กีฬา กาแฟ แก๊ส เกาะ

กีฬา กาแฟ แก๊ส เกาะ

โดย : วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ

Loading

“เที่ยวโทงเทง” คอลัมน์ท่องเที่ยวกับเรื่องเล่าจากสมุดบันทึกของ “วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ” ซึ่งได้แบกเป้เดินทางคนเดียวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นบันทึกการโดยสารขนส่งสาธารณะ การพบปะและบทสนทนากับผู้คน (ตลอดจนหมาแมว) พร้อมแนบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำเมือง แต่ละวันมักจบลงด้วยเบียร์เย็นๆ หรือวิสกี้ในบาร์ท้องถิ่น

ตอนสายๆ ของวันที่สองในกรุงเบลเกรด เราย้ายที่พักไปยังอพาร์ตเมนต์แห่งใหม่ ได้ทำเลดีกว่าเดิม ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่า เจ้าของอพาร์ทเมนต์เปิดประตูอาคารอายุร้อยกว่าปีออกมารอรับ พาเราขึ้นไปยังชั้น 5 โดยลิฟต์ยุคโบราณ เราต้องปิดประตูไม้สองบานด้วยมือซึ่งเป็นประตูประจำชั้น แล้วจึงปิดประตูด้านในลิฟต์อีกที ตอนจะออก (จากชั้น 5) ต้องออกคนละฝั่งกับประตูเข้าที่ชั้น 1 โดยต้องเปิดประตูลิฟต์ ตามด้วยประตูไม้สองบานประจำชั้น 5 เดินออกไป

โกรันจ่ายเงินค่าเช่าไปในเงินสกุลดินาร์ คิดเป็นเงินยูโรได้ 31.5 ยูโร ถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับขนาด ลักษณะที่พัก และทำเล ก่อนกลับบ้านที่ฝั่ง “นิวเบลเกรด” เจ้าของอพาร์ตเมนต์บอกว่าในวันพรุ่งนี้ให้ทิ้งกุญแจลงในตู้ไปรษณีย์หน้าห้องพักได้เลย โกรันเดินลงไปพร้อมกับเขา ขากลับขึ้นมาได้บูเร็ค (Burek) ซึ่งเป็นขนมปังอบมากินเป็นมื้อเช้า ต้นกำเนิดของบูเร็คนั้นมาจากจักรวรรดิออตโตมันที่เข้ามาตีเมืองปกครองประเทศในคาบสมุทรบอลข่านอยู่ถึงราว 500 ปี แต่เป็นไปได้ที่จะถูกดัดแปลงมาจากอาหารที่เรียกว่า “เค้กพลาเซนตา” ของโรมันโบราณ ที่ต่อมาเมื่อจักรวรรดิไบแซนไทน์หรือโรมันตะวันออกไปปกครองอนาโตเลียและดินแดนแถบนั้นชาวเผ่าเติร์กก็รับมาอีกทอด

ร้านอาหารในเขตเมืองเก่าจัดโต๊ะนอกร้านในวันอากาศดี

บูเร็คของแต่ละประเทศที่ชาวเติร์กมีอิทธิพลไปถึงจะมีลักษณะแตกต่างกันไป สำหรับของชาวเซิร์บนั้นได้ถูกดัดแปลงให้เป็นแบบกลมๆ แบนๆ อบแป้งสาลีเป็นชั้นๆ สอดไส้ด้วยชีส หรืออาจจะใส่อย่างอื่นก็ได้ เช่น เห็ด ผักโขม แอปเปิ้ล มันฝรั่ง เนื้อสับ และหัวหอม แต่ที่โกรันซื้อมากินทุกครั้งจะเป็นแบบชีส ซึ่งบูเร็คนี้จะต้องกินกับโยเกิร์ต เช่นเดียวกับเคบับ แต่จะว่าไปแล้วอาหารแทบจะทุกมื้อในประเทศแถบนี้จะต้องมีโยเกิร์ตอยู่ด้วย

