แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 7 : ต้นทานตะวันแคระ

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 7 : ต้นทานตะวันแคระ

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

กัลย์กมลกลับมาถึงบ้านด้วยอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย ที่จริงเธอควรจะเข้าไปพัก ทว่าตอนที่อยู่โรงพยาบาลพอได้เห็นผู้คนมากมายที่กำลังทรมานอยู่กับโรคนี้ ตอนที่เธอกำลังนอนทำเคมีบำบัดอยู่นั้น มีคนไข้เตียงหนึ่งร้องขึ้นมาว่าไม่อยากรักษาแล้ว อาจเพราะเขากำลังทนทุกข์กับโรคมะเร็งจนไม่อยากอยู่ซึ่งนั่นทำให้เธอรู้สึกกลัว และกลับคิดถึงปรีดาขึ้นมา เพราะคงไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เธอได้พบเห็นมาเท่ากับปรีดาอีกแล้ว

“แม่เดี๋ยวหนูดีไปเยี่ยมป้าดานะ” ลงมาจากรถได้กัลย์กมลก็บอกกับแม่ ก่อนที่จะเดินไปทางรั้วบ้านเพื่อไปหาปรีดา

ส่วนดลฤดีที่เห็นลูกดูไม่สบายใจตั้งแต่ไปรับกลับมาจากโรงพยาบาล ก็อดไม่ได้ที่จะไปกับลูกด้วย สองแม่ลูกกดกริ่งก่อนที่จิตบุณย์จะมาเปิดประตูให้ พอเข้าไปก็เห็นว่าตรงโทรทัศน์ที่โถงรับแขกนั้น กำลังถูกเชื่อมต่อกับเครื่องเกมสมัยใหม่ และจิตบุณย์กำลังจะเดินไปปิด

“ไม่ต้องหรอกบุ๋นเล่นไปเถอะ ถือว่าน้ามาช่วยดูแม่เราให้”

จิตบุณย์นั่งลงตามเดิม ขณะที่ดลฤดีเข้าไปหาปรีดาโดยที่กัลย์กมลนั่งลงอยู่ข้าง ๆ ตรงโซฟาตัวเดียวกับชายหนุ่ม วันนี้ปรีดาดูอ่อนเพลียกว่าเดิมมาก ริมฝีปากแห้งผาก และมีแก้วนมที่ยังดื่มไม่หมดวางไว้ พร้อมกับหายใจอย่างช้า ๆ เห็นได้ชัดจากหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะ

“อยากไปเดินข้างนอกไหมพี่ดา” ดลฤดีเอยถามคนป่วยด้วยความรู้สึกเป็นห่วงในฐานะคนที่สนิทสนมกันมานาน พอได้เห็นท่าทางอ่อนแรงของปรีดาเธอก็ใจหายเสียทุกครั้ง

“ไม่ไหวละ วันนี้เวียนหัวทั้งวัน สงสัยจะต้องเว้นไปก่อน” ปรีดาปฏิเสธ แล้วหันไปหากัลย์กมลที่มองเธอตาแป๋ว กับหมวกคลุมผมสีสวยไม่เหลือเค้าของหญิงสาวผมยาวดำขลับอีกต่อไป “แล้วหนูดีล่ะลูก วันนี้ไปทำคีโมมาไม่ใช่เหรอ”

“ค่ะป้าดา ก็เหมือนเดิมค่ะ ถูกเจาะหาเส้นเลือดตั้งสองรอบ” เธอฟ้องปรีดา พลางยื่นหลังมือที่มีจุดสีแดงเล็ก ๆ ให้ดูด้วย

และท่าทางเหมือนเด็กขี้ฟ้องนั้นก็ทำให้ปรีดาหัวเราะเบา ๆ ออกมาได้

“มันจะเป็นแบบนั้นแหละลูก ป้านะเคยโดยเจาะห้าครั้งก็ยังไม่เจอ จนจะโมโหพยาบาลเขาอยู่แล้ว”

“หนูดีกลัวจะเป็นแบบนั้นจังเลยค่ะ” พูดแล้วหญิงสาวก็แอบขนลุกอยู่ในที ลำพังเจาะแค่สองครั้งยังเริ่มรู้สึกขยาด นับประสาอะไรกับการเจาะห้าครั้ง

“มันเรื่องธรรมดา ทำใจให้ชินไว้ แล้วค่าเลือดเป็นไงบ้างล่ะ”

“หมอบอกว่าปกติค่ะ”

“ดีแล้ว กินนมคนป่วยเยอะ ๆ จะได้มีแรงสู้กับโรค”

