล้อให้เขาเช่าวันละกี่บาท” อุราถามพี่ชาย
“อ้ายไม่ได้ตั้งราคาไว้ อ้ายบอกว่าแล้วแต่ให้ เอาเท่าคนอื่นนั่นละ”
“อ้ายใจดีจัง และเก่งด้วย ทำงานได้เจ็ดวันซื้อสามล้อถีบได้แล้ว ข้อยว่าพ่อจะต้องดีใจด้วยแน่ หยุดงานกันสามคน อ้ายอุระเป็นคนเดียวที่ยังได้รับเงิน” นวลเอ่ยปากชมไม่ขาดสาย
“อ้ายแค่ขยัน อีกอย่างหนึ่งอ้ายบ่อยากเสียโอกาส คิดถึงสมัยอ้ายไปตัดหญ้าคามาให้เจ้าสองคนไพคาส่งเขา ทั้งหนัก เหนื่อย คัน ได้เงินสิบกว่าบาทพวกเรายังทำได้ แค่ทำร้านก๋วยเตี๋ยว ต่อด้วยขับสามล้อถีบ อ้ายว่าสบายกว่ากันเยอะเลย ฝรั่งใจดีให้ทิปหนัก”
“ก็อ้ายพูดอังกฤษเก่งแล้ว”
“ยัง แค่พอรู้เรื่อง”
“เจ้าสองคนต้องรีบพูดให้เก่ง ยิ่งไวเรายิ่งทำงานได้ดี ทำเงินได้มาก พ่อแม่จะได้ไม่ลำบากอีกแล้ว”
ทั้งสามเดินคุยกันเพลิน จนอุราลืมเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นบอกไปเลย กระดาษที่เธอจดให้ก็ไม่รู้เอาไปทิ้งตรงไหนแล้ว จากปากทางมาจะถึงบ้านนวลก่อน นวลแวะเข้าบ้าน อุระเอาข้าวของส่วนที่เป็นของนวลขึ้นไปไว้บนบ้าน อุรายืนรออยู่ พอพี่ลงมาก็พากันเดินกลับบ้านตัวเอง
นวลยืนรอส่งเพื่อนจนลับตาแล้วเดินขึ้นบ้านบ้าง พ่อกับแม่ไม่อยู่ บ้านเงียบเชียบ เอาของไปจัดเก็บแล้วออกมา เริ่มจัดการทำความสะอาดบ้าน นึ่งข้าว ระหว่างนั้นก็เอาของสดที่ซื้อมาทำกับข้าวหั่นเนื้อหมูเสร็จตั้งไว้ จากนั้นลงบ้านไปเก็บผักริมรั้วมาใส่แกง ไม่ลืมเก็บเผื่อเป็นผักแนมให้พ่อ มื้อนี้ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง
เมื่อมีคนได้ข่าวว่าเพื่อนกลับมา อ้นก็กระเตงหลานวัยขวบกว่ามาหา ส่วนแดงก็เอาหลานน้อยวัยสามขวบ กำลังหัดพูดเดินมาหานวลซึ่งทำงานบ้านเสร็จพอดี อุระเสร็จงานแล้วเหมือนกัน เดินเข้ามาพร้อมๆ กัน เขาส่งถุงขนมที่ถือติดมือมาด้วยส่งให้เพื่อน
“เอ้า แดง เอาขนมให้บักหำมัน ข้อยจะไปดูอีเผือกกับอีดำมันก่อน จะตามขึ้นไป”
คนเลี้ยงควายไปทำงานในเมือง พ่อแม่ก็ไม่ค่อยได้เอาออกไปล่ามกลางทุ่งทุกวันเหมือนก่อน อุระไปส่องฟางในรางหญ้าที่หน้าคอกแล้วเลยไปส่องรางน้ำเห็นว่ายังมีอยู่เต็ม แสดงว่าพวกมันคงอิ่มแล้ว เขาลูบหัวอีดำกับอีเผือกเป็นการทักทายแล้วเดินขึ้นบันไดบ้านตามเพื่อนที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ตรงชานเรือน
“บักหำนี่โตแล้วนับวันยิ่งออกไปทางพ่อนะ แดงนะ”
เด็กน้อยผมหยิก ผิวดำ ตากลมโตมีเค้าหน้าของเด็กสองสัญชาติไทยและอเมริกัน เป็นลูกของพี่สาวของแดงที่ไปทำงานในเมือง พอท้องก็เอาลูกมาไว้ให้ที่บ้านแล้วก็กลับไปทำงานต่อ
“ข้อยละเกลียดฉิบหายไอ้พวกหัวหยิก หัวทอง ไม่เคยมาดูดำดูดีลูกมันเลย ยังดีที่แม่มันส่งเงินมาให้พ่อใหญ่แม่ใหญ่ทุกเดือนไม่เคยขาด”
“ข้อยก็ไปทำงานในเมือง ข้อยจะเล่าให้ฟัง อ้ายแดง อ้ายอ้น จะฟังบ่ฟัง”
นวลชวนเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นแดงเริ่มของขึ้น แล้วหลานน้อยสองคนก็อยู่ในวัยกำลังเรียนรู้ เขาไม่อยากให้เด็กมีปัญหา ถึงแม้พวกพี่สาวพวกเขาไปทำงานเป็นผู้หญิงอย่างว่า บ้านไหนจะรังเกียจเสียดสี แต่นั่นคือคนในครอบครัวไม่ควรซ้ำเติมพี่น้อง อีกอย่างเด็กไม่รู้อะไรด้วยควรให้เขาเติบโตอย่างอบอุ่นใจจะดีกว่า
