แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 6 : ของขวัญแทนสิ่งที่หายไป

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 6 : ของขวัญแทนสิ่งที่หายไป

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

ตกเย็นนั้นกัลย์กมลกลับมาถึงบ้านด้วยความคิดที่ว่างเปล่า เธอถอดวิกผมที่แสนอึดอัดออกแล้วหยิบหมวกผ้ามาสวม ล้างเครื่องสำอางออกจากหน้าแล้วมองดูใบหน้าที่แทบไม่เหลือคิ้วพลางถอนหายใจ ทุกอย่างมันช่างเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน จากผู้หญิงวัยทำงานที่ดูแลตัวเองอย่างดี กลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังเดินเข้าสู่การรักษาอย่างจริงจัง ไม่มีโลกของการทำงานอีกแล้ว มีเพียงกัลย์กมลที่ต้องสู้กับโรคร้ายจนกว่าจะหาย

ที่จริงเธอก็อยากฮึดสู้แล้วทวงชีวิตเดิมกลับมาโดยไว แต่แน่นอนว่าการรักษาย่อมต้องใช้เวลา และนี่เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะลองเปรียบเทียบดูจากอาการของปรีดาแล้ว…ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารายนั้นไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก

หญิงสาวเดินออกมานอกบ้านแล้วมองดูท้องฟ้ายามเย็นซึ่งกำลังไล่โทนจากมืด ไปจนเป็นสีน้ำเงิน ฟ้าเข้มแต้มสีส้ม และขอบฟ้าที่มีทั้งส้มและชมพู เธอเห็นดาวดวงหนึ่งเริ่มสว่างขึ้นมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้า พลางคิดถึงตัวเองว่าสักวันเธอต้องกลับมาเจิดจรัสดั่งดาวดวงนั้นให้ได้

“ยังคิดมากอยู่เหรอ”

เสียงของดลฤดีปลุกคนที่กำลังจินตนาการอยู่ให้หันกลับมายังหน้าประตูบ้าน แววตาของแม่เป็นห่วงเธออย่างเห็นได้ชัด คงเพราะเรื่องที่ต้องตกงานกะทันหันด้วย จึงได้เห็นสีหน้าที่หนักใจเช่นนี้

“แค่เบื่อ ๆ ค่ะ แต่ก็เข้าใจบริษัทเขานะ หนูดีเริ่มลาป่วยบ่อย มันดูไม่ยุติธรรมกับคนอื่น อีกอย่าง…ต่อไปก็ไม่รู้ว่าหนูดีจะต้องลาอีกกี่ครั้ง เพราะแค่ครั้งแรกหนูดีก็ลาไปตั้งหลายวัน ไหนจะนัดตรวจเพิ่ม ไหนจะวันที่ปวดตัวอีก เขาให้หนูดีตัดสินใจเองก็นับว่าใจดีมากแล้วค่ะ”

“โอเค งั้นก็มารักษาตัวให้หายก่อน งานน่ะหาเมื่อไรก็ได้” ผู้เป็นแม่เดินเข้ามาตบบ่าลูกสาว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยอมรับ แต่สำหรับเธอแล้ว จะอย่างไรคนเราก็ต้องอยู่กับความจริงให้ได้ และหากจะพูดกันตามจริง เธอก็เห็นด้วยที่กัลย์กมลจะออกมารักษาตัวให้หายก่อน

“ใช่ค่ะ หนูดีใจสู้อยู่แล้ว” รอยยิ้มแต้มใบหน้าของหญิงสาวอีกครั้ง คล้ายกับจะเป็นการบอกกับโลกนี้ว่าเธอไม่เป็นอะไร

ซึ่งดลฤดีรู้ดีว่าลูกกำลังเสียใจอยู่ เธอจึงให้เวลากับลูกสาวได้อยู่กับตัวเอง

“งั้น…เดี๋ยวแม่ไปเตรียมข้าวเย็นแล้วกัน อย่านั่งนานจนตากยุงล่ะ”

คำทิ้งท้ายยังคงแฝงความเป็นห่วงจากแม่ ดลฤดีหายเข้าบ้านไป มีเพียงกัลย์กมลที่ยังคงนั่งเล่นอยู่ตรงโต๊ะปูนใต้ต้นล่ำซำ เหม่อมองทุกสิ่งรอบตัวด้วยสายตาว่างเปล่า จนไม่ทันได้สังเกตว่าที่ข้างบ้านของเธอนั้น จิตบุณย์กำลังเดินออกมาจากบ้านเพื่อนำขยะมาทิ้ง และเขาก็เห็นเธอเข้าพอดี