ปรีดาย้ำเตือนถึงสิ่งสำคัญ เพราะดูจากใบหน้าที่อิดโรยของหญิงสาวแล้ว ก็พอจะเห็นแนวโน้มว่าน้ำหนักตัวเธออาจลดลงไปอีก จากนั้นก็หันกลับไปคุยกับดลฤดีเรื่องสัพเพเหระ ตามประสาคนช่วงอายุเดียวกัน

ส่วนกัลย์กมลที่นั่งอยู่กับจิตบุณย์ซึ่งกำลังเล่นเกมอยู่นั้น หญิงสาวเองก็เริ่มสนใจในสิ่งที่เขากำลังทำมากขึ้น ที่จริงตลอดเวลาที่สนทนากับปรีดา ก็พอที่จะสังเกตเห็นว่าเขานั้นก็ไม่ได้อยู่ในโลกของเกมจนไม่ใส่ใจคนอื่น ชายหนุ่มยังคงคอยดูอาการของแม่เป็นระยะ

และตอนนี้เขาคงเห็นแววตาใสแป๋วที่สนใจกับสิ่งที่เขาทำของเธอเข้า จิตบุณย์จึงกดหยุดเกมแล้วลองชวนเธอ

“เล่นด้วยกันไหม”

“ไม่ดีกว่าค่ะ หนูดีเล่นไม่เป็น” กัลย์กมลตอบตามตรง เพราะนอกจากเกมมือถือง่าย ๆ แล้ว เธอแทบไม่เคยเล่นเกมอื่นมาก่อน โดยเฉพาะกับเครื่องเล่นเกมราคาแพงที่ตั้งอยู่ตรงหน้า

ทว่าสิ่งที่ตอบกลับหญิงสาวมา คือมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ทำให้ใบหน้าที่ดูเฉยชาในทีแรก กลับน่ามองขึ้นเป็นกอง

“ไม่ยากหรอก นี่เกมแข่งรถธรรมดา แค่กดเร่งเครื่องกับเลี้ยวให้ทันเท่านั้นเอง”

พอฟังดูแล้วก็ดูไม่ยากอย่างที่คิด ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นสิ่งใหม่ที่คลายความกังวลเธอลงก็ได้

“งั้น…รบกวนสอนด้วยนะคะ”

กัลย์กมลตัดสินใจรับคอนโทรลเลอร์เกมอีกตัวจากเขา จากนั้นจิตบุณย์ก็เริ่มตั้งค่าเกมเป็นแบบที่สามารถเล่นพร้อมกันสองคนได้ แรกทีเดียวเธอไม่สันทัดเท่าไรจึงยังไม่ค่อยสนุก แต่พอเริ่มชินกับมันเข้า กัลย์กมลก็รับรู้ได้ถึงความเบิกบานใจที่ได้ลองเปิดโลกของเครื่องเล่นวิดีโอเกม และเริ่มมีความสุขไปกับสิ่งใหม่ ๆ

จะมีก็เพียงแต่แม่ทั้งสองที่มองลูก ๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน พลางมองหน้ากันเองด้วยความนัยที่รู้กัน

“เห็นแบบนี้แล้วเหมือนมีเด็กอยู่ในบ้านเลยว่าไหมฤดี”

“พี่ดา เดี๋ยวนี้เกมเขาไม่แยกเด็กแยกผู้ใหญ่แล้ว ใครก็เล่นได้ ว่าง ๆ ฉันยังเล่นเกมมือถือเลย” ดลฤดีว่าไปตามเรื่อง ด้วยเธอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เล่นเกมในมือถือเป็นส่วนใหญ่

“ก็เป็นไปกับเขาเหมือนกันนะเรา พี่น่ะดูหน้าจอไม่ไหวหรอก แสบตาเปล่า ๆ นี่ก็ไม่รู้ว่ามันจะลามจนใช้ชีวิตไม่ได้วันไหน”

ปรีดามีสีหน้าที่เศร้าลง และพลอยให้คนที่ได้ยินรู้สึกตามไปด้วย จิตบุณย์นิ่งไปสักพัก เขาไม่พร้อมจะเสียแม่ไปในตอนนี้จึงพยายามทำให้ทุกวันเป็นวันที่ดีที่สุด ทว่าก็ไม่อาจหนีความจริงได้ว่าสักวันหนึ่งแม่อาจต้องจากเขาไป

ส่วนกัลย์กมลผู้ยังอยู่ในวังวนของการรักษาโรคร้าย ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นใจกับอนาคตที่ไม่แน่นอนของตัวเอง เธอไม่อยากอยู่ด้วยความรู้สึกเช่นนี้ แต่จะทำอย่างไรให้เธอสามารถใช้ชีวิตอยู่กับการรักษาได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องเศร้าใจไปกับการที่ได้เห็นอาการของคนอื่น

