ด้ายแดง บทที่ 5 : ในคำว่า แม่
โดย : พัทชุลี
ด้ายแดง เรื่องราวของความผูกพันของสมาชิกในครอบครัวที่มีวิถีชีวิตและความเชื่อตามขนบธรรมเนียมจีนโบราณที่แม้ว่าจะเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่เมื่อมีเรื่องของธุรกิจเข้ามา ความบาดหมางจึงเกิดขึ้น นวนิยายเนื้อหาเข้มข้นโดย พัทชุลี ในรูปแบบ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์
***********************************
– 5 –
การโต้เถียงกันทำให้เหม่ยอิงนอนไม่หลับเลยทั้งคืน เธอได้แต่คิดว่าจะทำยังไงให้ว่าที่ลูกสะใภ้ทำตามที่เธอต้องการ คำพูดของซินแสอู่ก็เคยถูกมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งก่อนเพราะคำทำนายนี้ ทำให้หลงเหว่ยต้องกลายเป็นคนมีตราบาป และต้องสูญเสียความรักจากพ่อไป มาครั้งนี้ยิ่งหนักกว่าเพราะดวงของลูกในท้องซูซี่เกิดชงกับดวงของพ่อเสียนี่
“นี่มันเวรกรรมหรือสวรรค์กลั่นแกล้ง”
เหม่ยอิงพูดก่อนจะเอาด้ายมงคลมาถักด้วยมืออันสั่นเทา ในหัวใจเธอหนักอึ้งราวกับมีอะไรมาถ่วง ครั้งนี้แม้แต่งานที่ชอบและถนัดกลับทำได้ไม่ดีพอ แต่ด้ายแดงในมือกลับไม่เป็นรูปทรงที่เธอต้องการเหมือนครั้งก่อน
“คนจีนมีคำพูดว่า ครอบครัวปรองดองนำพาโชคลาภ ฉันจะต้องไม่ทะเลาะกับซูซี่”
เหมือนจะพูดปลอบใจตัวเอง มือบางกลับชะงักมือค้าง เมื่อจิตใจลึกๆ กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
“แต่ยังไงก็ต้องหาวิธีทำให้เธอทำในสิ่งที่ฉันบอก เพื่อลูกของฉัน!”
เหม่ยอิงกระตุกด้ายในมือขาด เธอมองมันด้วยความรู้สึกสับสนและกังวลยิ่งนัก เมื่อคิดได้เช่นนั้นเธอก็ให้อาจูไปเรียกหลงเหว่ยกับซูซี่ให้ไปที่ห้องโถงทันที ไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองคนก็เข้ามานั่งที่ห้องด้วยสีหน้าตึงเครียด หลายครั้งที่ซูซี่มองไปยังแม่สามี เธอมักไม่ได้แววตาที่เป็นมิตรกลับคืนมา นั่นทำให้บรรยากาศในเช้าวันนี้ตึงเครียดผิดกับอากาศยามเช้าโดยสิ้นเชิง
“เรื่องยกลูกให้คนอื่นน่ะ มันแค่แก้เคล็ด…แม่ไม่ได้ให้เธอเอาลูกไปยกให้ใครที่ไหน เราสมมุติให้เด็กเป็นลูกเหม่ยซิงก็ได้” เหม่ยอิงพูดช้าๆ ราวกับต้องการอธิบาย
“แต่เหม่ยซิงยังไม่ได้แต่งงานเลยนะครับ จะให้เป็นแม่คนได้ยังไง” หลงเหว่ยพูดเหมือนจะแย้ง ที่จริงเขาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับแม่เท่าไรหรอก เขาเชื่อว่าชะตาชีวิตจะดีหรือร้ายจะกำหนดได้ด้วยการกระทำของตัวเอง เมื่อเห็นลูกพูดเช่นนั้นเหม่ยอิงก็ตอบออกไปอย่างระงับอารมณ์ไว้อย่างที่สุด
