แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 14 : ยามุ่งเป้า

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 14 : ยามุ่งเป้า

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

และแล้วก็ถึงรอบการพบแพทย์ก่อนทำเคมีบำบัดอีกครั้ง ทว่ายิ่งนานวันกัลย์กมลยิ่งไม่อยากไป มันเป็นความรู้สึกท้อแท้จากความเหนื่อยล้าอันมาจากผลข้างเคียงของการรักษา รวมถึงระยะเวลาที่ยังเหลืออีกยาวนานนั้น กำลังกดดันให้เธอรู้สึกเหมือนทุกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นที่จบการรักษาไปแล้ว เธอกลับรู้สึกว่าหนทางของตัวเองยังคงยาวไกล

ในโรงพยาบาลยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวายเหมือนเช่นทุกครั้ง ผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมาทั้งคนไข้ที่มาเข้ารับการรักษาและเจ้าหน้าที่ แต่สำหรับกัลย์กมลแล้วทุกอย่างกลายเป็นความคุ้นชินและเป็นไปอย่างอัตโนมัติ เธอกรอกเอกสาร ทำตามทุกขั้นตอนอย่างไม่ขาดตกบกพร่องโดยไม่ต้องมีใครคอยแนะนำ

ที่สำคัญ เธอเริ่มคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลมากขึ้น ทุกคนจำหน้าเธอได้ มีการทักทายเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างการเดินผ่าน หรือคำถามสบาย ๆ เกี่ยวกับอาการของโรค

“วันนี้มีอาการผิดปกติอะไรไหมคะ” พยาบาลผู้แสนใจดียังคงถามด้วยท่าทางเป็นมิตร

“ก็เหมือนเดิมค่ะ มีนอนไม่หลับบ้าง” กัลย์กมลตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ไม่มีความตื่นเต้นหรือกังวลเหมือนในช่วงเริ่มต้นการรักษา

“ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวก็จบคีโมแล้วเนอะ”

“ค่ะ…” เธอตอบไปอย่างนั้น เป็นเพียงคำตอบที่ออกมาจากปากโดยไม่ผ่านความคิดลึกซึ้งหรืออารมณ์ใด ๆ ไม่ใช่เพราะเชื่อในคำพูดนั้นหรือรู้สึกสบายใจจริง ๆ มันเป็นเพียงคำตอบที่แฝงความเหนื่อยล้าและความเบื่อหน่ายในใจที่เธอเก็บซ่อนไว้

“เดี๋ยวรอเรียกนะคะ”

“ขอบคุณค่ะ”

กัลย์กมลเดินกลับมานั่งรอตรงที่ที่คุ้นเคยกับกลุ่มคนที่มาทำเคมีบำบัดเหมือนกัน ทุกคนยังคงเหมือนกับทุกครั้งที่เคยเจอ บ้างกำลังคุยกัน บ้างนั่งเงียบ ๆ ทอดสายตาไปข้างหน้า แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกแปลกไปก็คือ วันนี้เธอไม่เห็นป้าสำราญ หญิงสูงวัยที่มักจะเป็นฝ่ายทักทายเธอก่อนเสมอ

“พี่จงจิต ป้าสำราญไม่มาเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถามจงจิตที่นั่งข้าง ๆ

“ป้าแกทำคีโมจบไปแล้วจ้ะ ตอนนี้ไปรอฉายแสงแล้ว”

จงจิตตอบหญิงสาวไปตามความจริง ครั้งก่อนหน้าคือการทำเคมีบำบัดครั้งสุดท้ายของป้าสำราญ ซึ่งกัลย์กมลอาจลืมเรื่องนี้ไป พอนึกได้เธอก็มีสีหน้าที่นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ออกมา ทว่าในใจกลับรู้สึกอิจฉาเล็ก ๆ

“ดีจังเลยนะคะ”

“เริ่มเบื่อแล้วล่ะสิ”

จงจิตถามอย่างรู้ทัน ใครบ้างที่จะไม่เบื่อกับการทำเคมีบำบัดที่กินระยะเวลานาน และผลข้างเคียงก็สร้างความลำบากให้กับชีวิตไม่น้อย

“ก็นิดหน่อยค่ะ” เธอตอบรับด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ้างว้างเมื่อคนคุ้นเคยเริ่มหายไป ครั้งนี้เป็นป้าสำราญ และอีกต่อไปไม่นานจงจิตก็คงจะคำเคมีบำบัดครบแล้วเช่นกัน