“หนูดี…”

กัลย์กมลหันไปตามเสียง พอชะเง้อผ่านรั้วบ้านก็เห็นว่าจิตบุณย์กำลังมองเธออยู่

“พี่บุ๋น”

รอยยิ้มของเธอปรากฏขึ้นขณะที่ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้รั้วที่สูงเพียงแค่หน้าอก และพอเข้ามาใกล้ ๆ ก็สังเกตเห็นว่าตอนนี้เธอกำลังใส่หมวกที่เขาให้อยู่

“ไม่ใส่วิกผมแล้วเหรอ”

“ไม่แล้วค่ะ ใส่หมวกสบายกว่าเยอะเลย ใส่วิกน่ะคันมากเลยค่ะ โดยเฉพาะตอนไม่มีผมแล้วเนี่ย” เธอบอกเล่าความรู้สึกต่อวิกผมที่ไม่ชอบเอาเสียเลย หากไม่เห็นแก่ว่าคนอื่นจะตกใจกับสภาพ เธอก็คงใส่หมวกใบนี้ไปทำงานแทนแล้ว

“แต่เวลาทำงานพี่ว่าใส่วิกดีกว่านะ”

“กลัวคนอื่นตกใจกับแฟชั่นทรงผมใหม่ของหนูดีเหรอคะ” เธอลองเย้าเขาเล่นดูบ้าง ซึ่งก็ทำให้จิตบุณย์ถึงกับทำหน้าไม่ถูก

“เปล่าพี่แค่…”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่บุ๋น” หญิงสาวหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อแกล้งเขาได้ จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “ต่อไปนี้หนูดีไม่ต้องแคร์คนที่ทำงานแล้วค่ะ”

“ทำไมพูดงั้นล่ะ”

“ก็…” กัลย์กมลนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยเฉลยความจริงออกมา “หนูดีตกงานแล้วค่ะ”

“อ้าว แบบนี้ฟ้องได้นะ ถ้าเขาบังคับให้เราออกน่ะ” จิตบุณย์รีบบอกเผื่อว่าหญิงสาวจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และเขาก็พร้อมจะช่วยหากเธอต้องการ ทว่ากัลย์กมลกลับส่ายหน้า

“ไม่หรอกค่ะ หนูดีลาออกเอง ลาป่วยบ่อย ๆ เกรงใจที่ทำงานเหมือนกัน ออกมารักษาตัวให้หายก่อนดีกว่า”

“อ๋อ…อืม พี่ว่าออกมารักษาตัวก่อนก็ดี” พอเห็นว่าเป็นความคิดของเธอเอง ความร้อนใจก็มลายไปสิ้น เหลือก็แต่ความขัดเขินที่เผลอแสดงอารมณ์ออกไปเท่านั้น

และท่าทางของเขาก็ทำให้กัลย์กมลหลุดหัวเราะออกมา จะว่าไปนี่ก็เป็นไม่กี่ครั้งที่เธอเห็นด้านอื่น ๆ ของเขา นอกจากความเงียบขรึมและเฉยชา จนบางทีเธอก็คิดว่าจิตบุณย์นั้นเป็นพวกไม่มีอารมณ์ร่วมกับสิ่งใดไปแล้ว

“มีอะไรเหรอ” จิตบุณย์ถามเมื่อเห็นใบหน้าที่ไร้คิ้วหัวเราะคิกคักออกมาด้วยความขำขัน และเขาไม่เข้าใจว่ามีอะไรให้น่าขันนักหนา

“แค่ดีใจที่มีคนเข้าข้างน่ะค่ะ”

รอยยิ้มอันสดใสฉายออกมาทางใบหน้าของเธออีกครั้ง ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่เอานิ้วอังจมูกกลบเกลื่อนความเขินอาย ก่อนจะชวนเธอคุยต่อ

“แล้วจะทำอะไรต่อล่ะ คนเคยทำงานอยู่เฉย ๆ น่าจะเบื่อนะ”