“ก็ไม่ได้ให้เป็นแม่จริงๆ พอซูซี่คลอดลูกออกมา เราก็แค่ให้เด็กเรียกอาซิงว่า ‘แม่’ เท่านั้นเอง”
“ให้ลูกเรียกคนอื่นว่าแม่ ‘เท่านั้นเอง’ หรือคะ” ซูซี่พูดประชด เธอจ้องมองเหม่ยอิงอย่างค้นหาคำตอบ
“ก็บอกแล้วไงว่าสมมุติ ยังไงเด็กก็รู้ว่าเธอเป็นแม่ หลงเหว่ยเป็นพ่อ”
“ในเมื่อทุกคนก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องสมมุติ แล้วจะทำไปทำไมล่ะคะ ฉันไม่ทำ!” ว่าแล้วซูซี่ก็เดินออกจากห้องไป พอหลงเหว่ยจะตามไป เหม่ยอิงก็เรียกลูกชายด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“หลงเหว่ย!” ชายหนุ่มชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกของแม่ เหม่ยอิงจับแขนของลูก
“ลูกเป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องทำตัวเป็นหลัก ถ้ามีอะไรนิดนึงแล้วต้องวิ่งตามง้องอนกันตลอด อีกหน่อยจะปกครองกันยังไง” หลงเหว่ยไม่ตอบหรือโต้เถียงอะไร เขาปลดมือของแม่ออกอย่างนุ่มนวล แล้วก็เดินตามคนรัก แต่ถ้าเขาหันกลับมามองข้างหลังก็จะเห็นว่ามีสายตาของแม่มองตามไปอย่างปวดร้าว
ชายหนุ่มเดินเข้าในห้อง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นว่าซูซี่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น เพราะโกรธที่แม่ของเขาไม่ยอมเปลี่ยนความคิดเสียที หลงเหว่ยรู้ดีว่าซูซี่เติบโตมาในครอบครัวแบบใดเขาจึงเข้าใจเธอมาก แต่แม่ก็คือแม่ เขายอมรับว่าไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ก็ขัดไม่ได้ เขานั่งลงใกล้ๆ ก่อนจะยื่นมือไปรั้งร่างเธอไว้และโอบกอดเธอจากทางด้านหลัง
“ที่รัก ถ้าคุณจะเข้ามาเกลี้ยกล่อม บอกเลยนะว่าฉันไม่ใจอ่อน”
“ยังไม่ได้พูดอะไรเลย คุณจะไม่ฟังผมหน่อยเหรอ”
“แต่บอกไว้ก่อนเลยว่าฉันไม่ยอมเด็ดขาด จะให้ลูกเรียกคุณว่า ‘ลุง’ เรียกฉันว่า ‘ป้า’ ได้ยังไง ฉันไม่ยอม”
“ผมก็ไม่ยอม” หลงเหว่ยพูดเสียงแผ่วเบา
“จริงนะ…แล้วคุณกล้าขัดใจคุณแม่คุณจริงเหรอ” ซูซี่เอ่ย สีหน้าดีขึ้นกว่าเดิม ชายหนุ่มพยักหน้าให้เธอแล้วเขาก็ได้รอยยิ้มจากเธอเป็นของขวัญ ซูซี่ยิ้มแล้วกระโดดกอดหลงเหว่ยด้วยความดีใจ
“ฉันรักคุณที่สุดค่ะ ฮันนี่”
