
แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 5 : ของรักสุดใจ
โดย : จันทร์จร
แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต
และเพียงชั่วเวลาไม่กี่วันมานี้เอง กัลย์กมลก็ใช้วันลาป่วยหมดไปกับอาการต่าง ๆ รวมถึงการตรวจเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการอัลตร้าซาวด์ช่วงท้อง หรือการทำสแกนกระดูก ที่จริงหากไม่ใช่เพราะว่าปกติแล้วเธอเป็นคนหนึ่งที่ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ รวมถึงเป็นที่รักและเอ็นดูของเพื่อนร่วมงาน การลางานออกมาบ่อย ๆ เช่นนี้เธอคงถูกเรียกไปคุยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นับตั้งแต่การเริ่มใช้ชีวิตในฐานะผู้ป่วยมะเร็ง นอกจากอาการที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน พอหายแล้วก็แทบไม่มีอะไรมากกว่านั้น กัลย์กมลรู้สึกดีที่ตัวเองผ่านช่วงระยะเวลานั้นมาได้ ทว่าเธอก็ยังไม่คลายกังวลเสียทีเดียวเพราะนี่ยังเป็นแค่ช่วงแรกของการรักษาเท่านั้น
และในวันที่เธอต้องไปทำงานตามปกติ หญิงสาวพยายามตื่นแต่เช้าเพื่อรับอากาศที่สดชื่นเหมือนทุกครั้ง และทำกิจวัตรประจำวันให้เป็นปกติที่สุดเหมือนว่าเธอไม่ได้กำลังต่อสู้กับโรคร้าย
ทว่ากลับมีสิ่งหนึ่งต่างออกไปเมื่อเธอเริ่มสางผม
“…ถึงเวลาแล้วเหรอ”
กัลย์กมลมองผมยาวดำขลับที่หลุดออกมาตามหวีก้อนใหญ่ มันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เธอคิด ทีแรกเธอคาดว่าผมจะร่วงในสักช่วงหลังการให้เคมีบำบัดครั้งที่สองไปแล้ว แต่นี่แค่ใกล้วันเท่านั้น มันก็มาถึงแล้ว
คนที่รักและดูแลผมตัวเองมาทั้งชีวิตมองสิ่งที่อยู่ในมืออย่างไม่เชื่อสายตา ไม่กล้าแม้แต่จะจับหวีมาสางผมอีกครั้ง สิ่งหนึ่งในร่างกายที่เธอรักที่สุดกำลังหลุดร่วงออกมา ไม่ใช่แค่เพียงเป็นเส้น แต่เป็นกำใหญ่จนน่าใจหาย มือที่ถือผมตัวเองไว้สั่นอย่างไร้การควบคุม เธอเหมือนคนกำลังหายใจไม่ออก สุดท้ายเมื่อไม่สามารถจัดการกับตัวเองได้หญิงสาวจึงตะโกนเรียกแม่
“แม่!…”
ใช้เวลาเพียงไม่ถึงนาที ประตูห้องของเธอก็เปิดออกพร้อมกับร่างของดลฤดี
“เป็นอะไรลูก”
“ผม…ร่วงแล้วค่ะ” คนพูดพยายามที่สุดที่จะรั้งน้ำตาไม่ให้ไหล ทว่าเมื่อได้เห็นผมสวยที่เธอแสนรักหลุดออกมา มันก็ทำให้เธอต้องหลั่งน้ำตาโดยไม่อาจควบคุมได้