“ไม่แปลกหรอก พี่ก็เป็น บางทีอยากจะขอหมอว่าไม่ทำอีกแล้วเหมือนกัน แต่กลัวหมอดุ” เสียงหัวเราะเบา ๆ นั้นแฝงไปด้วยความอ่อนล้าและเบื่อหน่ายต่อการรักษา ซึ่งทุกคนในที่นี้ต่างเข้าใจกันเป็นอย่างดี

แล้วคนที่นั่งอยู่ด้วยอีกคน ซึ่งเป็นผู้ป่วยเคมีบำบัดเช่นกันก็หันมาทางกัลย์กมลพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มต้นบทสนทนากับจงจิตด้วยท่าทางคุ้นเคย

“นี่จงจิต รู้เรื่องไอ้ยินดีแล้วยัง”

กัลย์กมลและจงจิตต่างก็หันไปให้ความสนใจ เหมือนกับทุกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันบริเวณนั้น คล้ายกับว่าแต่ละคนกลายเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนานั้นไปแล้ว

“รู้แล้ว มันโทรมาบอกว่าหมอเขาเสนอยามุ่งเป้าให้ แต่มันไม่มีเงิน” จงจิตตอบ ด้วยความเป็นคนช่างใส่ใจเรื่องคนรอบตัว ทำให้จงจิตกลายเป็นเครื่องกระจายข่าวของคนในกลุ่มเป็นอย่างดี

“แบบนี้แสดงว่าอาการมันแย่รึเปล่า”

“ก็ไม่รู้สินะ เป็นฉันก็คงไม่มีเงินจ่ายเหมือนกัน เป็นแบบนั้นยอมตาย ๆ ไปซะดีกว่า ไม่ต้องให้ญาติพี่น้องมาเดือดร้อนด้วย” พี่จงจิตพูดด้วยน้ำเสียงปลงตก

ได้ยินคำว่ายามุ่งเป้า กัลย์กมลก็รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับยานี้มากนัก แต่ในความเข้าใจของตัวเองก็คือไม่ว่าใครที่ได้คุยกับหมอเรื่องยานี้ อาจมีอาการบางอย่างที่น่าเป็นห่วง ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่จะติดกันอยู่ตรงที่ราคาของยาที่ค่อนข้างสูงเอาการ

แม้ความกลัวและความกังวลจะถาโถมเข้ามาในจิตใจ แต่ก็ยังคงมีข่าวดีจากแพทย์ว่า จากการผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองออกแล้วส่งไปตรวจนั้น ผลแจ้งว่ามะเร็งไม่ได้ลุกลามเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีมากสำหรับการรักษา ถึงการต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด แต่การได้ยินว่ามะเร็งไม่ได้แพร่กระจายไปในจุดสำคัญเช่นนั้นทำให้เธอรู้สึกโล่งใจ

เพราะอย่างน้อยเธอก็ยังไม่เข้าใกล้กับยามุ่งเป้านั่น…

 

ระยะหลังมานี้กัลย์กมลแทบไม่ได้เจอจิตบุณย์บ่อยนัก ต่างจากช่วงก่อนที่มักจะพบกันเป็นประจำในยามที่เธอต้องการกำลังใจ ทว่าช่วงนี้สถานการณ์บางอย่างได้เปลี่ยนไป เนื่องจากปรีดาต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยครั้ง เหตุเพราะสุขภาพที่ทรุดลงเรื่อย ๆ จิตบุณย์จึงทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการดูแลแม่ และทุกครั้งที่กัลย์กมลมีโอกาสเห็นเขา ก็รับรู้ได้ถึงความเคร่งเครียดที่แฝงอยู่ จากใบหน้าเฉยแต่ยังยิ้มแย้มทุกครั้งที่เจอกัน กลับเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง เต็มไปด้วยความกังวลที่ไม่อาจปกปิด ซึ่งเธอเห็นสิ่งนี้ได้ชัดเจนทุกครั้งที่เจอเขา แม้จะอยากเข้าไปถามไถ่หรือให้กำลังใจ แต่ความเครียดที่แผ่ออกมาจากจิตบุณย์ทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ควรก้าวก่าย จนกลัวว่าการเข้าไปทักทายหรือถามสารทุกข์สุกดิบในเวลานี้จะกลายเป็นการกวนใจ จึงเลือกที่จะเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงเงียบ ๆ มากกว่าที่จะเข้าไปพูดคุย

