
จิบนี้ที่กรุงปราก
โดย : วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ
![]()
“เที่ยวโทงเทง” คอลัมน์ท่องเที่ยวกับเรื่องเล่าจากสมุดบันทึกของ “วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ” ซึ่งได้แบกเป้เดินทางคนเดียวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นบันทึกการโดยสารขนส่งสาธารณะ การพบปะและบทสนทนากับผู้คน (ตลอดจนหมาแมว) พร้อมแนบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำเมือง แต่ละวันมักจบลงด้วยเบียร์เย็นๆ หรือวิสกี้ในบาร์ท้องถิ่น
เวลา 2 วัน 2 คืนกับครอบครัวของโกรันในหมู่บ้านฮิสโคฟ เมืองเบรูน สิ้นสุดลง โกรันขับรถไปส่งผมที่สถานีรถไฟเบรูนตอนเวลาประมาณ 1 ทุ่ม เพื่อขึ้นรถไฟเที่ยว 19.34 น. เราไม่ได้ล่ำลากันอย่างอาวรณ์อะไรนัก เพราะอีกสองสามวันก็จะเจอกันอีก
รถไฟเที่ยวนี้มีต้นทางในเยอรมนี เข้ามาเทียบจอดสายไปราว 20 นาที และวิ่งค่อนข้างช้า ระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตรใช้เวลา 1 ชั่วโมง กว่าจะถึงสถานีกรุงปราก ผมเปิดแผนที่กูเกิลจากโทรศัพท์มือถือแล้วเดินไปยังที่พักที่จองไว้

เมื่อไปถึงก็พบว่าก่อนนี้ผมได้กดจองพลาด ไปจองห้องนอนรวมของผู้หญิง ถามรีเซ็ปชั่นเกย์หนุ่มว่าห้องผู้ชายและห้องที่ไม่แยกเพศมีว่างบ้างหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่า “เต็มหมดแล้ว” ผมขอนั่งพักและใช้ล็อบบี้ของโฮสเทลนี้กดหาที่พักแห่งใหม่ ได้ที่พักชื่อ Hostel Ananas บนถนนเวนสลาว์สแควร์ ผมต้องเดินอีกประมาณ 2 กิโลเมตร เพิ่มจากที่เดินมาจากสถานีรถไฟ 1 กิโลเมตร คราวนี้ไม่ต้องเปิดแผนที่กูเกิลเพราะถนนเวนสลาว์สแควร์ผมรู้จักดี

พนักงานต้อนรับคนหนึ่งเป็นสาวสวยระดับดารานักแสดง แต่พอเธอยิ้มกลับเห็นฟันบนซี่กลางมีสีเพี้ยนไปจากซี่อื่นๆ เหมือนอย่างโดนแกล้ง ซึ่งคงเป็นปัญหาที่แก้ยาก ไม่อย่างนั้นเธอคงแก้ไปนานแล้วเพราะมันจะทำให้ใบหน้าของเธอสวยสุดยอดในระดับหัวแถวของกรุงปรากได้เลย แต่จะว่าไป ต่อให้เธอเป็นเหมือนที่เห็นอยู่ขณะนี้ก็คงมีหนุ่มๆ ในกรุงปรากหลายคนสนใจสมัครเป็นคู่ควงอยู่ดี
ในห้องพักรวมของผม มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนอยู่ เขางัวเงียตื่นขึ้นมาทักทายและเริ่มบทสนทนา เล่าว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยในตุรกีแต่ไปฝึกงานในกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี มีวันหยุดประมาณ 1 สัปดาห์เขาจึงไปเที่ยวเมืองกรากุฟ ประเทศโปแลนด์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงปราก กรากุฟถือว่าเป็นเมืองของนักท่องเที่ยวหนุ่มสาว มีอาคารบ้านเรือนสวยงาม ร้านอาหาร ผับ บาร์ และโรงแรมที่พักตั้งอยู่หนาแน่น และทุกอย่างราคาไม่แพง