 

ถึงจะต้องอยู่ด้วยความหวาดกลัวต่อปลายทางที่ไม่อาจคาดเดาได้ ถึงอย่างนั้นกัลย์กมลก็ยังคงต้องไปทำการรักษาตามนัดอย่างต่อเนื่อง และนี่คือครั้งที่สามของการทำเคมีบำบัด ซึ่งแต่ละครั้งนั้นหญิงสาวก็เริ่มรู้สึกว่าความกระตือรือร้นที่เคยมีเริ่มหดหายไป บางครั้งก็แทนที่ด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง แม้จะรู้ว่าเธอยังอยู่ห่างไกลจากคำนั้นมากก็ตาม

ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นสีเทาไปเสียทีเดียว เพราะในอารมณ์ที่ขุ่นมัว กลับมีแสงสว่างเล็ก ๆ ที่ทำให้ใจของเธอมีความหวัง ข่าวดีจากปากของแพทย์ผู้รักษาที่บอกว่าขนาดก้อนเนื้อของเธอยุบไปมาก จนไม่อาจวัดได้จากภายนอกแล้ว และถือเป็นแนวโน้มที่ดีเพราะแสดงว่าร่างกายเธอตอบสนองต่อยาได้เป็นอย่างดี

ตกเย็นนั้นหลังจากการทำเคมีบำบัดครั้งที่สามเสร็จสิ้น ช่วงเวลาที่กลับมาถึงบ้านและเตรียมมื้อเย็น กัลย์กมลก็บอกข่าวดีกับแม่ตัวเองก่อนใคร

“วันนี้หมอบอกว่าก้อนเนื้อยุบลงแล้วนะแม่” เธอบอกข่าวดีนี้ระหว่างที่กำลังทำไข่ตุ๋นเนื้อนุ่ม และขณะเดียวกันก็เห็นแม่ที่กำลังทำต้มยำกุ้งสูตรเผ็ดน้อยอยู่หยุดทุกอย่าง แล้วมองมายังเธอด้วยสายตาเป็นประกาย

“จริงเหรอ แบบนี้ก็แสดงว่าที่รักษามาได้ผลสิ”

“ใช่ หมอบอกว่าร่างกายของหนูดีตอบสนองยาได้ดีมาก ก้อนเนื้อยุบลงไว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป หมดยาสูตรแรกแล้วคงได้ผ่าตัดเลย” กัลย์กมลยิ้มกว้างจนเห็นฟันเรียงสวย ซึ่งเธออาจไม่เคยสังเกตตัวเองว่าตั้งแต่เข้ารับการรักษา รอยยิ้มแบบนี้จะปรากฏขึ้นมาน้อยครั้งกว่าแต่ก่อนมาก และนี่ก็เป็นรอยยิ้มสดใสครั้งแรกของวันนี้

“แล้วยาสูตรแรกเหลืออีกกี่ครั้งล่ะ” ดลฤดีถามด้วยความตื่นเต้น ข่าวนี้นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับคนเป็นแม่อย่างเธอ

“อีกสองครั้งค่ะ ก็ประมาณเดือนกว่า ๆ” หญิงสาวเห็นแม่ตักต้มยำใส่ถ้วย เธอจึงลองใช้ช้อนชิมน้ำซุป ก่อนจะเบี้ยวหน้าหนี ด้วยความเผ็ดร้อนจากต้มยำทำเอาเธอเกือบกลืนไม่ลง “ทำไมเผ็ดจัง…”

“ไหน…แม่ใส่พริกไปนิดเดียวเองนะ” ได้ยินดังนั้นดลฤดีก็ทิ้งทุกอย่างแล้วมาชิมต้มยำกุ้งของโปรดของลูก ก่อนจะพบว่ารสชาตินี้ยังคงเผ็ดน้อยมากเมื่อเทียบกับที่เคยทำกินมาตลอด

“เผ็ดมากเลยแม่ เหมือนปากจะพองเลย”

คนที่ไม่สามารถทนกับความเผ็ดร้อนได้รีบหาน้ำดื่ม ส่วนผู้เป็นแม่พอเห็นการรับรู้รสที่เปลี่ยนไปของลูก ในใจก็นึกสงสารอยู่มาก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังแสดงออกมาด้วยอาการปกติ

“กลายเป็นลิ้นแมวไปซะแล้วลูกสาวฉัน แบบนี้จะกินอะไรได้บ้างล่ะเนี่ย”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวหนูดีไปกินขนมปังกับนมก็ได้” เธอวางแก้วน้ำแล้วเดินไปหากระป๋องนมผง ก่อนจะกดน้ำร้อนมาวางไว้ให้เย็นสักพัก จากนั้นก็เอาขนมปังที่ซื้อมากินทีละเล็ก ๆ ด้วยระยะหลังมานี้เธอไม่สามารถกลืนอาหารคำโต ๆ ได้เลย

