ภูษาแห่งราชา บทที่ 3 : องค์ชายอึยฮวา

ภูษาแห่งราชา บทที่ 3 : องค์ชายอึยฮวา

โดย : นาคเหรา

Loading

ภูษาแห่งราชา นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก นาคเหรา ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉลองพระองค์ของพระราชาแห่งแดนโสม นิยายออนไลน์ ครบรส ที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอย่างอ่านต่อสามารถติดตามฉบับรวมเล่มที่ออกโดย สำนักพิมพ์ Groove www.groovebooks.com

—————————————————

 

ซอนกีช่วยฮวารยองเก็บของออกจากเรือนนอนอย่างอาลัย ในขณะที่ซูมีกลับถอนหายใจมานับครั้งไม่ถ้วน การสอบเลื่อนระดับมันยากกว่าที่พวกนางคาดการณ์ไว้เสียอีก ก็ใครจะไปรู้เล่า ว่าแค่ปักเล็บมังกรเพิ่มหรือลดลง อาจจะมีโทษฐานกบฏ แท้จริงแล้วการมาเข้ามาในวังมันเป็นเรื่องไม่สนุกเลยสักนิด พอมาฟังสิ่งที่ฮวารยองกับปักชินฮเยถกเถียงกัน ก็ทำให้รู้ว่าความรู้ที่นางมี มันน้อยกว่าขามดเสียอีก  

“เฮ้อ…” ท่าทางดังกล่าวทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ ละงานในมือ หันมามองเพื่อนทันที

“ถอนหายใจทำไม” ฮวารยองเอ่ย

“ข้าว่า จะไปขอให้นายท่านปลดข้าออกไปเร็วๆ ดีกว่า อย่างน้อยขายปลาในตลาดก็คิดแค่เรื่องกำไรขาดทุน ทอนเงินให้ถูก นี่อะไรกัน แค่ปักลายบนผ้าต้องใช้รายละเอียดเยอะขนาดนี้เลยรึ” ซอนกีเอ่ย

“ข้าก็ว่ากลับไปอยู่บ้านดีกว่า กว่าจะได้เป็นซังกุง ผมข้าต้องขาวหมดหัวแน่ๆ สู้ไปตั้งสำนักหมอดูรับจ้างสาปแช่งที่ท้ายตลาดดีกว่า ข้าคิดว่ารายได้คงดีทีเดียว แถมบางทีอาจจะเป็นงานที่ข้าถนัดก็ได้ เงินทองจากการว่าจ้างสาปแช่งเอย… รับจ้างติดต่อกับวิญญาณเอย… รับจ้างทำเสน่ห์คงจะดีกว่าต้องมานั่งท่องอะไรที่เจ้าว่าจนผมหงอกแน่ๆ ”

“เจ้าอยากเป็นมูดังรึ เพิ่งรู้ มิน่าล่ะข้าเห็นเจ้าแอบไปเต้นที่หลังโรงย้อมผ้า ยังนึกว่าเจ้ามีเชื้อสายคนทรงรึเปล่า”

“ข้าไม่มีเชื้อสายคนทรงอะไรหรอก แต่ถ้าอับจนหนทางทำมาหากิน ต่อให้ไม่มีเชื้อสาย ข้าก็ทำให้ตัวเองเป็นคนทรงก็ได้ แค่ไปยืนแล้วเต้นและทำหัวสั่นๆ แบบนี้ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าการขายตัวเองเป็นกีเซง (คณิกา)”

จอนซูมีพูดขึ้นมาบ้าง ฮวารยองไม่ชอบสีหน้าของเพื่อนในเวลานี้เอาเสียเลย  ถึงแม้มันเป็นเรื่องจริง นางกำนัลส่วนมากมาจากชั้นจุงอิน ที่เป็นชนชั้นช่างฝีมือ พวกนี้จะได้รับการปฏิบัติดีหน่อย และถือเป็นนางกำนัลส่วนมากที่อยู่ในวังหลวงแห่งนี้ ส่วนซังมินเป็นชนชั้นชาวนา ส่วนมากเป็นเด็กที่ซาบูแดหรือนายในสังกัดนำพาเข้ามาที่วังหลวง จอนซูมีก็มีนายท่านฝากฝังกับท่านซังกุงไว้ จึงได้มาอยู่ที่นี่ เธอจะออกไปได้หรือไม่ ใต้เท้าคังต้องเห็นชอบด้วย ส่วนระดับล่างที่สุดในหมู่นางกำนัลก็คือชอนมิน ส่วนมากเป็นพวกทาสในเรือนของขุนนาง นางกำนัลพวกนี้มักจะได้ทำงานใช้แรงงานหนักๆ โดยมากเป็นพวกที่ไม่รู้หนังสือ และโดนพวกชนชั้นอื่นกดขี่อยู่เสมอ

ในความคิดของฮวารยองแล้ว การที่จะเป็นเพื่อนกันไม่ได้เกี่ยงเรื่องชนชั้น แม้เธอจะมีท่านลุงและท่านปู่เป็นยังบัน (ชนชั้นขุนนาง) เธอก็สามารถเข้ากับคนได้ทุกคน ยกเว้นพวกของปักชินฮเยที่ทรนงตนว่าเป็นหลานสาวของปักซังซิม ได้แต่ทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว แต่วิธีการรังแกอย่างนั้นใช้กับเธอไม่ได้ผลนัก เพราะฮวารยองถือว่าเมื่อเข้ามาฝึกหัดเพื่อทำงานในวังแล้ว ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ไม่ว่าปักชินฮเยกับพวกจะหาทางรังแกเธอยังไง ฮวารยองก็หาได้กลัวไม่ คนพวกนี้หาทางรังแกคนที่มาจากชนชั้นที่ต่ำกว่าเสมอ บางทีนางกำนัลชั้นซังมินกับชอนมินก็ถูกใช้ ให้ทำเรื่องที่พวกนางกำนัลที่มาจากชนชั้นสูงไม่ทำกัน ถ้าได้นายหญิงเมตตาก็ดีไป แต่ถ้าได้นายหญิงที่เล่นพรรคเล่นพวกแล้วล่ะก็ มีหวังกว่าจะอายุสิบห้าไม่ผอมตายก็เป็นบ้ากันพอดี  

