หัวใจมังกร บทที่ 4 : ดอกโบตั๋น

หัวใจมังกร บทที่ 4 : ดอกโบตั๋น

โดย : สิรี กวีผล

Loading

หัวใจมังกร โดย สิรี กวีผล เรื่องของ ชายหนุ่มทายาทตระกูลจีน ถูกพรากคนรักและพรากชีวิตด้วยกระบี่ในอดีต ปาฏิหาริย์แห่งคำสาบานก่อนตายนำพาเขาและเธอกลับมาพบกัน ทว่าต่างภพชาติ ชายหนุ่มต้องเลือกระหว่างหน้าที่และครอบครัว หรือความรักที่เขารอคอยมานานนับร้อยปี อ่านเรื่องราวนี้ได้ทาง เพจอ่านเอา และ www.anowl.co

คืนนี้จะฝันถึงนายอีกไหมนะ

แม้ภายในใจของกัญญ์กุลณัชยังแอบมีความเสียใจให้กับรักครั้งเก่าที่เพิ่งจบลงไปหมาดๆ แต่น้ำจากฝักบัวก็ทำให้หัวและหัวใจของเธอเย็นลง กัญญ์กุลณัชกระชับผ้าเช็ดตัวแน่นขึ้นโดยอัตโนมัติ ประตูบานเลื่อนห้องน้ำค่อยๆ แง้มออกเหมือนคนเปิดกำลังกังวลว่าจะมีใครแอบอยู่ด้านนอก เธอทิ้งตัวลงบนเตียงนอนอันแสนอบอุ่น แต่ทว่าเธอกลับมีรอยยิ้มยามที่คิดถึงชายหนุ่มที่เธอฝันถึงอยู่บ่อยครั้ง

เสียงหัวเราะดังขึ้นมาแต่ไกล เหมือนเสียงนั้นจะมีมากกว่า 1 คน กัญญ์กุลณัชพลิกตัวไปมานอนไม่หลับด้วยเสียงรบกวนประหลาดนั้น เสียงใกล้ขึ้นมาทุกที เธอลืมตาตื่นขึ้นมายังคงพบว่าตนเองนอนอยู่บนที่นอน บรรยากาศยามค่ำคืนเงียบสงัด เธอหลับตาพลิกตัวลงนอน ทว่าไม่นานนักเสียงเปิดประตูห้องนอนของเธอดังขึ้น ไฟในห้องของเธอสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เธอไม่ได้เป็นคนเปิด ชางเปิดประตูลายไม้สักก้าวเข้ามาโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ มือของเขาเอื้อมไปเปิดสวิตซ์ไฟด้วยความเคยชิน ชายหนุ่มไม่ได้สนใจว่าสภาพห้องที่เขาก้าวเข้ามาไม่ใช่ห้องนอนของเขาอีกต่อไป เสื้อผ้าที่เปียกจากน้ำกระเซ็นถูกถอดออกเผยให้เห็นร่างกายกำยำล่ำสันของเขา ชางเดินเข้ามาพร้อมกับค่อยๆ ถอดกางเกงตัวสุดท้ายออกจากร่างกาย เมื่อเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายหมดไป เขาเงยหน้าขึ้นมามองไปข้างหน้ากลับพบกับใบหน้าสวยๆ ของหญิงสาวที่ฝากรอยมือและรอยเท้าเอาไว้บนร่างกายของเขามา 2 ครั้ง

“เฮ้ยยย…ย” ชางชี้ไปที่หญิงสาวแปลกหน้า

“นายเข้ามาที่ห้องฉันได้ยังไง” กัญญ์กุลณัชเอาผ้าห่มบังสายตาไม่อยากมอง ชางเลิ่กลั่กรีบคว้ากางเกงขึ้นมาใส่อย่างรวดเร็ว

“นี่มันห้องของอั๊ว ลื้อเป็นใครกันแน่ ผีใช่ไหม” ชางโยนเสื้อตัวเองใส่กัญญ์กุลณัช

“จะบ้าเหรอ นี่มันห้องของฉัน ลืมตาดูรอบๆ ก่อนไหม” ชางตั้งสติมองไปรอบๆ ก็รู้สึกตัวว่าไม่ใช่ห้องของเขาจริงๆ

“มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ชางพึมพำ

“นายเป็นผีที่สิงอยู่ในของเก่าบ้านฉันเหรอ จะเอาอะไรเดี๋ยวทำบุญไปให้” กัญญ์กุลณัชรีบควานหาพระที่อยู่ใต้หมอนมายื่นไปตรงหน้าชายหนุ่ม

“ใครเป็นผี อั๊วชื่อชาง ลื้อนั่นแหละเป็นผีจากหลุมไหนล่ะจะได้จุดธูปอัญเชิญพากลับไปถูก”