ผมเปิดชั้นวางของในครัวเจอหม้อต้มกาแฟแบบตุรกี และผงกาแฟก็มีอยู่จึงคิดจะลองต้มดู เมื่อเห็นอาการมึนงง เก้ๆ กังๆ ของชาวไทยผู้ไม่ประสากับกาแฟแบบตุรกี โกรันก็เลยอาสาต้มให้เพื่อจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว หม้อต้มกาแฟแบบตุรกีนั้นมีขนาดค่อนข้างเล็ก ก้นใหญ่กว่าปาก มีด้ามจับยาวประมาณ 1 ฟุต ทำจากวัสดุที่แตกต่างกันออกไปไม่ได้กะเกณฑ์ กาแฟที่ใช้เป็นแบบบดละเอียด โกรันเปิดน้ำจากก๊อกอ่างล้างจานใส่หม้อประมาณค่อนหม้อแล้วตั้งบนไฟที่ปรับไม่ให้แรงนัก น้ำเริ่มร้อนจึงใส่ผงกาแฟลงไปแล้วคน เขาถามผมว่าจะใส่น้ำตาลหรือเปล่า ถ้าใส่จะต้องใส่เสียแต่ตอนนี้ ผมส่ายหน้า

ยืนรอไม่นานก็เกิดฟองขึ้นในหม้อ โกรันเทน้ำกาแฟประมาณ 1 ใน 3 ลงในถ้วยกาแฟที่เตรียมไว้ ซึ่งเป็นถ้วยที่ใหญ่กว่าถ้วยแบบเอสเปรซโซ่นิดหน่อยเท่านั้น แล้ววางหม้อบนไฟต่อไป เมื่อกาแฟเกิดเป็นฟองอีกรอบก็เทกาแฟที่เหลือลงในถ้วยใบแรกจนเต็ม และเทอีกส่วนลงถ้วยอีกใบ เท่านี้เราก็ได้กาแฟมาเคียงคู่กับบูเร็คและโยเกิร์ต เหลือกาแฟไว้ก้นหม้อไม่มาก ส่วนนี้ไม่ควรดื่มเพราะมีตะกอนกาแฟเยอะและรสชาติเข้มข้นเกินไป

ตอนเย็นหลังจากต่างคนต่างเสร็จธุระส่วนตัวกันแล้ว โกรันก็ชวนผมออกไปนั่งดูการถ่ายทอดสดบาสเก็ตบอลลีกระดับสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป รอบ 4 ทีมสุดท้าย หรือที่เรียกกันว่า Final Four ปีนี้เป็นปีที่ 60 แข่งกันที่สนามในกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี

โกรันได้ร้านในเขตเมืองเก่าใกล้ที่พัก มีที่นั่งแบบเทอเรซและจอทีวีอยู่กลางร้าน รายการของเบียร์มีให้เลือกไม่มากนัก เราสั่ง Paulaner เบียร์ดังของเยอรมันมาคนละไพต์ประกอบการดูกีฬา คู่แรกเป็นการแข่งขันระหว่างทีมซีเอสเคเอ มอสโก จากรัสเซีย กับทีมโอลิมเปียกอส จากกรีซ ผลปรากฏว่าทีมจากกรีซเอาชนะไป คู่ที่สองทีมเฟแนร์บาห์เชจากตุรกี แข่งกับ เรอัล มาดริด คู่นี้โกรันเชียร์เฟแนร์บาห์เช แม้ว่าโดยทั่วไปคนเซิร์บจะไม่ชอบตุรกีเพราะมายึดครองพวกเขาอยู่อย่างยาวนานในลักษณะที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเสียด้วย แต่เขาเชียร์ทีมจากตุรกีเพราะหัวหน้าโค้ชของเฟแนร์บาห์เช่เป็นชาวเซิร์บ และทีมเฟแนร์บาห์เชก็ชนะไป อีกทั้งในอีก 2 วันต่อมาซึ่งเป็นนัดชิงชนะเลิศ ทีมของโค้ชชาวเซิร์บก็ยังคว่ำโอลิมเปียกอสไปอย่างขาดลอย สร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์ยุโรปครั้งแรกของสโมสร (ล่าสุดเพิ่งได้แชมป์ยุโรปสมัยที่ 2 เมื่อไม่กี่เดือนก่อน)