เสียงที่ลอดออกมาจากห้องทำให้เหม่ยอิงกำมือของตัวเองแน่นจนเล็บจิกเนื้อ ใบหน้าของเธอเฉยชาเมื่อคิดถึงท่าทางของลูก เขาเอามือเธอออกอย่างนุ่มนวล เขาเลือกที่จะไปด้วยท่าทางนุ่มนวล แต่หัวใจกลับเลือกแล้วว่าจะไปทำไม นี่เขาจะรู้หรือไม่ว่าที่ทำไปทุกอย่างก็เพราะเธอรักเขามากเหลือเกิน
เหม่ยอิงสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ เธอเดินเลี่ยงเข้าในห้อง เพื่อหาชุดน้ำชาลายครามและจานชามสวยๆ ออกมาเพื่อเตรียมจัดงานให้หลงเหว่ย แต่สีหน้าของเธอไม่ได้มีความสบายใจขึ้นมาเลย อาจูที่อยู่ใกล้ก็ได้แต่มองตามอย่างเป็นห่วง
“ยังไม่ทันแต่งงาน ก็ไม่เห็นหัวแม่ตัวเองแล้ว ต่อไปฉันจะต้องทำยังไง” พูดจบเหม่ยอิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างอึดอัด
“คุณนายใจร้อนเกินไป ค่อยๆ พูดกัน เดี๋ยวเขาก็ต้องเข้าใจ นี่ มาคิด เรื่องจัดงานแต่งงานก่อนเถอะ อีกไม่กี่วันเองนะ” อาจูพูดเรื่องอื่นให้เหม่ยอิงสบายใจ
“ก็ได้ จัดงานแต่งงานก่อน แล้วค่อยพูดเรื่องลูกกันอีกที” เหม่ยอิงพูดเหมือนทำใจได้แต่ในใจไม่ยอมแพ้ เป็นความจริงที่ตลอดเวลา เธอได้แต่คิดเรื่องที่จะให้ทั้งลูกชายและลูกสะใภ้ยอมรับในสิ่งที่เธอเสนอ เธอมีเหตุผลที่จะต้องปกป้องลูก และเธอไม่ยอมที่จะให้หลงเหว่ยเป็นอะไรไปอีก หลงเหว่ยเป็นทายาทคนเดียวที่เหลืออยู่ของบ้านมหามงคล และที่สำคัญเป็นลูกชายที่เธอรักที่สุดอีกด้วย
บ้านเหม่ยฟาง
ร่างงามระหงเดินลงมาจากบันได ดูจากเวลาก็เป็นเวลาสายมากแล้ว แต่เธอยังเห็นสามีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟาห้องรับแขกอย่างสบายอารมณ์ เธอออกจะแปลกใจเมื่อมองนาฬิกา ที่จริงตอนนี้ชาญชัยน่าจะอยู่ที่ทำงานมากกว่าจะมาอยู่ที่บ้าน…ในเวลานี้
“อ้าว ยังไม่ไปทำงานอีกเหรอคะ”
“จะรีบไปทำไม ตอนนี้เศรษฐกิจแย่ ข่าวสงครามก็ดังจนการค้าซบเซาทั่วโลก ลูกค้าเก่าใหม่ก็พากันชะงักไปหมด เราเป็นแค่ ‘ลูกจ้าง’ จะขยันไปทำไมให้มากมาย” ชายหนุ่มพูดพลางปิดหนังสือพิมพ์แล้วยกกาแฟขึ้นมาจิบอย่างใจเย็น เหม่ยฟางเดินลงมาหาเขาพลางนั่งลงใกล้ๆ เธอฉีกยิ้มอย่างไม่เต็มใจนักก่อนพูดกับสามี
“ก็คิดแบบนี้ พี่หยางชุนถึงได้รวบเอาทุกอย่างไปหมด”
“เธอมันโง่ ไม่รู้อะไร หยางชุนก็เหมือนฉัน เป็นแค่ลูกเขย ทำไปแล้วได้อะไร สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นของลูกชายหมด! ทางที่ดี แทนที่จะไล่ให้ฉันไปทำงาน เธอน่ะแหละ ควรจะไปเอาอกเอาใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ของเธอมากกว่า เผื่อว่าพี่หลงเหว่ยจะช่วยส่งเสริมผัวเธอให้สุขสบายบ้าง เธอไม่คิดเหรอว่าวิธีนี้น่าจะดีกว่าต้องไปทำงาน” เหม่ยฟางไม่ได้เถียงเพราะที่สามีพูดมามันก็เป็นเรื่องจริง เมื่อคิดได้เช่นนั้นเธอก็ได้หันไปยิ้มหวานกับสามี