“นายน่ะสิผี ผีทะเล” กัญญ์กุลณัชมองหน้าชาง รู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนหัวใจของเธอรู้จักกับเขามานาน ชายหนุ่มตรงหน้าแม้จะดูแปลกประหลาด แต่ทว่ากลับอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่ต่างกับชาง เขากลับรู้สึกหลงรักผีสาวคนนี้เข้าอย่างจัง เฝ้ารอคอยความฝันตลอดกลางคืนโดยไม่รู้ตัว

“ฉันชื่อ กัญญ์กุลณัช หรือเรียกสั้นๆ ว่า กัญ ก็ได้” ชางได้ยินชื่อผีสาวตรงหน้าก็สับสนกับความยาวและยากของชื่อผี

“ผีหมวยกัญ”

“โอ๊ย คำก็ผี สองคำก็ผี ไอ้คุณผีช้าง”

“ช้าง ไหนช้าง อั๊วชื่อชาง” ชายหนุ่มยังพูดไม่ทันจบ กัญญ์กุลณัชทนไม่ไหวลุกขึ้นจากเตียงตรงเข้าไปหา เธอจับแขนชายหนุ่มเพื่อทดสอบว่าเธอไม่ใช่วิญญาณหรือผีที่ไหน

“เฮ้ย ผีจับตัวได้” ชางชะงักนิดหน่อย แต่เมื่อยามที่มือของหญิงสาวตรงหน้าสัมผัสแขนกำยำล่ำสัน เขาเผลอลูบไล้วงแขนอ่อนนุ่มนั้นกลับไปโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกบางอย่างกำลังสื่อสารด้วยภาษากายบอกเขาว่า มือน้อยๆ ของกัญญ์กุลณัชทำให้โลกของเขาเปลี่ยนสีไป ความรู้สึกบางอย่างที่บอกว่ามือนี้เป็นมือที่เขารอคอยที่จะได้พบกัน สัมผัสนั้นช่างเป็นความรู้สึกโหยหา คิดถึง แต่ทว่ากลับมีความเสียใจ ความโศกเศร้าแฝงอยู่ในสัมผัสนั้น เฉกเช่นเดียวกับกัญญ์กุลณัช เธอดึงเขาเข้ามากอดโดยที่ไม่รู้ตัว มือของเธอกอดไปที่แผ่นหลังของเขาอย่างแนบแน่น ความรู้สึกถวิลหาอ้อมกอดนี้ประดังประเดเข้ามา ทั้งสองเบี่ยงตัวออกจากกันเล็กน้อย เพื่อให้สายตาทั้งคู่ได้สบตากันอย่างชัดเจน แววตาทั้ง 2 คู่นั้นต่างมีความรู้สึกนึกคิดไม่ต่างกัน ชางโน้มตัวลงมาที่หน้าผากที่มีไรผมน้อยๆ คลอเคลีย จมูกเป็นสันของเขาสัมผัสหน้าผากนั้นอย่างทะนุถนอม กัญญ์กุลณัชค่อยๆ เชยคางตนเองขึ้นไปรับสันจมูกของเขา ทั้ง 2 หายใจรดรินกันอยู่เพียงครู่ ริมฝีปากชมพูระเรื่อสัมผัสกันแผ่วเบา หนักแน่น ไม่มีใครที่จะสามารถต้านทานความโหยหานี้ได้เลย

 

ผิวน้ำสีน้ำตาลอ่อนทอประกายกระทบแสงแดดจางในฤดูฝน ก้อนเมฆก่อตัวสีเทาแต่ไม่ได้บดบังท้องฟ้าสีฟ้าและแสงจากดวงอาทิตย์เท่าไรนัก เรือน้อยใหญ่สัญจรไปมาขวักไขว่คล้ายถนนหนทางสักหนึ่งเส้น เสียงแทร๊ก แทร๊ก ของเรือหางยาววิ่งตะลุยฝ่าผิวน้ำแหวกเป็นคลื่นสาดสองกาบเรือ เสื้อชูชีพสีส้มกับนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตากำลังสนุกสนานกับการผจญภัยของพวกเขา

กระจกของตึกใหญ่ตั้งตระหง่านกินบริเวณหน้ากว้างริมแม่น้ำเจ้าพระยาสะท้อนภาพวิถีชีวิตของผู้คนคล้ายเคลื่อนฉายหนังบนจอใหญ่ บริเวณชั้น 4 ห้องโถงขนาดกลางถูกจัดตกแต่งด้วยไฟสีขาวสะอาด โบราณวัตถุและศิลปวัตถุมากมายวางเรียงรายเป็นทิวแถว บ้างอยู่ในตู้กระจก บ้างวางไว้บนพรมกำมะหยี่สีแดง ทุกชิ้นมีป้ายหมายเลขวางไว้เพื่อแสดงให้เห็นลำดับสินค้าและราคาเริ่มต้น