“อาจช่วยงานแม่ค่ะ หนูดีช่วยงานแม่บ่อย ๆ อยู่แล้ว” เธอบอกเพราะในบางครั้งแม่ก็จะหอบงานกลับบ้านมาให้เธอช่วย และพอนึกอะไรสนุกขึ้นมาได้เธอก็มองไปที่เขาพร้อมกับสีหน้าขี้เล่น “หรือพี่บุ๋นอยากรับผู้ช่วยไหมคะ หนูดีพอมีความรู้เรื่องคอมนะ”

“ช่วยไม่ได้หรอก” เขารีบตอบสวนกลับไป ก่อนจะคิดได้ว่านั่นอาจเป็นการปฏิเสธที่ไร้เยื่อใยเกินไปหรือไม่ “เอ่อ…พี่หมายถึงงานพี่มันซับซ้อนกว่านั้นน่ะ”

และท่าทีของเขานี่เองทำให้เธอยิ้มกว้างด้วยความสุขสันต์มากขึ้นกว่าเดิม

“หนูดีล้อเล่นค่ะ ถึงพี่บุ๋นอยากให้ช่วย หนูดีก็คงทำไม่ได้อยู่ดีค่ะ”

“นั่นสินะ…”

จิตบุณย์พยักหน้าเงียบ ๆ แล้วทุกอย่างก็สงบลงทันควัน เหมือนจู่ ๆ บทสนทนาก็หยุดลงไปเฉย ๆ เหลือแต่เพียงเสียงของบรรยากาศรอบตัว และความวุ่นวายของบ้านหลังอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงกันเท่านั้น

ซึ่งกัลย์กมลไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย

“พี่บุ๋นกินอะไรหรือยังคะ หนูดีว่าจะไปกินข้าวแล้ว” เธอเริ่มก่อน ว่ากันตามจริงนี่ก็ถึงเวลาที่เธอต้องเข้าบ้านแล้ว ก่อนจะมียุงมาหาม

“พี่กินแล้ว ขอบใจนะ”

“งั้น หนูดีไปก่อนนะคะ”

เธอคิดจะกลับเข้าบ้าน ทว่ากลับถูกจิตบุณย์รั้งเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวสิ…”

“คะ”

“รอแป๊บนะ”

พูดจบเขาก็เดินหายเข้าไปในบ้าน สักพักหนึ่งก็ออกมาพร้อมกับถุงกระดาษที่บรรจุของบางอย่างเอาไว้ แล้วยื่นข้ามรั้วมาให้กับเธอ

“ให้หนูดีเหรอคะ” กัลย์กมลถามเพื่อความแน่ใจ และได้คำตอบเป็นการพยักหน้าจากอีกฝ่าย

“ไม่ได้ไปทำงานแล้ว ต่อไปไม่ต้องใส่วิกก็ได้ พี่ให้ไว้สำรอง”

กัลย์กมลรับถุงกระดาษและเปิดออก ก่อนจะเห็นว่าในนั้นมีหมวกบีนนี่แบบเดียวกันกับที่เธอได้รับมาก่อนหน้า ทว่าในนี้มีหลากสีหลายลายมากกว่า ซึ่งนับดูแล้วน่าจะเกินห้าใบด้วยซ้ำ

“โห…เยอะขนาดนี้หนูดีคงไม่ต้องซื้อเพิ่มแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะ”

“เอ่อ…แล้วก็…” จิตบุณย์ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแล้วก็หยุด พอครุ่นคิดบางอย่างกับตัวเองได้เขาก็กำหมัดขึ้นมาเสมอหน้าอกส่งกำลังใจให้เธอแทน “สู้ ๆ นะ พี่เป็นกำลังใจให้”

“แน่นอนค่ะ หนูดีไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แน่ค่ะ”

กัลย์กมลเกือบหลุดหัวเราะกับท่าทางที่เขาทำพร้อมกับใบหน้าที่แทบไม่แสดงอารมณ์ออกมา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยืนยันกับเขาว่าเธอจะต้องสู้ ในเมื่อเข้ามาสู่โรคร้ายที่เธอไม่อยากเป็นแล้ว จะมีก็แต่การเดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้น แล้วเธอก็รู้ดีว่านับจากวันนี้อาจไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วก็ได้

 

