ภูษาแห่งราชา บทที่ 4 : พระมเหสีมินแห่งยอฮึง

ภูษาแห่งราชา บทที่ 4 : พระมเหสีมินแห่งยอฮึง

โดย : นาคเหรา

Loading

ภูษาแห่งราชา นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก นาคเหรา ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉลองพระองค์ของพระราชาแห่งแดนโสม นิยายออนไลน์ ครบรส ที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอย่างอ่านต่อสามารถติดตามฉบับรวมเล่มที่ออกโดย สำนักพิมพ์ Groove www.groovebooks.com

—————————————————

 

อึยฮวากุนเดินมาส่งฮวารยองที่ห้องเย็บปัก โจซังกุงเห็นว่าใครมาก็รีบวิ่งออกไปต้อนรับทันที นางกำนัลที่เพิ่งสอบผ่านเป็นนาอินต่างลอบมององค์ชายผู้สง่างามด้วยความชื่นชม ดวงเนตรคมคายหันมองไปยังนางกำนัลเหล่านั้น พลางทอดรอยแย้มสรวลให้พวกเธอ ด้านโจซังกุงเองเมื่อเห็นอาการไม่สำรวมของคนในปกครองก็ดุทันที

“ไปทำงานที่ได้รับมอบหมายได้แล้ว ไม่รู้รึ การกระทำเช่นนี้ของพวกเจ้า กำลังทำให้ข้าเสียหน้า!”

“อ้าว… เป็นความผิดของข้าใช่ไหมเนี่ย ไม่น่าเลย…” อึยฮวากุนตรัส

“กุนมานิม หม่อมฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะเพคะ แต่หม่อมฉันอดทนไม่ได้กับกิริยาของแม่พวกนี้ต่างหาก”

พอได้ฟังเช่นนั้น ผู้เป็นนายก็ได้แต่ยิ้มหัวกับความคิดของซังกุงสูงวัย

“โธ่… โจซังกุง ท่านก็เคร่งไปได้ เด็กพวกนี้ก็เพิ่งจะแตกเนื้อสาว พวกนางก็ต้องมีจริตเป็นธรรมดา หรือตอนที่ท่านอายุเท่าพวกนางไม่เคยเป็นแบบนี้เล่า” คราวนี้สายพระเนตรล้อเลียนนั่นกลับทอดไปยังหัวหน้าห้องเย็บปัก ได้ผล… นอกจากสายพระเนตรดังกล่าวจะใช้ได้กับเด็กสาวรุ่นๆ แล้วยังสามารถใช้กับซังกุงสูงวัยได้อีกด้วย

ใบหน้าของโจซังกุงเข้มขึ้น อีกทั้งแววตาก็เปลี่ยนเป็นประหม่าเก้อเขิน แต่ก็แสดงออกมามากไม่ได้  ตลอดเวลาจากเด็กสู่วัยสาว ไม่เคยมีสักครั้งจะได้ใกล้ชิดกับบุรุษเพศ เพราะอารมณ์ความรู้สึกถูกกดไว้ด้วยกฎเกณฑ์มากมายของวังหลวง สิ่งที่จะทำให้ผู้หญิงของพระราชามีความสุขก็คือ คำชมเชยจากนายบ้างก็เท่านั้นเอง สายตาของโจซังกุงหยุดอยู่ที่เด็กหญิงหน้าตาน่ารักที่เดินมาพร้อมอึยฮวากุน ดูจากชุดก็น่าจะเป็นนางในอยู่งานอยู่ห้องเสื้อหลวง แล้วทำไมถึงมาพร้อมกับอึยฮวากุนได้เล่า ราวกับแววตานั้นจะทอดแววคำถามมาด้วย ฮวารยองก้มลงเพื่อทำความเคารพซังกุงสูงวัย ก่อนเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ ว่า

“ข้ามาตามคำสั่งของออมซังกุงเจ้าค่ะ นี่คือจดหมายส่งตัวของข้าเจ้าค่ะ”

ว่าแล้วโจซังกุงรับจดหมายมาจากมือน้อยพลางคลี่มันออกอ่าน

“ตัวแค่นี้จะหัดงานในห้องเย็บรึ มันน่าจะเร็วเกินไปนะ เจ้าปักผ้าเป็นจริงๆ รึ ข้าหมายถึงการปักดอกไม้หรือใบไม้ง่ายๆ น่ะ เด็กอย่างเจ้าตอนนี้น่าจะฝึกหัดพื้นฐานทั่วไปมากกว่า”

“แต่ออมซังกุงฝากมา แสดงว่าต้องเก่งพอตัว รับเด็กคนนี้ไว้เถิด เพราะนางยังติดค้างคำสัญญาเรื่องตัดเสื้อให้ข้าน่ะ เด็กคนนี้จำเป็นต้องมีอาจารย์เก่งๆ นะ เพราะไม่อย่างนั้นเสื้อตัวที่นางบอกว่าจะตัดให้ข้าคงเอาไปอวดใครไม่ได้”

“เฮ้อ… ทั้งออมซังกุงและพระองค์ดูท่าจะโยนงานใหญ่มาให้หม่อมฉันเสียแล้ว เด็กตัวแค่นี้เองนะเพคะ ตอนกลางคืนไม่รู้จะนอนละเมอหรือตื่นขึ้นมาร้องไห้บ้างรึเปล่า ที่ให้มีการสอบเลื่อนขั้นก็ต้องการทดสอบทั้งระดับความรู้และจิตใจเป็นอย่างแรก ส่วนมากที่สอบผ่านก็มีแต่เด็กอายุสิบเอ็ดสิบสองปีขึ้น นี่ก็แค่หกขวบ เฮ้อ!”

โจซังกุงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่แล้วมาทางห้องเย็บปักจะรับนางกำนัลที่อายุสิบเอ็ดสิบสองปีขึ้นไป นอกจากจะได้เรียนรู้พื้นฐานมาบ้างแล้ว การเย็บปักจำเป็นต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก ถ้าให้เด็กเล็กๆ มาทำก็กลัวว่าจะอยู่ไม่นิ่งพอ แต่พอมองเห็นเด็กหญิงกะพริบตาถี่ๆ ราวกับจะร้องไห้ก็รู้สึกสงสารเหมือนกัน

“แล้วแขนเสื้อของข้าในอนาคตมันจะเท่ากันไหม ถ้าไม่เท่ากันท่านต้องรับผิดชอบด้วยนะ”

พอได้มองสีหน้าเจ้าแง่แสนงอนขององค์ชายหนุ่ม ผู้สูงวัยกว่าก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ โถ… กุนมานิม อย่าประชดหม่อมฉันเลยเพคะ เฮ้อ.. .ยังไงก็โดนมัดมือชกแล้ว ก็คงต้องรับไว้ล่ะนะ ว่าแต่ว่าเจ้าชื่ออะไรล่ะ” โจซังกุงเอ่ยถาม ในขณะที่ฮวารยองยิ้มให้ผู้สูงวัยกว่าอย่างรวดเร็ว ก่อนตอบออกไปว่า

“ยูฮวารยองเจ้าค่ะ นายหญิง”

“เอาล่ะ… จำไว้นะ ต่อให้ออมซังกุงเป็นคนคัดเลือกเจ้ามา แต่หากเรียนรู้ไม่ได้ ข้าจำต้องให้เจ้าไปอยู่กรมกองอื่นแทน ห้องเสื้อหลวงเป็นหน่วยงานใหญ่ เพราะต้องดูแลทุกเรื่องเกี่ยวกับผ้า การดูแลฉลองพระองค์ให้กับพระราชาและพระบรมวงศานุวงศ์ อย่าคิดว่าไม่สำคัญ ในตอนนี้โชซอนมีคนหลายเชื้อชาติอยู่ ฉลองพระองค์แห่งราชาจึงเป็นส่วนที่สำคัญมาก เจ้ารู้หรือไม่ ยูฮวารยอง”

น้ำเสียงนั้นบอกถึงความอาทร เด็กหญิงก้มหน้ารับคำผู้สูงวัยกว่า อาการนั้นทำให้ผู้ที่ลอบมองนางยิ้มน้อยๆ โจซังกุงบอกให้นางกำนัลรุ่นพี่พาฮวารยองเอาของไปเก็บยังเรือนที่พักของเหล่านางกำนัลอยู่งาน ก่อนจะออกจากบริเวณนั้นเธอก็หันมายิ้มให้อึยฮวากุน โดยที่พระองค์ก็ทรงแย้มสรวลตอบออกไปเหมือนกัน

แต่พลันสายพระเนตรขององค์ชายผู้สูงศักดิ์ก็ทอดไปพบกับชุดพิธีการหรือชุดชอกอึย ความจริงแล้วฉลองพระองค์สีแดงชุดนั้น พระมารดาของพระองค์ไม่มีวันได้สวมใส่หรอก การตัดเย็บถูกส่งมาจากช่างภูษาที่ทำหน้าที่ตัดและเย็บเก็บตะเข็บบุลายข้างในจนเรียบร้อย ตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายคือการปักด้วยด้ายสีทอง ฉลองพระองค์ดังกล่าวเป็นชุดที่ใช้ในพระราชพิธีสำคัญๆ ที่พระมเหสีคนเดียวเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์สวมใส่ ผ้าไหมสีแดงสด จะไม่ใช้การพิมพ์ลายลงบนเนื้อผ้าแต่จะใช้การปักเป็นรูปไก่ฟ้าในระยะห่างที่เท่ากันและในนั้นมีรูปปักของ สัญลักษณ์มงคลที่เรียกว่าอีฮวาโมยังปักแทรกรวมอยู่ด้วย ช่วงปลายของเสื้อถูกพิมพ์ลายด้วยลายไก่ฟ้าสีทองยาวจรดแขนเสื้อ เวลาถูกแสงไฟลายที่พิมพ์ตรงนั้นจะส่องประกายระยิบระยับดูงดงามนัก แต่ที่สำคัญคือตรงกลางหน้าอกจะมีรูปปักเป็นรูปลายมังกรห้าเล็บดุจเดียวกันกับฉลองพระองค์ของพระราชา

มังกรห้าเล็บ นอกจากจะใช้กับฉลองพระองค์ของพระราชาแล้ว ยังใช้ปักบนอกเสื้อของพระมเหสี ส่วนพระมารดาของพระองค์เป็นพระสนม ชุดที่สวมก็จะแตกต่างและลดความวิจิตรกว่านี้มาก ถ้ามีพระราชพิธีสำคัญๆ พระสนมจางควีอินจะแต่งพระองค์ด้วยชุดวอนซัมพิมพ์ลายทองเป็นรูปดอกไม้ตรงบ่าไล่มาจนถึงลายแขนเสื้อที่ถูกพิมพ์ประทับตราจากไม้แกะสลักเป็นสีทองแทนลายปัก ถัดออกจากจากชุดชอกอึยของพระมเหสีก็จะเป็นชุดมยอนบกขององค์ชายรัชทายาท เวลาที่มีพระราชพิธีพระองค์ก็จะได้ใส่ชุดที่แตกต่างออกไปโดยลดทอนความวิจิตรหรือสัญลักษณ์ลงไปอีกสองขั้น

ในความรู้สึกของอึยฮวากุน พระองค์ไม่ได้รู้สึกริษยาพระเชษฐาเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันพระองค์กลับรู้สึกเห็นพระทัยองค์ชายรัชทายาท เพราะในความสูงศักดิ์ก็มิอาจจะเลือกอะไรได้ ยิ่งพระมเหสีมินเองทรงงานหนัก คร่ำเคร่งอยู่กับตำราและนักปราชญ์เกือบตลอดเวลา  ทั้งนี้ก็เพื่อหาทางให้โชซอนเจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศ ยิ่งกว่าเหตุผลอื่นใดก็คือ การรอดพ้นจากภัยร้ายที่ต่างชาติกำลังจะหยิบยื่นมันเป็นของขวัญให้กับโชซอนนั่นเอง

“กุนมานิมเพคะ ทอดพระเนตรมองสิ่งใดอยู่รึเพคะ” โจซังกุงถามในขณะที่อึยฮวากุนก็ทรงชี้ไปที่ชุดชอกอึยที่แขวนอยู่บนขื่อสูงนั้น

“ชอกอึยชุดนั้นสวยจังเลย เพิ่งได้เห็นว่าห้องภูษาทำงานกันอย่างหนักจริงๆ”