หนึ่งสัปดาห์สำหรับงานพรีวิว มีคนทั่วไปที่เป็นหน้าใหม่และคนคุ้นเคยที่สนใจเข้ามาดูศิลปวัตถุและโบราณวัตถุพร้อมฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในชิ้นงานนั้นๆ ก่อนที่งานประมูลจะเริ่มขึ้นจริง เจ้าของร้านอย่างกฤตชย์และภัทรา เข้าร่วมงานประมูลครั้งนี้พร้อมทั้งเป็นผู้ซื้อและผู้ส่งสินค้าเข้าประมูล โบราณวัตถุครั้งนี้เป็นศิลปะจีนและไทยโบราณรวมทั้งหมดร้อยกว่าชิ้น กัญญ์กุลณัชขับรถหรูเข้ามาจอดที่ลานจอดรถเรียบร้อย เธอเลือกวันแรกที่เปิดให้ผู้สนใจเข้ามาดูศิลปวัตถุ ที่ลงทุนมาถึงที่นี่เพราะคุณพ่อของเธอบอกว่าอยากจะให้เธอได้ลองประมูลงานดูสักครั้ง แถมครั้งนี้เป็นศิลปวัตถุจีนเสียด้วย

“คุณสนใจชิ้นไหนหรือคะ” ภัทรามองไปรอบๆ ห้องโถง วัตถุโบราณวางเรียงรายสวยงามไปเสียหมด กฤตชย์กับภัทรามาถึงตั้งแต่เช้าเพื่อเปิดร้านและเข้ามาดูสินค้าประมูลกันเป็นคนแรกๆ

“กระบี่เล่มนี้ไง” กฤตชย์เดินตรงไปยังแท่นวางที่อยู่ไม่ไกลจากประตูทางเข้าเท่าไรนัก ป้ายหน้ากระบี่แสดงล็อตที่ 88 สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่เลข 5 หลัก แว่นขยายในมือภัทราขยับเข้าใกล้วัตถุโบราณ สายตาของเธอเฉียบแหลม ประสาทสัมผัสของเธอแม่นยำจนบางครั้งทุกคนในครอบครัวยังรู้สึกหวั่นใจ

ด้ามจับสีดำด้านประดับงานสลักเงินที่หัวด้ามกระบี่ ลวดลายดอกโบตั๋น ใบไม้ฉลุลวดลายวิจิตรบรรจงตัดเป็นทรงหน้าจั่วเข้ารับปลายกระบี่ โกร่งกระบี่เป็นงานเงินทรงกว้างมีส่วนเว้าโค้งเพื่อสอดล็อกเข้ากับฝัก รอยต่อระหว่างฝักกระบี่เนียนสนิทไม่มีตำหนิแต่อย่างใดทั้งที่มีอายุประมาณราชวงศ์ถัง ถือเป็นวัตถุโบราณที่น่าสนใจมากทีเดียวสำหรับภัทรา อีกทั้งใบมีดเป็นแบบดามัสกัสด้านเดียวลักษณะปลายตัดสวยงาม ตัวกระบี่มีลวดลายคล้ายลายเส้นคลื่นสลักบางๆ ทว่าช่วงคมกระบี่มีรอยบิ่นเล็กน้อย

“มีตำหนินะคะคุณ” ภัทราขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนกระบี่นี้พยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่าง

“นิดหน่อย ผมเห็นแล้วน่ะ คุณดูฝักกระบี่สิ” กฤตชย์หยิบฝักกระบี่ขึ้นมาให้ภัทราดูใกล้ๆ

“ผมแนะนำให้ได้นะครับ” ชายหนุ่มแปลกหน้าเดินเข้ามาหาทั้งสอง

กฤตชย์ ภัทรา รู้ทันทีว่าชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้อาจจะเป็นเจ้าของหรือไม่ก็เป็นคนประมูลมา ทั้งสองยืนฟังเรื่องราวของกระบี่ รวมทั้งลวดลายดอกโบตั๋นที่ฉลุด้วยเงินบนฝักกระบี่ทั้งในส่วนปลาย กลาง และส่วนตัวล็อก เมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นอักษรจีน 富 สลักอยู่ที่ช่วงโคนกระบี่ จนกระทั่งได้ความว่ากระบี่เล่มนี้เป็นมรดกตกทอดของตระกูลจีนตระกูลหนึ่งที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดช่วงหนึ่งในประเทศไทย แถมยังมีประวัติสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนสมัยที่กระบี่ยังอยู่ที่จีน

“คุณตั้งใจจะประมูลให้ลูกสาวใช่ไหมล่ะครับ” ชายแปลกหน้าเอ่ยขึ้น กฤตชย์ ภัทรามองคนตรงหน้าอย่างสงสัย

ไม่นานนัก กัญญ์กุลณัชเดินเข้ามาในห้องโถง แสงสว่างของหลอดไฟสีขาวและไอเย็นจากแอร์ทำให้สายตาเธอแห้ง จนเธอต้องหยิบแว่นกรอบใสขึ้นมาใส่เพื่อปกป้องดวงตา วันนี้เธอตื่นสายเสียเหลือเกินเป็นเพราะมัวแต่จมอยู่กับห้วงความคิดที่ยังโหยหาและคิดถึงความฝันในค่ำคืนที่หวานที่ผ่านมาไม่นาน เธอรีบกวาดสายตามองหากฤตชย์ ภัทราไปทั่วห้อง เห็นทั้งสองคนคุยกับใครสักคนอยู่ไม่ไกลจากประตูที่เธออยู่สักเท่าไร