เมื่อถึงวันที่ต้องทำเคมีบำบัดเป็นครั้งที่สอง กัลย์กมลก็เริ่มเป็นกังวลกับตัวเองมากขึ้น ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีทั้งค่าเลือด และขนาดก้อนเนื้อที่ยุบลงเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้หายกลัวกับโรคนี้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นผู้ป่วยหลายคนที่นั่งรออยู่หน้าห้องเคมีบำบัด และอาการของผู้ที่จะมาพบแพทย์ ซึ่งมีทั้งคนที่ดูปกติเหมือนกับเธอ รวมถึงคนที่อาการทรุดลงจนไม่สามารถเคลื่อนย้ายตัวเองได้

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากคราวแรก ก็คือสมาคมคนรักษามะเร็งเต้านม ที่ยังคงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ให้กังวล

“อ้าว ผมร่วงแล้วเหรอลูก”

หญิงชราคนหนึ่งร้องทักเมื่อเห็นกันย์กมลปรากฏตัวในภาพลักษณ์ที่ต่างออกไป เธอจำได้ว่านั่นคือป้าสำราญคนที่ชวนคุยด้วยเมื่อคราวที่แล้ว

“ค่ะ ไม่กี่วันก่อนทำคีโมนี่เอง”

กัลย์กมลยิ้มกว้าง และคนอื่น ๆ ก็เริ่มมองมาทางเธอด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป เพราะครั้งนี้หญิงสาวมาในชุดกางเกงผ้าฝ้ายขายาว สวมเสื้อยืดที่ทับด้วยเสื้อคลุมแขนยาวแบบกันแดดขนาดพอดีตัว และที่สำคัญคือหมวกผ้าโทนเข้ากันกับชุดที่เธอเลือกสวมใส่ อันแตกต่างจากชุดของผู้หญิงวัยทำงานอย่างที่มาคราวที่แล้ว รวมถึงใบหน้าที่ไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางอีกด้วย

ส่วนป้าสำราญก็ยังคงมองเธอด้วยแววตาเอ็นดูเหมือนเดิม

“ปกติลูก เดี๋ยวก็ชิน”

“แต่ผมน้องเขาสวยนะป้า หนูเห็นยังเสียดายเลย” จงจิตสะกิดหญิงชรา ด้วยคราวที่แล้วได้เห็นผมสวยของกัลย์กมลจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหายแทนหญิงสาวที่ต้องเสียมันไป

“แกนี่ก็จะไปพูดให้เด็กมันใจเสียทำไม”

ป้าสำราญหันมาเอ็ด ถึงอย่างนั้นกัลย์กมลก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ในทางกลับกันเธอรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อได้เห็นคนที่ร่วมชะตากรรมเดียวกันแข็งแรงและมีความสุขเช่นนี้ เพราะนั่นทำให้เธอลดความวิตกไปมาก

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูดีเอาไปบริจาคแล้ว”

“ดีลูก ทำบุญไว้เยอะ ๆ จะได้หายป่วยเร็ว ๆ”

คนฟังไม่รู้ว่าการทำบุญกับการที่เธอจะหายป่วยนั้นจะเกี่ยวกันอย่างไร แต่ก็ยิ้มรับคำของป้าสำราญเอาไว้ ส่วนคนที่ช่างสงสัยอย่างจงจิต ก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงลักษณะภายนอกของเธอ

“แต่ยังดีนะน้องเขายังมีคิ้ว ของหนูนี่หายหมดตั้งแต่สัปดาห์แรกเลย”

“มันก็ค่อย ๆ ไปแหละ ของฉันนี่ไอ้ตรงนั้นมันร่วงก่อนเลย”

“ว้ายป้า! พูดถึงตรงไหนน่ะ”

จงจิตร้องเสียงดังพลางหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ ส่วนป้าสำราญพอเย้ากันถึงเส้น ก็หัวเราะชอบใจออกมาเช่นเดียวกัน

“ก็ไอ้ตรงเดียวกับของแกนั่นแหละ”

“แหม…ป้าก็ ของหนูนะร่วงหมดจนผัวชมเลย” ผู้ที่สาวกว่าป้าสำราญเอ่ยออกมาอย่างภูมิใจ อย่างน้อยถ้าจะมีอะไรดีก็ตรงขนในที่ลับของเธอนั้นหายไปนั่นเอง

“โอ๊ยแกนี่ พูดอะไรไม่อาย สาว ๆ อย่างหนูคนนี้เขาได้ยินจะเขินเอา”

คนฟังอย่างกัลย์กมลที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ก็ได้แต่ยิ้มรับ จะว่าไปความอยากรู้อยากเห็นของจงจิตก็ไม่ใช่เรื่องแย่ กลับกันมันทำให้เธอได้มีเพื่อนคุยเพิ่มอีกด้วย

