ด้ายแดง บทที่ 3 : ดวงชะตากำหนดชีวิต
โดย : พัทชุลี
ด้ายแดง เรื่องราวของความผูกพันของสมาชิกในครอบครัวที่มีวิถีชีวิตและความเชื่อตามขนบธรรมเนียมจีนโบราณที่แม้ว่าจะเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่เมื่อมีเรื่องของธุรกิจเข้ามา ความบาดหมางจึงเกิดขึ้น นวนิยายเนื้อหาเข้มข้นโดย พัทชุลี ในรูปแบบ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์
***********************************
– 3 –
ลมเย็นเอื่อยๆ พัดเข้ามาในหน้าต่างห้องเป็นระยะๆ หลงเหว่ยตื่นแต่เช้า ชายหนุ่มไม่ได้ปลุกคนรัก เขาปล่อยให้ซูซี่นอนต่อไปเพราะอีกนานกว่าจะถึงเวลาตั้งโต๊ะอาหารเช้า ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวและถือโอกาสเดินสำรวจรอบบ้าน เมื่อวานเกิดเรื่องหลายอย่างขึ้น ทำให้เขาไม่ได้เดินดูรอบๆ บ้านอย่างที่ตั้งใจไว้เลย
บ้านหลังใหญ่โอ่อ่ากว้างขวาง อาปาเคยบอกว่าชอบที่กว้างๆ เมื่อมีบ้านจึงสร้างมันให้อยู่สบายเป็นอันดับแรก ที่นี่จึงมีทั้งพื้นที่เป็นสนามหญ้าและสระบัว ไม่ว่ายามใด กลิ่นหอมของต้นไม้ใบหญ้ายามต้องแสงแดดอ่อนๆ ก็สามารถทำให้เขาเป็นสุขใจได้ ในตัวบ้านถูกสร้างเป็นตึกแบ่งออกเป็นห้องหลายห้องถูกตกแต่งอย่างดี โดยมากไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมนัก เพราะแม่อาจจะอยากตกแต่งตามเดิมเหมือนตอนที่อาปาเขาอยู่ก็เป็นได้ เครื่องเรือนส่วนมากเป็นไม้แกะสลักที่นำเข้ามาจากจีน ภาพวาดหลายภาพเป็นผลงานของจิตรกรที่มีชื่อเสียง บรรดาแขกเหรื่อที่มาบ้านของเขาในเวลานั้นมักจะชื่นชมการจัดบ้านที่ดูงดงามโอ่อ่าสมกับเป็นบ้านของคหบดีชาวจีน
แต่ที่เขาชอบมากที่สุดคือสนามหลังบ้านที่มีต้นไม้ใหญ่ และยังมีดอกไม้ที่อาปาสั่งให้ปลูก เพื่อให้คนในบ้านใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจกันในเวลาว่าง หลงเหว่ยมองไปรอบๆ ภาพความทรงจำครั้งเก่าปรากฏขึ้น ภาพเด็กชายสองคนหยอกล้อกัน เสียงหัวเราะนั้นดังแว่วเข้ามาในความทรงจำ ชายหนุ่มก้าวไปเรื่อยๆ จนถึงสระน้ำหลังบ้านที่มีขนาดใหญ่และยังมีดอกบัวหลายสายพันธุ์ ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ
เมื่อได้มายืนอยู่ตรงนี้แทนที่ หัวใจของเขาน่าจะเป็นสุขเพราะได้กลับบ้าน แต่หลงเหว่ยกลับต้องหลับตาลงช้าๆแล้วสิ่งที่เจ็บปวดก็ฉายซ้ำราวฝันร้าย ริมสระน้ำมีสะพานเก่าๆ เรือลำหนึ่งเกยตื้นอยู่ริมฝั่ง เด็กชายสองคนไปที่เรืออย่างนึกสนุก คนหนึ่งก็คือเขาและคนหนึ่งก็คือพี่เทียนอี้ลูกชายของแม่ใหญ่
‘นี่หลงเหว่ย นายพายเป็นเหรอ’ เทียนอี้ถามพลางมองเรือที่จอดอยู่ หลงเหว่ยในตอนนั้นยิ้มพลางคิดว่าแค่พายเรือมันจะไปยากอะไร เมื่อมาเห็นสีหน้าพี่ใหญ่ก็พูดราวนึกขำ
‘ไม่ยากหรอกน่ะ ถ้าพี่พายไม่เป็น ผมจะทำให้ดู’
‘นี่เล่นอะไรกัน เค้าเล่นด้วยสิ’ เสียงของเจียเฟิงดังขึ้นแล้วร่างของเธอก็วิ่งตามมา
‘เปล่า’ ทั้งเขาและพี่ใหญ่ตอบเสียงสูง เห็นได้ชัดว่าจงใจปิดบังน้องสาว เจียเฟิงพอได้ยินเช่นนั้นก็ชักสีหน้าไม่พอใจ