อุราเดินขึ้นเรือนมา หยุดยืนถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะมาร่วมวง แกะขนมที่อุระถือมาป้อนให้เด็กที่กำลังนั่งเล่นไม่ไกล ยิ่งไอ้ตัวหัวหยิกนิ่งฟังเหมือนจะซึมซับกิริยาอาของตนเองแต่กับอุราที่อ่อนโยนด้วยเด็กชายมองด้วยสายตาหวานฉ่ำแถมยิ้มเอียงอาย แดงแอบมองเห็นอุราก็ไม่มีท่าทีรังเกียจหลานเขาก็เผลอยิ้มออกมาอย่างลิงโลด หลานของอ้นเป็นเด็กหญิง ผมสีทองตาสีฟ้ายังพูดไม่ได้ เดินยังไม่เก่ง อ้นต้องคอยดูและประคองอยู่
อุระเดินตามขึ้นมาอีกคน วงสนทนายามบ่ายคล้อยเริ่มออกรส สลับกับเสียงหัวเราะเฮฮา บางทีก็มีเสียงบ่นอื้ออึงของคนเป็นเพื่อน มิตรภาพของพวกเขายังไม่เปลี่ยนไป นวลมองตามสายตาของแดงที่มองอุรา แดงโตเป็นหนุ่มแล้วปีนี้ สายตาเขามองอุราเหมือนคนกำลังตกอยู่ในห้วงรัก เธอไม่คิดอะไรมาก เดี๋ยวแดงโตกว่านี้คงเปลี่ยนไป นี่อาจเป็นเพราะความใกล้ชิดวัยเด็ก ทำให้แดงอาจหลงรักอุราตามประสาวัยแรกแย้ม นวลจึงชวนพวกเขาคุยเรื่องโน้น เรื่องนี้ไม่ขาดตอน
จนกระทั่งพ่อและแม่ของนวลกลับขึ้นเรือนมา นวลเดินเข้าไปประชิดตัวตระกองกอดแม่ แม่บ่ายเบี่ยงเป็นห่วงกลัวลูกจะคาย เพราะนวลแต่งตัวสวยดูสะอาดสะอ้านกว่าเมื่อก่อน ใกล้กันจนได้กลิ่นหอมของแป้งหรือน้ำหอมอะไรสักอย่างจากตัวลูก
“ข้าเหม็นทั้งเหงื่อไคล เจ้าจะมากอดแม่ทำไมนวลเอ้ย” แม่พยายามปลดมือนวลที่มาเกาะเกี่ยวที่แขนที่เอวของนาง
“โถ แม่…ใครว่าเหม็น นี่หอมชื่นใจ”
นวลกอดแล้วก็หอมแม่โชว์เพราะความคิดถึง มีถ้อยคำในใจหลายล้านคำที่อยากบอกแม่พร้อมๆ กันตอนนี้ แต่ติดอยู่ที่เพื่อนอยู่เต็มเรือน
“เหม็นเบื่อความรักว่ะ”
อ้ายแดงลุกขึ้นเอาหลานกระเตงเอว อ้นเห็นก็ทำตาม อุระก็ด้วย พากันลุกขึ้นพร้อมจะอำลา
“พวกเรากลับก่อนนะ ค่อยมาใหม่ แม่ ลูกเขาจะได้มีเวลาจู๋จี๋กัน”
อุระพูดติดหัวเราะ พ่อที่เดินขึ้นบ้านตามมา เดินสวนกับพวกหนุ่มๆ ที่เรือนได้แต่ตบไหล่ ตบบ่าพวกเขาเป็นการทักทาย
“เดี๋ยวเจอกันใหม่นะ ข้อยลาพักสองสามวัน ยังไม่รีบกลับไปทำงาน” นวลตะโกนบอกเพื่อนที่กำลังลงบันไดไป
“พ่อ มา มาทางนี้ มานั่งนี่ นวลมีอะไรจะให้” นวลเดินไปประคองกอดพ่อเหมือนกับที่เข้าหาแม่เมื่อสักครู่
เธอพาพ่อกับแม่มานั่งคู่กัน ส่วนตัวเองก็เดินไปหยิบกระเป๋าที่รีบเอาไปซ่อนไว้ในห้องนอน กลับออกมาเห็นแม่นั่งเช็ดหางตาป้อยๆ ส่วนพ่อก็มองมาด้วยตาแดงๆ นวลเข้ามานั่งแล้วกราบพ่อกับแม่ หยิบเอาทองที่ซื้อมาส่งให้ แม่รับไว้ด้วยท่าทางมึนงง ด้วยตลอดชีวิตไม่เคยมี
“อะไรนี่นวลเอ๊ย…”
“ทองค่ะแม่ เป็นสร้อยคอกับแหวน พ่อกับแม่ตกลงกันเถิดใครจะใส่อะไรก็แล้วแต่ นวลตั้งใจซื้อมาให้ แล้วก็นี่เงิน”
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 10 : ขวัญมาเด้อหล่า
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 9 : บังเอิญมีจริงไหม ?
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 8 : ชีวิตที่ต้องเรียนรู้
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 7 : น้องเขาเพิ่งมาใหม่
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 6 : ทางเลือกและทางรอด
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 5 : เฮ้ย ! นั่นที่นาใคร
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 4 : เอื้อยชอบแบบนี้
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 3 : ฝันร้าย
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 2 : เด็กเลี้ยงควาย
- READ บุปผาตีตรา บทที่ 1 : โนนบุปผาแดง