“ฟังไปเถอะลูก ผู้หญิงเหมือนกันไม่มีอะไรต้องอายแล้ว”

“หนูดีไม่ถือค่ะ ว่าแต่…” เธอหันไปนับคนที่มาทำเคมีบำบัด แล้วสังเกตว่าจำนวนที่มานั้นดูน้อยกว่าคราวที่แล้ว “เหมือนมีคนมาไม่ครบหรือเปล่าคะ”

“ยายสมใจน่ะเหรอ รอบนี้คีโมไม่ได้ ค่าเลือดไม่ถึง นอนให้เลือดอยู่” ป้าสำราญตอบตามที่รู้ แล้วก็ชะเง้อมองคนที่ขาดไปบ้างด้วยใกล้ถึงเวลาที่จะต้องเข้าห้องรักษาแล้ว “แต่ฉันก็ยังไม่เห็นไอ้รวยรื่นเลยนะ”

“โอ๊ย รายนั้นเป็นไข้เลือดออก นอนโรงบาลเหมือนกันป้า”

จงจิตรีบเฉลย ซึ่งนั่นก็ทำให้ป้าสำราญแสดงสีหน้าตกใจขึ้นมา

“เอ้า! โรงบาลไหน”

“ก็ที่นี่แหละ เดี๋ยวว่าทำคีโมเสร็จจะไปเยี่ยมเหมือนกัน”

“เออ ๆ เดี๋ยวป้าไปด้วย”

“งั้น หนูดีขอไปด้วยนะคะ ไปกันเยอะ ๆ แกจะได้มีกำลังใจ” กัลย์กมลเสนอตัว ถึงจะเจอกันครั้งเดียวก็ถือว่ารู้จักกันแล้ว การไปให้กำลังใจกันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี

ส่วนป้าสำราญพอเห็นหญิงสาวเสนอตัวด้วยสีหน้าแช่มชื่น ก็อดที่จะรู้สึกชมในใจไม่ได้

“ดี ๆ แล้วหนูเพิ่งทำเข็มแรกไปไม่ใช่เหรอ เป็นไง แพ้มากไหม” คราวนี้หญิงชราก็กล้าจะถามหญิงสาวมากขึ้น ด้วยเห็นเป็นพวกเดียวกันไปแล้ว

“ไม่มากค่ะ แต่ตอนฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดเข็มแรก…รู้สึกปวดกระดูกไปทั้งตัวเลย”

“อาการเหมือนไอ้ยินดีมันเลย ว่าไหมจงจิต”

“มันก็คล้ายกันแหละป้า ของฉันก็เป็น”

จงจิตพูดถึงอาการที่มักจะเจอ ซึ่งนั่นทำให้กัลย์กมลคลายความวิตก ว่าเธอจะเป็นมากกว่าคนอื่นหรือไม่ลงไป ดังนั้นถ้าคนที่รักษาโรคเดียวกันเจอสิ่งที่คล้าย ๆ กันกับเธอแล้วยังมาพูดคุยกันอย่างครึกครื้นแบบนี้ได้ เธอเองก็ต้องผ่านมันไปให้ได้เหมือนกัน

“เฮ้อ…เราก็ต้องสู้มันไปนะลูก” ป้าสำราญถอนหายใจ ใครบ้างจะไม่วิตกกับอาการป่วยที่ตัวเองต้องเจอ โดยเฉพาะกับโรคมะเร็ง

ส่วนจงจิตเองก็นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาหญิงสาวที่นับเป็นสมาชิกใหม่ของกลุ่ม

“สาว ๆ อย่างหนูไม่ต้องกลัวหรอก เดี๋ยวก็หาย หมอเขาเก่งจะตาย”

“ค่ะ หนูดีจะสู้ให้เต็มที่เลย”

แม้ความกลัวต่อโรคร้ายนี้จะไม่ได้จางหายไปไหน ทว่ากัลย์กมลก็รู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีที่สามารถประคองตัวเองมาได้ถึงตอนนี้ เธออยากให้ทุกอย่างผ่านไปอย่างไม่มีปัญหา อยากหายและใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า แน่นอนว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่เธอจะตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต ไปมากกว่าตอนที่ต้องเผชิญกับโรคนี้

 

Don`t copy text!