ดลฤดีไม่พูดอะไรมาก เธอเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของลูกสาว หยิบตาข่ายคลุมผมพร้อมกับวิกที่ซื้อเตรียมไว้ออกมาแล้วยื่นให้ลูก
“เอาตาข่ายนี่คลุมผมก่อนนะหนูดี แล้วค่อยใส่วิก ถ้าทำไม่ได้แม่จะช่วย”
“หนูดีทำได้ค่ะ”
กัลย์กมลฮึบสู้แล้วหยิบตาข่ายคลุมผมมาครอบหัว พยายามตะล่อมผมที่ยาวม้วนเป็นขดหอยอย่างเบามือ แม้จะมีบางเส้นหลุดออกมาตามมือแต่เธอก็ยังไม่แสดงอาการตกใจออกมา ก่อนจะเก็บทรงให้เรียบร้อย พร้อมกับนำวิกผมที่ซื้อเตรียมไว้แล้วครอบทับ
“ดูหลอกตาไหมคะแม่”
“ไม่เลย แค่มีผมหน้าม้าเพิ่มขึ้นมาเท่านั้นเอง หน้าดูหวานขึ้นตั้งเยอะ” ผู้เป็นแม่จัดทรงของวิกผมให้เข้าที่ ดีอย่างที่เธอยอมทุ่มทุนซื้อวิกผมแบบคุณภาพสูงมาแม้ว่าจะมีราคาแพงสักหน่อย เพราะถึงโรงพยาบาลจะมีวิกผมบริจาค แต่ดูแล้วก็ยังไม่เหมาะกับลูกสาวเธอสักเท่าไร
พอเห็นว่าสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้แล้ว กัลย์กมลก็หันกลับมาแต่งหน้าแต่งตาให้พร้อมสำหรับการไปทำงาน แน่นอนว่าเธอต้องใส่ใจกับการเขียนคิ้วมากขึ้น ด้วยตอนนี้เริ่มมีขนคิ้วบางส่วนหลุดออกมาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงยิ้มให้กับตัวเองผ่านหน้ากระจก เพื่อเป็นกำลังใจให้มีแรงสู้ต่อไป
ถึงจะบอกว่าการใส่วิกผมนั้นจะช่วยปกปิดสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับศีรษะเธอได้ ทว่ากัลย์กมลกลับรู้สึกเหมือนตัวเองตกเป็นเป้าสายตามากกว่าเดิม คนที่ไม่รู้ก็มองอย่างสงสัยกับสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ส่วนใครที่รู้อยู่แล้วก็มองเธอด้วยความเวทนากับภาวะที่ต้องเจอตอนที่อายุเพียงเท่านี้
และนั่นเป็นสิ่งที่กัลย์กมลไม่เคยทำใจให้ชินได้สักครั้ง แต่ก็ยังยิ้มสู้เสมอ
กระทั่งกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น วันนี้เหมือนอากาศจะเป็นใจสักหน่อยเพราะภายนอกบ้านนั้นมีลมพัดเย็นสบาย เมื่อมาถึงกัลย์กมลก็ยกเก้าอี้พลาสติกออกมาตั้งไว้ที่ใต้ต้นล่ำซำ มองหาทำเลเหมาะ ๆ แล้วกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดเก่า ๆ พร้อมกับผ้าขาวบางผืนใหญ่คลุมตัวเอาไว้
“นั่นจะทำอะไรน่ะหนูดี”
ดลฤดีถามเมื่อเห็นลูกสาววุ่นวายกับการจัดแจงเก้าอี้อยู่ใต้ต้นไม้ พอกัลย์กมลเงยหน้ามองแม่ของตัวเอง เธอก็ฉีกยิ้มออกมาพร้อมกับชูมือที่ถือกรรไกรกับปัตตาเลี่ยน
“หนูดีพร้อมแล้ว….”
