
บนเส้นทางสู่ “โมกราโกรา”
โดย : วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ
“เที่ยวโทงเทง” คอลัมน์ท่องเที่ยวกับเรื่องเล่าจากสมุดบันทึกของ “วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ” ซึ่งได้แบกเป้เดินทางคนเดียวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นบันทึกการโดยสารขนส่งสาธารณะ การพบปะและบทสนทนากับผู้คน (ตลอดจนหมาแมว) พร้อมแนบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำเมือง แต่ละวันมักจบลงด้วยเบียร์เย็นๆ หรือวิสกี้ในบาร์ท้องถิ่น
วันคืนในกรุงเบลเกรดของเราถึงคราวต้องปิดฉากลงไปด้วยความอ่อนเพลียแต่เต็มไปด้วยเรื่องราวและความรู้สึกดีๆ โดยเฉพาะในทางครึกครื้นแบบแปลกๆ ชาวเมืองที่นี่เขาออกจะจริงจังกับความบันเทิงเริงรมย์ นั่นคงเพราะตลอดประวัติศาสตร์ของเซอร์เบียมีแต่ความไม่แน่นอน ศึกสงครามและความขัดแย้งขั้นรุนแรงครั้งสุดท้ายเพิ่งจะผ่านไปเพียงสิบกว่าปี เมื่อถึงคราวต้องดื่ม กิน เต้นรำ พวกเขาจึงใส่แบบไม่ยั้ง ตอนที่เรากลับจากออกมาจากผับ Strogi Centar ในเขตเมืองเก่าที่เล่นดนตรีแนวฟังก์ โซล และดิสโก้ ก็ตีสามกว่าเข้าไปแล้ว ยังมีคนหนุ่มสาวไปจนถึงรุ่นราวคราวลุงป้าบางคนยังวาดลวดลายบนฟลอร์เต้นรำกันอยู่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

หลังมื้อเช้าง่ายๆ ในเวลาสายมากแล้วเราก็ออกจากอพาร์ตเมนต์ที่พักเดินไปขึ้นรถราง (Trolley) ต่อด้วยรถไฟฟ้าล้อยาง (Trolleybus) แล้วนั่งรถบัสจากสถานีขนส่ง Ustanicka ชานกรุงเบลเกรด ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงบ้านแม่โกรันที่หมู่บ้านโบเลช
ระหว่างกินอาหารเที่ยงฝีมือแม่โกรันตอนประมาณบ่าย 3 โมง เราก็เห็นพ้องกันว่าจะยังไม่เดินทางไป ‘โมกราโกรา’ (Mokra Gora) ในวันนี้เพราะร่างกายไม่พร้อมและคงจะไปถึงในเวลามืดค่ำเกินไป โกรันจึงโทรศัพท์ไปขอเลื่อนวันกับเจ้าของที่พักซึ่งผมได้จองไว้แล้วทางเว็บไซต์รับจอง ปลายสายตอบตกลงแถมยังใจดีเล่าให้ฟังว่าที่นั่นฝนกำลังตกหนัก คงไม่สะดวกในการเดินทางและการเข้าพัก เราจึงแยกย้ายกันงีบหลับในบ้าน ตื่นมากินข้าวเย็น จิบวิสกี้ดูทีวีกันนิดหน่อยแล้วก็เข้านอนอีกครั้ง วันรุ่งขึ้นจึงตื่นกันตั้งแต่เช้าอย่างสดชื่น
หลังมื้อเช้าที่มีไข่คน ผักชุบไข่และแป้งทอดแบบแบนๆ ขนมปังทาชีสและแฮมสเปรด ปิดท้ายด้วยโยเกิร์ต โกรันหนักมื้อเช้าอย่างเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนผมนั้นกินเข้าไปเยอะกว่าเคยเพราะรู้ว่าต้องเดินทางไกล