“ฉันรู้แล้วล่ะค่ะ ว่าต้องทำยังไง”
ว่าแล้วหญิงสาวก็รีบอาบน้ำแต่งตัวและบอกคนขับรถไปที่บ้านใหญ่ทันที และก็เป็นเรื่องจริงที่คนในบ้านออกจะแปลกใจนัก เพราะปกติหากไม่มีเรื่องใหญ่หรืองานอะไร นานๆ ครั้งเหม่ยฟางถึงจะมาที่นี่บ้าง แถมการมาครั้งนี้ก็มาเอาอกเอาใจซูซี่เป็นพิเศษ เหม่ยฟางเสนอตัวว่าจะช่วยจัดการงานแต่งให้ แต่พูดกันยังไม่ทันจบดี อาจูก็เข้ามาเสียก่อน บอกว่าคุณนายใหญ่สั่งให้มาตามไปดูของ เหม่ยฟางจึงถือโอกาสเดินตามไปด้วย
เมื่อมาถึงห้อง ที่บัดนี้มีข้าวของเครื่องใช้หลายอย่างวางอยู่มากมาย ซูซี่ก็ออกจะแปลกใจและคิดไม่ออกว่าแม่สามีเอาข้าวของพวกนี้มาวางเรียงรายกันอย่างนี้เพื่ออะไรกันแน่ ข้าวของหลายรายการวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ บางอันก็อยู่ในห่อกระดาษสีชมพูบ้างแดงบ้าง ทุกคนกำลังมองข้าวของเหล่านั้นด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน
“อะไรกันคะนี่!” ท่าทางแปลกใจดังกล่าวทำให้เหม่ยซิงเป็นคนตอบคำถามพี่สะใภ้แทน
“ข้าวของที่ต้องใช้ในงานแต่งงานไงคะ”
“ฉันเห็นว่าทางเธอไม่มีผู้ใหญ่มาจัดการ ฉันก็เลยจัดให้” เหม่ยอิงพูดต่อเสียงเรียบๆ และไม่ได้สนใจว่าซูซี่จะคิดอย่างไร หญิงสาวมองข้าวของที่วางเรียงราย บางชิ้นเป็นของหายาก เป็นของที่มีราคาแพง และที่มากมายอย่างนี้อาจจะเป็นเพราะงานแต่งงานที่จะจัดเป็นงานใหญ่ ต้องใช้ข้าวของหลายอย่างให้ครบถ้วนตามประเพณี แต่สำหรับเธอก็ยังเห็นว่ามันไม่น่าจำเป็นอยู่ดี
“ความจริงไม่จำเป็นเลยนะคะ ตะเกียง กระโถน อะไรพวกนี้ เอามาฉันก็ไม่ได้ใช้”
“ใช้หรือไม่ใช้มันก็ต้องมี ตามธรรมเนียม” เหม่ยอิงพูดเสียงแข็ง
“โอ๊ย…แม่คะ คำก็ธรรมเนียม สองคำก็ธรรมเนียม ตอนงานแต่งงานของหนูก็มี แล้วตอนนี้อยู่ไหน บางอันยังอยู่ในห่อกระดาษเหมือนเดิมเลย” เมื่อได้ยินเหม่ยฟางพูดเช่นนั้นเหม่ยอิงก็ไม่พอใจมาก แม้ไม่พูดดุด่าเพราะไว้หน้าแต่เหม่ยฟางก็รู้ว่าตัวเองได้พูดอะไรบางอย่างผิดไปแล้วจึงได้แต่เงียบไม่กล้าพูดต่อ ฝ่ายเหม่ยซิงก็พยายามพูดประนีประนอมกับทุกฝ่าย