ประเทศเซอร์เบียมีประชากรไม่ถึง 7 ล้านคน เพราะบ้านเมืองในอดีตมีแต่ศึกสงครามไม่เคยขาด ผู้คนล้มตายคราวละมากๆ อยู่แทบทุกรุ่น แต่ชาวเซิร์บเป็นคนฉลาด (อย่าง “นิโกลา เทสลา” นั่นก็ชาวเซิร์บ) ถือว่าตัวเองเก่งกาจ เข้มแข็ง และมีฝีมือในทุกด้าน หากพูดถึงยุคหลังๆ ก็ต้องหมายถึงในทางกีฬา

พวกเขามีนักกีฬาระดับโลกอยู่มากมาย อย่างเช่น “โนวัค โยโควิช” ยอดนักเทนนิส อดีตมือหนึ่งของโลกยาวนานหลายปี หรือ “อนา อิวาโนวิช” และ “เยเลนา แยนโควิช” ก็เคยเป็นอดีตมือหนึ่งนักเทนนิสหญิง ทางด้านฟุตบอลพวกเขาเป็นรองแชมป์ยุโรปถึง 2 สมัยเมื่อครั้งยังเป็นยูโกสลาเวีย และทีมเรดสตาร์เบลเกรดของพวกเขาก็เคยเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ หรือเบอร์หนึ่งของสโมสรในทวีปยุโรปเมื่อปี ค.ศ. 1991

ส่วนกีฬาวอลเลย์บอล ทีมชายของพวกเขานั้นเคยเป็นแชมป์โอลิมปิก 1 สมัย แชมป์ทวีปยุโรป 3 สมัย ด้านทีมหญิงเป็นแชมป์โลก 2 สมัย แชมป์ยุโรป 3 สมัย ที่เก่งกาจอีกอย่างคือโปโลน้ำ พวกเขาเป็นแชมป์โอลิมปิก 3 สมัย แชมป์โลก 3 สมัย และแชมป์ยุโรปถึง 7 สมัย

สำหรับบาสเก็ตบอลที่ชาวเซิร์บคลั่งไคล้กันมาก พวกเขาเคยเป็นแชมป์โลก 2 สมัย และแชมป์ยุโรป 3 สมัย ในการแข่งขันโอลิมปิกพวกเขาคว้าเหรียญทองมาได้ 1 ครั้งเมื่อยังเป็นยูโกสลาเวีย และได้เหรียญเงินและเหรียญทองแดงอีกหลายสมัย ซึ่งแทบทุกครั้งเป็นการแพ้ให้กับดรีมทีมของสหรัฐฯ อยู่ที่ว่าจะเจอกับสหรัฐฯ ในรอบรองหรือรอบชิงเท่านั้น แต่แฟนกีฬาชาวเซิร์บก็ยังบ่นทีมตัวเองว่าเล่นกันไม่เอาไหน ทั้งๆ ที่ทีมชาติสหรัฐฯ นั้นแทบจะเป็นแชมป์โดยอัตโนมัติที่ลงแข่งขันอยู่แล้ว

โกรันบอกว่าชาวเซิร์บไม่เคยเปรียบเทียบความสามารถทางด้านกีฬา โดยเฉพาะบาสเก็ตบอลกับประเทศในทวีปเดียวกันเลย แต่เปรียบเทียบตัวเองกับสหรัฐฯ เท่านั้น ทั้งที่ขนาดประเทศและจำนวนประชากรแตกต่างกันหลายสิบเท่าตัว

เรานั่งดูบาสเก็ตบอล 2 คู่ รวมเป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมง โดยมีเฉพาะเบียร์เยอรมันที่ตกถึงท้อง ตอนนี้ก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว โกรันพาผมเดินทะลุจัตุรัสสาธารณรัฐ ข้ามไปยังย่านเมืองเก่าอีกฝั่งหนึ่งที่ชื่อ Skadarlija ในอดีตเป็นเขตที่อยู่ของพวกยิปซี ปัจจุบันเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ผับบาร์ และโรงแรมที่พัก พื้นถนนปูด้วยหินกรวดขนาดใหญ่ รถราถูกห้ามวิ่งในย่านนี้

ได้ร้านอาหารชื่อ Walter Sarajevski Cevap แฟนเก่าสมัยชั้นมัธยมปลายของโกรันแนะนำมาทางโทรศัพท์ ตอนแรกเธอจะมาร่วมโต๊ะกับพวกเราด้วย แต่รอให้บาสเก็ตบอลจบ 2 คู่ไม่ไหว