‘โกหก ไม่ให้เขาเล่น เขาจะฟ้องอาปา หึ’
‘ขี้ฟ้อง ขี่ม้าสามศอกไปบอกเลย ฮ่าๆ’ หลงเหว่ยพูดพลางหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นน้องสาวเดินสะบัดก้นจากไป
ภาพในความทรงจำเด่นชัดนัก ตอนนี้ความสุขระหว่างพี่น้องแบบนี้คงไม่มีอีกแล้ว และเมื่อเขาเห็นดวงตาที่มีแววโกรธแค้นของเจียเฟิงในตอนที่เสียพี่ใหญ่ไป แม้เวลาจะผ่านมานานเท่าใด แต่เขาก็ยังเจ็บปวดจนมิอาจจะสบตากับน้องสาวต่างแม่ได้นาน ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
“พี่หลงเหว่ยมาทำอะไรตรงนี้คะ” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น เหม่ยซิงนั่นเอง เธอถามเขาอย่างเป็นห่วงแต่หลงเหว่ยไม่ได้พูดอะไรออกไปได้แต่ยิ้มน้อยๆ ปิดบังความรู้สึก ใช่สิ…เขาไม่อยากเล่าเรื่องในอดีตที่เป็นเหมือนฝันร้ายให้น้องสาวฟังหรอก ชายหนุ่มได้แต่ทอดรอยยิ้มแสนเศร้าส่งให้น้องสาว
“ไม่มีอะไร พี่แค่มาเดินเล่นเท่านั้น”
“เมื่อคืนหลับสบายดีไหมคะ” คนถูกถามส่ายหน้าไปมาพลางเอ่ย
“ไม่ค่อยหลับ คงแปลกที่น่ะ”
“ตื่นเต้นด้วยหรือเปล่า อยู่ดีๆ ก็เป็นพ่อคนไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่แม่สิ นอนไม่หลับทั้งคืนเลย…คงตกใจลูกสะใภ้” เหม่ยซิงพูดพลางหัวเราะเบาๆ หลงเหว่ยก็ยิ้มให้น้องสาวก่อนพูดออกไปว่า
“ซูซี่ดูเป็นคนหวือหวาแบบนี้แหละ แต่เขาจิตใจดีนะ อยู่ไปสักพักแล้วแม่จะเข้าใจเอง”
“นั่นน่ะสินะ ที่จริงพี่มีลูกถือเป็นเรื่องดี เอาล่ะ…สายแล้ว ได้ยินว่าเมื่อเช้าแม่สั่งให้คนในครัวทำข้าวต้มกับของที่พี่ชอบ แหม…เมื่อวานยังนึกเสียดายอยู่เลย พี่ยังไม่ได้ชิมฝีมือของฉันเลย เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะคะพี่”
ผู้เป็นน้องบอกก่อนจะพาหลงเหว่ยเดินเข้าไปในบ้าน เพื่อจะเข้าไปในห้องโถงที่ใช้เป็นห้องรับประทานอาหาร พอมาถึงเขาก็ไปนั่งที่หัวโต๊ะตำแหน่งประธานเหมือนเมื่อวาน ระหว่างนั้นคนครัวก็ทยอยยกอาหารมาเรื่อยๆ หลงเหว่ยเห็นว่าจัดโต๊ะยังไม่เสร็จดีก็คุยกับแม่เรื่องงานทันที
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้ว ผมจะแวะเข้าไปที่บริษัทของเราหน่อย เผื่อจะมีอะไรให้ทำบ้าง” เหม่ยอิงได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ จึงพูดออกไปว่า
“ดีแล้วล่ะ เรารบกวนหยางชุนมานานแล้ว ลูกควรรีบไปดูแลกิจการของเราบ้าง”
“พี่หยางชุนเขาทำอะไรบ้าง” หลงเหว่ยถาม เหม่ยอิงเหลือบมองลูกสาวคนรองนิดหนึ่งราวกับจะเกี่ยงให้พูด ด้านเหม่ยซิงเห็นท่าทางนั้นของแม่จึงพูดออกไปว่า
“พี่หยางชุนเป็นคนดูแลโรงสี ไซโล กิจการทั้งหมด ส่วนพี่เจียเฟิงดูบัญชีการเงิน”
“ชาญชัยกับอาฟางล่ะ” หลงเหว่ยถามต่อ
“ชาญชัยเขาทำงานเป็นฝ่ายขาย ติดต่อต่างประเทศ แต่ได้ยินมาว่าขี้เกียจมาก ไม่ค่อยทำงานทำการเท่าไหร่ ต่างจากอาฟาง รายนั้นน่ะขยันม๊ากกกก นี่ดีนะว่าเมืองนอกเขารบกัน หนังฝรั่งไม่มีมาฉาย ไม่อย่างนั้นอาฟางต้องเข้าโรงหนังทุกวัน” เมื่อได้ยินคำนั้นเหม่ยอิงก็ได้แต่ทำสีหน้าหนักใจ เธอส่ายหน้าไปมาเพราะรู้ดีว่าเหม่ยซิงตั้งใจพูดประชดน้องสาวคนเล็ก