“ ถ้าไม่ใช้ เสร็จพิธีแล้วเอาไปให้ใครก็ได้ค่ะ แต่ตามธรรมเนียม..” เธอพูดยังไม่จบก็ถูกซูซี่พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ค่ะ ของมันต้องมี มีแล้วจะโชคดี ไม่มีจะโชคร้าย” ซูซี่พูดแล้วแค่นยิ้มประชดผู้สูงวัยกว่า
“โชคลางน่ะจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่เป็นเด็ก ต้องเชื่อผู้ใหญ่ ไม่อย่างนั้นบ้านมันจะไม่เป็นบ้าน!” เหม่ยอิงพูดขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ นี่มันกี่ครั้งแล้วที่ซูซี่พูดแบบนี้ นอกจากจะดื้อรั้นไม่ยอมฟังเธอที่เป็นแม่สามีแล้ว ต่อไปวันข้างหน้าจะอยู่ร่วมบ้านกันได้อย่างไร ทุกคนที่อยู่ในนั้นต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ เหม่ยอิงจ้องมองว่าที่ลูกสะใภ้อย่างไม่พอใจเป็นที่สุด
หจก. มหามงคล
ลานหลังบริษัท เป็นประจำของช่วงพักกลางวันที่พนักงานทุกคนจะมากินข้าวที่นี่ คนงานทุกคนเป็นคนจีนที่เข้ามาทำงานที่นี่ บางคนก็ทำงานมาตั้งแต่ครั้งเจ้าสัวคนก่อน พอกิจการขยายขึ้นก็มีคนงานใหม่ๆ เข้ามาทำงานด้านเอกสารในออฟฟิศ โดยมากเป็นผู้หญิง จึงแยกตัวไปกินอีกมุมหนึ่งของโรงอาหารบ้าง ในช่วงพักกลางวันไม่ว่าใครก็จะมากินข้าวที่นี่ หลงเหว่ยก็เช่นเดียวกัน
“ความจริงไม่เห็นต้องรีบมาทำงานเลย อีกไม่กี่วันจะแต่งงานแล้ว น่าจะไปเตรียมตัว” เจียเฟิงพูดเหมือนเป็นห่วงแต่แท้จริงแล้ว เธอไม่ได้อยากให้หลงเหว่ยมาที่นี่เลยด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องกลบเกลื่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้ภายใน
“พี่เป็นคนง่ายๆ ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากหรอก” หลงเหว่ยเอ่ยพลางนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวที่ไม่ได้แตกต่างจากโต๊ะคนงานเท่าไร ที่เพิ่มมาก็คงจะเป็นอาหารพิเศษอีกจานเท่านั้น หยางชุนเห็นท่าทางของผู้อ่อนวัยกว่าก็ได้แต่ยิ้ม
“จริง ผู้ชายไม่ยุ่งยากเหมือนผู้หญิงที่ต้องมีชุดนั้นชุดนี้ อย่างตอนคุณหนูรอง…” หยางชุนพูดยังไม่จบดี เจียเฟิงที่กำลังมองไปทางหนึ่ง ร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เอ๊ะ!” เธอเอ่ยเสียงเครียดแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะทันที นั่นทำให้ทั้งหลงเหว่ยและหยางชุนลุกตามเจียเฟิงไปมุมหนึ่งในโรงอาหาร เจียเฟิงเดินตรงมาที่โต๊ะที่มีพนักงานหญิงนั่งกินข้าวกัน ซึ่งที่โต๊ะนี้มีสุณีนั่งอยู่ด้วย ด้านสุณีพอเงยหน้าขึ้นมาเห็นหน้าเจียเฟิงก็ตกใจอย่างมาก
“คุณเจียเฟิง!”