พอเห็นลูกสาวหยิบขนมปังมาฉีกเป็นชิ้นเท่ากับปลายนิ้วแล้วกิน ดลฤดีก็ยิ่งสงสารลูกจับใจ

“กินน้อยไปรึเปล่า เดี๋ยวนี้ข้าวปลาก็แทบจะกินเท่าแมวดมอยู่แล้วนะ”

“มันกลืนไม่ลงอ่ะแม่ ไม่ใช่หนูดีไม่อยากกินเสียหน่อย” กัลย์กมลนั่งลงกับโต๊ะกินข้าว แล้วฉีกขนมปังคำเล็ก ๆ กินอย่างเชื่องช้า ด้วยเธอไม่อาจกลืนมันทั้งหมดได้ดั่งใจ

“ก็ต้องฝืนตัวเองบ้าง จะได้มีแรง เดี๋ยวน้ำหนักลงมากจะมีปัญหาเอานะ แล้วก็นี่ไงไข่ตุ๋นก็มี มากินสักหน่อยเถอะ”

“หนูดีจะพยายามค่ะ”

ความเป็นห่วงของแม่นั้นเธอรับรู้ได้เป็นอย่างดี แต่ความจริงแล้วกัลย์กมลเองก็หวั่นวิตกกับการกินของตัวเองไม่น้อย ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากอาหาร เชื่อเถอะ…เธออยากกินทุกอย่างได้อย่างคนปกติ แต่การกลืนมันลงไปนั้นช่างยากแสนยาก แถมการรับรู้รสก็เปลี่ยนไป จากของที่เผ็ดนิดเดียวกลายเป็นเผ็ดร้อนจนปากแทบพอง ส่วนของที่เคยอร่อยก็กลับไร้รสชาติ จนตอนนี้เธอกินอะไรได้ไม่มากเท่าที่ควร

 

นับวันอาการของหญิงสาวยิ่งเหมือนผู้ป่วยมะเร็งรายอื่น ๆ เข้าไปทุกที จากที่คิดว่าร่างกายที่เคยแข็งแรงนี้จะมีแรงต่อสู้กับโรคมากกว่าคนอื่น แต่ความจริงแล้วทุกอย่างกลับเริ่มถดถอย เรี่ยวแรงที่มีก็หายไป การยกจับอะไรก็ลำบาก ไหนจะอาการอ่อนเพลีย เซื่องซึม และกินยาก ทุกอย่างนั้นทำให้เธอยิ่งรู้สึกหมดกำลังใจกับตัวเองมากขึ้น

และในวันที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการอยู่กับบ้าน และเก็บกวาดทำความสะอาดเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น ที่หน้าบ้านก็มีเสียงกริ่งดังขึ้น

กัลย์กมลหยิบหมวกสวมทับหมวกผ้าเพื่อกันแดด พร้อมกับหาผ้าคลุมทับก่อนออกไป และพบกับผู้คนคุ้นเคยประมาณสี่ห้าคนกำลังยืนโบกมือกับเธอ

“หนูดี พวกพี่มาเยี่ยม”

เสียงจากหนึ่งในกลุ่มคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านตะโกนเข้ามา และทำให้หญิงสาวเจ้าของบ้านยิ้มกว้างขึ้นมาทันใด เพราะนั่นคือกลุ่มคนที่ทำงานเดียวกับเธอ

“พี่ปุ้ย คิดถึงจังเลยค่ะ” กัลย์กมลรีบตรงไปเปิดประตูบ้านเพื่อต้อนรับทุกคน ก่อนจะเชิญเข้ามาในบ้านแล้วให้การต้อนรับอย่างเต็มที่

“เป็นไงบ้าง ผอมลงรึเปล่าเนี่ย”

“ลดไปแค่โลเดียวเองค่ะ”

ใบหน้าของหญิงสาวยังเปื้อนด้วยรอยยิ้ม ทว่าก็จางลงไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นสายตาของแต่ละคน อาจเป็นเพราะใบหน้าที่หมดจดไร้คิ้วและขนตา รวมถึงศีรษะที่ถูกปิดเอาไว้ด้วยหมวกผ้า จึงทำให้คนที่ไม่ได้เจอกันนานต่างใจหายกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับกัลย์กมล

“…กินอะไรมารึยังคะ เดี๋ยวหนูดีสั่งให้”