“เด็กสองคนนั้นไม่เอาไหน ที่ผ่านมาเจียเฟิงกับหยางชุนก็ช่วยดูแล แต่อย่างว่า เขาก็แต่งออกไปแล้ว ลูกเป็นลูกชายคนเดียวของอาปา กิจการนี้ก็ถือว่าเป็นของลูก สมควรต้องเข้าไปดูแลเอง…เข้าใจไหมหลงเหว่ย” เหม่ยอิงพูด
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำผู้เป็นแม่เบาๆ ในใจก็คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรไหม ที่จู่ๆ เขาจะเข้าไปดูงานแล้ว น้องสาวกับสามีจะคิดยังไงกับเหตุการณ์ครั้งนี้ เพราะตลอดหลายปีที่เขาไปอยู่เมืองนอกเจียเฟิงกับหยางชุนเป็นคนดูแลกิจการทั้งหมด หลงเหว่ยมองหน้าแม่เพียงครู่ ในตอนนั้นเหม่ยอิงก็ถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาราวกับจะเดาถูกว่าลูกชายจะถามเรื่องอะไรต่อ
“ส่วนเรื่องแต่งงานน่ะ เดี๋ยวแม่จะจัดการให้” เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลงเหว่ยกับเหม่ยซิงยิ้มให้กัน บางทีแม่อาจจะใจอ่อนแล้วก็เป็นได้ มือแกร่งแตะที่มือของแม่พลางเอ่ย
“ขอบคุณครับแม่”
“ก็แต่งกันไปซะ ก่อนท้องมันจะใหญ่ขึ้นมา เออ แล้วนี่อยู่ไหน ยังไม่ตื่นอีกหรือ” ไม่ต้องบอกว่าเหม่ยอิงถามถึงใคร ทันใดนั้นร่างบอบบางในชุดนอนหรูเป็นผ้ากรุยกรายเนื้อดี มองไปก็เหมือนกับดาราหนังฝรั่งเพราะทรงผมของเธอก็ดูทันสมัย ดวงตาเรียวเฉี่ยวนั้นมองมาที่หลงเหว่ยเพียงครู่ ก่อนจะส่งยิ้มแสนหวานให้ แต่ทุกคนดูจะไม่คุ้นชินกับกิริยานั้นของเธอ เพราะออกไปทางตกใจเสียมากกว่า อาตั๊งที่คุมคนครัวยกอาหารมาถึงกับหันหลบไม่กล้ามองหญิงสาวเลยด้วยซ้ำ
“ตื่นแล้วค่ะ มอนิ่งค่ะทุกคน”
“นั่นใส่อะไรน่ะ!”
เหม่ยอิงถามลูกสะใภ้เสียงดังลั่น จนทำให้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นสะดุ้งไปตามๆ กัน ซูซี่ทำสีหน้างงๆ เธอก้าวเข้าไปทำท่าว่าจะไปหาทุกคนที่นั่งอยู่ สำหรับหลงเหว่ยเขาเคยชินที่ซูซี่เป็นแบบนี้จึงไม่ว่าอะไร แต่คนที่บ้านนี้เคร่งในประเพณีและค่อนข้างจะหัวเก่าด้วยซ้ำ จึงไม่ชินที่จะเห็นการแต่งตัวที่ไม่เรียบร้อยเช่นนี้ ดูท่าจะตกใจมาก หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ก่อนจะถามออกไป
“อะไรกันคะ”
“ทีหลังเวลาลงมากินข้าว ต้องแต่งตัวให้เรียบร้อย บ้านนี้ไม่ได้มีเธออยู่คนเดียว ไม่ใช่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ” ได้ยินเช่นนั้นซูซี่ก็หน้าเสียทันที ใจจริงเธอก็อยากอธิบายไปให้แม่สามีเข้าใจ แต่หลงเหว่ยก็ถอนใจออกมาเสียก่อน เธอเลยไม่พูดอะไรออกไป จากที่คิดว่าจะยิ้มแต่พอมาเห็นสีหน้าของเหม่ยอิง ซูซี่แทบจะยิ้มไม่ออก
“เอ่อ…หลงเหว่ยคะ ฉันได้ยินว่ากำลังคุยกันเรื่องงานแต่งงานของเรา”
“เอาไว้ก่อน ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มันดูเรียบร้อยกว่านี้ เวลากินข้าวก็กินข้าว ไม่ควรเอาเรื่องหนักอกหนักใจมาคุยกัน” ซูซี่ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใจจริงเธอก็อยากถามออกไปอีกเหมือนกันว่า งานแต่งงานเป็นเรื่องหนักอกหนักใจรึไง แต่หลงเหว่ยก็บอกให้เธอทำตามที่มารดาต้องการ นั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ก็ได้แต่เงียบเมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของทุกคน ฝ่ายหลงเหว่ยก็ได้แต่ยิ้มให้กำลังใจคนรัก