“ขอบพระทัยที่ตรัสชมเพคะกุนมานิม ตอนนี้ชุดชอกอึยของจุงจอนมามาใกล้จะเสร็จแล้ว เหลือแต่อบรมเครื่องหอมและปักลายเพิ่มอีกนิดหน่อย อีกไม่นานทางหัวหน้าห้องเสื้อจะส่งไปถวายพระองค์ ที่จริงชุดพระสนมจางและพระชายาของพระองค์ก็เสร็จแล้วนะเพคะ เพียงแต่ครั้งก่อนที่พระชายาทรงซูบไปมากทำให้ต้องแก้ชุดอีกครั้ง คราวนี้พระองค์ต้องหาอะไรไปบำรุงให้พระชายาเสวยมากๆ พวกหม่อมฉันจะได้ไม่ต้องลำบากแก้ชุดอีกรอบ”

โจซังกุงเอ่ยใบหน้าสดใส อาการนั้นทำให้อึยฮวากุนแย้มพระสรวลกว้าง เมื่อคิดถึงท่าทางเอียงอายของพระชายาคิม แม้จะไม่ได้รักใคร่นางมาก่อน แต่พระชายาก็ทำหน้าที่ของพระองค์ได้ดีจนพระบิดาตรัสชมบ่อยๆ อีกทั้งเจ้านายฝ่ายในก็เมตตาพระชายาคิมเช่นเดียวกัน

“นี่พวกเจ้า ไปเปิดเอาผ้าเช็ดหน้าในหีบเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะอบเครื่องหอมมาให้ข้าทีสิ”

โจซังกุงสั่งให้นางกำนัลรับใช้ไปเอาของที่อึยฮวากุนสั่งมาให้  เด็กสาวรูปร่างงดงามถือถาดใส่ผ้าเช็ดหน้าปักลายโมรานหรือดอกโบตั๋นมาให้ พลางหลบสายพระเนตรขององค์ชายหนุ่ม อึยฮวาไม่ได้คิดอะไรมาก ได้แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าที่อบกลิ่นด้วยเครื่องหอมมาดูอย่างชื่นชม งานปักผ้างดงามราวกับดอกไม้ที่มีชีวิตจริงทำให้พระองค์ทรงคลี่ยิ้มบางๆ พลางผินพระพักตร์ไปยังหัวหน้าห้องเย็บปัก

“สวยมาก งดงามราวกับเป็นดอกไม้จริงๆ ขอบใจท่านมากนะโจซังกุง ท่านทำให้ของขวัญที่แสนพิเศษชิ้นนี้ที่ข้าจะให้พระชายา ดูมีค่ามากกว่าเดิมเสียอีก พระชายาต้องชอบมากทีเดียวเชียว”

“ตรัสชมเกินไปแล้วเพคะ นั่นเป็นเพราะภาพวาดของพระองค์ต่างหาก หม่อมฉันก็แค่ปักตามแบบที่ทรงเขียนมาเท่านั้นเพคะ ถ้าหากพระชายาทรงโปรดหม่อมฉันก็ดีใจมากแล้ว”

“ก็ท่านมีฝีมือจริงๆนี่ สมควรแล้วที่องค์ชายคังจะชมแล้วชมอีก”

เสียงของผู้มาใหม่ดังขึ้น ทำให้นางกำนัลถวายงานราวสามสิบคนในห้องเย็บปักนั่งคุกเข่าลงกับพื้น สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังผู้ที่เสด็จมาใหม่ แต่ก็ถูกหัวหน้าซังกุงส่งสายตาดุๆ มา ทำให้นางรับใช้ระดับล่างต้องก้มหน้ามองดูดินแทน

อึยฮวากุนเอาพระหัตถ์ประสานกันพลางก้มลงน้อยๆ ก่อนตรัส

“ถวายพระพร จุงจอนมามา”

“แม่แค่มาเดินเล่น ได้ยินข่าวว่าดอกผักกาดกำลังบานสะพรั่ง คิดว่าอาหารเย็นมื้อนี้จะทำอะไรดี ช่วยแม่คิดหน่อยสิ ลูกคัง” พอได้ยินคำนั้น คนที่ถูกเรียกว่าลูกก็ดีใจนัก เพราะในหมู่พระโอรสที่เกิดจากพระสนม มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่พระมเหสีจะใช้คำนี้ด้วย พระหัตถ์บอบบางถูกยื่นมายังเบื้องหน้า อึยฮวากุนก็ยื่นพระหัตถ์ไปจับจูงพระมเหสีทันที

“กระหม่อมว่า ถ้าเอาดอกผักกาดมาผัดน้ำมันงาน่าจะอร่อยกว่าเอามาทำกิมจิ เคยลองเสวยบ้างรึยังพระเจ้าค่ะ จุงจอนมามา ว่ากันว่าเป็นอาหารของชาวจีนเสียอย่างเดียว แต่ลูกว่าอาหารเมืองนั้นมีรสเลี่ยนเกินไป”

“ยังเลย เจ้าก็รู้นี่อาหารขึ้นโต๊ะเสวยหาได้ทำตามใจปากพวกเราไม่ แม่ล่ะอิจฉาเจ้านัก ที่แต่งงานแยกเรือนไป คงได้ชิมอาหารหลากหลายกว่าในพระราชวังสินะ หรือถ้าเอามาทำต๊อกทอดน่าจะอร่อย ว่าแต่ว่าทำไมถึงมาไกลถึงห้องเย็บปักเล่า ลูกคัง”

องค์ชายหนุ่มทรงยิ้มก่อนตอบคำถามออกไปว่า

“กระหม่อมมารับของขวัญที่ไหว้วานให้โจซังกุงทำไว้พระเจ้าค่ะ อีกสองสามวันจะถึงวันเกิดพระชายา กระหม่อมอยากจะให้ของขวัญที่วิเศษแก่นางพระเจ้าค่ะ”

ผ้าเช็ดหน้าสีขาวปักลายดอกโมรานร่ายกลอนชมดอกไม้ ถูกเลื่อนให้พระนางผู้เป็นใหญ่ พระเนตรเรียวเล็กนั้นทอดมองผ้าเช็ดหน้าผืนดังกล่าวด้วยชื่นชม พลางตรัสชมในฝีมือการเย็บปักของหัวหน้าซังกุงห้องเย็บปัก