“เอาวันนี้เลยเหรอ แล้วทำไมไม่ไปที่ร้านทำผม”
“แม่อะ หนูดีเสียตังค์ซื้อปัตตาเลี่ยนมาแล้วนะ” เธอยู่ปากใส่แม่พร้อมกับทำหน้าทะเล้น ที่จริงแล้วการไปร้านทำผมมันก็ง่ายกว่าอย่างที่แม่ว่า แต่เธอไม่อยากเผชิญกับสายตาที่ต้องเจอมาทั้งวันอีกแล้ว ดังนั้นทางที่ดีก็คือการทำมันเองเสียเลย
ใช่ว่าดลฤดีจะไม่รู้ว่าลูกสาวนั้นคิดเช่นไร กัลย์กมลถึงภายนอกจะเป็นคนร่าเริง ไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ที่จริงแล้วลูกสาวของเธอนั้นกังวลกับความรู้สึกของคนรอบข้างอยู่มาก และนี่ก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้หญิงสาวตัดสินใจเช่นนี้
“มา…งั้นก็นั่งลง เดี๋ยวแม่โชว์ฝีมือเอง”
“ว้าว…คุณดลฤดีซาลอนเปิดบริการแล้ว…”
กัลย์กมลปรบมือชอบใจ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้แล้วเอาผ้าขาวผืนใหญ่มาคลุมตัว จากนั้นก็เริ่มถอดวิกและตาข่ายคลุมผมออกช้า ๆ ตั้งใจว่าจะไม่ให้ผมเธอร่วงอย่างไร้ค่าอีก เธอเอาหนังยางมารัดผมเอาไว้ แล้วหันไปหาคนที่ถือกรรไกรรออยู่แล้ว
“เดี๋ยวแม่ตัดผมที่มัดออกก่อนนะ หนูดีจะเอาไปบริจาค”
“ได้สิ…”
ดลฤดีจับผมที่ยาวสลวยของลูกสาวพลางลูบเบา ๆ อย่างเสียดาย และอดที่จะใจหายแทนเจ้าของไม่ได้ กัลย์กมลรักผมตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใดในร่างกาย วันนี้นับว่าเป็นความกล้าหาญอย่างที่สุดที่เธอตัดใจสละมันทิ้ง แถมยังเลือกที่จะทำประโยชน์ต่ออีกด้วย
“แม่ตัดเลยนะ”
สิ้นเสียงของแม่ กัลย์กมลก็ได้ยินเสียงกรรไกรกำลังกินผมเธออย่างช้า ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกับเส้นไหมบนเครื่องทอผ้าที่ถูกตัดออก และด้วยความหนาของผม มันทำให้แม่ของเธอนั้นต้องกดกรรไกรลงหลายฉับ ก่อนที่หางม้าที่มัดไว้จะหลุดออกมา
“เสร็จแล้ว…”
“ลาก่อนนะ…ผมสวยของหนูดี”
หญิงสาวหยิบผมยาวที่แม่เพิ่งตัดออกมาจากศีรษะ แล้วมองมันด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ สิ่งนี้อยู่กับเธอมาช้านานจนเป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว พอต้องเสียมันไป กัลย์กมลก็ได้แต่วางมันลงที่โต๊ะเล็กอย่างเบามือ และหวังว่าผมของเธอคงจะทำประโยชน์ให้กับคนอื่นได้บ้าง
ขณะที่สองแม่ลูกใช้เวลาช่วงเย็นง่วนอยู่กับการตัดผมอยู่นั่นเอง ทางฝั่งเพื่อนบ้านผู้ใจดีอย่างปรีดา ก็ได้ออกมาพร้อมกับลูกชายเพื่อเดินออกกำลังขา พอพ้นประตูบ้านออกมาเท่านั้น ก็ได้เห็นว่าที่ใต้ต้นล่ำซำมีกิจกรรมบางอย่างเกิดขึ้น