บรรยากาศในโต๊ะอาหารเช้าวันนี้เต็มไปด้วยความอึดอัด เหม่ยอิงไม่พูดอะไรต่อ แต่ทุกคนก็จับถึงกระแสความเย็นชาได้ เหม่ยซิงแม้เห็นใจซูซี่และพี่ชายมาก แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปด้วยเกรงว่าแม่จะไม่พอใจอีก ส่วนอาจูถึงกับส่ายหน้าไปมาและได้แต่พูดกับอาตั๊งว่า
“เช้านี้เริ่มต้นได้ไม่ดีเอาเสียเลย”
หลังจากกินข้าวแล้วหลงเหว่ยก็ร่ำลาซูซี่ เพื่อไปดูกิจการของบ้านตามที่คุยกับแม่ไว้ ชายหนุ่มบอกให้คนขับรถพามาที่สำนักงานใหญ่ ป้ายหน้าสำนักงานเขียนไว้ชัดเจนทั้งภาษาจีนและไทยว่า ‘ห้างหุ้นส่วนจำกัด มหามงคล’ ที่นี่ดูโอ่อ่าและยิ่งใหญ่กว่าตอนที่เขาเป็นเด็กเสียอีก เป็นไปได้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเจียเฟิงและสามีบริหารที่นี่ให้เจริญกว่าเดิม นี่ถ้าไม่ติดเรื่องการสู้รบของชาติตะวันตก การซื้อขายแลกเปลี่ยนคงไม่หยุดชะงักอย่างนี้แน่
พนักงานหลายคนมองร่างสูงด้วยความแปลกใจ เพราะหลายปีคนที่มาดูแลกิจการทุกอย่างเป็นลูกสาวคนโตของท่านเจ้าสัวหม่าและหยางชุนสามี แต่เมื่อมาเห็นชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานและมีใบหน้าคล้ายท่านเจ้าสัวนายใหญ่ผู้ล่วงลับไปแล้ว พนักงานที่นั่นก็อดแปลกใจไม่ได้
“ฉันไล่เธอออก!”
“คุณเจียเฟิงคะ ได้โปรดเถิดค่ะ ฟังหนูก่อน หนูแพ้ท้อง มันเวียนหัว คลื่นไส้ตลอดเลย”
“ข้อแก้ตัวชัดๆ เห็นว่าทำงานพลาดยังมาหาข้ออ้างอีก”
เสียงของเจียเฟิงดังมาจากห้องด้านในพร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นของผู้หญิงคนหนึ่ง หลงเหว่ยฟังไม่ถนัดนัก ครั้นจะถามพนักงานที่อยู่ข้างนอกก็ทำท่าไม่สบายใจ ชายหนุ่มจึงรออยู่ที่หน้าห้องเงียบๆ แต่เสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเขาได้ยินทุกอย่างชัดเจน
“แค่ท้องยังทำงานไม่ได้ ถ้าคลอดลูกออกมาแล้วจะทำยังไง อาปา จ่ายเงินชดเชยให้ไปสามเดือน แล้วหาเสมียนคนใหม่มาแทนด้วย”
“ครับ คุณหนูรอง” ในตอนนั้นหลงเหว่ยทำท่าจะเคาะประตู แต่ทว่าคนที่อยู่ข้างในห้องกลับเปิดประตูออกมาเสียก่อน
“คุณหลงเหว่ย” หลงจู๊กิมพูดท่าทางตกใจ ชายหนุ่มมองไปข้างในห้อง ก็เห็นน้องสาวมองมาที่เขาด้วยสายตาเย็นชา แม้จะมีท่าทางแปลกใจเพราะเจียเฟิงคิดว่าหลงเหว่ยอาจจะมาที่นี่ แต่ไม่น่าจะมาเร็วถึงขนาดนี้ และคงมานานพอที่ได้ยินเรื่องที่เธอคุยกับพนักงานคนนี้แล้ว
“มีเรื่องอะไรกัน” เขาถามพลางมองพนักงานคนนั้น
“ไม่เห็นบอกว่าจะมา…เชิญ” เจียเฟิงพูดเหมือนตัดบท เธอบอกให้พนักงานหญิงที่ชื่อสุณีออกไปและไม่ยินดีที่จะฟังคำขอร้องอะไรอีก หลงเหว่ยมองตามอย่างเป็นห่วง พอเขาจะเอ่ยถามอีกรอบเจียเฟิงก็ถามขึ้นมาเสียก่อนและบอกว่าเรื่องนี้เธอจะจัดการเอง