อาหารที่ขึ้นชื่อของร้านนี้คือเคบับและแฮมเบอร์เกอร์ โกรันสั่งแฮมเบอร์เกอร์แบบแยกขนมปัง สลัด และเนื้อไซส์ใหญ่ ผมสั่งเฉพาะเนื้อไซส์กลางและสลัด ไม่ขอรับขนมปัง รสชาติของแฮมเบอร์เกอร์เค็มกำลังดี ซึ่งนอกจากรสเค็มแล้วผมก็ไม่พบรสชาติอื่นแทรกอยู่เลย แต่ก็เหมาะที่จะกินคู่กับเบียร์เย็นๆ ซึ่งเราสั่งเบียร์ Jelen สัญลักษณ์เขากวางมาคนละไพต์ ผมลืมไปว่าเบียร์ตัวนี้มีแก๊สเยอะ ทำให้เกิดอาการปั่นป่วนในท้องอยู่เป็นเวลานานหลังดื่มเข้าไป

โต๊ะข้างๆ เราเป็นของคู่รักนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มีคณะนักดนตรีเครื่องเป่ามาล้อมวงบรรเลงให้ฟังถึงโต๊ะ โกรันบอกว่าราคาค่าความบันเทิงที่ชายหนุ่มสั่งมากำนัลแด่สตรีคนรักนี้ไม่ใช่น้อยๆ โดยดนตรีประเภทเครื่องเป่าถือเป็นดนตรีประจำชาติเซอร์เบีย ทุกๆ ปีจะมีเทศกาลดนตรีเครื่องเป่าจัดติดกัน 5 วัน มีผู้ร่วมงานปีละราว 3 แสนคน ในงานจะมีการประกวดแข่งขันเป่าทรัมเป็ตชิงแชมป์ประจำปีกันบนเวทีด้วย

ขากลับเราเดินผ่านผับ Strogi Centar ที่เรามาฝากลวดลายกับเพลงโซล ฟังค์ และดิสโก้ กันไว้เมื่อคืนวานจนถึงตี 2 กว่า โกรันถามผมว่าจะแวะอีกไหม ผมปฏิเสธ เพราะท้องอืดอย่างหนักจากแก๊สในเบียร์ Jelen

วันต่อมาเป็นวันเสาร์ เดิมทีเราวางแผนจะกลับบ้านโกรันที่เมืองโบเลชในตอนเย็นเพื่อเดินทางไปยัง “โมกราโกรา” เมืองชายแดนติดกับประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาในวันรุ่งขึ้น แต่เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาก็เกิดความรู้สึกคล้ายๆ กัน คือไม่อยากเก็บของโยกย้าย อีกทั้งเมื่อผมให้เหตุผลว่าวันนี้เป็นวันเสาร์เมืองจะมีชีวิตชีวากว่าวันธรรมดา เราควรจะอยู่เป็นส่วนหนึ่งของความคึกคักนั้น โกรันเห็นด้วยจึงโทรศัพท์หาเจ้าของอพาร์ตเทนต์ ได้ความว่าอพาร์ตเมนต์ยังว่าง แต่ขอให้เราจองกับทางเว็บไซต์รับจองที่เขาทำสัญญาไว้ ผมใช้ Wi-Fi ของอพาร์ตเมนต์กดจองทันที ส่วนวิธีจ่ายเงินเจ้าของหนุ่มบอกให้หย่อนเงินสดลงกล่องรับไปรษณีย์หน้าห้องพร้อมกุญแจเมื่อจะออกจากอพาร์ตเมนต์ในวันพรุ่งนี้

โกรันลงไปซื้ออาหารเช้าและกลับขึ้นมาพร้อมบรรดาขนมปังอบ และแน่นอนว่าในจำนวนนั้นจะต้องมีบูเร็ค นอกจากนี้ก็ยังมีโยเกิร์ต และของหวานจำพวกเค้กชิ้นเล็กๆ ผมว่าจะลองต้มกาแฟแบบตุรกีด้วยตัวเองแต่กลัวจะออกมาห่างไกลจากความเป็นต้นตำรับ จึงยอมจำนนชงกาแฟแบบฟรีซดรายด์แทน