เห็นโมรานให้คะนึงถึงความรัก    รอยสลักให้คิดถึงคำนึงหา

กลีบดอกงามไหวสั่นในแววตา  พี่อยากคว้ามาอิงแอบไว้แนบใจ

“งดงามนัก ดอกโมรานสีสวยสดเหมือนดอกไม้จริงๆ กลอนที่เจ้าแต่งเพื่อพระชายาก็ไพเราะจับใจ แม่คิดว่าพระชายาต้องดีใจมากแน่ๆ ว่าแต่ว่า… แม่ควรให้ของขวัญแก่ลูกสะใภ้สินะ”

พระหัตถ์ข้างหนึ่งดึงปิ่นเสียบตอลจัมออกมาจากช้องพระเกศา พลางยื่นให้อึยฮวากุน องค์ชายหนุ่มก้มลงน้อยๆ มองของสูงค่าที่พระมเหสีทรงพระราชทานให้ก็รู้สึกตื้นตันพระทัยนัก ของชิ้นนี้มีค่ามากเหลือเกิน เพราะมันเป็นของที่ติดอยู่ช้องผมของสตรีที่เก่งกาจที่สุดในแผ่นดิน แล้วพระองค์จะกล้าให้พระชายานำมาประดับช้องผมได้เช่นใดกัน

“ของสูงค่าควรอยู่กับคนที่คู่ควร ตอลจัมไข่มุกน้ำงามนี้  หากอยู่บนช้องผมของพระชายาคิม คนอื่นอาจจะครหาได้ว่าทำตัวเสมอพระองค์ ของสิ่งนี้กระหม่อมไม่สามารถรับได้หรอกพระเจ้าค่ะ จุงจอนมามา”

“ถ้าอย่างนั้นก็บอกคนผู้นั้นมาต่อว่าแม่นี่ อะไรกัน ข้ามีศักดิ์เป็นมารดาของเจ้า การให้ของรับขวัญลูกสะใภ้มีอะไรที่มากไปรึ”

“แต่กระนั้น ตอลจัมที่ทรงยื่นให้กระหม่อมมันก็มีค่ามากจริงๆ พระเจ้าค่ะ เกรงว่าพระชายาก็คงไม่กล้ารับเช่นเดียวกัน”

“ลูกคัง… เจ้าฟังแม่นะ ปิ่นสูงค่าแค่ไหนมันก็เป็นแค่ของนอกกาย คนภายนอกตีค่าของมันด้วยสายตา แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่มีค่ากว่าของพวกนี้คือใจคนต่างหาก สำหรับแม่แล้ว พระชายาคิมน่ะ เปรียบไปแล้วก็เหมือนเพชรในเรือน กิริยามารยาทก็เรียบร้อย สมกับเกิดในชนชั้นสูง นางเป็นคนพูดน้อยทำมาก พระสนมพระองค์อื่นก็พูดชมเชยอยู่บ่อยๆ คงไม่มีใครมากล้าว่านางหรอกกระมัง”

อึยฮวากุนช้อนพระเนตรขึ้นไปมองพระพักตร์ยิ้มแย้มของพระมเหสี  ท่าทางดังกล่าวทำให้พระองค์รู้สึกเต็มตื้นในพระทัยนัก ของสิ่งนั้นถูกวางใส่พระหัตถ์เรียวก่อนที่พระมเหสีจะกล่าวต่อไปว่า

“นานๆ ครั้งที่พระราชวังจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าราชทูตต่างเมือง ให้พระชายาติดตอลจัมนี้มาร่วมงานด้วยล่ะ ถือว่าเป็นการไว้เกียรติให้แม่นะลูก”

“พระเจ้าค่ะ จุงจอนมามา”

“ดีมากลูกรัก นี่ก็ค่ำแล้ว รีบกลับไปที่เรือนของเจ้าเถิด มืดค่ำไปการเดินทางอาจจะไม่สะดวก” พระมเหสีมินตรัสก่อนจะหันไปหาโจซังกุงเพื่อถามถึงชุดที่ทรงตัดใหม่ โจซังกุงรับคำนายแล้วจึงเดินนำทางให้พระมเหสีเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ในขณะที่อึยฮวากุนกล่าวลาเพื่อขอตัวกลับเรือนที่อยู่นอกเขตพระราชวัง

ในห้องนั้น ข้างบนขื่อตัวที่สูงที่สุดมีเสื้อคลุมแขวนอยู่คู่กันสามตัว ชุดหนึ่งเป็นชุดชอกอึยที่พระองค์สั่งให้ห้องเสื้อหลวงตัดแทนชุดเก่าที่ใช้งานมาหลายปีแล้ว ส่วนอีกชุดเป็นชุดปักลายมังกรฮงรยองโพ่ของพระราชา และอีกชุดก็เป็นชุดมยอนบกของรัชทายาท

“ถือว่าห้องเสื้อหลวงทำงานหนักให้กับเชื้อพระวงศ์โดยแท้ ที่จริงข้าก็ไม่อยากจะตัดชุดใหม่ให้พวกเจ้ายุ่งยากหรอกนะ แต่เพราะตอนนี้รูปร่างของข้าไม่ได้เหมือนตอนสาวๆ แล้ว การสวมเสื้อที่ไม่พอดีตัวมันน่าอึดอัดมาก เพราะว่ากว่าจะเสร็จงานต้อนรับ ข้าต้องสวมเสื้อและแบกน้ำหนักบนหัวจนปวดต้นคอ”

พระมเหสีทรงตรัสก่อนจะมองชุดทั้งสองที่อีกไม่กี่เดือนก็จะได้สวมใส่ มันจึงไม่ใช่เพียงแต่อาภรณ์ที่ต้องสวมเท่านั้น หากแต่หมายถึงภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับชั่วชีวิต การตัดชุดชอกอึยและชุดทังอีแต่ละครั้งถือเป็นงานใหญ่ของห้องเสื้อหลวง ยิ่งชุดชอกอึยแล้วต้องหาคนที่มีฝีมือดีมาเย็บปัก เพราะการวางตำแหน่งของสิ่งของต่างๆ ต้องตรงตามแบบร่าง ที่ผ่านมาแม้ห้องเสื้อหลวงจะมีพนักงานสองร้อยคนแบ่งตามหน้าที่รับผิดชอบ แต่ช่างปักเสื้อกลับมีเพียงโจซังกุงเท่านั้นที่ปักเสื้อได้งดงาม นอกนั้นฝีมือยังห่างชั้นอยู่มาก