แต่หลงเหว่ยกลับไม่ได้ปล่อยวางปัญหานั้นง่ายๆ เขามองไปรอบๆ ห้องที่ตกแต่งไว้อย่างดี แต่ก่อนห้องนี้เคยเป็นห้องของบิดาเขา แต่ตอนนี้ผ่านมายี่สิบปีแล้ว การตกแต่งดูแปลกตาไปบ้าง เพราะเจ้าของห้องเป็นคนอื่น เจียเฟิงเลิกคิ้วขึ้นสูง เป็นความจริงที่เธอไม่ค่อยพอใจนักที่เห็นพี่ชายมาที่นี่ แต่เธอฉลาดพอที่จะไม่แสดงความไม่พอใจอะไรออกไป หญิงสาวยิ้มเหยียดเพียงมุมปากก่อนพูด
“ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า บังเอิญเมื่อวานมันวุ่นวายมาก”
“ก็เห็นอยู่ว่ามีเรื่องยุ่งๆ น้าเหม่ยอิงว่ายังไงบ้างเรื่องลูกสะใภ้” หญิงสาวยิ้มเหยียดเพียงมุมปากก่อนพูด
“เขาชื่อซูซี่…แม่ก็ไม่ว่าอะไร…เดี๋ยวก็จัดงานแต่งงานกันไป”
“เหรอ แล้วพี่มาหาฉันที่นี่มีอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงของเจียเฟิงห่างเหินนัก แต่หลงเหว่ยก็พูดต่อไปเรื่อยๆ ว่า
“อ้อ…ที่มาที่นี่ เพราะอยากมาดูกิจการของเรา ว่ามีอะไรที่พอจะช่วยได้บ้าง”
“ฉันดูแค่เรื่องบัญชีการเงิน เรื่องการค้าต้องไปหาหยางชุน เขาดูแลกิจการคนเดียวมาตลอดตั้งแต่อาปาเสียไป หยางชุนจะตอบได้ทุกเรื่อง” เจียเฟิงพูดไม่ทันจบหลงจู๊กิมก็เปิดประตูเข้ามาพอดี หญิงสาวหันมาพูดกับพ่อของสามีทันที
“อาปา กำลังจะไปตามพอดี เชิญทางนี้หน่อยค่ะ นี่หลงจู๊กิมเป็นพ่อของหยางชุน เคยช่วยอาปาของเราดูแลบริษัทมาตลอด อาปาคะ จำพี่หลงเว่ยได้ไหมคะ”
“จำได้ซี…เจ้าสัวสบายดีเหรอ” ชายสูงวัยพูดคำว่าเจ้าสัวออกไปอย่างไม่ชินปาก หลงเหว่ยยิ้มให้เขาเพราะเห็นเป็นคนเก่าแก่ของบิดา
“ครับ คุณอาช่วยงานอาปามาตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ถ้ามีอะไรก็ช่วยแนะนำผมด้วยนะครับ”
“แก่แล้ว คงช่วยอะไรมากไม่ได้”
“แต่คุณอายังแข็งแรงอยู่เลย”
“พี่หลงเหว่ยอยากจะคุยเรื่องงาน หยางชุนตอนนี้อยู่ที่ไหน อาปารู้ไหมคะ” เจียเฟิงถามถึงสามี ใบหน้าของเธอเรียบเฉย แต่มีแววมั่นคงนัก หลงจู๊กิมทำท่าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยออกไปว่า
“น่าจะอยู่ที่โรงสี ถ้าเจ้าสัวจะไป เดี๋ยวจะพาไป”
“รบกวนด้วยนะครับ ขอบใจมากนะ เจียเฟิง”
หลงเหว่ยหันมายิ้มให้เจียเฟิงด้วยท่าทีเป็นมิตร แต่ทว่าหญิงสาวไม่ได้คิดเช่นนั้น การมาของพี่ชายต่างแม่ในวันนี้เธอไม่ได้รู้สึกยินดีอะไรเลย มิหนำซ้ำยังมีความรู้สึกเหมือนกับว่าพี่ชายคนนี้กลับมาเพื่อทวงคืนทุกอย่างต่างหาก มันช่างไม่ยุติธรรมเลย เพราะหลงเหว่ยทำให้พี่ใหญ่ตาย ความตรอมใจที่แม่มีส่งผลให้ท่านมีชีวิตไม่ยืนยาวนัก ถ้าไม่มีหลงเหว่ยสักคน บางทีชีวิตของทั้งแม่ พี่ใหญ่ และอาปาอาจจะมีความสุขกว่านี้ และที่มาที่นี่เพื่อให้คนงานในบริษัทเห็นก็เพราะต้องการประกาศให้คนอื่นรู้ต่างหากว่า ใครคือเจ้าของมหามงคลที่แท้จริง
“ไม่ได้การล่ะ…”
หญิงสาวหรี่ตาลงน้อยๆ ราวกับจะใช้ความคิด แน่นอนเธอไม่ยอมให้หลงเหว่ยได้อะไรไปง่ายๆ เพียงเพราะเป็นลูกชายคนเดียวของอาปาแน่ๆ ทั้งๆ ที่เขานำพาความโชคร้ายเข้ามาในชีวิตเธอ ก็ไม่สมควรที่จะได้ความโชคดีกลับไปเหมือนกัน!