“มาแล้วค่ะ คุณพ่อ คุณแม่” น้ำเสียงทะมัดทะแมงเอ่ยขึ้น ขัดบทสนทนาที่กำลังน่าอึดอัดพอดิบพอดี

กัญญ์กุลณัชยกมือไหว้ชายแปลกหน้า บุรุษผมขาวแซมดำ ใบหน้ายิ้มแย้มใจดี ส่วนสูงแทบจะเรียกว่าไกลกว่าเธอหลายเท่านัก ขนาดพ่อกับแม่ของเธอยังเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อสนทนา ชุดสูทสีขาวตะเข็บแดงไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไรนัก เสื้อเชิ้ตหลวมๆ สีฟ้าสะอาดตาติดกระดุมอย่างสุภาพ กัญเชื่อว่าถ้าบุรุษตรงหน้ายังหนุ่มคงหล่อเหลาน่าดู

“เจ้าของมาแล้ว ผมขอตัวก่อน” ชายแปลกหน้า แถมพูดจาแปลก ก่อนจะโค้งตัวลาทั้ง 3 คน กัญญ์กุลณัชยังไม่ทันยกมือไหว้ลา เขาก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว

“คนเมื่อกี้เป็นใครหรือคะ คุณพ่อ” เธอสงสัย

“พ่อก็ไม่แน่ใจ คงเป็นเจ้าของกระบี่เล่มนี้มั้งคะ” กฤตชย์ ภัทรายังไม่หายข้องใจกับคำพูดของชายแปลกหน้าเมื่อสักครู่

 

ผีหมวยกัญ ผีหมวย...เสียงแว่วเบาๆ ทว่าทำให้กัญญ์กุลณัชหันซ้ายหันขวาอยู่เนืองๆ เสียงนั้นคุ้นหูเหมือนคนผีทะเลที่ชื่อชาง ช้าง จากในฝัน จนกระทั่งสายตาของเธอมาหยุดอยู่ที่กระบี่โบราณด้ามสีดำฉลุเงินลายดอกโบตั๋น ปลายกระบี่เป็นแบบหัวตัดดามัสกัสในยุคสมัยหนึ่งของจีนนิยมกันเป็นจำนวนมาก เธอพิจารณาลวดลายอย่างละเอียดไม่ต่างจากมารดา จนพ่อกับแม่ยืนอมยิ้มอยู่ไม่ห่าง รอยบิ่นที่ฟันกระบี่ดึงดูดคำถามของเธอมากมายเหลือเกิน แต่ทว่ากระบี่เล่มนี้ดึงดูดใจเธอจนเธอไม่อยากให้ใครประมูลได้ไป

“ชอบใช่ไหมคะ” ภัทราเอ่ยขึ้น ศีรษะกัญญ์กุลณัชพยักหน้างึกๆ เหมือนเด็กอยากได้ของเล่น

“เอาสิลูก พ่อว่าราคาดี มีตำหนินิดหน่อย ประมูลกันราคาคงไม่พุ่งสูงเท่าไหร่”

“สปอนเซอร์ว่ายังไง หนูก็ว่าอย่างนั้นค่ะ” กัญญ์กุลณัชยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“ใครว่า ครั้งนี้หนูต้องเป็นคนประมูลเอง เข้าร่วมงานเป็นตัวแทนพ่อกับแม่ ถ้าหนูทำได้อย่างราบรื่น พ่อจะเป็นสปอนเซอร์ให้ แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาด เช่น ราคาพุ่งเกินควบคุม หรือสู้ราคากันเพราะอารมณ์และโดนเล่ห์เหลี่ยมคนอื่นทำให้ราคาขึ้น พ่อจะไม่ออกเงินให้หนูสักบาทนะคะ” คำพูดนิ่มๆ ของกฤตชย์ทำเอากัญญ์กุลณัชยิ้มไม่ออก พูดจบกฤตชย์กับภัทราก็พากันเดินไปดูสินค้าประมูลรอบๆ ปล่อยให้กัญญ์กุลณัชยืนครุ่นคิด สายตาของเธอจ้องมองกระบี่เล่มงามอย่างรู้สึกถูกชะตา ขาเรียวสวยของเธอกำลังจะก้าวจากไป ทว่าเธอได้ยินเสียงผู้ชายดังขึ้นในห้อง เสียงเข้มๆ พูดภาษาที่เธอฟังไม่ออกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนภาษาจีน กัญญ์กุลณัชหันซ้ายหันขวาฟังตามเสียงนั้นแต่ไม่เห็นมีใครพูดคุยกัน

 