เจ้าของบ้านพยายามหาเรื่องคุยให้เป็นปกติเหมือนเมื่อตอนเธอทำงานร่วมกับพวกเขา แต่ทุกคนกลับมีสีหน้าเกรงใจ ราวกับไม่อยากเป็นภาระให้กับคนป่วยอย่างเธอ

“ไม่ต้องหรอกจ้ะ พวกพี่มาแค่ช่วงพัก เดี๋ยวก็จะกลับไปทำงานกันแล้ว”

กัลย์กมลไม่อยากคิดมากกับคำปฏิเสธนั่น ดังนั้นเธอจึงทำให้ทุกอย่างเป็นปกติ เหมือนกับเธอคนเดิมที่พวกเขาเคยรู้จัก

“เสียดาย นึกว่าจะอยู่คุยกับหนูดีนานกว่านี้เสียอีก”

“แน่ะ เหงาล่ะสิ”

“ก็นิดหน่อยค่ะ อยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ได้ทำงานก็มีเบื่อบ้างเหมือนกัน” เธอตอบ เพราะที่จริงการนั่ง ๆ นอน ๆ เพื่อรอวันทำเคมีบำบัด มันก็ทำให้กัลย์กมลรู้สึกอึดอัดอยู่มาก

และแน่นอนว่ามีบางคนที่แอบอิจฉาที่เธอไม่ต้องทำงานอยู่

“พวกพี่นะอิจฉาเราจะตาย ได้อยู่บ้านสบาย ๆ”

พอประโยคนั้นหลุดออกมา คนที่ชื่อปุ้ยก็ตีเข้าที่ไหล่คนพูดเป็นการสะกิดว่าไม่สมควร

“น้องป่วยอยู่ไปพูดอะไรแบบนั้น ยังไงก็ต้องดูแลตัวเองนะหนูดี อะไรที่มันหนักก็อย่าไปทำ เอาสุขภาพเราไว้ก่อน”

อันที่จริงกัลย์กมลไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดนั้นเลย กลับกันเธออยากให้ทุกคนพูดเล่นกับเธอเหมือนเดิมมากกว่า และแม้ว่าเธอจะพยายามสักแค่ไหนเพื่อบอกทุกคนว่าเธอยังเป็นปกติ ทว่าสายตาที่ทุกคนมองมายังเธอนั้น ทำให้หญิงสาวไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไป เพราะนั่นคือความสงสาร ความเวทนาราวกับว่าเธอกำลังทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น

เมื่อคุยกันไประยะหนึ่ง หลังจากได้รู้อาการของหญิงสาวคร่าว ๆ แล้ว ผ่านไปสักพักก็ถึงเวลาที่จะต้องจากกัน

“ได้เวลาพวกพี่กลับแล้ว เดี๋ยวว่าง ๆ จะมาใหม่นะ”

“ค่ะพี่ปุ้ย คิดถึงนะคะ”

กัลย์กมลเดินออกไปส่งและมองรถที่เคลื่อนหายไป ก่อนจะคิดได้ว่าเธอไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาอีกแล้ว หญิงสาวที่เคยทำงานอย่างแข็งขัน ตอนนี้เป็นเพียงแค่คนป่วยที่รอการรักษา และก็ไม่อาจบอกได้ว่าปลายทางของการรักษานี้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ซึ่งมันทำให้เธอเป็นกังวลว่าสุดท้ายแล้วเธออาจไม่ได้กลับไปเป็นกัลย์กมลคนเดิมได้อีก

เอาอีกแล้ว…อย่าคิดในแง่ร้ายสิ

เธอพยายามดึงสติแล้วหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพ่นออกมาจนสุด การอุดอู้อยู่กับบ้านอาจทำให้เธอเครียดเกินไป ดังนั้นกัลย์กมลจึงสวมเสื้อคลุมกับหมวกใบกว้างทับหมวกผ้า ก่อนจะปั่นจักรยานออกไปยังร้านค้าในหมู่บ้าน ท่ามกลางสายตาของคนที่มองเธออย่างสงสัย บางคนรู้แล้วก็ยังอดที่จะเวทนากับสภาพสังขารที่เปลี่ยนไปของเธอไม่ได้ ซึ่งกัลย์กมลพยายามย้ำกับตัวเองว่าเธอต้องผ่านมันไป

ก็แค่…การใช้ชีวิตปกติท่ามกลางสายตาที่ไม่ปกติเท่านั้น

 

กัลย์กมลไปที่ร้านค้าของหมู่บ้านเพื่อซื้อไอศกรีมมากินให้ชื่นใจ พอได้ของแล้วหญิงสาวก็ปั่นจักรยานคันเก่ากลับมาตามถนนคอนกรีตของหมู่บ้าน ในช่วงบ่ายที่อากาศร้อนอบอ้าว และแสงแดดที่เจิดจ้าจนเธอต้องหรี่ตา แม้จะมีหมวกปีกกว้างช่วยก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาปั่นจักรยานกลับมา จนมาถึงบ้านด้วยอาการเหนื่อยล้า

