
ยาใจด้วยรัก : บทนำ
โดย : ลิลนิล
![]()
ยาใจด้วยรัก โดย ลิลนิล เรื่องราวฟีลกู้ดของสาวไทป์แมวดำและเด็กหนุ่มไทป์หมาโกลเด้นที่จะช่วยให้คุณเข้าใจความหมายของการใช้ชีวิตให้มีความสุขมากขึ้น นวนิยายโรแมนติก คอมเมดี้ อบอุ่นหัวใจ ดราม่า ที่อ่านเอาเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่จะมอบความสุขให้กับทุกคนได้อย่างแน่นอน
ณ หมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งในแถบชานเมืองของจังหวัดเชียงใหม่ บ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดเล็กที่ถูกออกแบบผสมผสานความโมเดิร์นกับล้านนาได้อย่างลงตัว บ่งบอกรสนิยมและฐานะของเจ้าของผู้มีอันจะกิน บ้านทั้งหมดเรียงรายอย่างเป็นระเบียบต้องแสงอาทิตย์สีส้มในยามพลบค่ำ
เสียงกระทบกันของตะหลิวและกระทะดังลอยออกมาจากบ้านหลังสุดท้ายของซอย ภายในห้องครัวนั้น มือแห้งกร้านของหญิงวัยกลางคนกำลังกระวีกระวาดทำอาหารหลากหลายเมนูหน้าเตาแก๊สอันร้อนระอุ หลังจากที่เธอจัดเตรียมอาหารใส่จานอย่างพิถีพิถัน เธอส่งเสียงตะโกนเรียกลูกสาวของตนที่พักผ่อนอยู่บนห้องนอนชั้นสอง
“เบสต์ ลงมากินข้าวลูก”
สิ้นเสียงเรียกของมารดา เด็กหญิงตัวน้อยในชุดประถมเจ้าของใบหน้ากลม ผิวขาวใส ผมสีดำสนิทยาวถึงกลางหลังวิ่งลงมาจากชั้นบนด้วยท่าทีร่าเริงสดใสตามประสา เธอนั่งประจำที่บนโต๊ะรับประทานอาหารไม้สีขาวขนาด 4 ที่นั่งซึ่งมีพี่ชายวัยมัธยมต้นสวมแว่นตาสี่เหลี่ยมกรอบหนากำลังนั่งอ่านหนังสือเรียนรออยู่ก่อนแล้ว บนโต๊ะนั้นมีอาหารสารพัดอย่างที่ผู้เป็นแม่ทำเองกับมือ ไม่ว่าจะเป็น ข้าวเหนียว น้ำพริกหนุ่ม ผักนึ่ง แคบหมู ไส้อั่ว ปลานิลทอด และที่ขาดไม่ได้คือแมงนูนทอดของโปรดของเจ้าตัวเล็ก
เมื่อเห็นเมนูละลานตาที่ดูพิเศษกว่ามื้อไหนๆ เด็กหญิงรู้ได้ในทันทีว่าวันนี้คนสำคัญคนหนึ่งที่เธอไม่ได้พบหน้ามานานแรมเดือนกำลังจะกลับมา เธอนั่งตั้งตารอที่จะได้พบกับชายผู้นั้นอย่างใจจดใจจ่อ
ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออก เบสต์วิ่งโผเข้ากอดร่างของชายวัยกลางคนด้วยความคิดถึง
“พ่อคะ ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ!” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วสดใสพร้อมฉีกยิ้มกว้างจนแก้มปริ ถึงกระนั้นผู้เป็นบิดาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงวางฝ่ามือหนาลงบนศีรษะเล็กของเธอเท่านั้น
ชายวัยกลางคนพาร่างอันอ่อนล้าลดตัวนั่งลงบนโต๊ะรับประทานอาหารอย่างเงียบขรึมและสงวนท่าที เมื่อสมาชิกในครอบครัวมาพร้อมหน้า มื้ออาหารเย็นต้อนรับการกลับมาของหัวหน้าครอบครัวจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยความเป็นระเบียบ มีเพียงเสียงช้อนส้อมกระทบกันกับเสียงจักจั่นยามค่ำคืนเท่านั้นที่ช่วยปัดเป่าความเงียบ เรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาช้านานจากผู้เป็นบิดาผู้เคร่งครัดในการใช้ชีวิต