“ซี้ซั้วต่า” เสียงเข้มๆ ของเฉิงดังขึ้นพลันส่ายหน้า ยกมือขึ้นปรามคนพูด จางหย่งยืนนอบน้อมอยู่ไม่ห่างจากโต๊ะไม้สักสีเข้มขัดเงาขนาดใหญ่ เอกสารบนโต๊ะรกเกะกะจากเฉิงที่ไม่พอใจคำพูดเมื่อสักครู่ของจางหย่ง คิ้วขมวดชัดแม้สะท้อนกับตู้กระจกด้านข้างเผยให้เห็นซูลี่ที่กำลังยืนอยู่อีกฟากได้เห็นสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงของสามี

“เถ้าแก่ อั๊วไม่ได้พูดเล่นไปนะ” สีหน้าวิตกกังวลเผยให้เห็นชัดในสายตาของเฉิง จนเฉิงต้องหยุดคิด “เถ้าแก่ลองคิดดีๆ ตั้งแต่เตี่ยของเถ้าแก่ให้กระบี่ด้ามนี้มาเป็นมรดกตกทอด เถ้าแก่เจอเรื่องอะไรบ้าง”

“ก็ได้ลูกชายสองคน กิจการก็ดีขึ้น ย้ายรกรากมาตั้งถิ่นฐานมั่นคงที่ไทย ลูกๆ ก็ได้เป็นคนไทย” เฉิงพูดอย่างภูมิใจ

“ไม่ใช่เรื่องนั้น อาถรรพณ์นะเถ้าแก่ ดอกโบตั๋นนั่นน่ะ ไหนจะรอยบิ่นที่ฟันกระบี่อีก” จางหย่งมองกระบี่ในห้องทำงานของเฉิงอย่างหวาดๆ กระบี่เล่มงามจัดวางไว้บนแท่นวางอย่างสวยงาม ส่วนเว้าส่วนโค้งของแท่นโอบรับกระบี่ดูสง่างามมากกว่าหวาดกลัว แต่ทว่าจางหย่งไม่ได้คิดอย่างนั้น

“นี่ลื้อยังจำเรื่องไม่เป็นเรื่องได้อีกเหรอ ความจริงเสียที่ไหน ต่างคนต่างเล่าต่อๆ มามีความจริงสักเท่าไหร่เชียว” เฉิงไม่เคยเชื่อเรื่องงมงายของตระกูลฟู่ ทั้งๆ ที่เหล่ากง เหล่าม่า ไหล่กง ไหล่ม่า ก็ต่างเคยเล่าถึงตำนานของกระบี่เล่มนี้อยู่เนื่องๆ เหมือนเป็นนิทานก่อนนอนของลูกหลานในตระกูลเสียมากกว่า

“อย่ายกให้อาชางเลย อั๊วไม่อยากให้นิทานที่เถ้าแก่เรียกมันเป็นจริงขึ้นมาอีก” สิ้นคำพูดจางหย่ง คนฟังถึงขั้นสะอึกก่อนจะพูดอะไรไม่ออก เฉิงพิจารณากระบี่อยู่สักครู่

“แล้วมันเป็นยังไง ทุกวันนี้อั๊วกับเมียก็มีความสุขดี” เฉิงไม่เข้าใจคำว่าความสุข ทุกวันนี้เขามีพร้อมทุกอย่างทั้งบ้าน ฐานะ เงินทอง อำนาจ ครอบครัว ลูกน้อง เขารู้เพียงแค่คำว่า หน้าที่ และทำต่อไปด้วยความรับผิดชอบเสียมากกว่า ทว่าคนแอบฟังอย่างซูลี่น้ำตาซึม เธอไม่เคยสัมผัสกับความสุขเลยสักครั้งในชีวิต แต่ใช่ว่าชีวิตจะขมขื่น เฉิงให้เกียรติเธอมากเสียจนเธอลืมไปว่าเธอคือภรรยาของเขา ไม่ใช่แค่เมียที่มีหน้าที่ให้กำเนิดทายาทเท่านั้น แต่กระนั้นเธอก็ไม่เคยเอ่ยปากพูดหรือแสดงออกให้เฉิงได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเธอ เพราะลึกๆ เธอรู้อยู่เต็มอกว่าเฉิงรักหลี่จิ้ง ยิ่งคิดซูลี่ก็ยิ่งเสียใจ และเธอจะไม่ยอมส่งต่อความเสียใจทั้งชีวิตให้กับลูกๆ ของเธออีก ไม่ว่าเฉิงจะส่งต่อกระบี่ให้ชางหรือชุน เธอจะไม่ยอมให้ลูกๆ ของเธอไม่มีความสุขในชีวิตเหมือนเธออย่างแน่นอน

“ตามใจเถ้าแก่ละกัน อั๊วก็พูดด้วยความหวังดี” จางหย่งเริ่มเอือมระอากับความหัวแข็งของเฉิง “แล้วที่เรียกอั๊วมามีอะไรเหรอ เรื่องสำคัญมากเลยใช่ไหม”