กัลย์กมลไม่คิดว่าเรี่ยวแรงของตัวเองจะหดหายไปเช่นนี้ เธอจอดจักรยานพิงไว้ใต้ร่มล่ำซำที่รั้วนอกบ้าน ตั้งใจว่าจะกินไอศกรีมที่ซื้อมาแก้เหนื่อยเสียตรงนี้ แต่ในขณะเดียวกัน สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ขยับอยู่ในรั้วบ้านข้าง ๆ พอดูให้ดีก็เห็นว่าเป็นหลังของจิตบุณย์ที่กำลังง่วนอยู่กับดินปลูกจนตัวเลอะไปหมด

“พี่บุ๋น” กัลย์กมลร้องทักด้วยน้ำเสียงสดใส พอเห็นเขาเงยหน้าขึ้นมาจึงค่อยถาม “ทำอะไรอยู่คะ”

“ปลูกดอกไม้ให้แม่น่ะ แกอยากเห็น” คนที่ยังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมดินสำหรับปลูกดอกไม้ตอบโดยที่ตัวเขาเองก็ทำงานไปด้วย

“ดอกอะไรเหรอคะ” เธอถามต่อและสังเกตเห็นว่าเสียงของเขานั้นหอบเล็กน้อย อาจเพราะเหนื่อยจากการที่ต้องทำงานภายใต้อากาศที่ร้อน แม้จะอยู่ใต้ร่มไม้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

“ดอกทานตะวันแคระ”

“ฟังดูน่ารักดีนะคะ หนูดีขอเข้าไปช่วยได้ไหม”

“ได้สิ แต่พี่ให้แค่นั่งดูเป็นกำลังใจในร่มนะ” เขาหันมายิ้มให้กับเธอ พร้อมกับเดินไปเปิดประตูรั้วให้หญิงสาวเข้ามาด้านใน

“งั้นก็…ขออนุญาตนะคะ”

คนอาสาเป็นผู้ช่วยขออนุญาตโดยที่ไม่ต้องให้อีกฝ่ายตอบกลับ โดยไม่ลืมที่จะหิ้วถุงเก็บความเย็นที่มีไอศกรีมอยู่ในนั้นมาด้วย พอเข้ามาในรั้วบ้านของเขา เธอก็เดินตรงไปนั่งตรงม้านั่งใต้ต้นมะม่วงที่สานกิ่งไม้เข้ากับต้นล่ำซำของเธอ ก่อนจะถอดหมวกปีกกว้างมาพัดดับความร้อน

พอลองสังเกตดูดี ๆ ก็ไม่เห็นว่าปรีดาจะออกมานั่งกับลูกชาย เธอจึงเอ่ยถาม

“ป้าดาหลับอยู่เหรอคะ”

“ใช่ เพิ่งกินยาแล้วหลับไป ช่วงนี้แม่ต้องพักเยอะ ๆ หน่อย แกอ่อนเพลียบ่อย”

“อ๋อ…”

พอได้ยินว่าช่วงนี้ปรีดาอาการไม่ค่อยดีนัก จิตใจของกัลย์กมลก็ห่อเหี่ยวลง อาจเพราะเธอเองก็กำลังต่อสู้กับโรคนี้เหมือนกันจึงทำให้จิตใจของเธออ่อนไหวกับเรื่องที่ได้ยิน และดูเหมือนจิตบุณย์เองก็คงจะรู้อยู่เหมือนกัน สังเกตได้จากที่เขาหันมามองเธอ พร้อมกับเปลี่ยนเรื่องคุยในทันที

“แล้วนั่นซื้ออะไรมาเหรอ”

“อ้าว…หนูดีลืมเลย จะละลายหมดไหมเนี่ย” เธอเพิ่งนึกถึงสิ่งที่อยู่ในมือ ก่อนจะแกะถุงเก็บความเย็นแล้วนำไอศกรีมออกมา ซึ่งน่าดีใจที่ไอศกรีมของเธอยังไม่ละลายไปเสียก่อน “ถุงเก็บความเย็นนี่ดีจัง อันนี้หนูดีซื้อให้พี่บุ๋นค่ะ”

เธอยื่นไอศกรีมรสช็อกโกแลตให้กับเขา ส่วนจิตบุณย์นั้นทำสายตาไม่แน่ใจนัก เพราะเขาไม่รู้ว่าเธอซื้อมากินเองหรือเปล่า ถึงในมือน้อยอีกข้างจะมีไอศกรีมอีกแท่งก็เถอะ