สำหรับฮวารยอง ด้วยชนชั้นของท่านย่าที่จัดเป็นเพียงภรรยาไร้อันดับ ต่อให้ท่านพ่ออ่านเขียนเรียนเก่งเช่นใดก็ไม่สามารถสอบควากอเป็นขุนนางได้ ท่านจึงหันมาเรียนงานช่างฝีมือจนชำนาญและได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทของพระราชาและเชื้อพระวงศ์เหมือนเดิม ในวันนี้วันที่เธอทดสอบผ่านได้เป็นซูบังนาอินอย่างที่ตั้งใจ เธออยากให้ท่านพ่อและท่านแม่มาร่วมยินดีด้วย

บางทีตอนนี้ท่านพ่อและท่านแม่อาจจะกำลังดีใจไปกับเธอด้วยก็ได้ เด็กหญิงสลัดความขมขื่นออกจากใจ ก่อนเก็บของใส่ลงในห่อผ้าใบเดียว เธอมีเสื้อผ้ามาไม่กี่ชุด แต่ที่เธอต้องเอาติดตัวไปด้วยตลอดคือหนังสือลายมือของท่านพ่อ ท่านชอบเขียนเคล็ดลับเกี่ยวกับการเย็บปักผ้า การย้อมสีอย่างไรให้ติดทน ทุกครั้งที่คิดถึงท่านพ่อ เธอจะเปิดสมุดบันทึกของท่านอ่าน การได้เห็นลายมือของท่าน มันก็ทำให้เกิดความอบอุ่นใจเสมือนหนึ่งมีบิดาอยู่ใกล้ๆ

“เก็บของเสร็จรึยัง เจ้าต้องถือหนังสือส่งตัวเข้าที่ห้องปักร้อยก่อนค่ำนะ” น้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรของนางกำนัลรุ่นพี่ที่ยังเป็นเซ็งกักชิอยู่ พูดด้วยน้ำเสียงสะบัดน้อยๆ ราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง จอนซูมีทำปากจุ๊ๆ อย่างไม่ค่อยพอใจนักและคาดเดาได้ว่าคนที่มาบอก คงจะเป็นพวกของใคร ฮวารยองเองเมื่อเห็นอาการดังกล่าวก็นึกห่วงชะตากรรมของเพื่อนรักทั้งสองไม่ได้

“สงสัยจะเป็นนางกำนัลซักชุดชั้นในของปักชินฮเย!”

“อย่าพูดดังไป ตอนนี้เรามีกันสองคนเท่านั้นนะ แล้วข้าก็ไม่ได้หัวดีเหมือนฮวารยองด้วย คนพวกนี้หูบานยังกะถาดตากพริกแห้ง” ซอนกีเอ่ยพลางมองตามหลังนางกำนัลส่งข่าว ในขณะที่ฮวารยองถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ข้าเป็นห่วงพวกเจ้านะ รีบตั้งใจเรียนจะได้สอบผ่านเร็วๆ จะได้ไปอยู่ที่อื่น”

“แล้วคิดว่า ข้าจะไม่เจอคนพวกนี้อีกรึ ฮวารยอง ที่นี่วังหลวงไม่เหมือนป่าที่มีเสือร้ายก็จริง แต่คนที่นี่ร้ายกว่าเสืออีก ข้ามันก็คนธรรมดาจะสู้กับเสือด้วยมือเปล่าก็ยังไงอยู่ เอาเป็นว่าข้ากับซอนกีจะรีบสอบให้ผ่านแล้วตามไปหาเจ้าที่ซูบังให้ได้นะ”

เด็กหญิงทั้งสามกอดกันแน่น ไม่มีน้ำตา ไม่มีใครร้องไห้ เพราะรู้ดีว่า นี่เป็นการจากกันแค่ชั่วคราวเท่านั้น ฮวา รยองเดินไปรับหนังสือส่งตัวเพื่อย้ายหน่วยงานที่นายหญิงออมเขียนไว้แล้ว ก่อนที่จะออกจากห้อง ออมซังกุงก็เอ่ยขึ้นมาว่า

“ถ้าบิดาของเจ้ารับรู้ได้ เขาคงดีใจมากที่เห็นเจ้าก้าวหน้าเร็วเช่นนี้”

“นั่นเป็นเพราะนายหญิงเมตตาข้าเจ้าค่ะ”

“มิใช่ข้าเมตตาเจ้าหรอกเด็กน้อย สิ่งที่ทอดทอในกายเจ้าต่างหากที่เป็นแรงผลักดันให้เจ้าก้าวหน้า ตั้งใจเรียนนะ แล้ววันหนึ่งเจ้าจะกลายเป็นช่างภูษาของพระราชาที่มีฝีมือที่สุดในโชซอน”

จากที่คิดว่าจะไม่ร้องไห้ เด็กหญิงก็มิอาจกลั้นน้ำตาได้อยู่ ดวงตางดงามพร่างพราวด้วยหยาดหยดของน้ำตา เดินขยับไปใกล้ๆ ผู้สูงวัยกว่า ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า

“ขอกอดท่านหน่อยได้ไหมเจ้าคะ ถ้าท่านจะเมตตา ข้าแค่อยากร้องไห้”

ออมซังกุงไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ได้แต่กางแขนออก ในขณะที่ฮวารยองก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน มือที่กร้านงานเย็บปักนั้นตบไปที่หลังเด็กน้อยเบาๆ เสียงสะอื้นที่ดังแว่วออกมานั้นก็ทำให้ออมซังกุงอดใจหายไม่ได้

“ถ้าเจ้าเป็นลูกของข้ากับเขาคงจะดีไม่น้อย คนที่ข้าแอบรักและไม่เคยได้เผยความในใจให้เขาได้รับรู้ วันนี้การที่ได้กอดเจ้า ผู้เป็นลูกสาวคนที่ข้ารัก นั่นทำให้หัวใจของข้ากลับมามีสีของเลือดเนื้อ หลังจากที่มันได้ตายไปนับจากที่ลมหายใจของบิดาเจ้าหมดสิ้น”

อ้อมกอดนั้นคลายออก ออมซังกุงได้แต่มองเด็กหญิงร่างเล็กที่ขาดทั้งพ่อและแม่อย่างเวทนา นี่คงไม่อยากจะร้องไห้ให้ใครเห็นสินะ มือสองข้างเช็ดน้ำตาให้เจ้าของแก้มนวลเบาๆ ก่อนจะตัดใจบอกให้ฮวารยองก้าวเดินไปข้างหน้า เด็กคนนี้ควรได้รับการฝึกฝนให้ตรงจุด เพราะต่อไปจะหาคนที่มีพรสวรรค์ได้ยากมาก ที่ผ่านมาช่างปักเสื้อฝีมือดีมีน้อยจนเหลือแค่สองคนในราชสำนักเท่านั้น และหน้าที่ครูของเหล่านางกำนัลห้องเสื้อคือต้องหาคนที่มีความสามารถเข้าไปยังหน่วยงานต่างๆ อย่างเร็วที่สุด  

“ไปเถอะ อย่าให้คนทางนั้นรอนาน จะอยู่ที่ไหน เดี๋ยวเราก็ต้องได้เจอกัน เพื่อนของเจ้าก็ไม่ต้องห่วงพวกนางหรอก ข้าจะเคี่ยวเข็ญให้พวกนางสอบผ่านเร็วๆ พวกเจ้าจะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง ”

ฮวารยองเดินออกจากเรือนพักออมซังกุง เป็นความจริงที่นายหญิงออมกำชับให้ซังกุงผู้ช่วยจัดคนไปส่งที่ห้องเย็บปักหรือซูบัง แต่ไม่มีใครไปส่งเธอสักคน เด็กหญิงทำใจไว้แล้ว ต่อให้ออมซังกุงเมตตาเธอแล้วอย่างไร นางกำนัลและซังกุงอีกหลายคนล้วนเป็นพวกของคนตระกูลปัก แน่นอนคนพวกนั้นต้องเห็นปักชินฮเยดีกว่าเธอแน่ๆ เด็กหญิงหอบห่อผ้าเดินถามทางทหารและขันทีที่ผ่านไปมาไปตลอดทาง  มันไม่ใช่เรื่องยากหรอกนะ แต่ซูบังหรือห้องเย็บปักดูเหมือนจะอยู่ห่างโรงย้อมเสียหน่อย บางทีไม่แน่ขันทีที่สวนผ่านทางล่าสุดอาจจะบอกทางเธอผิด

“ตกลงไปทางไหนเนี่ย ที่จริงมันก็ไม่น่าห่างกันเลยนี่” ฮวารยองเอ่ยพลางนั่งลงอย่างหมดแรง แสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านใบไม้พอให้ร่มเงาบ้าง ใบหน้างามลออนั้นเงยขึ้นน้อยๆ มองแสงสว่างที่ลอดผ่านหมู่แมกไม้มา นั่นทำให้เธอคิดถึงบ้านจับใจ

“ท่านพ่อท่านแม่ขา อยู่บนท้องฟ้าเหงาไหมคะ”

ฮวารยองพูดอยู่คนเดียวก่อนยิ้มให้กับท้องฟ้า ดวงกลมโตมองก้อนเมฆที่จับตัวเป็นรูปทรงต่างๆ นิ่ง… เนิ่นนาน ตอนนี้นางแน่ใจแล้วว่า ขันทีคนล่าสุดบอกทางนางผิด แต่สายลมและกลิ่นหอมของดอกไม้ทำให้เด็กหญิงลืมว่าตัวเองต้องไปที่ใดต่อ จนกระทั่งได้ยินเสียงสนทนากันอยู่ไม่ไกลนัก

“อากาศที่นี่ดีนะ พี่ว่าถ้าได้ดอกยูแช (ดอกผักกาด) มาปลูกเพิ่มอีกหน่อยหลังวังคงจะสวยน่าดู พี่เคยได้ยินท่านผู้ตรวจการมณฑลซอลลานัมโดบอกมาว่า ที่เกาะทัมร่า (เกาะเชจู) ช่วงเดือนห้าเขาจะปลูกดอกยูแชเต็มท้องทุ่ง พี่อยากจะไปสักวัน”

“ถ้าหากบ้านเมืองสงบดีแล้ว ชอฮาก็หาเวลาไปก็ได้นี่พระเจ้าค่ะ กระหม่อมเองก็ได้ยินท่านอาจารย์คังพูดเรื่องอากาศที่ผิดแปลกของเกาะทัมร่า ท่านอาจารย์บอกว่าอากาศมักจะร้อนกว่าฮันซอง (ชื่อของโซลในสมัยปลายโชซอน)