ทันใดนั้นเอง ลูกสาวคนเล็กที่ยังคงมีหัวใจซุกซนและรักความเป็นอิสระ นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“พ่อคะ!” เด็กน้อยโพล่งขึ้นพลางเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ เต็มสองข้างแก้ม
“เบสต์ พ่อบอกแล้วไงว่าไม่ให้พูดตอนกินข้าว” ชายวัยกลางคนดุลูกสาวที่สอนไม่รู้จักจำ แต่คำตักเตือนนั้นก็เหมือนจะผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเพราะเธอดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไร หนำซ้ำยังพูดต่อเจื้อยแจ้ว
“หนูชนะประกวดคัดลายมือด้วยแหละ”
เจ้าตัวเล็กโอ้อวดพลางวิ่งจู๊ดขึ้นไปชั้นสองเพื่อหยิบเกียรติบัตรอันใหม่ที่เธอเพิ่งได้รับมาวันนี้ กระดาษแข็งขนาดเอสี่ใบใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดมือเล็กจ้อยพิมพ์ประกาศว่า ‘เด็กหญิง มัทนพร นิรชร รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง’ ด้วยตัวหนังสือสีดำตัวใหญ่ เด็กหญิงยื่นส่งให้บิดาพร้อมแววตาแวววับเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น
เธออยากให้เขาภูมิใจ และถ้าไม่เป็นการขอมากเกินไป คำชมเพียงเล็กน้อยก็เป็นสิ่งที่เธออยากได้ยิน
ชายวัยกลางคนเพียงปรายตามองอย่างเรียบเฉย พลางรวบช้อนส้อมเป็นสัญญาณว่ารับประทานอาหารเสร็จสิ้น ผู้เป็นภรรยาจึงยกจานชามของเขาไปล้างทำความสะอาดหลังครัวในจังหวะเดียวกับที่เขาหยิบกระดาษทิชชูแผ่นบางเช็ดริมฝีปากและจิบน้ำเปล่าพอให้หายฝืดคอ
“ก็ได้อยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ”
ผู้เป็นพ่อตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งการแสดงอารมณ์ใดๆ บนสีหน้า ทำให้ความปีติยินดีที่เคยพองฟูในใจของเด็กสาวแปรเปลี่ยนเป็นความห่อเหี่ยว ชายวัยกลางคนยกน้ำขึ้นมาดื่มต่อจนหมดเป็นการปิดจบมื้ออาหารก่อนจะเริ่มต้นบทสนทนากับลูกชายคนโต ที่ดูท่าจะรับประทานเสร็จแล้วเช่นเดียวกัน
“บอส วันนี้ผลสอบปลายภาคออกใช่ไหม ได้เท่าไหร่ล่ะเรา” สิ้นเสียงทักของผู้เป็นพ่อ เด็กชายวัยมัธยมต้นกล่าวตอบบิดาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“4.00 เหมือนเดิมครับ” เด็กชายไม่ได้ตื่นเต้นหรือดีใจอะไร เนื่องด้วยเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว ถึงกระนั้นผู้เป็นบิดาก็ผุดรอยยิ้มบางๆ ขึ้นอย่างพอใจ