“แน่ใจนะ ว่าพี่ไม่ได้แย่งเรากิน”

“ไม่ใช่ค่ะ รีบกินสิคะเดี๋ยวละลายหมดนะ” ว่ากันตามตรงกัลย์กมลกะซื้อมาติดตู้เย็นเอาไว้ด้วยจึงเลือกมาสองแท่ง แต่ในเมื่อตอนนี้เธอมีเพื่อนแล้ว จึงไม่มีเหตุใดเลยที่เธอจะไม่แบ่งปัน

จิตบุณย์ปัดเศษดินออกจากมือ แล้วล้างน้ำให้สะอาดก่อนจะรับไอศกรีมจากมือของหญิงสาว ทั้งสองใช้ที่นั่งใต้ต้นมะม่วงนั่งกินไอศกรีม ท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างร้อนอบอ้าว ดังนั้นสิ่งที่อยู่ในมือจึงถือเป็นตัวช่วยที่ดี แถมยังมีความหวานหอมรสช็อกโกแลตที่ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาด้วย

“จะว่าไป หนูดีเพิ่งเห็นพี่บุ๋นออกจากบ้านตอนกลางวันเลยนะคะเนี่ย” เธอถามตามความจริงที่ได้เห็น เพราะตั้งแต่ออกจากงานมาอยู่บ้าน ก็แทบจะไม่เจอเขาออกนอกบ้านตัวเองเลย

“ปกติพี่ต้องทำงานน่ะ ตอนนี้เพิ่งส่งงานเลยมีเวลาว่างหน่อย แต่เดี๋ยวไม่เกินเย็นก็คงมีเมล์สั่งงานอีก”

“ดีจังเลยนะคะ ที่บริษัทพี่บุ๋นให้ทำงานที่บ้านได้” กัลย์กมลแอบรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เพราะของเธอนั้นไม่มีโอกาสเอางานกลับมาทำที่บ้าน จึงต้องกลายมาเป็นคนป่วยที่ว่างงานแบบนี้

“งานพี่ทำที่ไหนก็ได้ขอให้มีอินเทอร์เน็ตก็พอ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสบายหรอกนะ เพราะมันหมายถึงเขาจะเอางานตอนไหนก็ต้องได้ บางวันแทบไม่มีเวลากินข้าวเลย” ความจริงอีกด้านของการได้รับโอกาสมาทำงานที่บ้านนั้น ก็คืองานที่มาอย่างไม่ขาดสายโดยไม่มีวันหยุด บางทีจิตบุณย์ก็คิดว่าหากกลับไปทำงานที่บริษัทเขาคงไม่ต้องทำงานทั้งวันเช่นนี้

“บอกแล้วว่าต้องให้หนูดีช่วย” หญิงสาวยังคงมีความสุขกับของหวานพลางเย้าเขาไปด้วย

“พี่กลัวงานจะช้ากว่าเดิมน่ะสิ”

“โอ๊ย…”

กัลย์กมลเอามือกุมหัวใจแล้วค้อมตัวลงเหมือนกำลังเจ็บปวด จนจิตบุณย์ต้องรีบเข้ามาประคองเธอเอาไว้ ด้วยสีหน้าที่แสดงความเป็นห่วงออกมาชัดเจน

“หนูดีเป็นอะไรรึเปล่า”

“พี่บุ๋นพูดตรงจนหนูดีใจเจ็บเลยค่ะ” ว่าแล้วเธอก็ฉีกยิ้มกว้างออกมา พร้อมกับหัวเราะอย่างถูกใจที่แกล้งเขาได้สำเร็จ จนได้เห็นรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งของจิตบุณย์อีกครั้ง

“เรานี่นะ…” คนที่เพิ่งยิ้มออกมาได้แต่ทำท่าส่ายหน้าด้วยความระอา ทั้งที่ในใจก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวไปตามเธอด้วย

“ก็แค่อยากลองพูดเล่นกับพี่บุ๋นบ้างน่ะค่ะ หนูดีอยู่บ้านทั้งวัน นอกจากปั่นจักรยานไปซื้อของกินก็ไม่ได้ทำอะไร เลยเริ่มเบื่อ”

“แล้วเคยคิดบ้างไหม ว่าถ้าไม่ทำงานประจำแล้วจะทำอะไรน่ะ”

“หนูดีเคยมีความฝันอยากเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ ค่ะ แล้วก็อยากลองทำขนมด้วย” เธอหันมายิ้มให้กับเขา “ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นฝันที่ใคร ๆ ก็ฝันใช่ไหมคะ”