หนุ่มเติร์กคนนี้ดื่มกินเสียเต็มคราบตลอดทั้งสัปดาห์ รู้ตัวอีกทีก็เหลือเงินไม่พอกลับบูดาเปสต์ มีพอแค่นั่งรถมากรุงปราก ครึ่งทางระหว่างกรากุฟและบูดาเปสต์ ส่วนที่พักคืนนี้เขาไม่ต้องจ่ายเงินเพราะใช้บริการของเครือข่ายโฮสเทลแห่งนี้มาหลายคืนจนได้รับโบนัสนอนฟรี
ผมชวนเขาออกไปกินมื้อค่ำและดื่มเบียร์ เขาปฏิเสธเพราะไม่มีเงิน ผมบอกว่า “เลี้ยงทั้งอาหารและเครื่องดื่มเลย ไม่ต้องห่วงและไม่ต้องคิดมาก” ดูเหมือนเขาลังเลในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ไม่รับคำชวน ได้แต่กล่าวขอบคุณ

เวลาเกือบ 5 ทุ่มแล้วตอนที่ผมเดินออกไปจากที่พัก ร้านอาหารทยอยปิดกันไปเกือบหมด มีเพียงร้านฟาสต์ฟู้ดและผับบาร์ที่พอให้ฝากท้องได้ แน่นอนว่าผมเลือกอย่างหลัง
ชาโปรูจ (Chapeau Rouge) ใกล้ๆ กับจัตุรัสเมืองเก่า คือร้านที่ผมนึกขึ้นได้ ห่างจากที่พักไม่ถึง 1 กิโลเมตร ผมจำที่ตั้งได้แม่นจึงเดินไปโดยไม่ต้องพึ่งแผนที่กูเกิล
เบียร์สดในร้านมีเพียงยี่ห้อ Krusovice แม้จะดูเป็นการบังคับกันเกินไปแต่ผมก็สั่งมาอยู่ดี ราคาไพนต์ละ 40 โครูนา หรือประมาณ 60 บาทเท่านั้น ส่วนอาหารไม่มีบริการ มีเพียงกับแกล้มพวกมันฝรั่งแผ่นทอดที่เทออกจากถุงใส่จาน ผมจึงกินเบียร์กับมันฝรั่งแผ่นเป็นมื้อค่ำ ชั้นใต้ดินของร้านมีผับเพลงแดนซ์ ไม่แน่ใจว่าเป็นเจ้าของเดียวกันหรือไม่ แต่ไม่ได้ใช้ชื่อเดียวกัน วัยรุ่นคนหนุ่มสาวตอนต้นมักจะไม่แวะชาโปรูจ แต่จะเดินผ่านประตูแล้วลงชั้นใต้ดินไปเลย
ผมออกจากร้านชาโปรูจราวตีหนึ่ง ก็ลองเข้าไปนั่งร้านใกล้ๆ กันชื่อ Deja Vu เป็นร้านที่มีขนาดเล็ก เบียร์สดก็มีเพียงยี่ห้อ Krusovice อีกเช่นกัน
เบียร์ตัวนี้เป็นเบียร์เก่าแก่ของเช็ก เริ่มผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1581 เคยได้รับสัญญาธุรกิจจากจักรพรรดิรูดอล์ฟที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นผู้ผลิตและส่งถวายจนได้รับอนุญาตให้ใช้ตรามงกุฎแห่งออสเตรียเป็นส่วนหนึ่งของโลโก้มาจนถึงปัจจุบัน
ราคาของเบียร์สด Krusovice ร้านเดจาวูแพงกว่าร้านชาโปรูจ 10 โครูนา ร้านนี้มีขนาดไม่ใหญ่และไม่มีประตู คนไม่เยอะเหมือนกับชาโปรูจ แต่ก็มีผับอยู่ชั้นใต้ดินเช่นกัน ผมขอเดินลงไปด้านล่างพบว่าไม่อนุญาตให้สะพายเป้เข้าไป ต้องฝากกับเจ้าหน้าที่และต้องจ่ายค่าฝาก 100 โครูนาแต่เมื่อได้ยินเพลงแนว EDM แว่วมาจากประตูของผับผมก็ถอยหลังกลับทันที