“สองแม่ลูกนั่นน่ะ ทำอะไรกัน”
เสียงปรีดาร้องถาม คงเห็นว่าหญิงสาวกับแม่ง่วนกันอยู่สักพักแล้ว ส่วนดลฤดีพอเห็นคนป่วยออกมาจากบ้าน ก็ได้ร้องตอบกลับไป
“จะโกนผมให้ลูกสาวจ้ะพี่”
“เริ่มร่วงแล้วเหรอลูก”
คราวนี้ปรีดาเปลี่ยนมาถามหญิงสาวแทน กัลย์กมลผู้ยังคงเอาผ้าพันรอบคอแน่นเพื่อไม่ให้เศษผมหลุดเข้าไปในเสื้อยืด ก็ได้แต่ส่งยิ้มแฉ่งแข่งกับแดดยามเย็นให้กับเพื่อนบ้านผู้แสนดี
“ค่ะป้าดา หนูดีชิงตัดก่อนจะร่วงทั้งหัวจริง ๆ”
กัลย์กมลเห็นจิตบุณย์พาแม่ของเขาเดินออกมาจากรั้ว และค่อยเลี้ยวเข้ามาทางบ้านของเธอ ส่วนเพื่อนบ้านอีกหลังก็แอบดูว่าพวกเธอกำลังทำอะไร แต่ก็ไม่ได้ทักทายกัน อาจเพราะกลัวว่าเธอจะอายที่ถูกตัดผมหน้าบ้าน แต่ว่ากันตามจริงกับข้างบ้านอีกหลังก็ไม่ได้พูดคุยกันสักเท่าไรอยู่แล้ว
ส่วนผู้ที่เพิ่งเดินข้ามรั้วเข้ามาบริเวณหน้าบ้านของเธอ ก็เริ่มทำหน้าสงสัยเมื่อเห็นว่าดลฤดีนั้น กำลังมีปัญหากับการโกนผมให้ลูกสาว
“แล้วนั่นเป็นอะไรล่ะฤดี ตัดผมลูกไม่ได้รึ”
“ใช่พี่ ฉันไม่รู้จะไถยังไง ผมหนูดีก็หนาเหลือเกิน” ดลฤดีพยายามใช้ปัตตาเลี่ยนกดไปชิดหนังศรีษะให้มากที่สุด แต่เหมือนผมของกัลย์กมลจะหนาเกินไป ปัตตาเลี่ยนเลยไม่ค่อยมีแรงสักเท่าไร มีแต่เสียงเร่งเครื่องเท่านั้น
พอปรีดาเห็นดังนั้นก็พอเข้าใจปัญหาขึ้นมา
“ให้บุ๋นมันช่วยไหมล่ะ แล้วทำไมปัตตาเลี่ยนมันอันเล็กจังล่ะ ไหนดูซิ”
ปรีดารับปัตตาเลี่ยนจากดลฤดีแล้วหมุนดูอย่างสงสัย เพราะขนาดที่ดูเล็กกว่าปัตตาเลี่ยนตัดผมทั่วไป สำคัญกว่านั้นคือรูปสุนัขสองตัวที่อยู่ตรงด้ามจับ มันก็ทำให้ทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้น
“โอ๊ยตายแล้ว นี่มันปัตตาเลี่ยนตัดขนหมา เธอเอามาตัดผมลูกเธอได้ไง”
“อ้าว ก็อันนี้หนูดีมันซื้อมาจากในเน็ต” ดลฤดีโบ้ยไปหาคนที่ซื้อมา ด้วยตัวเองไม่ได้ใส่ใจตั้งแต่แรก เพียงขอแค่มันยังใช้งานได้ เธอเลยไม่ได้สนใจว่าสิ่งนั้นมีไว้ใช้กับขนสุนัข
ส่วนคนที่ซื้อมาก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ เพราะเห็นว่าจะขนสุนัขหรือผมเธอความหนาคงไม่ต่างกันสักเท่าไร แถมราคายังถูกกว่ากันมากด้วย
“คือ…หนูดีเห็นว่ามันถูกดี เลยคิดว่าจะใช้ได้ค่ะ”
“โธ่เอ๊ย ทำไมไม่บอก…บ้านป้าก็มี เจ้าบุ๋นใช้ไถผมให้ป้าประจำแหละ มันชอบขึ้นมาเป็นหย่อม ๆ รำคาญเลยโกนซะเลย” ปรีดาส่งยิ้มแล้วสะกิดลูกชายที่ยืนประคองตัวเองอยู่ข้าง ๆ “ไปบุ๋น ไปเอาปัตตาเลี่ยนในบ้านมา แล้วก็ทำผมให้น้องหน่อย น่าจะดีกว่าให้แม่เขาทำ”