“เก่งมาก สมกับเป็นลูกพ่อ” เขาเอ่ยชมลูกชายด้วยความภาคภูมิใจ คนถูกชมไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร ในขณะที่หัวใจดวงน้อยอีกดวงนั้นหล่นวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ความรู้สึกชาแร่วริ้วไปทั่วร่างเล็กที่ยืนแข็งทื่อ
ทันใดนั้นเอง ผู้เป็นมารดาก้าวเข้ามาจากด้านหลังทำให้เด็กสาวสะดุ้งได้สติกลับมา หญิงวัยกลางคนหยิบแผ่นเกียรติบัตรจากมือของเด็กหญิงมาอ่าน ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมเอื้อมมือที่แห้งกร้านลูบศีรษะของลูกสาวเบาๆ
“ได้ตั้งที่ 2 แน่ะ คราวหน้าเอาให้ได้ที่ 1 เลยนะ”
หญิงวัยกลางคนแสดงความเห็นอย่างเรียบง่าย ก่อนจะส่งเกียรติบัตรคืนให้แก่เด็กหญิงพร้อมเอ่ยต่อว่า
“เอาไปเก็บในตู้ให้เรียบร้อยแล้วรีบมากินต่อให้เสร็จ แม่จะได้ล้างจาน”
เจ้าตัวเล็กรับกระดาษรางวัลกลับมาถือไว้ แววตาวูบไหว น้ำตาอุ่นเอ่อคลอเล็กน้อยจนยากเกินกว่าใครจะสังเกตเห็น เด็กหญิงคอตกเอาเกียรติบัตรใบใหม่เก็บรวมกับใบเก่าๆ ซึ่งถูกจัดระเบียบเอาไว้บริเวณตู้กระจกด้านหนึ่งของห้องรับแขก กระดาษเชิดชูเกียรติหลายใบระบุรายละเอียด ต่างปี ต่างวาระ ไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาการหรือศิลปะ ทั้งรางวัลชมเชยบ้าง ที่ 2 ที่ 3 บ้าง แต่ไม่มีใบไหนเลยที่เขียนว่า ‘รางวัลชนะเลิศ’
ใช่ เธอไม่เคย ‘เป็นที่ 1’ แม้จะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม
กลับกันในตู้กระจกที่ถูกออกแบบมาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วฝั่งตรงข้ามกลับมีรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งเรียงรายอยู่มากมาย เพียงแต่ชื่อที่ปรากฏในหน้ากระดาษเหล่านั้น ไม่ใช่ชื่อของเธอ…
‘นาย มนพัทธ์ นิรชร’ คือชื่อของพี่ชายที่อายุมากกว่าเธอ 4 ปี นอกจากอายุที่มากกว่าแล้ว ความสามารถที่มีก็ยังมากกว่าเธอในทุกด้าน เป็นที่เชิดหน้าชูตาและความภาคภูมิใจของครอบครัว ในฐานะน้องสาว เธอรู้สึกยินดีในความสำเร็จของพี่ชายผู้เป็นที่รัก แต่ในทางกลับกัน ไฟอิจฉาในหัวใจดวงน้อยก็แผดเผาความสุขของเธอจนมอดไหม้ลงทุกวันๆ
เบสต์ตระหนักเสมอว่า หากสักวันเธอได้ที่ 1 แบบพี่ชาย
พ่อแม่จะต้องรัก และภูมิใจในตัวเธออย่างแน่นอน
- READ ยาใจด้วยรัก บทที่ 8 : คนข้างห้อง
- READ ยาใจด้วยรัก บทที่ 7 : ความฝันที่กินไม่ได้
- READ ยาใจด้วยรัก บทที่ 6 : หลุมดำในใจ
- READ ยาใจด้วยรัก บทที่ 5 : ความเจ็บปวดที่ไม่มีเสียง
- READ ยาใจด้วยรัก บทที่ 4 : ความล้มเหลวของความพยายาม
- READ ยาใจด้วยรัก บทที่ 3 : บ้านที่ไม่อยากกลับ
- READ ยาใจด้วยรัก บทที่ 2 : ออฟฟิศที่อยู่กันแบบครอบครัว
- READ ยาใจด้วยรัก บทที่ 1 : การพบกันครั้งแรกของกลางคืนและกลางวัน
- READ ยาใจด้วยรัก : บทนำ