ระหว่างทางกลับที่พัก ผมแวะร้านขายของชำของชาวเวียดนาม เข้าไปหยิบเบียร์ Budweiser และ Gambrinus มาอย่างละกระป๋อง ตอนคิดเงินผมถึงกับสะดุ้งเพราะราคาที่พ่อค้าเวียดพลัดถิ่นบอกให้จ่ายนั้นสูงถึงกระป๋องละ 70 โครูนา หรือประมาณ 110 บาท
วันหลังผมเข้าร้านชำของชาวเวียดนามอีกร้านหนึ่ง เบียร์ราคากระป๋องละประมาณ 50 โครูนา ซึ่งในร้านสะดวกซื้อทั่วไปราคากระป๋องละประมาณ 20 โครูนาเท่านั้น หากซื้อในซูเปอร์มาร์เก็ตก็เหลือแค่ประมาณ 15 โครูนา จึงต้องประกาศลาขาดจากร้านชำชาวเวียดนามนับแต่นั้น สาเหตุที่พวกเขากล้าขายแพงคงเพราะถือว่าตัวเองเปิดดึกกว่าร้านทั่วไป และการเปิดดึกนี้อาจมีค่าใบอนุญาตที่สูงกว่า แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะมาจากความหน้าเลือดล้วนๆ
กลับถึงโฮสเทล ผมเดินไปนั่งที่ห้องครัวส่วนกลาง ดื่ม Budweiser เบียร์เช็กที่บริษัทอเมริกันเอาชื่อไปใช้จนมีปัญหากันทางกฎหมายอยู่นานหลายปี เก็บ Gambrinus ไว้ให้หนุ่มเติร์กตกอับ
ประตูห้องพักที่นี่ปิดเสียงดังเพราะใช้แรงดึงปิดอัตโนมัติที่แรงมาก ขนาดประตูห้องอื่นปิดก็ยังได้ยินมาถึงห้องของเรา ทำให้นอนไม่ค่อยหลับ ผมจึงลุกขึ้นมาจองที่พักแห่งใหม่สำหรับวันรุ่งขึ้น

วันต่อมาหนุ่มเติร์กตื่นหลังจากผมเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว เขาบอกว่าเมื่อวานได้นอนแค่ 2 ชั่วโมง เช้านี้จึงตื่นสายกว่าปกติ พูดเสร็จก็ดึงลิ้นชักใต้เตียงแล้วหยิบถุงขนมปังแผ่นและเนยกระป๋องออกมา “นี่คืออาหารเช้าของผม คุณสนใจไหม” ผมตอบว่ากำลังจะเช็กเอาต์ออกไปกินข้างนอก แล้วยื่นเบียร์ Gambrinus กระป๋องให้เขาไป “คงเป็นเครื่องดื่มที่เข้ากับมื้อเช้าของคุณ” เขาขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่
หนุ่มเติร์กยังไม่รู้ว่าจะเดินทางกลับบูดาเปสต์ได้เมื่อไหร่ เพราะต้องรออะไรบางอย่าง ผมฟังไม่ค่อยถนัด เข้าใจว่าน่าจะรอเงินจากใครสักคน เขากำเหรียญบนที่นอนแล้วแบมือให้ผมดูว่าทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่นี้
ผมออกจากห้องพักนอนรวมลงไปเช็กเอาต์ พนักงานต้อนรับสาวสวยคนเดียวกับตอนเช็กอินเข้ามาทำงานแล้ว เธอบอกให้ผมลองจองที่พักอื่นในเครือของ Hostel Ananas แห่งนี้ (Ananas หมายถึง “สับปะรด”) มีชื่อ Hostel Mango, Hostel Apple, Hostel Orange ผมถามว่า “มีวอเตอร์เมล่อนมั้ยครับ ผมชอบวอเตอร์เมล่อน” เธอตอบ “ไม่มี” พนักงานชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ช่วยตอบมาอีกว่า “ไม่แน่ ในอนาคตอาจจะมี” น้ำเสียงเหมือนรำคาญ