เสร็จธุระจำเป็นในตอนเช้าแล้ว โกรันชวนผมไปโบสถ์เซอร์เบียนออร์โธดอกซ์ St.Michael the Archangel โบสถ์ที่มีความสำคัญอย่างมากต่อชาวเซิร์บโดยเฉพาะช่วงที่ต่อสู้เพื่อเอกราชจากจักรวรรดิออตโตมัน ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1837 บนโบสถ์เก่าที่ถูกทำลายลงหลายครั้งซึ่งไม่สามารถระบุปีได้ว่าโบสถ์ยุคแรกนั้นสร้างขึ้นเมื่อใด

โกรันซื้อเทียนจากร้านค้าในโบสถ์มา 1 กำมือ จุดไฟอธิษฐานปักลงไปในกระถางสีเหลี่ยม 2 กระถาง ซึ่งกระถางด้านบนนั้นสำหรับคนที่ตายไปแล้ว ส่วนกระถางด้านล่างสำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ปักจนหมดก็นึกขึ้นได้ว่ายังเหลืออีกบางคนจึงไปซื้อเทียนมาปักเพิ่ม แล้วชวนผมเดินออกจากโบสถ์

คาเฟ่บนกำแพงของป้อมปราการกรุงเบลเกรด

อาคารฝั่งตรงข้ามโบสถ์คือที่อยู่ของสังฆราชาและพิพิธภัณฑ์โบสถ์เซอร์เบียนออร์โธดอกซ์ ถัดไปคือสถานทูตออสเตรีย ด้านขวามือของถนนคือสถานทูตฝรั่งเศส เราเดินไปยังป้อมปราการกรุงเบลเกรดที่กำลังมีการจัดนิทรรศการกลางแจ้งเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากซีเรีย

ผมถามโกรันว่าตามคูน้ำแห้งๆ ของป้อมที่มีขวดน้ำ กระป๋องเบียร์ อยู่กระจัดกระจายหลายจุดมาจากฝีมือของพวกยิปซีหรือเปล่า คำตอบคือไม่ใช่ แต่น่าจะมาจากคนท้องถิ่นที่นำเหล้าเบียร์ขึ้นมาดื่มแล้วทิ้งเกลื่อนกลาดมากกว่า และว่าประเทศของเขาไม่มีปัญหากับการอยู่กับชาวยิปซี (โรมานี) ไม่เหมือนหลายประเทศในยุโรปที่รังเกียจกลุ่มคนเหล่านี้ซึ่งดั้งเดิมแล้วพวกเขาอพยพมาจากตอนเหนือของอินเดีย เข้ามาถึงดินแดนบอลข่านเมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 12

พวกเราเดินไปอีกหน่อย เมื่อมองลงไปทางด้ายซ้ายมือจากขอบกำแพงส่วนที่เดินได้ก็เห็นแม่น้ำซาวาที่กำลังไหลออกไปบรรจบกับแม่น้ำดานูบ โดยมีเกาะสงครามใหญ่ (Great War Island) อยู่ตรงกลาง บนฝั่งป้อมปราการที่มีลักษณะเหมือนผาริมน้ำคือที่ตั้งของอนุสาวรีย์ผู้พิชิต (Pobednik ในภาษาเซอร์เบียน หรือ The Victor ในภาษาอังกฤษ) เป็นรูปปั้นเงินบุรุษเปลือยกาย รูปร่างกำยำอยู่บนฐานเสาคอนกรีตและหิน ในมือซ้ายมีนกเหยี่ยว มือขวาถือดาบสูง 14 เมตร สร้างขึ้นเพื่อรำลึกการขับไล่ออตโตมันเติร์กออกไปได้อย่างเด็ดขาดในสงครามบอลข่าน และชัยชนะเหนือจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในสงครามโลกครั้งที่ 1