“ก็ดีเหมือนกัน ช่วยน้าหน่อยนะบุ๋น” ดลฤดีเห็นด้วย เพราะดูจากฝีมือตัวเองแล้ว คืนนี้ก็คงยังตัดผมให้ลูกสาวไม่เสร็จง่าย ๆ แน่
จะมีก็แต่สองหนุ่มสาวที่ยังวางหน้าไม่ถูก พอรู้ว่าจิตบุณย์จะมาตัดผมให้ กัลย์กมลก็เกิดอาการเกร็งขึ้นมา เธอมองร่างสูงที่ก้าวฉับ ๆ ผ่านรั้วบ้านเธอและเลี้ยวเข้าไปในบ้านของตัวเอง สักพักเขาก็เดินออกมาพร้อมกับปัตตาเลี่ยนที่ดูแข็งแรงและน่าจะใช้การได้ดีกว่าของที่เธอซื้อมาหลายเท่านัก
“ไปลูก ช่วยน้องเขาหน่อย”
ปรีดาสั่งการลูกชายเสร็จสรรพ ขณะที่ตัวเองกำลังนั่งแกะส้มกินกับดลฤดีที่ม้านั่งในสวน ส่วนจิตบุณย์ก็เริ่มหน้าที่ของตัวเองด้วยความขมักเขม่น บ่งบอกให้เห็นถึงความชำนาญที่เขาทำให้แม่ตัวเองเป็นประจำ
“ขอโทษนะหนูดี” ชายหนุ่มหันมาบอกกับหญิงสาว
“ไม่เป็นไรค่ะ รบกวนด้วยนะคะพี่บุ๋น”
พอเธอขานอนุญาต เขาก็เริ่มมองศีรษะที่เคยมีผมยาวดำขลับสวยงาม แต่ตอนนี้กลับมีผมชี้โด่ชี้เด่ไปทั้งหัว บางที่ก็เป็นขั้นบันได บางแห่งเหมือนหนูแทะ มีบางจุดที่มีรอยไถจนเห็นหนังศีรษะ เห็นดังนั้นจิตบุณย์เลยตั้งใจว่าจะทำให้เธอจนเสร็จเป็นอย่างดีให้ได้
ส่วนผู้ใหญ่สองคนที่กำลังนั่งกินส้มกันอยู่นั้น พอเห็นว่าการโกนผมกำลังเป็นไปได้ด้วยดี ปรีดาก็เอ่ยถามหญิงสาวที่กำลังร่วมชะตากรรมเดียวกับตัวเอง
“แล้วเป็นยังไงบ้างหนูดี แพ้เยอะไหม เห็นวันก่อนปวดกระดูก ป้าก็นึกเป็นห่วงอยู่”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ตอนนี้กินได้ปกติแล้ว แต่ก็ยังกลัวว่าถ้าทำคีโมอีกจะกลับไปพะอืดพะอมไหม” ว่ากันตามตรงกัลย์กมลยังเข็ดขยาดกับอาการที่เจออยู่ไม่น้อย แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
“เรื่องปกติลูก ตอนกินได้ก็กินไปก่อน ป้าน่ะก็อยากกินนะ แต่มันกินยากเหลือเกิน แค่จะกลืนยังลำบากเลย” ปรีดาบรรยายความลำบากจากคนที่รักษามาหลายปี จนตอนนี้ทำได้แค่รักษาเพื่อประคองอาการเท่านั้น
พอเห็นสิ่งที่ปรีดาต้องเจอ กัลย์กมลก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว ด้วยไม่แน่ใจว่าเธอจะสามารถทนได้อย่างปรีดาหรือไม่ แต่หากเธอบอกความรู้สึกที่แท้จริงไป อาจจะทำให้คนป่วยหมดกำลังใจไปเสียเปล่า จึงทำได้แต่ยิ้มรับอย่างอ่อนโยน
“งั้น เราสองคนก็ต้องสู้ไปด้วยกันนะคะป้าดา”
“จ้ะหนูดี…สู้ไปด้วยกันนะ” มุมปากที่แห้งผากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มแห่งความอารี ว่าไปแล้วการได้รู้ว่ามีเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันมันก็ทำให้ปรีดารู้สึกผ่อนคลายความกังวลลงไปบ้าง
ใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงกว่า ๆ จิตบุณย์ก็ทำการโกนผมให้กับกัลย์กมลสำเร็จ เขามองศีรษะที่มีเพียงผิวที่แรเงาด้วยโคนผมติดหนังหัวด้วยความรู้สึกใจหายอยู่ในที เพียงแต่ไม่แสดงอาการอะไรออกมา เพราะไม่อยากให้เธอใจเสียมากไปกว่านี้
“เป็นไงบ้างหนูดี เบาหัวเลยไหม” ดลฤดีเข้ามาช่วยปัดผมออกให้กับลูกสาว พร้อมกับเอาแป้งเด็กโรยเพื่อปัดเศษผมเล็ก ๆ ออกไป
และกัลย์กมลก็รู้ดีว่า ภายใต้รอยยิ้มอ่อนโยนของทุกคนนั้น ต่างทำเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกเสียใจที่ต้องเสียผมสุดที่รัก เธอจึงถอนหายใจเหมือนกับโล่งอก แล้วลูบหนังศีรษะด้วยรอยยิ้ม
“ทั้งเบาทั้งโล่งเลยค่ะ” ถึงจะบอกไปอย่างนั้นแต่กัลย์กมลก็ยังไม่กล้าหยิบกระจกขึ้นมาดู เธอเอาแต่ลูบหนังศีรษะที่ยังมีตอของผมซึ่งยังไม่หลุดร่วง บางส่วนที่ถูกลูบมาก ๆ เข้าก็เริ่มหลุดตามมือเธอมาบ้างแล้ว
ขณะเดียวกันจิตบุณย์ที่เก็บของเรียบร้อยแล้ว ก็เดินกลับเข้าไปในรั้วบ้านตัวเองอย่างรวดเร็ว จนแม้แต่ปรีดายังเรียกไม่ทัน
“อ้าวบุ๋นจะไปไหนลูก”
“เดี๋ยวบุ๋นมานะแม่ ไปเอาของ”
เสียงเขาหายไปพร้อมกับร่างที่เข้าบ้าน พักหนึ่งชายหนุ่มก็กลับมาพร้อมกับบางอย่างในมือ ก่อนที่เขาจะยื่นมันให้กับหญิงสาวที่ยังไม่ชินกับศีรษะที่ไร้ผมของตัวเองสักเท่าไร
“หนูดีใส่นี่ไว้ จะได้ไม่เย็นหัว”
“หมวกนี่…ให้หนูดีเหรอคะ” กัลย์กมลมองหมวกผ้าที่อีกฝ่ายยื่นให้ ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นหมวกบีนนี่ที่เธอเห็นคนทำเคมีบำบัดชอบใส่ รวมถึงปรีดาเองก็สวมใส่เป็นประจำเช่นกัน
“ใช่ ของพี่เอง…” จิตบุณย์ไม่รู้ว่าตัวเองยุ่งเรื่องเธอมากไปหรือเปล่า และก็กลัวว่าเธอจะรู้สึกแปลก ๆ เขาจึงรีบแก้ต่างให้เธอสบายใจ “แต่พี่ยังไม่ได้ใช้หรอกนะ พอดีซื้อมาเยอะ จะเอาไว้ให้แม่เปลี่ยน แต่แม่เขาชอบสีสด ๆ”
“รับไว้เถอะหนูดี อันนี้หมวกใหม่ยังไม่ได้ใช้เลย บุ๋นชอบซื้อสีพื้นอ่อน ๆ มาให้ป้าก็ไม่ชอบ ป้าชอบสีสันสดใสก็เลยสั่งมาเอง ที่มีอยู่ก็ใส่ได้ไม่ซ้ำวันแล้ว” ปรีดาสำทับอีกแรง
กัลย์กมลพยายามมองหน้าคนที่ไม่ยอมสบตากับเธอแล้วยิ้มออกมาเล็ก ๆ จากนั้นก็เอาหมวกที่เขาให้มาสวมกับศีรษะตัวเอง น่าทึ่งมากที่เนื้อผ้าของหมวกนี้กลับนุ่มนิ่ม ไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด แถมยังปิดได้ถึงใบหูกับท้ายทอยอีกด้วย