“เธอมาทำอะไรตรงนี้!?” เจียเฟิงถามสุณีอย่างไม่พอใจนัก ว่าแล้วเธอก็หันหน้าไปทางพ่อสามีที่เดินตามมากับหยางชุนที่อยู่ไม่ไกลนัก
“อาปาคะ ฉันให้สุณีออกไปแล้ว ทำไมเขายังอยู่ที่นี่อีก!?” หลงจู๊กิมยิ้มเจื่อนๆ มองไปที่หลงเหว่ย เหมือนกับจะเกี่ยงให้เขาเป็นคนตอบคำถามแทน ชายหนุ่มมองน้องสาวพลางเอ่ย
“พี่เป็นคนขอให้หลงจู๊รับสุณีกลับเข้ามาทำงานเองแหละ” เจียเฟิงมองเขาอย่างไม่พอใจแต่หลงเหว่ยก็พูดต่อไปอีกว่า
“ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน แต่พี่เห็นว่าเขากำลังท้องกำลังไส้ พี่สงสาร ไม่อยากเห็นเขาตกงาน” เจียเฟิงโกรธมาก ไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่สะบัดหน้าเดินออกไปเลย หลงเหว่ยเดินตามมาเพราะต้องการอธิบายเหตุผล เมื่อเห็นท่าไม่ดีหยางชุนจึงเดินตามภรรยามาด้วย เมื่อมาถึงห้องทำงานใหญ่ เจียเฟิงก็หันมาพูดกับหลงเหว่ยอย่างระงับอารมณ์ไม่ได้ ดวงตาที่เคยทอดแววเย็นชากลับมีแววไม่พอใจอยู่ในนั้น
“ฉันไม่ได้ใจร้าย! แต่ที่ฉันไล่สุณีออก เพราะเขาทำงานผิดพลาด!”
“ก็เขาไม่สบาย เขากำลังแพ้ท้องอยู่ ถ้าจะไล่ใครสักคนออกต้องมีเหตุผลที่ดีกว่านี้”
“แต่ทำผิดก็คือทำผิดนะเจ้าสัว คนงานเป็นสิบ มันต้องมีบรรทัดฐาน ทำงานผิดพลาดแล้วจะเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาอ้างเพื่อยกเว้นไม่ได้ มันจะเสียการปกครอง” หยางชุนเอ่ยเพราะต้องการเสริมภรรยา หลงเหว่ยยิ้มเพียงมุมปาก ดวงตาจ้องมองคนทั้งสองแล้วก็พูดออกไปอีกเหมือนกัน
“จริงอยู่ สุณีทำงานบัญชีไม่ไหว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรไม่ได้เลย นี่ผมเลยให้เขากลับมาทำงานง่ายๆ ช่วยดูแลค่าใช้จ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟของบริษัท แค่ให้เขายังพอมีรายได้ก็เท่านั้นเอง” หลงเหว่ยเอ่ยอย่างใจเย็น
“แต่ทำแบบนี้…มัน”
เจียเฟิงพูดขึ้นเสียง เธอทำท่าจะพูดออกไปอีกแต่หยางชุนกลับพูดเหมือนจะปราม มือข้างหนึ่งของเขาจับมือของภรรยาไว้
“ใจเย็นๆ ครับคุณหนูรอง เจ้าสัวหลงเหว่ยจิตใจโอบอ้อมอารี ได้เจ้าสัวมาช่วยดูแลบริษัทอีกแรง บริษัทต้องดีวันดีคืนแน่ๆ” หยางชุนเอ่ยพลางมองตาภรรยานิ่ง เหมือนจะเตือนให้สงบจิตใจเอาไว้ เจียเฟิงเข้าใจจึงสงบปากลงแต่เพียงเท่านั้น บอกออกไปเช่นนั้นก็จริง แต่ภายในจิตใจกลับพลุ่งพล่านด้วยความโมโห หลงเหว่ยมาที่นี่วันแรกก็นำพาความยุ่งยากทำให้เขาเสียการปกครองคนที่เคยปกครองได้ แล้วต่อไปจะมีลูกน้องเห็นหัวเขากี่คนเล่า หยางชุนรอจนหลงเหว่ยเดินออกจากห้องไปจึงพูดปลอบภรรยาไปว่า