ภายในสวนของป้อมปราการกรุงเบลเกรด

ไม่ไกลจากลานที่ตั้งของอนุสาวรีย์ผู้พิชิตมีคาเฟ่ร้านหนึ่ง วางโต๊ะเก้าอี้ชิดกับกำแพง ซึ่งแน่นอนว่าป้อมปราการเบลเกรดนี้ยากที่จะเข้าเงื่อนไขให้องค์การยูเนสโกพิจารณาเป็นมรดกโลก แต่ดูแล้วชาวเซิร์บไม่แยแสมากนัก โกรันนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งข้างๆ ลำโพงที่เปิดเพลงร็อคแอนด์โรลจากอเมริกา ผมเดินไปสั่งครื่องดื่มแก้กระหายที่เคาน์เตอร์ สาวสวย 2 อนงค์กำลังให้บริการ คนหนึ่งรูปร่างดีและสูงยาวเป็นคนเดินโต๊ะอย่างคล่องแคล่วว่องไว อีกคนทำหน้าที่แคชเชียร์ ผมขอโทนิคบิตเทอร์เลม่อนให้โกรัน และโคล่าให้ตัวเอง ขอใช้ห้องน้ำแล้วกลับออกมาจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มพร้อมทิปเล็กน้อย โต๊ะข้างๆ เราเป็นวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ดื่มเบียร์แก๊สเยอะยี่ห้อ Jelen กันตั้งแต่หัววัน โกรันบอกว่าพวกเขามาจากสโลวีเนีย ชาวสโลวีนเป็นคนสนุกสนาน ชอบดื่ม และออกจะพูดคุยเสียงดัง

นั่งพักแค่หมดเครื่องดื่มเราก็เดินออกจากเขตป้อมปราการแห่งเบลเกรดซึ่งมีต้นไม้และลานหญ้าอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ผ่านจุดสำคัญๆ อาทิ บ่อน้ำโรมัน พิพิธภัณฑ์ทางทหารที่นำของสะสมบางส่วนออกมาแสดงกลางแจ้ง พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ สวนไดโนเสาร์จำลอง และอนุสาวรีย์ความซาบซึ้งต่อฝรั่งเศส (Monument of Gratitude to France) เพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของกองทัพฝรั่งเศสที่ช่วยเหลือเซอร์เบียในสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นอนุสรณ์ความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ

ใกล้ๆ กันมีศาลา 8 เหลี่ยมเปิดโล่ง นักดนตรีคนหนึ่งกำลังเดี่ยวแอกคอร์เดียนของเขาในเพลงซิมโฟนีหมายเลข 9 ของบีโธเฟน ผู้ฟังทั้งเด็ก หนุ่มสาว ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ยืนฟัง นั่งฟัง นอนฟัง กันอย่างเพลิดเพลิน เพลงจบลงพร้อมเสียงปรบมือ นักดนตรีกล่าวขอบคุณแล้วเริ่มบรรเลงเพลงต่อไป

ถนนในเกาะกลางแม่น้ำซาวา ห้ามรถยนต์เข้ามาเด็ดขาด

โกรันเดินนำไปยังทางลงถนนเลียบแม่น้ำซาวา มีร้านอาหาร คาเฟ่ และผับบาร์ระดับหรูอยู่เป็นแถวยาว เราแวะที่ร้านให้เช่าจักรยาน ได้มาคนละคันแล้วโกรันก็ปั่นนำเลียบแม่น้ำไปทางซ้ายมือ ลอดสะพานข้ามแม่น้ำ 4 สะพาน ระยะทางกว่า 6 กิโลเมตร ถึงเกาะกลางแม่น้ำซาวา ที่ชื่อ Ada Ciganlija หรือเรียกสั้นๆ ว่า Ada

แม่น้ำซาวามีต้นกำเนิดทางภาคเหนือของประเทศสโลวีเนีย ไหลผ่านประเทศโครเอเชีย ทำหน้าที่เป็นแนวเขตแดนตามธรรมชาติระหว่างโครเอเชียทางเหนือและบอสเนียเฮอร์เซโกวีนาทางใต้ เข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเซอร์เบีย และไหลไปรวมกับแม่น้ำดานูบที่กรุงเบลเกรดตรงบริเวณป้อมปราการประจำเมืองที่ได้กล่าวถึงไป รวมความยาวของแม่น้ำทั้งสาย 990 กิโลเมตร