ระหว่างทางไปยังโฮสเทลแห่งใหม่ อีกฝั่งของแม่น้ำวอลตาวา (Vltava) ผมแวะกินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารแบบชั่งกิโล อิ่มแล้วเดินเลี้ยวเข้าถนนชาร์ลส์ ผ่านหน้าร้านขายของที่ระลึกของโกรันซึ่งมีลูกจ้างทำหน้าที่อยู่ 1 คน ตัวเขาเองคงอยู่ในออฟฟิศห่างออกไปประมาณครึ่งกิโลเมตร เมื่อข้ามทางรถรางก็เข้าสู่บริเวณเชิงสะพานชาร์ลส์ฝั่งเมืองเก่าเพื่อจะข้ามไปสู่ฝั่งปราสาทกรุงปราก หรืออาจเรียกฝั่ง Lesser Town

บนสะพานที่สุดแสนอลังการในสไตล์โกธิก โดยเฉพาะปฏิมากรรมพระเยซูและเหล่านักบุญ (ส่วนมากสไตล์บาโร้ก) ที่ตั้งเรียงรายไปตามขอบแนวของสะพานทั้ง 2 ฝั่งจำนวน 30 ชิ้น นักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่แต่ไม่ถึงกับรีบร้อน เพราะบนสะพานชาร์ลส์มีอะไรน่าสนใจเสมอ โดยเฉพาะดนตรีสด บ้างเล่นเดี่ยว บ้างเล่นเป็นวง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นดนตรีแจ๊ส หรือแม้แต่หุ่นไม้ตัวเล็กๆ ที่แสดงท่าท่างเหมือนคนจริงๆ ถูกบงการชักใยโดยมือที่ชำนาญระดับนักมายากล ต่อให้รีบไปทำธุระหรือมีนัดด่วนยังไง คนเดินบนสะพานแห่งนี้จะต้องหาเรื่องอ้อยอิ่งเสียหน่อยจนได้
ถึงเกสต์เฮาส์ SG1 ที่เคยพักเมื่อคราวมาเที่ยวกรุงปรากครั้งก่อนราวบ่ายโมงนิดๆ ยังไม่ถึงเวลาเช็กอินตอนบ่าย 3 จึงต้องฝากกระเป๋าไว้กับรีเซ็ปชั่นแล้วลงจากเกสต์เฮาส์เดินไปยัง “กำแพงเลนนอน” (Lennon Wall) ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน กำแพงสำหรับเขียนอักษรสันติภาพแห่งนี้กลายเป็นกำแพงกราฟฟิติเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่ว่าที่ใดในโลกพวกนักพ่นสีจะรี่ไปฝากรูปฝังรอยไว้ อย่าว่าแต่ที่สาธารณะเลย สถานที่หวงห้ามก็ไม่มีข้อยกเว้น อาจกลายเป็นความท้าทายของนักพ่นสีบางคนด้วยซ้ำไป

มีนักดนตรีเปิดหมวกเล่นเพลงจอห์น เลนน่อน อยู่ที่กำแพง คู่รักในชุดวิวาห์เข้าไปโพสต์ท่าให้ตากล้องลั่นชัตเตอร์ ผมเดินออกมาเมื่อนักดนตรีเล่นเพลง Stand by me ไปได้ราวครึ่งเพลง แวะนั่งพักที่สวนสาธารณะแล้วเดินไปริมน้ำวอลตาวา สะดุดตาที่รูปปั้นคนยืนประนมมือหันหน้าไปทางสะพานชาร์ลส์ ซึ่งนั่นก็คือ “รูปปั้นแห่งความเป็นหนึ่ง” ของ “ศรี ชินมอย” ผู้นำและครูทางจิตวิญญาณผู้อุทิศชีวิตให้กับการสอนฝึกปฏิบัติภายในและทำกิจกรรมสันติภาพทั่วโลก แม้จะเกิดในครอบครัวฮินดูในเมืองจิตตะกอง ซึ่งขณะนั้นเป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่ท่านศรีก็รับลูกศิษย์จากทุกศาสนามารับการถ่ายทอดวิชาสมาธิเพื่อความเป็นหนึ่ง รวมแล้วมีลูกศิษย์ทั่วโลกราว 7 พันคน