“คุณหนูรองใจเย็นๆ”
“หลงเหว่ยทำแบบนี้ เท่ากับหักหน้าฉันไม่มีชิ้นดีเลย!” เจียเฟิงพูดอย่างโกรธจัด นี่ขนาดเวลาเลยมาหลายชั่วโมงแล้ว เธอยังรู้สึกโกรธราวกับถูกน้ำเย็นสาดหน้ากลางตลาด ต่อไปลูกน้องและเสมียนในห้างคงไม่เกรงใจเธอเป็นแน่ หยางชุนเห็นภรรยากำลังโกรธจึงจับมือเธอไว้มั่น
“ก็เขามีสิทธิ์ บริษัทมหามงคลตอนนี้เท่ากับเป็นของเขา”
“บริษัทนี้เป็นของพ่อฉัน! หลงเหว่ยเป็นแค่ลูกเมียรอง นี่ถ้าพี่เทียนอี้ไม่ตาย มันไม่มีวันได้มาชูคอเสนอหน้ายังงี้หรอก” เจียเฟิงเอ่ยอย่างโมโหสุดขีด ร่างของเธอสั่นระริกตลอดเวลา ถ้าชีวิตเธอจะไม่มีความสุขละก็ หลงเหว่ยนี่แหละที่จะเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ เธอไม่อาจจะอยู่นิ่งเฉยได้ถ้าหลงเหว่ยจะยุ่งวุ่นวายอย่างนี้
“อาปายกทุกอย่างให้ฉัน ไม่ใช่มัน”
“คุณหนูรองต้องอดทน มันต้องถึงวันของเราสักวัน จำไว้ เราคงไม่โชคร้ายตลอดไปหรอก” หยางชุนได้แต่ปลอบใจ ทั้งสองไม่อาจรู้เลยว่าบัดนี้คนงานที่ชื่อไช้ได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว…
ช่วงเย็นวันนั้นเมื่อหลงเหว่ยเดินเข้ามาในบ้าน ซูซี่ที่รออยู่รีบเดินเข้ามากอดเขาทันที ท่าทางดีใจมาก หญิงสาวเอามือโอบรอบคอคนรักก่อนจะถามออกไปว่า
“ไปทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้างคะ” ซูซี่ยิ้มหวานให้เขา
“ก็ดีจ้ะ แต่บริษัทของเราค่อนข้างล้าสมัย มีอะไรต้องปรับปรุงอีกหลายอย่าง” ชายหนุ่มพูดไปตามที่เขารู้สึก
“ไอ้เรื่องนั้นฉันไม่แปลกใจเลยค่ะ” ซูซี่ยิ้มขำเมื่อได้ยินเรื่องความล้าสมัยแล้วเสียงกระแอมก็ดังขึ้น หลงเหว่ยมองตามต้นเสียงนั้นก็เห็นแม่และอาจูอยู่ด้านหลัง เขาจึงปลดมือซูซี่ออกจากคอ เดินเข้าไปหาทั้งคู่ทันที
“แม่”
“ไปอาบน้ำ แล้วลงมากินข้าว”
เหม่ยอิงพูดแล้วยิ้มให้ลูก เธอไม่ลืมทิ้งหางตาไปยังซูซี่อย่างเหยียดๆ หลงเหว่ยพยักหน้ารับแล้วเดินออกไป เหม่ยอิงมองซูซี่อย่างระอาเต็มที เธอจึงเดินผ่านเลยไป ซูซี่เห็นอาการนั้นจึงถามอาจูออกไป
“ฉันทำอะไรผิดเหรอคะ” อาจูทำท่าว่าจะพูด แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เธอถอนใจแล้วเดินออกไปอีกคน
เมื่อทุกคนมาพร้อมกันที่โต๊ะกินข้าว เหม่ยอิงก็เงียบขรึม แม้ไม่บอกว่าไม่พอใจเรื่องใดแต่ดูเหมือนทุกคนจะเดาออก ด้านหลงเหว่ยจึงหันไปชวนทั้งซูซี่และแม่คุยเรื่องการแต่งงาน