เสียงสนทนานั้นทำให้ฮวารยองต้องมองหาที่มาของเสียง แต่สิ่งที่ทำให้เธอสนใจได้มากกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ คำว่าดอกยูแชต่างหาก เจ้าของร่างน้อยลุกขึ้นยืนพลางเหลียวมองหาทุ่งดอกยูแชที่มีคนกล่าวถึง แต่ยังไม่ทันได้มองเห็นดอกผักกาดสักดอก ดวงตากลมโตก็พบกับสายตาของคนผู้หนึ่งที่ทอดมายังนางแทน  จากเครื่องแต่งกายที่สวมใส่บอกได้ดีว่าคนที่สบตากับเธอมิใช่ทหารธรรมดาแน่ๆ

“ตายแล้ว!” ฮวารยองรีบนั่งลงเหมือนจะแอบซ่อนตัว เธอรีบคุกเข่าแล้วคลานออกไปจากบริเวณนั้น แต่ทว่าเสียงฝีเท้าของคนหลายคนต่างวิ่งกรูมายังเธอ ไม่นานนักเด็กหญิงก็สะดุ้งสุดตัวที่ได้ยินเสียงตวาดของซังกุงถวายงาน

“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ! เจ้าตัวเล็กนี่บังอาจมาก สังกัดกรมกองใด ทำไมมาเที่ยวเตร่ถึงอุทยานหลวง รู้หรือไม่สถานที่แห่งนี้ห้ามให้ผู้ใดเข้ามา”

“ยกโทษให้ข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะนายหญิง ข้าหลงทางจริงๆ” ฮวารยองเอ่ยขอร้อง

“นี่คือข้อแก้ตัวของเจ้ารึ บอกมาสังกัดกรมใด”

“ข้าเป็นซูบังนาอินเจ้าค่ะ ข้ากำลังจะไปที่ห้องเย็บปัก แต่ทว่ามีคนบอกทางข้าผิดจึงหลงมาที่นี่” คนฟังทำท่าไม่อยากจะเชื่อ เสียงเอะอะโวยวายนั่น ทำให้เจ้าของพระวรองค์สูงสง่าในชุดสีแดงดุจเลือดนก ต้องย่างกรายพระบาทมายังเธอ นี่เป็นเป็นครั้งแรกที่ฮวารยองรู้สึกกลัวจริงๆ จะไม่ให้กลัวได้อย่างไร ก็ซังกุงถวายงานเล่นตะโกนเสียงดังออกปานนั้น ผมไม่ร่วงจนหมดหัวก็ดีเท่าไหร่แล้ว พอมองไปรอบๆ ทหารรักษาวังหลายสิบคนจ้องมายังเธอเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้

“ตัวเล็กๆ แค่นี้ได้เป็นนาอินแล้วรึ เก่งจังเลย” ผู้ที่มาใหม่ยิ้มน้อยๆ ฮวารยองไม่กล้าสบตาอีก เพราะรู้ว่าผู้ที่สวมฉลองพระองค์ปักลายสิงห์ที่เสื้อเป็นถึงองค์ชาย แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นองค์ชายพระองค์ใด

“อึยฮวากุนมานิมตรัสถาม ทำไม่ตอบ”

“อย่าดุนางนักเลย เด็กตัวเล็กแค่นี้เอง บางอย่างไม่ควรถือไว้ให้หนัก ท่านเองก็ทำตามสบายเถิด คิมซังกุง” องค์ชายพระองค์นั้นกล่าว ในขณะที่ฮวารยองก้มหน้า ตอนนี้เหงื่อไหลมารวมกันที่ปลายจมูกแทน เธอไม่กล้ามองสบตาใครเลย แต่ทันใดนั้นพระหัตถ์เรียวก็เชยคางเด็กน้อยขึ้น ฮวารยองรู้สึกประหม่าเหลือเกิน

องค์ชายพระองค์นั้นมีพระพักตร์ที่เรียกว่าหล่อเหลาคมคายนัก แต่พระเนตรกลับเศร้าสร้อย แม้ยามยิ้มก็ดูเหมือนจะมีอะไรซ่อนในแววนั้น พระองค์จ้องมองเธอเหมือนกับจะรอคอยคำตอบ ในขณะที่ฮวารยองถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว

“ว่ายังไงจ๊ะ แม่สาวน้อย” คราวนี้ฮวารยองก็หน้าแดงโดยไม่มีสาเหตุ แต่อย่างไรเสียก็ต้องตอบออกไป เพราะการจะให้เจ้านายถามซ้ำหลายครั้งดูเหมือนจะเสียมารยาทไป

“หม่อมฉันเป็นซูบังนาอินจริงๆ เพคะ แต่เพิ่งได้จะได้ย้ายไปที่ห้องเย็บปักก็วันนี้นี่เอง” อึยฮวากุนทรงมองเด็กน้อยที่กอดห่อผ้าอย่างฉงนสงสัย ดูท่าเด็กคนนี้คงอายุไม่ถึงสิบขวบกระมัง ทำไมได้ย้ายไปห้องเย็บปักได้เร็วนัก

“เจ้าชื่ออะไรล่ะ”

“ยูฮวารยองเพคะ กุนมานิม”

“ดี ชื่อเพราะมาก ฮวารยองงามดุจบุปผา เอาเป็นว่าข้าจะจองเจ้าไว้นะ เจ้าหน้าตาน่ารักดี”

“กุนมานิมทรงล้อเล่นอีกแล้ว ถ้าพระชายามาได้ยินคงรู้สึกไม่ดีแน่ ” คิมซังกุงเอ่ยตำหนิด้วยรู้ดีว่า อึยฮวากุนเป็นองค์ชายรูปงามที่สุดของพระราชา พระองค์เสกสมรสกับพระชายาท็อกอินดังจากตระกูลคิมได้สองปีแล้ว แต่ก็ยังมีการรับชายาเข้าวังมาอีกหลายพระองค์  แม้ตอนนี้จะมีอายุแค่สิบเจ็ดชันษาก็ตาม