ช่วงประมาณ 10 กิโลเมตรก่อนจะไหลไปรวมกับแม่น้ำดานูบ ได้เกิดเกาะ Ada ลักษณะคล้ายรูปวงรีขึ้นกลางแม่น้ำความยาวจากตะวันตกไปทางตะวันออกประมาณ 6 กิโลเมตร จากเหนือสู่ใต้ประมาณ 700 เมตร รวมมีพื้นที่ประมาณ 2.7 ตารางกิโลเมตร ทางการกรุงเบลเกรดได้สร้างเขื่อนกั้นน้ำที่ไหลผ่านทางด้านใต้ของเกาะขึ้นหัวท้าย 2 เขื่อนเมื่อปี ค.ศ. 1967  เกิดเป็นทะเลสาบยาว 4.2 กิโลเมตร ส่วนกว้างเฉลี่ย 200 เมตร มีความลึก 4 – 6 เมตร ทั้งนี้ก่อนจะถึงพื้นที่ทะเลสาบ หลังจากเขื่อนแรกแล้วยังมีเขื่อนเล็กๆ อีกเขื่อนกั้นน้ำไว้เหมือนเป็นทะเลสาบเล็กๆ เพื่อบำบัดให้สะอาดก่อนปล่อยน้ำสู่ทะเลสาบใหญ่ ส่วนด้านเหนือของเกาะที่ปล่อยให้แม่น้ำไหลผ่านได้อย่างปกติยังมีเกาะเล็กๆ อีกเกาะชื่อ Ada Medica และพื้นที่เหนือริมน้ำฝั่งนั้นก็คือ “นิวเบลเกรด” หรือเบลเกรดเมืองใหม่ ย่านของอาคารที่อยู่อาศัยแบบบล็อกที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้

ทะเลเบลเกรด สถานที่พักผ่อนสำคัญของชาวเมือง

คงเพราะเซอร์เบียไม่มีทะเล ชาวเมืองนิยมมาพักผ่อนกันบนเกาะ Ada Ciganlija มากเป็นพิเศษในวันหยุดสุดสัปดาห์ จนเรียกกันว่าเป็นทะเลเบลเกรด และยิ่งหากเป็นช่วงสุดสัปดาห์ของหน้าร้อนก็จะมีผู้คนมาเยือนถึงกว่า 3 แสนคน นอกจากมานอนอาบแดดบนชายหาดรอบทะเลสาบแล้วก็ยังมีกิจกรรมทางน้ำอีกหลายอย่างให้เล่น เช่น พายเรือคายัก วอลเลย์บอลชาดหาด และบันจี้จัมป์ รอบทะเลสาบมีถนนสำหรับปั่นจักรยานและโรลเลอร์สเก็ต สนามกีฬาก็มีหลายชนิด ส่วนรอบนอกของเกาะยังมีเส้นทางให้ปั่นจักรยานอีก

เกาะแห่งนี้มีการจัดการด้านสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้นำรถยนต์เข้ามา เรือที่มีเครื่องยนต์แล่นในทะเลเบลเกรดนี้ไม่ได้ หรือแม้แต่สุนัขก็ไม่อนุญาตให้มาเดินเล่นริมชายหาดเพราะหากพวกคุณเขาปวดอุจจาระขึ้นมาก็คงไม่แคล้วปล่อยลงริมหาด เนื่องจากน้ำในทะเลสาบนี้ยังนำไปทำเป็นน้ำประปาที่ดื่มได้อีกด้วย

ป่าไม้บนเกาะรกครึ้มเขียวขจี มีไม้จำพวกโอ๊ค เอล์ม เบิร์ช และวิลโลว์ ช่วยทำให้อากาศเย็นสบายแม้ในฤดูร้อน นกและสัตว์หายากหลายชนิดมีชีวิตอยู่บนเกาะนี้อย่างปลอดภัย หลายคนเปรียบเกาะ Ada เหมือนโอเอซิสของเมืองเลยทีเดียว การเดินทางมายังเกาะ Ada นอกจากใช้จักรยานแล้ว ก็ยังมีรถเมล์และรถรางจากส่วนต่างๆ ของเมืองเบลเกรดอีกหลายสาย แต่จะเข้ามาถึงแค่ริมฝั่งทางด้านตะวันออกของเกาะเท่านั้น