“เรื่องงานแต่งงานเป็นยังไงบ้างซูซี่” โดยไม่ได้รับคำตอบชายหนุ่มก็หันไปหาแม่แล้วถามต่อ
“ผมต้องทำอะไรบ้างครับแม่”
“เงินทอง ของหมั้น แม่เตรียมให้แล้ว เดี๋ยวมาเลือกกัน” เหม่ยอิงพูดสีหน้าเรียบเฉย ความบึ้งตึงนั้นทำให้เหม่ยซิงต้องพูดตอบออกไปอีก
“มีเรื่องรถรับเจ้าสาวค่ะ ยังไม่ได้เลือกเลยว่าใครจะไปรับเจ้าสาว” พอได้ยินอย่างนั้นซูซี่ก็ทำสีหน้างงๆ เธอพูดออกมาทันทีอย่างที่สงสัย
“รับเจ้าสาว? ทำไมต้องรับคะ ฉันก็อยู่ที่นี่อยู่แล้วนี่คะ”
“ก่อนวันแต่งงาน เธอต้องย้ายออกไปนอนที่อื่นก่อน จะกลับมานอนเตียงนี้ได้ ก็ต้องหลังจากแต่งงานแล้ว” ซูซี่ตั้งท่าจะพูดต่อแต่หลงเหว่ยกลัวว่าเรื่องจะบานปลายไปใหญ่จึงพูดออกมาก่อน
“แค่วันสองวันเองซูซี่ ไปนอนโรงแรมก็ได้ เดี๋ยวให้คนไปนอนเป็นเพื่อน ทำตามธรรมเนียมหน่อย ดีซะอีก คุณจะได้มีเวลาเตรียมตัวให้เต็มที่”
“ก็ได้ค่ะ ฉันก็ไม่อยากให้คุณมาเห็นฉันตอนเตรียมตัวเหมือนกัน เออ…พูดถึงเรื่องเตรียมตัว เรื่องชุดเจ้าสาว…” ซูซี่พูดไม่จบ เพราะถูกเหม่ยอิงชิงพูดเสียก่อน
“พรุ่งนี้ไปวัดตัว เหม่ยซิงจะพาไปร้านประจำ ฉันบอกเขาไว้แล้วว่าเรารีบใช้ ยังไงเขาก็ต้องตัดให้ทัน” ซูซี่ขยับจะพูดต่อ แต่หลงเหว่ยก็ได้แต่ปรามซูซี่ เธอเลยไม่พูดอะไรออกมาแต่แสร้งถอนหายใจดังๆ จนเหม่ยอิงได้ยิน ทุกอย่างดำเนินไปโดยที่เธอไม่มีสิทธิ์อะไรเลย ทั้งๆ ที่เป็นเจ้าสาวแท้ๆ
หญิงสาวได้แต่เก็บความอึดอัดใจไว้ ด้านหลงเหว่ยเมื่อเห็นสีหน้าของคนรัก เขาก็รู้สึกเห็นใจเธอมาก แต่ต่อหน้าแม่เขาจะพูดอะไรออกไปก็คงไม่สมควร เมื่อได้ขึ้นห้องมาอยู่ด้วยกันแล้ว เขาก็ได้แต่พูดปลอบ
“เอาน่า คิดดูสิว่าคุณเป็นเจ้าสาวที่สบายขนาดไหน ไม่ต้องขยับตัวเลย มีคนจัดการให้ทุกอย่าง”
“แต่นี่มันงานแต่งของฉันนะคะ ฉันไม่ได้คิด…ไม่ได้เลือกอะไรเลย”
“คุณแม่เห็นว่าคุณกำลังท้องน่ะ เลยไม่อยากให้เหนื่อยต่างหาก”
“ คุณแม่คุณอยากจัดการเองมากกว่าค่ะ! เฮ้อ…เอาเถอะค่ะ เรื่องแต่งงานนี่ฉันยอมก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำ แต่เรื่องลูกในท้องนี่ หัวเด็ดตีนขาดฉันก็ไม่ยอม!” เสียงของซูซี่ดังออกไปถึงนอกห้องในขณะที่
เหม่ยอิงเดินผ่านมาได้ยินเสียงนั้น จึงได้แต่กำมือแน่นเพราะความโกรธ
“เขาไม่ยอม ฉันก็ไม่ยอม…มีลูกสะใภ้แบบนี้ ฉันจะอกแตกตาย! ฉันมีลูกชายอยู่คนเดียว ตระกูลมหามงคลเหลือลูกชายอยู่คนเดียว ในเมื่อซิงแซอู่เตือนมาแล้ว ว่าลูกในท้องซูซี่ดวงชงกับหลงเหว่ย ฉันจะเสี่ยงไม่ได้!”