“พระชายาน่ะไม่ว่าหรอกนะ ข้าชอบเด็กคนนี้จริงๆ โตขึ้นไปต้องสวยแน่ๆ จะหาโอกาสทูลขอนางจากเสด็จพ่อให้ได้” จบคำนั้นทำให้พระเชษฐาได้แต่พระสรวลเสียงดัง ด้วยรู้ว่าแท้จริงอึยฮวาชอบล้อคิมซังกุงเล่น เพราะเห็นว่าเป็นญาติห่างๆ ของพระชายาท็อกอินดัง ความเป็นจริงแล้วอึยฮวากุนเป็นคนที่มีจิตใจเมตตายิ่งกับเด็กเล็กๆ เห็นแล้วยิ่งชอบ

“เรื่องเจ้าชู้ไม่มีใครเกินเลยนะคัง เอาล่ะ… คิมซังกุง อึยฮวากุนก็แค่ล้อเล่น เจ้าก็อย่าใส่ใจเลยนะ” ชอฮาตรัสพลางแย้มสรวล ฮวารยองได้สติรีบก้มลงคำนับองค์ชายรัชทายาท ก่อนเงยหน้าขึ้นกล่าวคำขอโทษแด่พระองค์ สายพระเนตรขององค์รัชทายาทลีชอกมองนางอย่างเมตตา องค์ชายรัชทายาททรงมีพระวรกายไม่สูงใหญ่นัก ผิดกับอึยฮวากุนที่สูงกว่ามากแต่ก็ดูท่าทางใจดีมากเหมือนกัน เด็กหญิงคิด

“อย่างที่คิมซังกุงว่านั่นแหละ เจ้าไม่ควรมาที่นี่ สวนตรงนี้เป็นสวนต้องห้าม มีนางกำนัลน้อยมากที่จะหลงเข้ามา วันนี้ถือเป็นความผิดครั้งแรก ข้าจะไม่เอาผิดเจ้า”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะชอฮา หม่อมฉันจะไปที่ห้องเย็บปัก แต่เดินไปเดินมาก็เลยหลงมาอยู่ที่นี่”

“เป็นนาอินแล้วรึ ยังอายุน้อยอยู่เลย เอาล่ะ เดี๋ยวข้าจะให้ทหารนำทางไปให้ คราวหน้าคราวหลังระวังด้วยล่ะ” องค์ชายรัชทายาทตรัสก่อนแล้วจึงแย้มพระโอษฐ์ ยังไม่ทันที่พระองค์จะสั่งทหารแต่อึยฮวากุนก็ตรัสขึ้นมาก่อน

“งั้นเด็กคนนี้กระหม่อมจะเป็นคนไปส่งนางเองพระเจ้าค่ะ ชอฮา” พอได้ยินพระอนุชาตรัสเช่นนั้น องค์ชายรัชทายาทก็ทรงพระสรวลดังลั่น คนอะไรหว่านเสน่ห์ให้เด็กยังไม่ถึงสิบขวบ แต่โดยมากนางกำนัลสาวๆ เมื่อได้เห็นพระพักตร์ของพระอนุชาผู้ที่ถือกำเนิดมาจากสตรีแห่งตระกูลจางแล้ว ย่อมมีอารมณ์หวั่นไหวทั้งนั้น ทั้งนี้ในบรรดาพระราชโอรสของพระราชา อึยฮวากุน โอรสองค์ที่ห้า ได้รับคำชื่นชมจากเหล่าข้าราชบริพารว่าเป็นองค์ชายที่รูปร่างหล่อเหลาสง่างามดุจดั่งภาพวาด แต่การหว่านเสน่ห์ให้นางกำนัลเด็กคนนี้ดูออกจะเกินไป

“ดูสิ เด็กตัวแค่นี้ยังไม่ละเว้น”

“อย่าเลย เจ้าตามพี่ไปที่วังตะวันออกทงกุงจอนดีกว่า พี่ยังอยากถกหัวข้อสุภาษิตอีกสักสองสามข้อ เห็นเจ้าปราดเปรื่องจึงอยากร่วมสนทนาด้วย”

“วันนี้เห็นทีจะไม่ได้พระเจ้าค่ะ กระหม่อมต้องเยี่ยมท่านแม่ ประเดี๋ยวจะค่ำ การเดินทางไปที่เรือนออกจะลำบากเสียหน่อย แต่ถ้าไม่ออกไปเลยดูท่าจะยากเพราะว่ากฎของฝ่ายในว่าเอาไว้ กระหม่อมไม่อยากให้ท่านแม่ต้องลำบากใจ” อึยฮวากุนตรัส

“แต่ออมม่ามามา (ทูลกระหม่อมแม่) ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ หากระยะทางมันไกลจากบุกชอนเรือนเจ้านัก ก็นอนที่ทงกุงจอนก็ได้ ที่จริงน่าออกกฎให้เจ้าพำนักในวังได้นะ เขาคิดว่าข้าจะมีความสุขรึที่ต้องนั่งอยู่คนเดียวคร่ำเคร่งกับตำราเล่มหนา ข้าเองไม่เหมือนเจ้านะ ที่อ่านอะไรครั้งเดียวก็จำได้ ส่วนข้ามันไม่เอาไหน เรียนรู้มาก็มากแต่หาได้แตกฉานไม่ ได้ข่าวว่าที่ตำหนักของเจ้าต้องทำอาหารคาวหวานออกต้อนรับเหล่าปราชญ์ทั้งหลายอยู่บ่อยไปมิใช่รึ แล้วบ้านที่เป็นตึกสูงๆ แบบนั้นจะอยู่ดีอยู่สบายได้อย่างไร”