จนเย็นวันหนึ่ง จิตบุณย์ก็มาหาที่บ้านของเธอด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

“หนูดี น้าฤดีอยู่ไหม”

น้ำเสียงของเขามีความร้อนรนอยู่ในที จนทำให้คนที่กำลังดูแลดอกไม้ของตัวเองอยู่รู้สึกแปลกใจ และกัลย์กมลรับรู้ได้ถึงความรีบร้อนนั้น เธอจึงตอบรับเขาในทันทีโดยไม่ถามอะไรให้มากความ

“อยู่ค่ะ เดี๋ยวหนูดีเรียกแม่ให้นะคะ”

“อืม พี่รบกวนหน่อยนะ”

น้ำเสียงของเขายังคงแฝงไว้ด้วยความร้อนรน กัลย์กมลรีบเข้าบ้านไปตามแม่ แต่ก็ไม่ลืมที่จะเชิญจิตบุณย์ไปนั่งที่โซฟา ไม่นานดลฤดีก็ออกมา

“บุ๋น มีอะไรรึเปล่าลูก”

“ผมมีเรื่องอยากรบกวนน้าฤดีกับหนูดีหน่อยครับ” จิตบุณย์มีสีหน้าลำบากใจอยู่ไม่น้อย และความเคร่งเครียดที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนทางสีหน้า

สองแม่ลูกมองหน้ากันครู่หนึ่ง ราวกับกำลังสื่อสารกันโดยไม่ต้องพูดออกมา ทั้งคู่เข้าใจได้ถึงความหนักใจที่จิตบุณย์กำลังเผชิญอยู่ รวมถึงพอจะเดาออกถึงความสำคัญของเรื่องที่เขากำลังจะเอ่ย กัลย์กมลสบตาแม่ของเธอด้วยความเห็นใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันกลับมามองจิตบุณย์พร้อมกัน แล้วพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบรับชายหนุ่ม

“จ้ะ มีอะไรว่ามาเถอะ”

จิตบุณย์สูดลมหายใจลึกก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

“ตอนนี้แม่ขอหยุดการรักษาทุกอย่างแล้วครับ พรุ่งนี้ผมจะไปรับกลับบ้าน”

“รักษาอะไรไม่ได้แล้วเหรอ” ดลฤดีรู้สึกตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของจิตบุณย์ พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกอย่างไม่ทันตั้งตัว

“การรักษาต่อจากนี้มีแค่ประคับประคองเท่านั้นครับ แม่ไม่อยากเจ็บปวดกับการรักษาอีก เลยตัดสินใจที่จะกลับมาอยู่อย่างสงบที่บ้านครับ”

“น้าเข้าใจจ้ะ”

ดลฤดีหันไปมองหน้ากัลย์กมลอย่างรวดเร็วด้วยความกังวล เธอกลัวว่าลูกสาวจะรู้สึกสะเทือนใจและวิตกกังวลกับข่าวที่เพิ่งได้ยิน เธอรู้ว่ากัลย์กมลกำลังต่อสู้กับความกลัวของตัวเองเกี่ยวกับโรคมะเร็ง แต่กัลย์กมลกลับส่งยิ้มบาง ๆ ให้กับแม่ราวกับจะบอกว่าเธอไม่เป็นไร

“คือ…” จิตบุณย์ยังคงรู้สึกหนักใจที่จะพูดต่อ “ผมกับแม่มีญาติอยู่ไม่กี่คนแล้วก็ไม่ได้สนิทกันมาก ช่วงที่แม่อยู่บ้านเลยอยากให้หนูดีกับคุณน้าไปคุยกับแกบ้างน่ะครับ ส่วนญาติที่พอจะติดต่อได้ผมจะลองแจ้งข่าวดู เผื่อว่าจะได้มาเจอหน้ากันสักครั้ง”

“ได้จ้ะ เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงนะ แล้วบุ๋นเองก็เหมือนกัน ถ้ารู้สึกว่าไม่ไหว ให้รีบมาบอกน้าเลยนะ” ดลฤดีให้ความสบายใจว่าเธอจะยังคงเป็นกัลยาณมิตรที่ดีสำหรับปรีดาเสมอ

“ขอบคุณมากครับ ผมคงขอรบกวนน้าฤดีเท่านี้”

จิตบุณย์ยกมือไหว้อย่างสุภาพ เป็นการแสดงความขอบคุณจากใจสำหรับความช่วยเหลือและความเข้าใจที่ได้รับจากเพื่อนบ้านที่แสนดีเสมอ สักพักเขาก็ขอตัวกลับแล้วเดินออกไป