เวลาสายๆ เราก็ออกเดินทางด้วยรถยนต์ Skoda Octavia ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ วิวสองข้างทางในช่วงแรกๆ ค่อนข้างเป็นที่ราบ จากนั้นก็เป็นเนินทุ่งหญ้าที่เรียงกันมองดูคล้ายคลื่น มีต้นไม้ขนาดกลางและไม้พุ่มขึ้นแซมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ บางช่วงเป็นไร่ผลไม้จำพวกแอปเปิ้ล พลัม องุ่น และตระกูลเบอร์รี สลับกับบ้านเรือนที่ไม่หนาแน่น นอกจากจะผ่านเขตเมืองเล็กๆ ช่วงครึ่งหลังของเส้นทางเป็นภูเขาสูง ถนนเลื้อยไปตามไหล่เขาจนนับจำนวนโค้งไม่ไหว มีหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่ในหุบเขา แม่น้ำสายน้อยไหลผ่าน บ้านบางหลังไปตั้งอยู่บนภูเขาสูงอย่างไม่ทราบเหตุผลของเจ้าของบ้าน ภูมิประเทศสลับสับเปลี่ยนน่าตื่นตาตื่นใจ

เมืองสำคัญที่เราผ่านมี ‘ลาซาเรวัช’ (Lazarevac) ซึ่งเป็นเมืองที่พ่อของโกรันต้องเดินเท้าจากหมู่บ้านเชิงเขานับสิบกิโลเมตรเพื่อมาเรียนหนังสือในเมืองนี้ทุกวันตอนเป็นเด็ก เมือง ‘วัลเยโว’ (Valjevo) เป็นเมืองสำคัญขนาดกลาง จากนั้นก็เข้าสู่ถนนเส้นรอง โกรันขับรถเข้าไปให้ผมชมเมืองเล็กๆ น่ารักชื่อ ‘คอสเจริช’ (Kosjeric) ขับต่อไปยังเมือง ‘โปเซกา’ (Pozeka) ซึ่งดูเงียบๆ แต่สวยงาม เก่าแก่ มีเสน่ห์ ออกจากโปเซกาก็ขับไปบรรจบกับถนนสายหลักอีกสายซึ่งปกติโกรันจะใช้เส้นทางนี้
จากเมืองโปเซกาไปทางทิศตะวันตกไม่นานก็ถึงเมือง ‘อูซิเซ’ (Uzice) เมืองนี้เป็นอีกเมืองที่มีขนาดปานกลาง ด้านขวามือคือสนามฟุตบอล Gradski Stadion ของทีม Slobada Uzice ความจุขนาด 15,000 ที่นั่ง ทีมเก่าบ้านเกิดของ ‘เนมันยา วิดิช’ ก่อนที่เขาจะไปเล่นให้กับ ‘เรดสตาร์ เบลเกรด’ ยอดทีมของประเทศ และข้ามประเทศไปยังรัสเซียเพื่อค้าแข้งที่ ‘สปาร์ทัค มอสโก’ แล้วย้ายไปเป็นกองหลังระดับตำนานของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ระหว่างทางโกรันได้แวะตามอนุสรณ์สถานรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ต่างๆ ที่พบเจอสองข้างทาง และยังบรรยายข้อมูลเกี่ยวกับภูมิประเทศควบคู่ไปกับประวัติศาสตร์ของเซอร์เบียโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสงครามการสู้รบ ชี้ให้ผมดูภูเขาที่นายพลและทหารของเขาผู้นิยมระบอบกษัตริย์ต้องหลบหนีถอยร่นและใช้เป็นที่ตั้งในช่วงการต่อสู่กับกองทัพคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ตอนนั้นแน่ชัดแล้วว่ากำลังจะชนะนาซีเยอรมันจึงเร่งกำจัดศัตรูเบอร์สองต่อทันที ซึ่งโกรันจะนำผมไปเยือนสถานที่ที่นายพลถูกจับในวันหลัง