เฉิงกระชับเสื้อคอจีนสีทอง ปักดิ้นทองให้ตรง ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้สักเข้าชุดกับโต๊ะทำงานลายหินอ่อนสีเงิน เดินเข้ามาโอบไหล่หนาๆ ในชุดคอจีนสีดำมันขลับ รอยยิ้มเผยให้เห็นบนใบหน้าของเฉิง รอยยิ้มประหลาดที่ทำให้คนมองประหลาดใจ เฉิงพาจางหย่งมานั่งที่ม้านั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน พร้อมกับรินน้ำชาลงบนจอกแก้วสีสันสดใสขอบทองฝังลวดลายวิถีชีวิตท้องนาเข้ากับกาน้ำชาสีชมพูแดงขอบทอง น้ำชาถูกรินเต็มจอก เฉิงยกให้จางหย่ง สองมือจางหย่งรับจอกมาอย่างสงสัยมองจอกน้ำชาในมือสลับจอกน้ำชาในมือเฉิง ก่อนที่จะยกดื่มจนหมด

“อั๊วจะขออาถิงถิงให้เป็นเมียอาชาง” จางหย่งแทบสำลักน้ำชา ถึงขั้นกระแอมออกมามือทุบหน้าอกตัวเองเบาๆ เพื่อไม่ให้สำลักน้ำ “ลูกสาวลื้อก็ถึงวัยที่จะต้องแต่งงานแล้ว อาถิงน่ารัก มีความคิดความอ่าน งานบ้านก็ไม่ขาดตกบกพร่อง ดูแลลื้อมาอย่างดี แถมยังช่างเอาอกเอาใจ วันก่อนอั๊วก็เห็นอาชางยืนคุยกับอาถิงถิงดูสนิทสนมกันดี แถมอาถิงถิงก็เหมาะสมที่จะขึ้นมาเป็นเมียเอกของตระกูลฟู่อีกด้วยนะ”

“อั๊วว่าเถ้าแก่ลองถามเด็กๆ ก่อนไหม อั๊วไม่อยากบังคับลูก” จางหย่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“บังคับอะไร อั๊วสังเกตมานานแล้วนะ อาถิงถิงแอบมองอาชางอยู่ไม่ใช่เหรอ รักกันก็ให้แต่งกันไปจะได้มีลูกมีหลานสืบทอด”

“ใกล้เที่ยงแล้ว กินอะไรกันก่อนนะคะ เฮียจาง” ซูลี่ถือถาดอาหารเข้ามาวางที่โต๊ะด้านหน้าของทั้ง 2 คน ซูลี่มองจางหย่งอย่างเข้าใจ จางหย่งมองเธออย่างรู้ความหมาย

“บ่เซีย บ่ส่วย หยิบไหล่จ๊อนี้” เฉิงไม่พอใจที่เธอเข้ามาขัดบทสนทนา

“เอาน่าๆ ไม่มีอะไรแล้ว กินของว่างกันดีกว่า อาลี่อุตส่าห์ยกมาให้ หอเจี๊ยะๆ” จางหย่งไม่อยากให้ซูลี่ถูกเฉิงตำหนิ บ่อยครั้งที่จางหย่งเป็นที่ปรึกษาและปลอบใจเวลาที่เธอเศร้า เขาเป็นเหมือนพี่ชายที่คอยปกป้องน้องสาวอย่างเธอ จางหย่งรู้ดีว่าในใจของซูลี่เศร้าโศกมากเพียงใด และบ่อยครั้งที่เธอมีน้ำตามาให้เขาคอยปลอบใจ แม้ชายชาตรีอย่างเขายังแอบรู้สึกหวั่นไหวทว่าความซื่อสัตย์ต่อตระกูลฟู่และเฉิงมีมากเกินจะให้ทำลายเพียงแค่ความเห็นอกเห็นใจชั่วคราว

“งั้นก็ว่าตามนั้น พรุ่งนี้อั๊วจะประกาศต่อหน้าสมาชิกทุกคน” เฉิงรวบรัดตัดความ โดยที่ไม่ได้สนใจความรู้สึกของจางหย่งและซูลี่เลยแม้แต่น้อย

เรือกลไฟส่งเสียงดังอยู่ท่าเรือแถวโปเส็ง เรือเหล็กขนาดใหญ่กำลังลำเลียงถ่านหินโดยเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหนุ่มและแก่ เสียงจ้านดังแข่งกับเสียงเรือ ควันดำของถ่านหินโขมงอยู่ที่ปากปล่องควันด้านบนตัวเรือ แต่ละคนกำลังก้มหน้าก้มตาแบกถ่านหินขึ้นลำเรือ เสื้อขาวที่สวมใส่แทบไม่หลงเหลือความขาว ใบหน้าแต่ละคนแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ส่วนที่ขาวที่สุดในตอนนี้คงเป็นเพียงดวงตาเท่านั้น