“สบายกว่าใส่วิกเยอะเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวหนูดีไปหาซื้อมาบ้างดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่เอามาให้อีก” จิตบุณย์ตาเป็นประกายด้วยความดีใจที่ได้เห็นเธอสวมใส่หมวกที่เขาให้ แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่พอได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสกับสิ่งของที่ได้จากเขา มันก็ทำให้หัวใจของชายหนุ่มพองโตขึ้นมา
ส่วนคนเป็นแม่ของหนุ่มสาวเมื่อได้เห็นกลิ่นอายความสุขเล็ก ๆ ที่กำลังก่อตัวอยู่ในหัวใจของคนทั้งสอง ก็ได้แต่หันมายิ้มให้อย่างรู้กัน ในช่วงเวลาที่ทั้งสองบ้านต่างมีสมาชิกที่ต้องเผชิญกับโรคร้าย ก็ยังมีสิ่งเล็ก ๆ ที่ทำให้เบิกบานหัวใจได้ และนั่นมันก็ทำให้ช่วงเวลานี้เป็นสิ่งที่มีค่าขึ้นมา
และแม้ว่าการใส่หมวกผ้าจะสบายกว่าใส่วิกผม แต่พอถึงเวลาทำงานกัลย์กมลก็ยังคงต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดีอยู่ เธอยังต้องใส่วิก และเสียเวลากับการวาดคิ้วที่ตอนนี้เหลืออยู่เป็นหย่อม ๆ อย่างน้อยให้มงกุฎของใบหน้าดูดีไว้ก่อนเป็นใช้ได้ ตอนนี้เธอเริ่มใช้เครื่องสำอางน้อยลง ชิ้นไหนที่รู้สึกฉุนหรือไม่สบายหน้าเธอก็จะหลีกเลี่ยง แต่ยังคงแต่งแต้มใบหน้าให้ดูสดใสเสมอ
แน่ทีเดียวว่าทุกคนในที่ทำงานต่างสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเธอได้ จากหญิงสาวที่มาพร้อมกับชุดทำงานน่ารักตามสมัยนิยม ตอนนี้เธอเริ่มใส่กระโปรงยาว เสื้อคลุมกันแสงยูวี หรือไม่ก็เสื้อแขนยาวที่ปิดมิดทุกสัดส่วน ที่สำคัญคืออาการอ่อนเพลียบ่อยครั้งและไม่สดชื่นเหมือนที่ผ่านมา
ซึ่งพอถึงวันที่จะต้องทำเคมีบำบัด กัลย์กมลก็ต้องมากรอกใบลาเตรียมไว้ และพอลองนับวันลาป่วยที่เหลือ เธอก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะพอสำหรับการรักษาหรือไม่
“เตรียมลาอีกแล้วเหรอหนูดี”
เสียงจากผู้จัดการร้องทักจากด้านหลัง โชคไม่ดีเท่าไรที่มาเจอกันตอนที่เธอกำลังกรอกใบลาป่วยพอดี
“ค่ะพี่” กัลย์กมลบอกตามความจริง ด้วยเพราะอาการป่วยของเธอไม่ได้เป็นความลับ ในทางกลับกันเป็นเรื่องที่โจษจันไปทั้งบริษัท กับความประหลาดใจในโรคที่เธอต้องเจอตั้งแต่อายุยังน้อย
และดูเหมือนการเขียนใบลาของเธอในครั้งนี้ จะไม่ใช่เรื่องที่ผู้จัดการจะยินดีด้วยนัก
“อืม…พี่ขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
“เขียนใบลาเสร็จแล้วก็มาที่ห้องทำงานพี่แล้วกัน”