ข้างๆ รูปปั้น “ศรี ชินมอย” คือ Museum Kampa พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับศิลปะสมัยใหม่ ภายนอกอาคารมีประติมากรรมขนาดใหญ่เป็นรูปทารกหัวโตคล้ายใส่เฮดการ์ดมวยคุกเข่าคลานอยู่สามสี่ชิ้น ที่ริมน้ำวอลตาวามีประติมากรรมชื่อ The Penguins ของกลุ่มศิลปิน Cracking Art เป็นแถวของเพนกวินสีเหลือง 34 ตัวสร้างจากขวดน้ำรีไซเคิล มีนัยรณรงค์การเลิกใช้พลาสติก
จากนั้นเดินห่างจากริมน้ำออกมา ผ่าน Karel Zeman Museum พิพิธภัณฑ์ทางด้านสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ที่ใช้ในภาพยนตร์ ของ “คาเรล ซีมาน” ยอดผู้กำกับหนังแฟนตาซีชาวเช็กในยุค 1940’s – 1950’s แล้วเดินไปเรื่อยๆ จนลอดใต้เชิงสะพานชาร์ลส์ ผ่านพิพิธภัณฑ์ผีและตำนานกรุงปราก ก่อนเข้าไปเช็กอินที่โฮสเทลประมาณบ่าย 3 ครึ่ง
นอนงีบได้ครู่หนึ่งก็ตื่น ออกจากโฮสเทลเดินข้ามสะพานชาร์ลส์กลับไปยังฝั่งเมืองเก่า ผ่านพิพิธภัณฑ์แอปเปิล (Apple Museum) แล้วเลี้ยวเข้า “ถ้ำเสือทอง” (U Zlatého Tygra) บาร์เบียร์เก่าแก่เกือบร้อยปี ร้านประจำของยอดนักเขียนเช็ก “โบฮูมิล ฮราบาล” ที่ครั้งหนึ่งเคยชวนประธานาธิบดี “บิล คลินตัน” มาชนแก้วกันถึงถ้ำเสือนี้แล้ว

ลูกค้าแน่นตั้งแต่หัววันเหมือนเคย ร้านนี้หากต้องการที่นั่งจะต้องจองล่วงหน้ากันเป็นเดือนๆ ผมสั่งเบียร์ที่มีอยู่แบบเดียว คือเบียร์สด Pilsner Urquell บริษัทเบียร์ดังผลิตใส่ถังสำหรับร้านนี้โดยเฉพาะ คนกดเบียร์ยังเป็นลุงคนเดิมแต่แกดูผอมลงไป (เหลืออ้วนไม่มาก) เบียร์ในแก้วขนาด 0.45 ลิตร ราคา 45 โครูนาเท่าเดิม รับเบียร์จากลุงแล้วเดินไปยืนข้างกำแพงร้านฝั่งหนึ่งซึ่งอนุญาตให้วางแก้วกับขอบกำแพง
ผมบรรจงยกแก้วขึ้นจิบ และหากมีใครสักคนให้พูดคุย ผมคงพูดว่า “จิบนี้ที่รอคอย”
- READ ชมรถเก่าแดนเชกโกฯ
- READ จิบนี้ที่กรุงปราก
- READ ดรีนา มิลยัสกา ซาราเยโว
- READ จากบ้านแม่สู่บ้านเมีย
- READ สงคราม สันติภาพ ซาราเยโว
- READ สะพานข้ามแม่น้ำ “ดรีนา” (2)
- READ สะพานข้ามแม่น้ำ “ดรีนา” (1)
- READ จาก “เมืองไม้” สู่ “เมืองหิน”
- READ เมืองไม้และรถไฟสายเลข 8
- READ บนเส้นทางสู่ “โมกราโกรา”
- READ กีฬา กาแฟ แก๊ส เกาะ
- READ เมืองขาวของชาวเซิร์บ
- READ โร้ดทริปสู่เซอร์เบีย
- READ วิสกี้ ซิการ์ บูดาเปสต์
- READ คอยเพื่อนที่บูดาเปสต์
- READ ปวดบาทาที่บูดาเปสต์
- READ ทิมิชัวรา – บูดาเปสต์
- READ จาก ‘ซีบีอู’ สู่ ‘ทิมิชัวรา’
- READ มื้อเช้าของนักเดินทางและสะพานคนลวง
- READ ดวงตาซีบีอู
- READ เสน่หา บราชอฟ
- READ รถไฟสายทรานซิลเวเนีย
- READ เชาเชสคูและบูคาเรสต์
- READ บูนา บูคาเรสต์
- READ ผู้ควบอาชาแห่งเมืองบราชอฟ