โรงสีมหามงคล
หลงจู๊กิมพาหลงเหว่ยไปที่โรงสีเพื่อดูการทำงานตามที่เจียเฟิงบอก ที่นี่เขาพบหยางชุนกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง ร่างกายสูงใหญ่ของหยางชุนมองดูคนงานทำงาน ติดต่อกับลูกค้าที่เข้ามาอย่างคล่องแคล่ว ส่วนหนึ่งที่กิจการก้าวหน้า อาจจะเป็นเพราะความขยันขันแข็งและความใส่ใจของหยางชุนก็เป็นได้ บรรดาคนงานที่เห็นผู้มาใหม่ต่างมีสีหน้าแปลกใจไปตามๆ กัน
“นั่นลูกชายของท่านเจ้าสัวใช่ไหม”
“คุณหลงเหว่ยไง คนที่ท่านเจ้าสัวส่งไปเรียนเมืองนอกไง เพิ่งจะกลับมา”
“ถ้ามาที่นี่ แล้วพี่หยางชุนล่ะ” เสียงพูดก็ไม่ได้ดังนัก แต่หยางชุนก็ได้ยินทุกคำแต่ก็จำต้องทำเหมือนไม่รู้เพื่อปิดบังความรู้สึก และคิดว่าหลงเหว่ยอาจจะมาที่นี่แต่ก็ไม่น่าเร็วขนาดนี้ แสดงว่าถ้ามาถึงที่นี่ได้ ก็คงไปที่ห้างมาแล้ว
“สวัสดีครับพี่หยางชุน พอดีผมอยากจะมาดูกิจการของเรา เรียนรู้ไว้เผื่อได้ช่วยกันทำงานบ้าง” ในคำนั้นหยางชุนไม่ค่อยพอใจนัก แม้รู้ดีว่าหลงเหว่ยเป็นใคร แต่หลายปีมานี้เขาเป็นคนดูแลกิจการทุกอย่างย่อมไม่ชอบใจนัก ถ้าใครจะมาชุบมือเปิบเอาง่ายๆ แต่เพราะผ่านโลกมามาก เขาจึงยิ้มกลบเกลื่อนอาการนั้น
“ได้สิครับ ตามผมมา” หยางชุนเดินพาหลงเหว่ยเดินดูบริเวณโดยรอบของโรงสีพลางพูดอธิบายไปเรื่อยๆ
“เรามีโรงสีกลางของเราด้วย แต่ข้าวทั้งหมดที่เราขาย เรารับซื้อมาจากโรงสีคู่ค้าทั้งหมดสามแห่ง”
“แล้วใครเป็นคนกำหนดราคาซื้อขาย”
หลงเหว่ยถามแต่หยางชุนไม่ตอบ ได้แต่ยิ้ม เขาเดินนำหน้าชายหนุ่มมาที่ลานหน้าโรงสี หลงเหว่ยยืนมองหยางชุนบดข้าวเปลือกด้วยแขนอันทรงพลังของเขา ด้านไช้กับเถ้าแก่ฮงเจ้าของข้าวก็ยืนมองลุ้นๆ หยางชุนหยิบเม็ดข้าวขึ้นมาดู พูดกับเถ้าแก่ฮงว่า
“ข้าวรอบนี้ไม่ค่อยดีนะ เถ้าแก่ แบบนี้สีไปก็ได้แต่ปลายข้าว”
“ตั่วเสี่ยเมื่อเช้ากินยากระดูกเสือมาหรือเปล่า บดแรงขนาดนี้ ข้าวดีๆ ก็แตกหมด” เถ้าแก่ฮงเอ่ยอย่างไม่พอใจ แต่หยางชุนกลับแย้มยิ้มตอบกลับมา
“เอาอย่างนี้ ถ้าเถ้าแก่อยากขาย ผมจะรับแค่เกวียนละสองร้อย แต่ถ้าไม่อยากขายก็ไม่ว่ากัน ข้าวแบบนี้เอาไปขายที่อื่นไม่แน่ว่าจะได้ราคาต่ำกว่าที่ผมให้เสียอีก” เถ้าแก่ฮงมองหน้าไช้ มองหน้าหยางชุน แล้วพยักหน้าเซ็งๆ หลงเหว่ยยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมด เขาคิดในใจว่าหลายปีที่ผ่านมาเขาอาจจะเรียนหนังสือมามาก แต่เรื่องประสบการณ์และการค้าเขายังมีไม่มากเท่าหยางชุนเลย แต่ที่ทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมสักเท่าไร พอจะพูดอะไรออกมาหยางชุนก็พูดขึ้นมาอีกว่า
“เราทำการค้าเราต้องอาศัยประสบการณ์ บางอย่างเมืองนอกเขาก็คงไม่ได้สอนมา”
หลงเหว่ยได้แต่นิ่งเงียบ ความคิดของเขามีเพียงต้องการจะช่วยเหลือกิจการที่เป็นของครอบครัวเท่านั้น ถ้าต้องมาดูแลกิจการของครอบครัวจริงๆ บางอย่างเขาก็ต้องเปลี่ยนให้ถูกต้อง การที่เป็นลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่ หน้าที่ที่ต้องเป็นตัวแทนอาปา ดูแลกิจการคงถ่ายโอนไปให้ใครง่ายๆ ไม่ได้อีกเหมือนกัน แต่หยางชุนกลับไม่ได้คิดเช่นนั้นกลับคิดต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่ในบ้าน เหม่ยอิงก็หารือเรื่องงานแต่งงานที่ต้องจัดขึ้นแต่ความคิดของเธอและซูซี่ไม่ค่อยตรงกันนัก หญิงสาวที่มาจากโลกสมัยใหม่ มีความคิดแตกต่างจากเหม่ยอิงที่เหมือนกับอยู่ในโลกใบเดิม และยึดถือความคิดประเพณีดั้งเดิมอยู่ ในห้องโถงเล็กชั้นบน เหม่ยอิงเรียกทั้งเหม่ยซิงและซูซี่มาคุยที่นี่ด้วย