“ท่านคงเหนื่อยมากสินะ ยังมีนางในคนใดบ้างที่พอจะสืบทอดวิชาเย็บปักจากท่านได้ กว่าท่านจะเย็บชุดเสร็จคงเหนื่อยน่าดู”

“ไม่เป็นไรหรอกเพคะ แค่พระองค์โปรด หม่อมฉันก็ดีใจมากแล้ว”

“ได้อย่างไรเล่า ชุดของข้าสวยงามได้เพราะท่านเป็นคนลงทุกฝีเข็มเอง ทุกอณูบนชุดชอกอึยตัวนี้ คือสิ่งที่ท่านตั้งใจทำเพื่อข้า”

พระมเหสีตรัสพลางยื่นพระหัตถ์ไปจับมือบอบบางของโจซังกุง มือที่หยาบกร้านนิ้วมือก็ผิดรูป ไม่เหมือนกับนิ้วมือของคนอื่น มิหนำซ้ำสายตาก็พร่ามัว เพราะต้องเพ่งปักลายผ้าเป็นเวลานานในแต่ละวัน  ปีนี้โจซังกุงอายุย่างปีที่หกสิบแล้ว สมควรอย่างยิ่งที่ห้องเย็บปักจะต้องฝึกเด็กใหม่ๆ ให้มาเรียนรู้การเย็บปักระดับสูง

“ถ้ามีเวลาพอ ก็หัดเด็กรุ่นใหม่ๆ ให้เป็นงานดีกว่า วิชาความรู้จำเป็นต้องมีผู้สืบทอด อย่าให้สิ่งที่ท่านมีหายไปพร้อมกับวันเวลาและลมหายใจของท่านเลย เราจำเป็นต้องมีช่างพระภูษาเก่งๆ นะ มิใช่แต่จะเชิดชูราชวงศ์เท่านั้น แต่นั่นเป็นการเชิดชูเอกลักษณ์ของอาภรณ์แห่งชาติเราด้วย นี่คือสิ่งที่ข้าปรารถนาอยากให้ท่านทำ ท่านจะยอมรับคำขอร้องนี้หรือไม่ โจซังกุง”

“ต่อให้พระองค์ไม่เอ่ยคำขอร้องนั่น หม่อมฉันในฐานะข้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทก็พร้อมยอมทำเพคะ หากแต่ร้อยปีจะมีปราชญ์สักคนในแผ่นดินก็ว่ายากแล้ว แล้วคนที่เกิดมาเพื่อเป็นช่างเย็บปักก็เช่นกันเพคะ มีน้อยมากที่จะทำงานละเอียดเช่นนี้ได้ดี”

พระมเหสีทรงพระสรวลแต่เพียงน้อย ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมาที่นี่กลับได้ยินเสียงท่องบ่นบททดสอบของนางในฝึกหัด และในตอนนั้นเอง ก็ทำให้พระองค์ได้ยินคำตอบของเด็กอายุหกขวบที่ตอบออกมา ในพระทัยยังนึกชื่นชมคนตอบนัก ครั้นจะสอบถามว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร ออมซังกุงก็ทูลบอกว่า ได้ส่งเด็กน้อยคนนั้นมาที่ห้องเย็บปักแล้

“แต่วันนี้มีเซ็งกักชิมารายงานตัวที่นี่ไม่ใช่รึ เด็กคนนั้นอายุราวๆ หกขวบได้ ออมซังกุงบอกว่า เด็กใหม่ที่มาฝึกหัดงานในห้องเย็บปักคนนี้เป็นบุตรีของช่างภูษายูซังแทผู้ล่วงลับ นางมาที่นี่เพื่อฝึกหัดงาน เด็กคนนั้นได้ให้คำตอบที่น่าประทับใจแก่ข้านัก”

โจซังกุงได้ฟังเช่นนั้นก็นึกออกทันที เด็กที่ชื่อยูฮวารยองนั่นเอง

“คงจะเป็นเด็กที่ชื่อยูฮวารยองเพคะ จุงจอนมามา ออมซังกุงส่งมาเมื่อสักครู่ ตอนนี้หม่อมฉันให้ไปเปลี่ยนชุด อีกหน่อย จะให้ลงงานห้องปักเย็บเลยเพคะ”

“ไปเรียกเด็กคนนั้นมาพบข้าทีสิ บางทีอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยนะ แต่สำหรับข้ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แผ่นดินใดมีปราชญ์นับว่ามีบุญ มีพ่อค้าเก่งการวาณิชนับว่าเป็นเลิศแล้ว สำหรับช่างภูษา แม้ส่วนมากคนที่เลือกที่จะทำงานนี้เป็นจุงอิน แต่ก็สำคัญมาก เพราะนั่นหมายถึง…”

พระมเหสีทรงเว้นจังหวะก่อนจะแย้มพระสรวล ด้านซังกุงหัวหน้าห้องเย็บปักเหมือนกับจะรอคอยคำตอบ แต่พระนางก็ไม่ทรงตรัสอะไรออกมาอีก โจซังกุงสั่งให้นางในถวายงานพาพระองค์ไปที่ห้องรับรอง ในนั้นมีชุดหลายชุดที่ทางห้องเย็บปักใช้เป็นต้นแบบเพื่อตัดชุดต่อไป แต่ละชุดถือว่าได้รับการดูแลอย่างดี ขณะเดียวกันโจซังกุงก็บอกให้นางในอีกคน ไปตามฮวารยองเข้ามาพบพระมเหสีที่ห้องรับรองนั้นด้วย

เด็กหญิงที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อเป็นสีเขียวของนางในอยู่งานประจำห้องเย็บปักก็รู้สึกกังวลนัก เพราะนางกำนัลรุ่นพี่ที่ร่วมห้องเดียวกันบอกว่าพระมเหสีมีรับสั่งให้เธอไปพบที่ห้องรับรอง สำหรับฮวารยองแล้วการได้อยู่เงียบๆ นับเป็นเรื่องที่ดี และเรื่องจะเข้าเฝ้าเชื้อพระวงศ์ในเวลานี้ถือเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก โออินจูเห็นท่าทางกังวลดังกล่าวจึงช่วยเด็กน้อยผูกปมเสื้อชกโกรีให้เรียบร้อย

“บางทีอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ พระมเหสีเสด็จมาที่ห้องเย็บปัก ห้องซักล้าง และโซจูบังบ่อยๆ เพราะพระองค์ต้องดูแลกิจการฝ่ายในทั้งหมด การที่จะมาที่ห้องเย็บปักนี่ถือเป็นเรื่องธรรมดามาก เจ้าก็อย่ากังวลไปเลย”

“ท่านพี่เคยเข้าเฝ้าพระมเหสีแล้วรึเจ้าคะ”ฮวารยองเอ่ยถามผู้สูงวัยกว่ามีน้ำใจจัดผมเผ้าให้เธอ โออินจูยิ้มน้อยๆ  ก่อนจะเอาหวีไม้สางผมให้อีกฝ่าย มือก็ควานหาผ้าผูกผมแตงกีมาผูกให้ใหม่ แล้วจึงเอ่ยออกไปว่า

“ไม่หรอก สำหรับพี่เป็นแค่นางกำนัลที่ฝีมือไม่ถึงขั้น ครั้นจะได้เข้าเฝ้าก็อยู่ที่พื้นตำหนักด้านล่างไม่เคยได้เข้าไปข้างในหรอก บางทีอาจจะไม่มีอะไรอย่างที่เจ้ากังวลก็ได้”

นางกำนัลรุ่นพี่บอกอย่างนั้น แต่ในใจของเด็กน้อยกลับไม่มีความสบายใจเหลืออยู่เลย  นี่เธอไปทำอะไรผิดนี่ ทำไมจู่ๆ พระมเหสีถึงได้เรียกตัวเธอไปพบกันเล่า เด็กหญิงเก็บงำความทุกข์ใจไว้ชั่วขณะ ก่อนจะเดินตามนางกำนัลรุ่นพี่ออกจากเรือนที่พักไปยังห้องรับรองของห้องเย็บปัก

ในห้องเย็บปักหรือที่พวกนางกำนัลเรียกสั้นๆ ว่าซูบัง ประตูถูกเลื่อนออกต้อนรับเด็กหญิงผู้มาใหม่ ฮวารยองรู้สึกประหม่า เพราะที่นี่เป็นห้องที่ใหญ่ละดูเคร่งเรื่องระเบียบมากกว่าห้องนางกำนัลฝึกหัดหรือโรงย้อมผ้าหลวงนัก อีกทั้งคนที่เป็นซูบังนาอินก็มีมากกว่าห้องซักล้างอีก โออินจูหันหน้ามาทางเด็กน้อยพลางยิ้มบางๆ ก่อนเอ่ยอย่างจับอารมณ์ความรู้สึกที่ทอดออกมาทางสองตาที่ไหวสั่นได้

“คงต่างจากห้องเรียนของนางกำนัลฝึกหัดสินะ ตอนพี่อายุสิบเอ็ดขวบตอนมาที่นี่ครั้งแรกก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เจ้าได้มาอยู่ที่นี่ตอนอายุหกขวบถือว่าเร็วนัก… เร็วจนพี่รู้สึกอิจฉา”

“แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกกลัวเจ้าค่ะท่านพี่” ฮวารยองเอ่ย

“จะกลัวอะไรกัน เจ้าควรยืดอกเดินตรงๆ เข้าไว้ ที่ห้องเย็บปักถือเป็นหน่วยงานที่ใหญ่ เพราะไม่ใช่แต่ฉลองพระองค์ของพระราชาเท่านั้นที่พวกเราจะต้องเย็บปักถวาย หากแต่งานอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นผ้าม่าน ผ้าคลุมพระแท่นบรรทม ยิ่งสิ่งที่สำคัญอย่างผ้าคลุมโต๊ะที่ใช้ในพระราชพิธีต่างๆ เราก็ต้องจัดทำด้วย งานของเราถือว่าสำคัญมากนะจ๊ะ” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยปลอบโยน ฮวารยองได้ฟังคำนั้นก็รู้สึกใจชื้นขึ้น เธอสูดลมเข้าปอดอีกครั้งก่อนจะเดินตามโออินจูไป

นางกำนัลอยู่งานที่ติดตามพระมเหสี ขานบอกผู้ที่ประทับในห้องนั้นว่า บัดนี้คนที่ให้เรียกตัวได้มาถึงแล้ว บานประตูกระดาษสาในห้องรับรองถูกเลื่อนออก  ฮวารยองเดินเข้ามาในห้อง ก่อนจะก้มลงทำความเคารพพระมเหสี ในตอนแรกเธอไม่กล้ามองพระพักตร์พระองค์ตรงๆ เพราะกลัวว่าท่านหัวหน้าซังกุงจะดุเอา จึงได้แต่ก้มหน้ามองพื้นไม้แทน

“เจ้าใช่ไหม ยูฮวารยอง”

“เจ้าค่ะ เอ่อ… เพคะมามา” ฮวารยองเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก แต่พระมเหสีกลับพระสรวลเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้ามีความประหม่า

“เจ้ากลัวข้ารึ เด็กน้อย”

“คือ… หม่อมฉันรู้สึกประหม่ามากเพคะ ไม่คิดว่าจะได้เข้าเฝ้าพระองค์เร็วขนาดนี้ วันนี้เป็นวันแรกที่หม่อมฉันได้มาฝึกงานที่นี่ การได้เข้ามาอยู่ที่นี่ราวกับความฝันในค่ำคืนที่ดีที่สุด แต่การได้พบพระองค์กลับดียิ่งกว่านั้นเพคะมามา”

“ช่างเจรจานักนะ เจ้ารู้ไหมว่าข้ากลับได้ยินเสียงเจ้าตอบคำถามออมซังกุงเมื่อเช้านี้ แต่พอถามกลับแปลกใจว่าคนตอบเป็นแค่เด็กอายุหกขวบเท่านั้น เอาล่ะ… เด็กน้อยบอกข้ามาสิ เจ้ารู้เรื่องพวกนั้นได้เช่นใด เงยหน้าขึ้นเสีย แล้วตอบคำถามข้ามา”