“ต่อไปคนก็จะอยู่แบบนี้แหละพระเจ้าค่ะชอฮา การได้อยู่ข้างนอกทำให้กระหม่อมได้เห็นผู้คนหลายเชื้อชาติ พอยิ่งได้เห็นคนหลายเชื้อชาติก็นึกอยากไปดินแดนของเขาบ้าง กระหม่อมเคยคุยกับท่านกุงสุลของรัสเชียและอเมริกาถึงได้รู้ว่าบ้านเมืองของเรานั้น แตกต่างจากเขามากเหลือเกิน” อึยฮวากุนตรัสได้เพียงเท่านั้น ก็ทรงหยุดเพราะเห็นว่าเรื่องที่สนทนากันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อนักสำหรับเด็กห้าหกขวบ และพระองค์เชื่อว่ายังมีเรื่องที่น่าปวดหัวกว่านี้รออยู่อีกมาก สุดแล้วแต่ว่ากระแสลมแห่งความเปลี่ยนแปลงจะพัดพาชะตากรรมของประเทศให้เป็นแบบใด

“กระหม่อมจะไปที่ซูบังเหมือนกัน จะไปหาโจซังกุงที่ตำหนักนั้น ชอฮาน่าจะอยู่รอสายลมพัดความหอมของดอกผักกาดสักครู่ เพราะเข้าไปข้างในวัง อากาศใช่ว่าจะบริสุทธิ์เหมือนเคย” สายพระเนตรคมคายหากแต่เศร้าสร้อยทอดมองคณะผู้ที่ติดตามบางคน ราวกับกับจะให้คำนั้นกระทบกระทั่งหัวใจอีกฝ่าย องค์ชายรัชทายาททรงพยักหน้าก่อนจะบอกให้เหล่าซังกุงตามพระองค์ไปชมสวนอีกสักครู่ ด้านฮวารยองเองก็ได้แต่ก้มหน้าลงแนบพื้นเพื่อรอส่งเสด็จองค์ชายรัชทายาท

เสียงฝีเท้าของคนหลายคนห่างจากบริเวณที่เธอนั่งได้สักครู่ เด็กหญิงจึงลุกขึ้นหมายจะเดินหาทางไปซูบัง แต่ก็พบว่าองค์ชายอึยฮวาจ้องมองเธออยู่ก่อนแล้ว พระหัตถ์เรียวยื่นมาตรงหน้า ฮวารยองมองพระพักตร์หล่อเหลานั้นด้วยความรู้สึกกลัว ถึงยังไงเธอเป็นเพียงนางกำนัลที่ยังไม่มีตำแหน่ง แต่ถึงมีตำแหน่งเธอก็ไม่กล้ารับความปรารถนาดีที่พระองค์ให้หรอก มันเป็นการอาจเอื้อมอย่างไม่น่าให้อภัย

“มา… เราไปที่ซูบังกัน ข้าได้ไหว้วานโจซังกุงให้ปักผ้าเช็ดหน้าให้ คิดว่าจะไปเอาเสียหน่อย ไหนๆ ก็ได้มาถึงวังหลวงแล้ว” ฮวารยองนั่งนิ่งเมื่อเห็นพระหัตถ์เรียวยื่นมายังนาง อึยฮวากุนทรงแย้มสรวลให้อีกครั้งก่อนจะประคองร่างของเด็กหญิงให้ลุกขึ้น  

“แต่เรื่องข้าขอจองเจ้าไว้ ข้าพูดจริงๆ นะ”

“อย่าล้อเล่นเลยเพคะ หม่อมฉันก็แค่นางกำนัล”

“ต่อไปเจ้าอาจจะมีตำแหน่งสูงกว่านั้นก็ได้ ถ้าไปอยู่ข้างนอกเจ็ดแปดขวบก็ต้องรีบแต่งงานแล้ว ข้าเห็นลูกสาวขุนนางคนอื่นแต่งงานเร็วจะตาย ที่จริงมันน่าเบื่อนะ ถักผมเปียวิ่งเล่นไม่เท่าไร พอแต่งงานไปต้องมาทำผมเหมือนคนแก่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ข้าเองก็แต่งงานแล้วนะ เห็นเป็นเรื่องผิดแปลกหรือไม่”

อึยฮวากุนตรัสพลางยื่นพระหัตถ์ให้นางจับ แต่ฮวารยองไม่กล้า พระองค์จึงฉวยมือน้อยมาจับไว้เสียเอง

“มือเจ้าทั้งด้านทั้งแข็ง ไม่เหมือนมือของผู้หญิงคนอื่นที่ข้าเคยจับเลย”

“ที่เป็นแบบนั้นเพราะหม่อมฉันต้องหัดเรียนเย็บปักมาตั้งแต่เล็ก ถูกเข็มทิ่มนิ้วจนเลือดไหลก็หลายครั้ง จับเข็มจนนิ้วแข็งและด้าน อีกหน่อยมันคงด้านเหมือนหนังวัวแข็งๆ ด้วยซ้ำ” พูดได้แค่นั้นฮวารยองก็หดมือตัวเองเกร็งแน่น พูดไปก็ให้ละอายนักที่มือของนางเป็นแบบนี้ อึยฮวากุนกลับกระชับมือน้อยข้างนั้นแน่น พลางตรัสต่อ

“ยังมีคนอีกหลายคนลำบากและอุทิศตัวเพื่อรับใช้ราชวงศ์ แต่ถ้าต้องแลกกับสิ่งที่สำคัญขนาดนี้ เจ้าต้องทำมันออกมาให้ดีล่ะ เข้าใจไหม สักวันถ้าฝีมือเจ้าก้าวหน้ากว่านี้สักสิบขั้น ช่วยตัดชุดเดินเที่ยวตลาดสักตัวให้ข้าก็แล้วกัน”