“เดี๋ยวเอาวันเดือนปีเกิดมา หาฤกษ์ได้แล้วเธอกลับไปที่บ้านเธอที่ฮ่องกง ฉันจะจัดเถ้าแก่ไปสู่ขอ แล้วรับเธอกลับมาอีกที” ซูซี่หันมามองหน้าผู้สูงวัยกว่าพลางเอ่ยเสียงดัง
“ไม่ต้องเลยค่ะ คุณลุงของฉันรู้แล้วว่าฉันจะแต่งงานกับหลงเหว่ย จะกลับไปกลับมาทำไมให้เสียเวลา”
“แต่ธรรมเนียมมีอยู่ ยังไงก็ต้องไปสู่ขอ ยกน้ำชา” เหม่ยอิงกล่าวเสียงเรียบ
“ฉันเป็นคริสต์ค่ะคุณแม่ แล้วพอดีเดวิด เอ่อ พี่คนหนึ่งของฉันรู้จักกับหลวงพ่อที่อัสสัมชัญ ฉันคิดว่าจะจัดงานแต่งงานที่นั่นค่ะ” พอได้ฟังอย่างนั้นเหม่ยซิงก็ทำหน้าแปลกใจ เธอจึงถามออกไปว่า
“แต่งงานในโบสถ์แบบฝรั่งเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“ยังไงงานยกน้ำชาก็ต้องมี ไม่มีคงไม่ได้” เหม่ยอิงพูดและยังยืนยันคำเดิม
“ฉันบอกแล้วไงคะ ว่ามันไม่จำเป็น”
สำหรับซูซี่เธอเห็นว่าสิ่งที่กำลังจะทำเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น เธอและครอบครัวเป็นคนจีนก็จริง แต่ประเพณีบางอย่างก็ดูล้าสมัย อย่างการที่ว่าที่แม่สามีขอวันเดือนปีเกิดเพื่อไปผูกดวงตามแบบจีน สำหรับเธอแล้วหัวใจต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนอันดับแรก เรื่องผูกดวงว่าจะเข้ากันได้หรือไม่นั้น เธอมองว่ามันเป็นเรื่องไม่จำเป็นเลยเหม่ยซิงเห็นว่าทั้งสองจะโต้เถียงกัน เพราะดูท่าซูซี่จะเป็นคนไม่ยอมอะไรง่ายๆ เธอจึงเข้าไปพูดไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ให้เรื่องบานปลาย
“ที่จริงก็สะดวกดีนะคะแม่ พี่สะใภ้ตั้งท้องอยู่ ทำอะไรวุ่นวายนัก มันก็ลำบาก” ได้ยินคำพูดของลูกสาวเหม่ยอิงก็หันไปมองลูกสาวอย่างนึกตำหนิที่เธอไม่ได้คล้อยตามด้วย เหม่ยซิงเห็นอย่างนั้นก็ก้มหน้าหลบไม่กล้าพูดอะไรอีก
“ท้องก่อนแต่งมันก็ยุ่งอย่างงี้แหละ…ไม่รู้ละ ยังไงงานยกน้ำชาก็ต้องมี ถ้าจะจัดงานยังไงก็ต้องทำตามธรรมเนียม อย่าให้ชาวบ้านเขาเอาไปนินทาได้” พูดไม่ทันจบเหม่ยอิงก็ลุกออกจากห้องไปเลย เธอไม่ได้อยู่เพื่อรอหรือฟังเหตุผลใดของซูซี่ เหม่ยซิงมองตามอย่างอ่อนใจ ด้วยรู้ว่าแม่เป็นคนยังไง พอซูซี่ลุกขึ้นจะเดินขึ้นห้อง เธอก็ได้แต่เดินตามมาด้วยหวังจะปลอบใจ พอมาถึงห้องซูซี่กลับมานั่งลงอย่างคนหมดแรง เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่
“พี่สะใภ้ อย่าคิดมาก ผู้ใหญ่อยากให้เราทำอะไรก็ทำตามใจผู้ใหญ่ไปดีกว่า”
“แต่นี่มันงานแต่งงานของฉันนะ ไม่ใช่งานแต่งงานของคุณแม่เธอ…งานแต่งงานมันเป็นงานที่สำคัญที่สุดของผู้หญิง เธอก็รู้นี่ เหม่ยซิง…ใช่ไหม”
“ไม่รู้สิคะ ฉันไม่เคยคิดถึงมันสักที” คำพูดนั้นทำให้ซูซี่แปลกใจ เธอมองน้องสาวของหลงเหว่ยอย่างสำรวจ แม้จะแต่งตัวไม่นำสมัย แต่เหม่ยซิงก็จัดว่าเป็นคนสวยคนหนึ่งเลยทีเดียว หากเปลี่ยนการแต่งตัวแต่งหน้าเสียหน่อย เหม่ยซิงก็อาจจะกลายเป็นสาวทรงเสน่ห์ได้เลยทีเดียว ซูซี่พูดต่ออย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“จริงเหรอ สาวสวยอย่างเธอไม่เคยฝันถึงคนรัก ไม่เคยฝันถึงการแต่งงานจริงๆ เหรอ ทำไมล่ะ อย่างน้อย ถึงเธอจะไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน ก็ต้องมีใครมาสู่ขอดูตัวเธอแน่ๆ”