“มาทำอะไรแถวนี้” ชางเดินเข้ามาในโกดังขนาดใหญ่ ภายในมีลังไม้เต็มแทบทุกพื้นที่ วางสูงเหนือหัวไปหลายชั้นจนแทบจะถึงหลังคา จ้านนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานขนาดกลาง มีเก้าอี้เพียง 2 ตัว คล้ายไม่ต้องการรับแขก สมุนของจ้านเดินมาด้านหลังจ้องหน้าชางอย่างไม่สบอารมณ์เช่นเดียวกับเจ้านาย

สองมือหนายกมือไหว้อาเจ็ก ใบหน้าเรียบเฉยของชางไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทว่าในความนิ่งเงียบของเขากลับเหมือนมีมังกรขนาดใหญ่กำลังหลับใหลอยู่ แววตาเฉียบคม และคิ้วเข้มของเขาทำให้ทุกคนที่มองต่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวแม้กระทั่งจ้าน ชางนั่งลงตรงข้ามอาเจ็กของเขา สายตาสอดส่องดูสมุดที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะทำงาน เขาเอื้อมมือไปหยิบสมุดบัญชี รายละเอียดการสั่งซื้อ และจ้างงานออกมาจากในกอง ทว่ามือของจ้านไวเพียงพอให้หยุดสมุดเล่มนั้น ชางมองมือพลันเลื่อนสายตาไปมองอาเจ็กอย่างไม่พอใจ

“ทำอะไร” น้ำเสียงจ้านไม่พอใจ

“ผมจะตรวจดูว่าทุกอย่างตรงกันไหม”

“ทำเป็นรู้ดี อั๊วตรวจเรียบร้อยทุกอย่าง”

“งั้นอาเจ็กก็คงไม่มีปัญหา ถ้าผมอยากจะขอดู” ชางไม่สนใจว่ามือของจ้านจะรั้งสมุดเล่มนั้นไว้รุนแรงเท่าไร เพราะแรงของเขาสามารถทำให้สมุดเล่มนั้นมาอยู่ในมือของเขาได้อย่างง่ายดาย ชางหยิบสมุดขึ้นมาไล่เรียงดูวันที่ พร้อมกับลุกขึ้นเดินไปยังโกดังสินค้า ตรวจดูตามตัวเลขที่เรียงรายอยู่ ไม่นานนักเขาพลางเดินไปที่เรือกลไฟเพื่อเช็กสินค้าที่ถูกลำเลียงขึ้นไป จำนวนคน และสิ่งของต่างๆ ชางขึ้นไปบนเรือด้วยตัวเองพร้อมกับคุยกับกัปตันเรือ จ้านที่มองอยู่ไม่สบอารมณ์ ในมือของชางมีตัวเลขบางจุดที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทว่าต้องใช้ความละเอียดรอบคอบและช่างสังเกตอยู่ไม่น้อยที่จะมองเห็น

“เถ้าแก่ เฮียชางจะรู้ไหม” สมุนหนึ่งในสองคนข้างหลังพูดขึ้น

“บ่อตั่วบ่อโส่ย น้ำหน้าอย่างนั้นจะรู้อะไร” จ้านแสยะยิ้ม ทว่าร้อนใจอยู่ไม่น้อย ใช่ว่าหลานชายของเขาจะไม่รู้เรื่อง ชางเป็นเด็กหนุ่มที่ฉลาดเฉลียว นิสัยใจคอดีเลยทีเดียว เด็ดขาด กล้าได้กล้าเสีย จนบางครั้งจ้านยังแอบเสียดายที่เหลียงไม่ได้ครึ่งหนึ่งของชาง

สีสนิมเกรอะอยู่ข้างลำเรือ เริ่มบดบังสีเทาของเหล็กกล้าขนาดใหญ่ ราวจับท้ายเรือเริ่มผุพังตามกาลเวลา การใช้งานอย่างหนักหน่วง ไอทะเลกัดกร่อนรวมทั้งน้ำฝนและแรงแดดในทะเลมหาสมุทร ความสมบุกสมบันของเรือเทียบได้กับความชำนาญของกัปตันเรือของตระกูลฟู่

“ฮ่อๆ อาชางสมแล้วที่เป็นลูกเถ้าแก่” กัปตันเรือตบไหล่ชางอย่างปลื้มใจแทน ชางเห็นรายละเอียดเล็กน้อยที่ไม่ตรงกัน ตัวเลขเขียนอย่างหนึ่งแต่ทว่าจำนวนกลับมีน้อยกว่า มองด้วยตาอาจจะไม่เห็น แต่เมื่อได้หยิบได้รื้อบางส่วนก็จะเห็นว่ามีการสอดไส้สินค้าบางประเภทที่ไม่ตรงกับรายการสินค้า แต่ชางสุขุมเกินกว่าจะตีโพยตีพาย สายตาของเขาสบตากับจ้านที่ในโกดัง ชางยิ้มเบาๆ ที่มุมปาก ปิดสมุด โค้งคำนับเบาๆ ให้กับกัปตันเรือ จ้านกระหยิ่มยิ้มย่องในใจหันไปสั่งสมุนทำงานต่อ ทว่าสายตาของชางหลังจากนั้นกลับมีความไม่เข้าใจและมีคำถามในใจผุดขึ้นมามากมาย ชางคิดถึงป๊าทันที สมองของเขาเรียบเรียงเรื่องราวที่รับรู้มา การจะพูดไปแต่ละครั้งมีความหนักใจเกิดขึ้นในใจของชางตลอดเวลา