เราปั่นจักรยานมาไกลและค่อนข้างเหนื่อยจึงแวะจอดพักที่คาเฟ่ริมหาดแห่งหนึ่ง สั่งเบียร์มาดับกระหายคนละขวด โกรันสั่ง Niksicko เบียร์จากมอนเตเนโกร ผมสั่ง Staropramen เบียร์จากสาธารณรัฐเช็ก หายเหนื่อยแล้วเราก็ปั่นต่อไปตามชายหาด เมื่อเข้าเขตนู้ดบีชก็จะมีแนวของไม้พุ่มสูงระดับพอพ้นหัวคนเป็นเขตกั้น ผมแกล้งหันไปมอง กำแพงต้นไม้ไม่ได้ทึบเสียทีเดียว แลเห็นแต่ชายสูงอายุทั้งนั้น ไม่มีสภาพสตรีแซมอยู่เลย จึงหันกลับมามองถนน ตั้งใจปั่นจักรยานต่อไป

เรือนแพทางด้านทิศเหนือของเกาะ Ada

เมื่อสุดฝั่งของทะเลสาบแล้วก็เลี้ยวขวาวกไปทางทิศตะวันออก โกรันนำทางเข้าป่าทางด้านซ้ายมือซึ่งมีทางดินพอปั่นไปได้จนทะลุทิศเหนือของเกาะซึ่งมีถนนรอบเกาะรองรับการปั่นจักรยานในเส้นทางที่ไกลขึ้น ข้ามถนนนี้ไปก็เป็นแนวของเรือนแพ นอกจากเรือนแพที่ชาวเมืองมาสร้างไว้สำหรับตกปลา บาร์บีคิว และพักผ่อนวันหยุดแล้ว ก็ยังมีเรือนแพที่เป็นร้านอาหารด้วย โกรันบอกว่าเจ้าของเรือนแพพวกนี้จะต้องจ่ายเงินให้รัฐเยอะพอสมควร เราปั่นไปหยุดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง จอดจักรยานในที่จอดข้างถนนแล้วเดินข้ามสะพานไม้ไปยังเรือนแพ

ระหว่างรออาหาร เราสั่งเบียร์ Budweiser Budvar เบียร์เช็กมาเรียกน้ำย่อยคนละขวด และมองดูเรือเฟอร์รี่วิ่งรับ-ส่งผู้โดยสารระหว่าง “นิวเบลเกรด” และเกาะ Ada ซึ่งฝั่งเหนือของเกาะสามารถใช้เรือที่มีเครื่องยนต์ได้

เรือเฟอร์รี่รับ-ส่งผู้โดยสารระหว่างเกาะ Ada และฝั่ง New Belgrade

อาหารมื้อนี้ถูกปากเหลือเกิน มีซุปปลา 1 หม้อ ปลาแม่น้ำตัวใหญ่ หั่นเป็นชิ้นๆ ย่างในกระทะที่ใส่เนยและกระเทียมสับ เสิร์ฟในถาดสเตนเลสใบใหญ่โดยรองด้วยผักใบเขียวพร้อมมะนาวหั่นสามสี่ชิ้น มันฝรั่งหั่นตามขวางนำไปอบหรือผัดกับอะไรผมไม่แน่ใจ และขนมปังสี่ห้าก้อนมาในตะกร้าใบเล็ก เช็คบิลในราคาประมาณ 400 บาทเท่านั้น ขากลับไปคืนจักรยานเราปั่นกันได้ค่อนข้างช้ากว่าปกติเพราะอิ่มจนง่วง

โกรันจ่ายเงินค่าเช่าจักรยานในราคาพอๆ กับค่าอาหารแล้วก็เดินไปนั่งดื่มกาแฟกันที่ Café Lavash ร้านริมแม่น้ำซาวา ด้านล่างของป้อมปราการเบลเกรด เห็นผู้คนออกมาดินเนอร์กันในอาภรณ์หรูหรา บางร้านต้องจองล่วงหน้าจึงจะมีโต๊ะนั่ง เมื่อตะวันตกดินไปได้สักพักและอาการก้นระบมจากการปั่นจักรยานบรรเทาลง กำลังของเราฟื้นคืนมาอย่างเหลือเชื่อ

เดินเข้าอพาร์ตเมนต์ อาบน้ำ แต่งตัวแล้วก็ออกไปตะลุยคืนวันเสาร์ในกรุงเบลเกรดกันอย่างเหมือนนกเพิ่งตื่นนอน

Don`t copy text!