“กุนมานิมทรงชอบสีอะไรเล่าเพคะ”ฮวารยองเอ่ยมาถึงตอนนี้ เธอกล้าถามขึ้นมาแล้ว สีพระพักตร์ของคนที่ถูกจับจ้องเปื้อนยิ้ม สำหรับฮวารยองแล้ว เวลาที่อึยฮวากุนทรงยิ้ม ราวกับโลกทั้งโลกสดใสขึ้น พระเนตรคมคายมีประกายแวววับ ดูท่าแล้วพระองค์น่าจะเป็นคนใจดีคนหนึ่ง

“ข้าไม่เคยเลือกเสื้อผ้าเองเลยนะ ที่ผ่านมาท่านแม่เป็นคนเลือกให้ มาตอนนี้ข้าก็แต่งงานแล้ว พระชายาเป็นคนดูแลเสื้อผ้าให้ข้าบ้าง แต่ถ้าชุดในพระราชพิธีสำคัญๆ ทางห้องเสื้อหลวงก็จัดการให้ อย่างชุดนี้ที่เจ้าเห็นอย่างไรเล่า”

“หม่อมฉันหมายถึง วันที่พระองค์มีโอกาสเลือกสีที่ชอบเอง ถึงตอนนั้นหม่อมฉันจะตัดและเย็บเสื้อสวยๆ ให้เพคะ น่าเสียดายแย่ ถ้าหากเราไม่สามารถเลือกอะไรง่ายๆ แม้แต่สีเสื้อที่เราชอบ”

“มันคงเป็นจริงอย่างที่เจ้าว่านั่นแหละ เรื่องง่ายๆ บางอย่างคนอย่างข้าก็ทำเองได้ยากนัก เอาเป็นว่าหากได้เป็นช่างเสื้อหลวงเมื่อไรแล้วล่ะก็ ช่วยพาข้าไปเลือกผ้าสีของท้องฟ้ายามนี้ด้วย” ฮวารยองมองแหงนมองท้องฟ้าตามที่องค์ชายหนุ่มบอก ท้องฟ้าตอนนี้มีฟ้าจางๆ ลมอ่อนๆที่พัดมาทำให้ได้กลิ่นดอกผักกาดจากอุทยานด้านทิศใต้ นางแหงนหน้ามองท้องฟ้าเพียงครู่ในหัวก็ได้แต่คิดว่า สีฟ้าอ่อนๆ หากใช้เสื้อตัวนอกเป็นสีน้ำเงิน ใช้ผ้าหนาหน่อย ก็จะทำให้ทรงเสื้อดูสวยขึ้นมาได้ พอคิดออกอย่างนั้น ฮวารยองก็หันหน้าไปบอกกับอึยฮวากุนว่า

“ได้สิเพคะ ถึงตอนนั้นหม่อมฉันจะตัดเสื้อตัวที่สวยที่สุดให้ สีของท้องฟ้ายามนี้กับเสื้อตัวนอกสีเข้มปักลายก้อนเมฆให้พระองค์ ถึงตอนนั้นคงสวยมากเลยเพคะ”

อึยฮวากุนมองหน้าฮวารยองพลางแย้มพระสรวล เด็กในวัยไม่เดียงสาคนนี้กลับทำให้พระองค์รู้สึกดี แม้ในยามที่แผ่นดินกำลังเผชิญเรื่องทุกข์ยาก ความที่พระองค์เกิดในตำแหน่งที่สูงศักดิ์ แม้ไม่สำคัญแต่ก็มิอาจจะหลีกเลี่ยงหน้าที่ที่ต้องกระทำได้ ท้องฟ้าวันนี้ในแผ่นดินโชซอนงดงามสดใสมากก็จริง แต่ถ้าเป็นวันอื่นเล่า ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้า มันจะงดงามได้อย่างนี้หรือเปล่า

บางทีท้องฟ้าก็มักจะถูกเปลี่ยนสีด้วยการตั้งเค้าของลมฝน การดำเนินการในด้านใดก็ตาม หากใช้ความโดดเดี่ยวอย่างที่แล้วมา อาจจะไม่ได้เป็นผลดีต่อโชซอน ในอดีตโชซอนอาจจะภักดีและเป็นมิตรต่อต้าชิง แต่ตอนนี้แม้แต่ต้าชิงเองก็ไม่สามารถนำพาตัวเองให้หลุดพ้นจากความต้องการจากความกระหายในอำนาจต่อการล่าเมืองขึ้นของชาติตะวันตกได้ บ้านเมืองกำลังจะเปลี่ยนไป จากสังคมหนึ่งเป็นอีกสังคมอีกแบบ แล้วคนที่ปิดบ้านมาเกือบตลอดเวลาจะรู้สึกอย่างไรเล่า ถ้าหากว่าวันหนึ่งเปิดประตูออกมา พบว่าตัวเองกลายเป็นคนล้าสมัยแล้วในโลกใบนี้

ในขณะที่อีกฟากของตำหนักที่ห่างจากคยองฮีรูไม่ไกลนัก ดวงตายาวรีของชายคนหนึ่งที่สวมชุดแบบสากล เขามองบรรยากาศภาพในพระราชวังคยองบกอย่างแสนเสียดาย วันนี้ท้องฟ้าสีสวยจริงๆ แต่ผู้ที่ปกครองประเทศหาได้โอนอ่อนเหมือนสายลมที่พัดมาแผ่วๆ ไม่ เหล่าขุนนางบางคนมองผู้ที่สวมชุดแตกต่างจากพวกเขา ก่อนจะหันไปมองหน้ากันด้วยความรู้สึกบางอย่าง หากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไป

“ถ้าหากจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างลงไปบ้าง กระผมอยากคงความสวยงามของพระที่นั่งแห่งนี้ไว้ มันน่าเสียดายนะที่สวนสวยๆ จะถูกทำลายไป แต่ก็ว่าล่ะนะ… การมีลมหายใจอยู่ของคนบางคนกลับเป็นอันตรายต่อสิ่งที่เราวาดหวังไว้เหลือเกิน ลมหายใจของคนคนนั้นมีค่ามากนักหรือ ถ้าหากละเว้นไว้…”

“ละเว้นไม่ได้ การต่อลมหายใจให้คนคนนั้น รังแต่จะทำให้เสียเวลา บอกมิอูระ (ราชทูตญี่ปุ่นประจำเกาหลีในณะนั้น) ว่า จงทำต่อไป!”