เวลาเกือบ 5 โมงเย็นเราก็มาถึง ‘โมกราโกรา’ (Mokra Gora) แปลตามตัวว่า ‘ภูเขาเปียก’ โมกราโกรามีสถานะเป็นหมู่บ้านหนึ่งของเมืองอูซิเซ ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาไม่ถึง 10 กิโลเมตร เมื่อออกจากรถก็สัมผัสได้ถึงอากาศที่เย็นกว่ากรุงเบลเกรดหลายองศา ที่พักของเราชื่อ ‘อพาร์ตเมนต์มิเลฟ’ (Apartment Milev) มีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน ด้านหลังเป็นภูเขา

บริเวณที่จอดรถริมลำธารหน้าที่พัก มีป้ายแสดงรูปและข้อความ เขียนขึ้น 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาเซอร์เบียน อังกฤษ และรัสเซียน ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า
“ในโมกราโกรา ใกล้ๆ กับแม่น้ำ Kamisina มีน้ำพุธรรมชาติชื่อ ‘Bele Vode’ (น้ำสีขาว) ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถรักษาโรคผิวหนังและโรคที่เกี่ยวกับดวงตาได้ ถูกพบในปี ค.ศ. 1994 หลังจากแม่น้ำ Kamasina เกิดท่วมทะลักไปถึง น้ำจากน้ำพุมีค่าความเป็นด่างสูงถึง 11.75 ph มีแร่ธาตุต่ำ และอุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียส เพียงล้างหน้าด้วยน้ำนี้อย่างปกติทั่วไปก็จะช่วยให้ผิวหน้านุ่มลื่นและไร้ริ้วรอย น้ำพุแห่งนี้เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจของคนหนุ่มสาวและชาววัยกลางคนทั้งหลาย นอกจากจะต้องปกปักรักษาไว้เพื่อการอนุรักษ์แล้วก็เพื่อการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแก่ผู้ที่ผิดปกติทางด้านไขข้อ ระบบประสาท ภาวะเจริญพันธุ์ในสตรี และผิวหนัง ถัดไปจากน้ำพุธรรมชาตินี้เรายังมีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งทางเทคโนโลยี แสดงของสะสมบรรดาเครื่องจักรพลังไอน้ำ ยานพาหนะที่ใช้กับราง และสโมสรของสมาคมชาวโมกราโกรา ทั้งนี้เมื่อสืบค้นไปในอดีตก็พบว่าน้ำพุธรรมชาติดังกล่าวยังได้ถูกระบุในตำนานและเรื่องเล่าของภูมิภาคแห่งนี้มาก่อนแล้วด้วย”
ท่านใดสนใจพิสูจน์ประสิทธิภาพของน้ำพุสีขาวนี้ก็สามารถเดินทางมาด้วยรถไฟจากกรุงเบลเกรด เมื่อถึงเมืองอูซิเซแล้วค่อยต่อรถบัสมายังโมกราโกรา หรือจะมากับรถบัสหรือบริษัททัวร์ก็ไม่เสียหาย ภูมิภาคนี้ของเซอร์เบียมีสถานที่ธรรมชาติที่สวยงามอีกอย่างน้อยสองสามแห่งรอให้มาเยือน โดยเฉพาะ ‘ซลาติบอร์’ และ ‘ทารา’
บ้านพัก (ซึ่งผิดกับแบบอพาร์ตเมนต์ทั่วไป) มีจำนวน 6 หลัง สามารถพักได้เป็นครอบครัว มี 2 ห้องนอน รวม 4 เตียง ห้องครัว ห้องนั่งเล่น และห้องน้ำ หน้าบ้านก็ใช้รับแขกและนั่งเล่นได้ เหมาะแก่การจิบกาแฟในตอนเช้า จิบชาในตอนบ่าย และจิบเบียร์ ไวน์ หรือบรั่นดีพลัมในตอนพลบค่ำ