ชางเดินดูด้านบนของเรือกลไฟ มีผ้าใบขึงกันลมที่ม้วนเก็บอย่างลวกๆ ไว้ ด้านข้างลำเรือมีเสาและสลิงคอยแขวนเรือชูชีพลำเล็กอยู่หนึ่งลำ ชางจับสลิงเขย่าเช็กความปลอดภัย รอบๆ ระเบียงเรือมีห่วงยางสีขาวแดงผูกติดไว้เป็นระยะๆ ยามฉุกเฉิน ชางเดินมาใกล้หัวเรือ กำลังคิดถึงหญิงสาวที่ชื่อยาวที่สุดที่เขาเคยได้ยินมา รอยจูบนั้นยังประทับอยู่ในใจของเขาเกินกว่าที่เขาจะคิดว่ากำลังโลดแล่นอยู่ในฝัน ในจังหวะเดียวกับที่เขากำลังเผลอปล่อยความคิดไปกับรอยจูบนั้น เหลียงมุดขึ้นมาจากใต้ท้องเรือทั้ง 2 ชนกันเข้าอย่างจัง

“ไม่ดูตามาตาเรือ เดินประสาอะไร ห๊า” เหลียงก่นด่าเป็นชุด พร้อมๆ กับกระเด็นไปชนกับระเบียงเหล็กที่สูงเท่าเอวของเขา สภาพของเขามีความมึนเมาคล้ายคนดื่มเหล้ามา ทว่าไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ออกมาจากตัว เสื้อยืดสีขาวหลวมๆ เปรอะเปื้อนคราบถ่านหินจนมอมแมม กางเกงขาม้ากับรองเท้าผ้าดูไม่มีสง่าราศีไม่สมกับลูกหลานตระกูลฟู่สักเท่าไร ทันทีที่เขาเห็นชางความเกลียดผสมกับฤทธิ์ของฝิ่นที่เสพเข้าไปทำให้ขาดสติ เหลียงตรงเข้าหาชางระหว่างนั้นในมือของเขาล้วงเข้าไปหยิบกรรไกรขาเดียวสีดำหมายทำร้ายลูกพี่ลูกน้องของเขา ทว่าชางเห็นทันเขาหลบตัวแต่ยังไม่พ้นความแหลมคมของกรรไกร ฟันของมันลิ้มรสเลือดสดๆ ของแขนชาง เสียงหัวเราะของเหลียงดังลั่นอย่างสะใจแต่ไม่ทันที่เขาจะรวบรวมสติและทรงตัวได้ ร่างกายของเขาพุ่งตรงไปที่ระเบียงเรือก่อนจะพุ่งตกน้ำไปโครมใหญ่ ทุกคนที่อยู่ละแวกนั้นต่างตกใจ ทำอะไรไม่ถูก

“เฮียเหลียงตกน้ำ” เสียงลูกสมุนของเหลียงดังขึ้นจากบนดาดฟ้าเรือ น้ำในแม่น้ำกระเด็นเป็นคลื่นขนาดใหญ่ สองมือพุ้ยน้ำเพื่อพยุงร่างกายขึ้นเพื่อสูดอากาศ สติกลับมาครบถ้วนอีกครั้ง เหลียงมองขึ้นไปบนหัวเรือ

“ไอ้ชาง มึงจะฆ่ากูเหรอ” เหลียงพยายามว่ายน้ำขึ้นฝั่ง แต่คลื่นในแม่น้ำมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะว่ายได้เร็วดั่งใจ แถมยังต้องว่ายอ้อมลำเรือเข้าหาฝั่งอีกต่างหาก จ้านได้ยินก็รีบวิ่งมาดูลูกชายตัวเองก่อนจะสั่งให้สมุนลงไปช่วยลูกชายตัวเองขึ้นมา ชางเดินลงมาจากเรือกลไฟ มือหนาๆ ของจ้านคว้าคอเสื้อชางแทบจะทันทีที่เขาของชางสัมผัสพื้น

“คิดจะทำอะไรน้อง”

“ผมว่าอาเจ็กลองถามลูกชายตัวเองก็แล้วกัน” มือชางที่กุมแผลไว้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดแกะมือจ้านออกจากคอเสื้อ กระชับเสื้อให้อยู่ในสภาพเดิมก่อนจะคำนับลาอาเจ็กของเขา จ้านมองมือตนเองที่เปื้อนเลือดหลานชายอย่างหวั่นใจ

 

 



Don`t copy text!