“มันก็เคยมีนะคะ…แต่แม่บอกปฏิเสธไปค่ะ ท่านคงมีเหตุผลของท่าน” เหม่ยซิงพูดก่อนจะคิดถึงเรื่องเมื่อสามปีก่อน วันนั้นเธอบังเอิญเดินผ่าน และได้ยินสิ่งที่แม่กับอาจูคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่มีคนมาสู่ขอเหม่ยซิง แต่แม่ไม่ได้ตอบตกลงเขาไป
“แล้วเหตุผลที่ว่านั่นคืออะไร” ซูซี่ถามต่อ
“ไม่รู้สิคะ ฉันไม่กล้าถาม” เหม่ยซิงเอ่ยออกมาตามตรง แต่คนฟังก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ
“เหลวไหลที่สุด…เธอหน้าตาสะสวย เฉลียวฉลาด หลงเหว่ยบอกว่าเธออ่านเขียนหนังสือได้ ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะออกไปทำงาน ออกไปเจอคนเยอะๆ คบผู้ชาย แล้วเลือกคู่ชีวิตของฉันเอง” ซูซี่พูดออกไปตามความคิดของเธอ เหม่ยซิงทำหน้าตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่เธอก็แอบเห็นด้วยในบางอย่างที่พี่สะใภ้ได้บอกมา
แต่จนแล้วจนรอดแม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดของเหม่ยอิง แต่ซูซี่ก็ยอมเอาวันเดือนปีเกิดให้แต่เธอก็ยังถามว่า
“นี่ค่ะ วันเดือนปี เวลาเกิดของฉัน แล้วเชื่อกันจริงๆ เหรอคะ เรื่องฤกษ์ยามเนี่ย ถ้าเกิดซินแสเขาบอกว่าต้องแต่งงานปีหน้า ปีโน้น จะทำยังไงคะ” ซูซี่เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย ดวงตายาวรีเหลือบมองว่าที่ลูกสะใภ้อย่างไม่ค่อยชอบใจนัก
“ก็ให้มันรู้ก่อน ว่าเค้าจะว่ายังไง แล้วค่อยแก้ไขกันไป”
พูดไม่ทันจบดีเสียงเด็กในบ้านบอกว่าคุณเจียเฟิงมา เหม่ยซิงจึงออกไปต้อนรับพี่สาว และเมื่อเหม่ยซิงพาเจียเฟิงเดินเข้ามาในห้อง หญิงสาวก็ยิ้มให้ทุกคนพลางก้มหัวให้ซูซี่นิดหนึ่ง
“พี่เจียเฟิงมาค่ะ…แม่” ทุกคนหันมามองใบหน้างดงามแต่เย็นชาของเธอทันที ซูซี่มองผู้หญิงคนนี้อย่างเพ่งพิศ สิ่งที่เจียเฟิงมีแตกต่างจากเหม่ยซิงน้องสาวก็คือแววตาที่แอบซ่อนความนัยเอาไว้ไม่ได้ ความรู้สึกของซูซี่บอกอย่างนั้นจริงๆ เธอก้าวเข้ามาในห้องพลางเอ่ย
“ฉันได้ยินว่า น้าเหม่ยอิงกำลังจัดงานแต่งงาน ฉันเลยอยากช่วย กำลังหาฤกษ์ยามกันใช่ไหมคะ”
“ค่ะ” ซูซี่ยิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก เจียเฟิงจุดยิ้มมุมปากก่อนจะเอามือแตะที่หลังมือของซูซี่พลางเอ่ย
“ดีแล้วค่ะ จัดงานมงคลนี่ฤกษ์ยามสำคัญ ต้องหาคนเก่งๆ มาดูให้ พอดีฉันรู้จักกับซินแสคนหนึ่งที่เก่งมาก ฉันเลยให้คนไปรับมาให้ เดี๋ยวก็คงมาถึง” เจ้าของดวงตาคู่นั้นซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ เจียเฟิงยิ้มน้อยๆ เพื่อกลบเกลื่อน ด้านเหม่ยอิงกับอาจูชะงักงันอย่างแปลกใจ
“เธอไปตามซินแสที่ไหนมา” เหม่ยอิงถามอย่างแปลกใจ
“ก็ซินแสอู่ไงคะ คุณน้า จะมีใครที่ไหน”
เมื่อได้ยินคำนั้นทั้งเหม่ยอิงและอาจูก็มีสีหน้าหนักใจ เจียเฟิงแย้มยิ้มน้อยๆ เธอเดาออกว่าทั้งแม่รองและอาจูคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ ด้านซูซี่ก็สังหรณ์ใจอย่างประหลาด นี่การมาของซินแสผู้ทำนายโชคชะตาจะนำพาความยุ่งยากมาให้เธออีกหรือไม่
ทันใดนั้นเสียงรถยนต์ก็ดังขึ้น คนรับใช้ที่อยู่หน้าตึกวิ่งเข้ามาบอกว่า
“คนที่คุณหนูรองให้เชิญ มาถึงแล้วค่ะ”