ส่วนคนที่นั่งอยู่ในบ้านอย่างกัลย์กมล เธอรู้สึกว่าภายใต้สีหน้าเคร่งเครียดนั้น ภายในของจิตบุณย์ต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ มีบางอย่างที่ต้องคุยกับเขา หญิงสาวจึงตัดสินใจที่จะเดินตามเขาออกไปด้วย

“พี่บุ๋น”

“มีอะไรเหรอ” ชายหนุ่มหันกลับมาหาเธอ แม้จะไม่พยายามแสดงอาการของคนที่กำลังอมทุกข์ให้เห็น แต่เชื่อเลยว่าจะอย่างไรกัลย์กมลก็ต้องรู้สึกได้

กัลย์กมลจ้องมองไปที่ใบหน้าของจิตบุณย์ เธอจับจ้องไปยังดวงตาของเขาซึ่งเคยมั่นคงเสมอ แต่บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความหวั่นไหวและความเหนื่อยล้า รอยยิ้มที่เคยมีหายไปเหลือเพียงแค่ความตึงเครียดที่สะท้อนอยู่บนใบหน้า การเผชิญหน้ากับความจริงที่เลี่ยงไม่ได้ทำให้เขาดูอ่อนแรง และเธอมองเห็นได้ชัดเจนถึงความทุกข์ที่ซ่อนอยู่ในแววตา ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกห่วงใย

“พี่บุ๋นโอเคใช่ไหมคะ”

“ให้พูดตรง ๆ ก็ไม่หรอก” เขายอมรับ ทว่าก็รู้อยู่แก่ใจว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว “แต่พี่กับแม่รู้มาสักพักแล้วว่าปลายทางจะเป็นยังไง แม่พี่เขาอยากไปอย่างสงบที่สุด ที่ผ่านมาพี่ก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว…”

เขาหยุดนิ่งไปชั่วครู่ ราวกับมีบางอย่างมาจุกอยู่ที่หน้าอกจนไม่สามารถพูดออกมาได้ น้ำเสียงที่เคยมั่นคงกลับขาดหายไปกะทันหันจนเขาต้องเงียบลง ซึ่งกัลย์กมลก็มองเห็นความอึดอัดนั้น ซึ่งเธอเข้าใจความรู้สึกนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะตัวเองก็มีความกลัวในใจเหมือนกัน การสูญเสียคนรักนั้นเป็นเรื่องยากจะทำใจ และคงไม่มีใครสามารถเตรียมใจได้อย่างแท้จริง แม้ว่าจะรู้ล่วงหน้ามาก่อนก็ตาม

“แต่ก็ใช่ว่าจะทำใจได้…ใช่ไหมคะ” เธอเดินเข้าไปใกล้เขา เอื้อมมือแตะที่บ่ากว้างของชายหนุ่มเบา ๆ เป็นการส่งกำลังใจ

“ใช่…พี่ยังทำใจไม่ได้” จิตบุณย์พยักหน้าและไม่พูดอะไรต่อ เขาไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เธอเห็น แม้ว่าตอนนี้จะแทบทนไม่ไหวแล้วก็ตาม

“หนูดีเข้าใจค่ะ ถ้ามีอะไรที่พอจะช่วยได้ อยากให้พี่บุ๋นรับรู้ไว้ว่าหนูดีเต็มใจทำทุกเรื่องนะคะ” กัลย์กมลเอ่ยออกมาอย่างคนที่เข้าใจอย่างจริงแท้ไม่ใช่แค่ผิวเผิน หรือให้กำลังใจเขาไปส่ง ๆ แม้เธอจะอยากพูดอะไรเพื่อส่งกำลังใจให้มากกว่านี้ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีคำพูดใดเลยที่จะเพียงพอต่อความสูญเสียที่กำลังใกล้เข้ามา

ส่วนคนที่ได้รับกำลังใจอย่างจิตบุณย์ก็ทำเพียงยิ้มเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ แล้วลูบหัวเธอเบา ๆ ก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้หญิงสาวยืนมองเขาจากด้านหลัง รู้สึกถึงความเศร้าที่ปกคลุมอยู่รอบตัวชายหนุ่มผู้แบกรับภาระความเจ็บปวดต่อการตัดสินใจของคนที่รักเอาไว้

 

Don`t copy text!