เด็กหญิงทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตามที่พระมเหสีรับสั่ง สิ่งที่ฮวารยองเห็นคือสตรีสูงศักดิ์ที่น่าเกรงขามที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา พระมเหสีมีพระพักตร์รูปขาวเนียนละเอียดถูกแต่งแต้มด้วยแป้งเนื้อดี แม้แต่เธอนั่งอยู่ใกล้พระองค์ในระยะห่างถึงหนึ่งช่วงตัว ยังได้กลิ่นของเครื่องหอมที่ใช้อบเสื้อพระภูษาเลย นัยน์พระเนตรเรียวเล็กซ่อนแววฉลาด ราวจะทรงอ่านใจคนที่สนทนาด้วยได้ แม้เธอจะยังเป็นเด็ก แต่พระปรีชาสามารถของพระองค์ก็เลื่องลือไปถึงนอกพระกำแพงวังหลวง สิ่งแปลกประหลาดหลายอย่างเกิดขึ้นในแผ่นดินโชซอน บางตำหนักในคยองบกกุงมีสิ่งที่เรียกว่าไฟฟ้าใช้ สิ่งดังกล่าวเป็นเพราะพระองค์ทำการปฏิรูปประเทศขนานใหญ่ เพื่อสร้างความศิวิไลซ์ให้แก่แผ่นดิน

พระพักตร์ของพระมเหสีเผยรอยยิ้มบางๆ ส่งมาให้เธอ ก่อนที่จะทรงกวักพระหัตถ์ให้ฮวารยองขยับไปใกล้ๆ พระองค์ โจซังกุงที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ร่างเล็กๆ ขยับไปใกล้ๆ พระองค์ ก่อนจะก้มหน้าลงจรดพื้นอีกครั้ง

“เจ้าตัวเล็กนัก วัยของเจ้าน่าจะได้วิ่งเล่นเฉกเช่นเด็กคนอื่นนอกรั้วกำแพงวัง ถ้าเจ้าจะปักผ้าลายดอกไม้ง่ายๆ ได้ข้าจะไม่แปลกใจอะไรเลย แต่สิ่งที่เจ้าตอบออมซังกุงเมื่อเช้านี้ มันทำให้ข้าอยากรู้ว่าเจ้ารู้มาจากที่ใดกัน”

“เรื่องอันใดเล่าเพคะมามา”

พระมเหสีมินทรงแย้มพระสรวล

“ก็เรื่องตรามังกรของราชวงศ์น่ะสิ ข้าเห็นเจ้าท่องบ่นจนคล่อง ใครสอนเจ้ารึ ข้าแน่ใจว่าชั้นเรียนของนางกำนัลฝึกหัดคงยังไม่ได้เรียนถึงที่เจ้าตอบเป็นแน่” ฮวารยองทำท่าครุ่นคิด สิ่งที่เธอตอบเมื่อเช้านี้น่ะหรือ ทุกอย่างที่เธอตอบได้มาจากสมุดบันทึกที่ท่านพ่อได้จดไว้ พอเริ่มอ่านออกเขียนได้เธอก็เอาสมุดบันทึกเล่มนั้นและลวดลายปักเสื้อมาอ่านเล่น และช่วงที่ท่านพ่อมีชีวิตอยู่ท่านก็ได้สอนในสิ่งที่รู้ให้นางฟังเสมอๆ

“สิ่งที่หม่อมฉันตอบเมื่อเช้าเป็นสิ่งที่ท่านพ่อสอนเพคะ บิดาของหม่อมฉันเป็นช่างภูษาที่รับราชการในวัง แต่ปีก่อนมีโจรโพกผ้าบุกเข้าปล้นบ้านของหม่อมฉันที่ตรอกโอกักจุก บิดาและมารดาของหม่อมฉันต่างก็เสียชีวิตหมดเพคะมามา” พูดถึงตอนนี้ใบหน้าของฮวารยองก็สลดลง เธอไม่กล้าสบพระเนตรของพระมเหสีในเวลานี้นานนัก เพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอร้องไห้ออกไป

“น่าสงสารจริง ข้าเองก็กำพร้าพ่อเหมือนกัน เมื่อห้าปีก่อนมารดาของข้าก็เพิ่งเสียไป เพราะข้าเป็นราชินีของประเทศจึงไม่สามารถไปร่วมพิธีฝังศพของมารดาได้ มันน่าเสียดายนักนะ” พระมเหสีตรัสพลางยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นดูเหมือนเศร้าสร้อยเหลือเกิน ทำไมถึงหาความสุขไม่ได้เล่าในแววพระเนตรคู่นั้น ฮวารยองก้มลงไม่อาจจะสบตากับพระองค์ได้

“แล้วพอพ่อกับแม่ตาย ทำไมเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่ล่ะ ใครฝากฝังเจ้ามา”

“ท่านลุงของหม่อมฉัน ท่านลุงทำงานในกองบัณฑิตหลวงเพคะ”

“นางเป็นหลานสาวของใต้เท้ายูซังฮอนเพคะมามา” พระมเหสีมินทรงพยักเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะตรัสต่อไปว่า

“ก็ถือว่าเป็นบุญของเจ้านักที่ได้มาฝึกหัดงานที่นี่ ไหนยื่นมือของเจ้ามาให้ข้าดูซิ”

มือที่ยื่นไปตรงหน้าพระมเหสีสั่นด้วยความประหม่า และด้วยคิดไม่ออกว่า พระมเหสีทรงบอกให้เธอทำเช่นนี้ด้วยเหตุใด พระเนตรเรียวรีจับจ้องที่มือของฮวารยองพลางสังเกตมือน้อยของเด็กหญิงคนนี้ ลักษณะนิ้วมื้อทั้งสิบ มือเรียวเล็กแต่กลับด้านตรงปลายนิ้ว พระหัตถ์เนียนนุ่มนั้นจับมือของเธอมากุมไว้มั่น

“ตัวแค่นี้แต่มือกลับด้านเหมือนคนทำงานหนัก แต่มือขอเจ้าเหมาจะจับงานเย็บปักผ้า ต่อไปเจ้าต้องตั้งใจฝึกฝนจากรุ่นพี่และโจซังกุงให้มากนะ สิ่งที่เจ้ารู้ก็ต้องท่องบ่นให้จำขึ้นใจ เข้าใจหรือไม่ ยูฮวารยอง”