สายตาของผู้พูดแฝงความนัยที่เกี่ยวข้องต่อผลประโยชน์ของแผ่นดินตน การจะครอบครองโชซอนไม่ใช่เรื่องง่ายหากมีราชวงศ์อยู่ แต่ก็มีบางส่วนก็ได้เอนเอียงมาทางญี่ปุ่นบ้างแล้ว แม้แต่พระบิดาผู้ให้กำเนิดพระราชาโกจง ก็หมายจะยืมมือญี่ปุ่นทำร้ายลูกสะใภ้ผู้เข้มแข็ง ราชินีมินแห่งยอฮึง สตรีผู้ที่เป็นนักปกครองและปราชญ์ ซึ่งร้อยปีก็หาได้ยากนักสำหรับโชซอน ถ้าเปรียบนางผู้สูงศักดิ์จากตระกูลนั้นเป็นดอกไม้ มิใช่เป็นเพียงดอกไม้ที่สวยงามน่าทะนุถนอม แต่ยังเป็นยาชั้นเลิศที่สามารถรักษาคนเจ็บได้

แต่สำหรับญี่ปุ่นแล้ว ราชินีมินเป็นเพียงดอกไม้พิษที่เอาไว้ไม่ได้ กำจัดส่วนที่แข็งที่สุดส่วนต่อไปก็จะกำจัดได้ง่ายกว่าเดิม

รอยยิ้มเยียบเย็นเผยออก แต่ครั้นเมื่อมองเห็นองค์ชายพระองค์หนึ่งที่อยู่ท่ามกลางเหล่าข้าราชบริพารก็เหมือนกับจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างได้

“มิยาโมโต้ องค์ชายพระองค์นั้นใช่พระโอรสของพระราชาโกจงหรือไม่”

มิยาโมโต้ เคอิจิ หรี่ตามองผู้ที่นายเอ่ยถาม พลันรอยยิ้มจางๆ ก็เผยออก

“ใช่ครับ องค์ชายพระองค์นี้เป็นพระโอรสองค์ที่ห้าของพระราชาโกจง เป็นลูกชายที่ถือว่าเพียบพร้อมทุกด้าน แม้ขนาดภริยาท่านนายพลฮิโรบุมิยังชมว่า สง่างามน่าเกรงขาม แถมยังชอบศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ทรงภาษาอังกฤษได้โดยไม่ต้องใช้ล่ามแปลความเมือง แต่เสียดายนัก…” คนพูดเว้นจังหวะก่อนจะมองไปยังอึยฮวากุนที่กำลังเดินจูงนางกำนัลตัวน้อยไปยังหมู่อาคารด้านหน้า ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ในพระราชวังคยองบก พอคนพูดเว้นจังหวะอย่างนั้นคนฟังก็อดไม่ได้ที่จะถามต่อ

“น่าเสียดายอะไร”

“ก็น่าเสียดาย ที่พระมารดามีแค่ความงดงามสามารถนำพาวาสนาตนและบุตร แต่กลับไม่มีฐานอำนาจและแรงจากสายตระกูลหนุนหลังน่ะสิครับ องค์ชายอึยฮวาทรงรูปร่างสง่างาม มีปรีชาสามารถด้านภาษาและศาสตร์ขงจื๊อ ถ้าหากว่าเป็นพระบุตรของราชินีมินแล้วล่ะก็…”

“โชคร้ายนะที่ไม่เป็นอย่างนั้น แต่ก็เป็นผลดีกับสิ่งที่เราจะทำ คุณอยากทำงานยากกว่านี้รึ มิยาโมโต้ ที่มันแบบนี้เพราะสวรรค์เข้าข้างเรา จำไว้นะ บางอย่างที่สำคัญ ก็ไม่อาจจะทำให้สำคัญกว่านี้ได้ องค์ชายพระองค์นั้นสง่างามองอาจก็จริง ขาดอย่างเดียวคือเครือญาติทางฝ่ายมารดาที่เข้มแข็ง ที่สำคัญได้ยินมาว่า ทรงหัวแข็งเกินไป เราควรรักและถนอมองค์ชายรัชทายาทมากกว่า

แต่ว่าพระมารดา… คือองค์ชายรัชทายาททรงเป็นพระบุตรของราชินีมินนะครับท่าน ”

“นั่นเป็นเพราะแผนล้อมป่าฆ่านางจิ้งจอกยังไม่เริ่มต่างหาก ถ้าฆ่าแม่จิ้งจอกแล้วลูกอ่อนที่ไม่ประสาอาจจะภักดีต่อเราผู้เป็นเจ้าของใหม่ก็เป็นได้ ที่ผมพูดแบบนี้ หากคุณยังไม่เข้าใจ ก็ช่วยนำความที่ผมกล่าวไปบอกกับมิอุระก็แล้วกัน”

มิยาโมโต้ก้มลงเข้าใจในทุกอย่างที่นายเอ่ย อย่างที่ท่านฮิเดอากิพูด มันเป็นโชคร้ายและชะตากรรมของราชวงศ์เอง

 


ภูษาแห่งราชา นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก นาคเหรา ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉลองพระองค์ของพระราชาแห่งแดนโสม นิยายออนไลน์ ครบรส ที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอย่างอ่านต่อสามารถติดตามฉบับรวมเล่มที่ออกโดย สำนักพิมพ์ Groove www.groovebooks.com

 

 



Don`t copy text!