ว่าตามตรงกัลย์กมลพอเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงเขียนใบลาของตัวเองให้เสร็จ ก่อนจะเดินตามผู้จัดการเข้าห้องไป และเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งรอเธออยู่แล้ว
“นั่งก่อนสิหนูดี”
กัลย์กมลนั่งลงอย่างว่าง่าย ผู้จัดการคนนี้เป็นคนเก่ง ชอบคนขยันทำงาน และโดยปกติกัลย์กมลมักจะเป็นผู้ที่ถูกพูดถึงในทางที่ดีเสมอ ยกเว้นกับตอนนี้
“อาการป่วยเป็นยังไงบ้าง”
“ก็มีแพ้ช่วงทำคีโมแรก ๆ ค่ะ”
คนฟังพยักหน้ารับรู้แล้วถอนหายใจออกมา และคนที่อยู่ในฐานะที่ด้อยกว่าก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความกดดัน
“พี่ไม่อ้อมค้อมนะ การลาป่วยบ่อย ๆ มันมีผลกับงานอยู่ ปกติหนูดีก็ทำงานดีมาตลอด พี่เองก็ลำบากใจ”
“หนูดีเข้าใจค่ะ” เธอตอบโดยไม่แสดงท่าทางอะไรที่ไม่ดีออกไป เธอจะไม่อ่อนแอเรียกความสงสาร หรือพูดอะไรล่วงหน้าเป็นอันขาด
และท่าทีอันสงบของกัลย์กมลมันก็ยิ่งทำให้ผู้เป็นนายลำบากใจมากขึ้น แต่ถึงแม้ผลงานที่ผ่านมาจะดีอย่างไร ก็ต้องยอมรับความจริงว่าตอนนี้สุขภาพหญิงสาวไม่เหมาะกับการทำงานอีกต่อไปแล้ว
“ยังไงก็รักษาให้หายก่อน แล้วค่อยกลับมาทำงานดีไหม”
คำพูดที่ตรงไปตรงมาทำให้หญิงสาวรู้สึกใจหายอยู่ในที ทว่าก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย เธอจึงได้แต่ตอบรับอย่างคนที่รู้ตัวดีอยู่แล้ว
“ค่ะพี่ ขอบคุณที่แนะนำนะคะ”
กัลย์กมลรู้ซึ้งถึงความหมายในคำพูดนั้น ถึงเธอจะแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ส่งใบลาป่วย แล้วกลับมาทำงานรับเงินเดือนแบบคนทั่วไป สุดท้ายแล้วบริษัทก็ต้องหาทางกดดันเธออยู่ดี ในเมื่อมีหนทางแล้ว บ่ายนั้นกัลย์กมลจึงโทรปรึกษาแม่ ก่อนจะยื่นใบลาออกเพื่อมารักษาตัวเองให้หาย โดยทางผู้จัดการยืนยันว่าเมื่อเธอรักษาหายเมื่อไร จะรับกลับมาทำงานเดิมอย่างแน่นอน
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 5 : ของรักสุดใจ
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 4 : ใคร ๆ ก็ต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้น
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 3 : เรื่องที่ไม่อยากให้เกิด
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 2 : คาเฟ่ในโรงพยาบาล
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 1 : อย่าลืม! ตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเองเดือนละครั้ง
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข : บทนำ