คนที่ฟังอยู่ทำหน้าสงสัย เพราะไม่รู้ว่าพระมเหสีหมายถึงอะไร เธอไม่รู้ว่าแท้ที่จริงมือของคนที่เหมาะจะเป็นช่างภูษานั้นต้องมีลักษณะเช่นใด เพราะตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่เธอเห็นคือเงาของท่านพ่อที่เฝ้าแต่เย็บปักเสื้อผ้า สำหรับฮวารยองแล้ว แม้ท่านพ่ออาจจะไม่เก่งกล้า อาจจะไม่สง่างามน่าเกรงขามเหมือนท่านลุงยามสวมใส่ชุดขุนนาง มือของท่านพ่อนิ้วชี้สองข้างผิดรูปคล้ายกับคนพิการ แต่เสื้อผ้าที่ท่านพ่อถักทอและปักมันออกมางดงามด้วยหัวใจ

ตั้งแต่วันนั้น วันที่จำความได้ ฮวารยองก็เอาแต่ฝึกเย็บปักให้ฝีมือเก่งเทียมท่านพ่อ แอบดูท่านท่องบ่นตำรา เมื่อวันที่ท่านพ่อได้รับคัดเลือกเป็นคนเย็บตราโอโจรยองโบในฉลองพระองค์ของพระราชา ท่านพ่อดีใจมากกลับมาบ้านอุ้มเธอหมุนไปรอบๆ ทั้งๆ ที่การตัดเย็บฉลองพระองค์นั้นเป็นหน้าที่ประจำของท่าน แต่ทำไมท่านพ่อถึงได้ดีใจขนาดนี้นะ

“ที่สุดของช่างภูษาคือการได้ตัดฉลองพระองค์ของพระราชา ฮวารยองจำไว้นะลูกรัก คนเราเกิดมาต่างกัน ความสูงต่ำเรื่องชาติกำเนิดนั้นเรามิอาจเลือกได้ พระราชาเป็นผู้มีบุญนักหนาที่การเกิดมาของพระองค์ สามารถทำให้คนมีความสุขได้ พ่อเป็นเพียงช่างปักลายเสื้อ ดีที่สุดคือการเป็นขุนนางระดับเจ็ด ถูกจัดชนชั้นที่ได้มาว่าเป็นจุงอิน แต่พ่อไม่เคยเสียใจ ไม่เคยน้อยใจในโชคชะตา ไม่โทษท้องฟ้าว่าทำไมถึงกลั่นแกล้งพ่อ ทั้งๆ ที่ท่านปู่ของเจ้าก็เป็นขุนนางมีหน้ามีตาคนหนึ่งในแผ่นดิน สิ่งที่โชคชะตาไม่อาจให้พ่อได้ แต่พ่อก็สามารถจะไขว่คว้ามันได้สองมือข้างนี้ แม้มือของพวกเราจะต้อยต่ำ แต่ยังสามารถรังสรรค์ฉลองพระองค์ให้กับองค์ราชาได้ งานของเราคืองานสำคัญ จำไว้นะลูกรัก”

ฮวารยองจำคำของบิดาได้เสมอ แต่ก็ยังมีที่ไม่เข้าใจบ้าง ถ้าหากว่าท่านพ่อไม่ด่วนจากไปเสียก่อน เธออาจจะได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากท่านก็เป็นได้ เด็กหญิงก้มหน้านิ่งหัวคิ้วเรียวขมวดเป็นปม อาการดังกล่าวทำให้พระมเหสีมินทรงเฝ้ามองว่า เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนี้ยังมีอะไรที่สงสัยในใจกระนั้นรึ

“ที่พระมเหสีตรัส หม่อมฉันเข้าใจเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะอะไรเพคะมามา ที่บอกว่ามือของหม่อมฉันเหมาะกับการเป็นช่างภูษา”

พระมเหสีทรงยิ้มน้อยๆ พลางเอาพระหัตถ์แตะแก้มเนียนใส ในสัมผัสนั้นทำให้ฮวารยองคิดถึงท่านแม่จับใจ
มือของท่านแม่ก็อบอุ่นนุ่มนวลอย่างนี้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่พระหัตถ์ก็กำจายจนจมูกเธอเผลอสูดกลิ่นเข้าไปเต็มอก อีกทั้งแววพระเนตรที่แสนเมตตาก็ทอดมายังนางเพื่อปลอบประโลมจิตใจที่แห้งแล้งมานานแสนนาน

“เผื่อวันหนึ่งเจ้าจะได้เป็นช่างภูษาของพระราชาเหมือนบิดาเจ้าน่ะสิ ในกาลข้างหน้าคนที่จะเป็นช่างภูษาได้นั้นต้องเป็นที่มีฝีมือและจดจำรายละเอียดทุกอย่างที่บ่งบอกความงดงามของอาภรณ์สูงค่าได้ เจ้าอย่าถามข้าเลยนะว่าทำไมถึงฝากความหวังไว้ในมือเล็กๆ ทั้งสองของเจ้า ตอนนี้มีเรื่องบางเรื่องที่ข้าไม่อาจจะบอกเจ้าได้หมด ได้แต่ขอให้เจ้าฝึกฝนให้มาก เพราะในวันหนึ่งเจ้าอาจจะเป็นช่างภูษาคนเดียวที่รู้ความหมายของมังกรบนสองบ่าที่อยู่บนฉลองพระองค์ของพระราชาก็เป็นได้ ”

เด็กหญิงพยักหน้ารับทำตามที่พระองค์ได้ขอ ในตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้ไหม ความสามารถที่พระมเหสีได้บอกว่าเชื่อใจนั้นมันจะสามารถถักทอลายปักที่งดงามให้กับพระองค์ได้หรือไม่ ในสมองของเธอตอนนั้นว่างเปล่า หากแต่ดวงตากลับจดจำรอยแย้มพระสรวลที่ทอดมานั้นจนขึ้นใจ ก่อนก้มลงคำนับพระองค์จนใบหน้าแนบกับพื้นห้อง

“เพคะ มามา หม่อมฉันจะทำทุกอย่างให้สุดความสามารถ”

นับตั้งแต่วันนั้น ฮวารยองก็ตระหนักได้ดีว่า ตัวเองเกิดมาเพื่อทำอะไร… และเพื่อใคร


ภูษาแห่งราชา นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก นาคเหรา ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉลองพระองค์ของพระราชาแห่งแดนโสม นิยายออนไลน์ ครบรส ที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอย่างอ่านต่อสามารถติดตามฉบับรวมเล่มที่ออกโดย สำนักพิมพ์ Groove www.groovebooks.com

 



Don`t copy text!