“ไม่ผิดหรอก พี่ยังเคยอยากเปิดร้านขนมปังเลย”

“จริงเหรอคะ” กัลย์กมลทำตาโตเหมือนนี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ หรือเพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้ยินความฝันจากปากของเขากันนะ

“ใช่ เมื่อก่อนพี่อ่านการ์ตูนที่เรื่องมันเกี่ยวกับการทำขนมปัง ก็เลยฝันว่าสักวันจะไปทำบ้าง”

“อยากกินขนมปังฝีมือพี่บุ๋นจัง สัญญานะคะว่าถ้าทำแล้วต้องให้หนูดีชิมเป็นคนแรก ๆ”

“ได้สิ…” จิตบุณย์อมยิ้มแล้วแสร้งใช้หลังมือเช็ดจมูกตัวเอง ปิดบังความรู้สึกเขินต่อหน้าเธอ พอทำท่าจะปิดไว้ไม่อยู่เขาก็กระแอมแล้วชวนคุยต่อ “แล้วนอกจากเปิดร้านกาแฟ หนูดีมีความฝันอย่างอื่นบ้างหรือเปล่า”

“ก็…หนูดีอยากไปเที่ยวรอบโลกค่ะ” ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางแต่ก็ยังมองเห็นประกายตาสดใสมองไปอย่างไร้จุดหมาย แล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อได้นึกถึงสิ่งนั้น

“เที่ยวรอบโลกเหรอ”

“ใช่ค่ะ หนูดีเคยอ่านเจอว่ามีเรือสำราญที่สามารถพาเราไปรอบโลกได้ ใช้เวลาสามสี่เดือนเนี่ยแหละค่ะ”

“งั้นลองตั้งเป้าไว้ถ้ารักษาหายจะไปล่องเรือลำนั้นดูสิ” เขาแนะนำ ความจริงการมีเป้าหมายก็ทำให้คนเรามีแรงฮึดสู้ และเขาเชื่อว่ากัลย์กมลเองก็คงอยากสู้จนชนะโรคร้ายนี้ไปให้ได้เหมือนกัน

แต่สีหน้าที่สดใสอยู่เมื่อครู่กลับสลดลง

“คงเป็นไปได้ยากค่ะ ค่าตั๋วไม่ใช่เบา ๆ เลย อีกอย่าง…” เธอมองเข้าไปในบ้านที่รู้ว่าปรีดานอนอยู่ในนั้น ก่อนจะนึกถึงทุกสายตาที่มองเธอ กับความเจ็บป่วยของคนที่ต้องสู้กับโรคนี้ที่เธอเคยพบเห็น ซึ่งมันทำให้เธอเริ่มไม่มีความมั่นใจ “หนูดีกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้ไปด้วย”

พอกัลย์กมลพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่เศร้าหมอง ทั้งสองก็เริ่มตกอยู่ในความเงียบ จนได้ยินเสียงลมเบา ๆ พัดผ่านใบไม้ และเงาของพุ่มไม้ที่มีแสงแดดลอดลงมาขยับไปอย่างเชื่องช้า เพียงชั่วครู่กับเนิ่นนานเหมือนนิรันดร์ จนในที่สุดจิตบุณย์ก็เป็นฝ่ายดึงความคิดตัวเองกลับมาก่อน

“งั้นลองเริ่มจากทำขนมก่อนไหม”

“ทำขนมเหรอคะ” เธอหันมาสนใจในสิ่งที่เขาพูดอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมพอได้ยินสิ่งนั้น มันกลับทำให้ความไร้ซึ่งสุขของเธอหายไป

“ก็หนูดีบอกว่าอยากลองทำไม่ใช่เหรอ วันเสาร์เราไปซื้อของทำขนมกันไหมล่ะ” จิตบุณย์ชวนเธอ และนั่นทำให้ใบหน้าของกัลย์กมลกลับมามีรอยยิ้มที่กว้างจนแก้มแทบปริ แววตากลับมีประกายของความสดใส ราวกับเด็กน้อยที่ได้เจอกับของถูกใจขึ้นมา

“สัญญานะคะ หนูดีจะตั้งตารอเลย”

น้ำเสียงกระตือรือร้นบอกถึงความตื่นเต้นอย่างที่สุด อาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ลองทำสิ่งใหม่ หลังจากการจับเจ่าอยู่แต่ในบ้านจนเริ่มท้อถอย ตอนนี้พอรู้ว่าจะได้ทำในสิ่งที่ฝัน มันก็ทำให้เธอมีชีวิตชีวาขึ้นมา และดูเหมือนว่าโลกใบนี้จะยังมีสิ่งที่คนป่วยอย่างเธอทำได้อยู่อีกมากมาย


Don`t copy text!