เจ้าของที่พักยังหนุ่ม อายุไม่น่าจะเกิน 30 ปี ดูเป็นมิตร พูดคุยยิ้มแย้ม เขาทำงานอยู่ในกรุงซาราเยโว เมืองหลวงของบอสเนียฯ ที่พักแห่งนี้เพิ่งเปิดได้ 2 ปี สนนราคาคืนละ 36 ยูโร รวมภาษีหรือค่าใช้จ่ายสำหรับเขตอุทยานเป็น 41 ยูโร ถือว่าถูกมากสำหรับบ้านทั้งหลัง ในบ้านมีเตาผิงให้ความอบอุ่นโดยใช้ฟืน คนสวนซึ่งทำงานอยู่ไม่ไกลโบกมือและกล่าวทักทายพวกเรา เขาคือผู้ที่เตรียมฟืนวางไว้ข้างเตาให้กับแขกที่เข้าพัก
เมื่อเก็บกระเป๋าและล้างหน้าล้างตาแล้ว เราก็ออกเดินไปบนถนนเพื่อหาร้านอาหารสำหรับกินมื้อเย็น เราเดินผ่านร้านขายของชำ โกรันแวะซื้อบัตรเติมเงินโทรศัพท์ ผมเห็นบรรดาเบียร์ที่แช่อยู่ในตู้เย็น ราคาถูกกว่าบ้านเราทุกยี่ห้อ ขวดละไม่ถึง 20 บาทก็มีหลายยี่ห้อทั้งที่ส่วนมากเป็นเบียร์นำเข้า คงเพราะมีการแข่งขันอย่างเสรีจึงทำให้ราคาถูกลง และรัฐบาลของเขาไม่ได้มองว่าการดื่มเบียร์เป็นสิ่งชั่วร้ายเลวทรามจนต้องเก็บภาษีแพงๆ อีกทั้งนายทุนก็ไม่ตะกละตะกลามจนเกินเหตุ
ออกจากร้านขายของชำ เดินไปไม่ไกลก็แล้วเลี้ยวขวาไปยังสถานีรถไฟโมกราโกรา ป้ายบอกทางเขียนว่า SARGAN EIGHT (เส้นทางหมายเลข 8) เนื่องจากเส้นทางการวิ่งของรถไฟท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติสายนี้เมื่อมองจากมุมสูงจะเห็นรางรถไฟคดเคี้ยวไปมาตามลักษณะภูมิประเทศ ออกมาเป็นรูปเลข 8 ซึ่งวันนี้รถไฟเที่ยวสุดท้ายได้ให้บริการไปแล้ว บริษัทที่ให้บริการรถไฟสายเลข 8 นี้ชื่อ Osmica มีทั้งโรงแรมที่ติดเชิงเขาใกล้ๆ สถานี และร้านอาหารที่ตั้งอยู่ด้านหน้า

ร้านอาหารมีขนาดค่อนข้างใหญ่ โกรันเดินเข้าไปนั่งโต๊ะด้านในของร้าน ผมไม่เห็นด้วยเพราะวิวข้างนอกดีกว่าเป็นไหนๆ และอากาศใกล้ค่ำยังไม่หนาวเท่าไหร่ เขาว่าตั้งใจจะดูข่าวในทีวี ผู้นำเซอร์เบียกำลังเดินทางเยือนจีนเพื่อความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะแผนการสร้าง ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ ของจีน เขาให้ความสนใจเป็นอย่างมาก มองว่าจีนเข้ามาช่วยพัฒนาความเจริญในส่วนของการคมนาคมขนส่งได้ดี เพราะประเทศเซอร์เบียเองไม่มีงบประมาณเพียงพอ แต่ตอนที่อธิบายให้ผมฟังนี้เราก็ออกมานั่งรับอากาศเย็นข้างนอกเรียบร้อยแล้ว
เราสั่งสลัดคนละจาน และเนื้อรมควันชิ้นใหญ่เสิร์ฟมาในชามซุปเป็นเมนคอร์สเหมือนกัน กินกับขนมปัง ก่อนกินก็เรียกขอชนัฟที่เรียกว่า ‘รักเคีย’ (Rakija) หรือบรั่นดีพลัมจากคุณป้าผู้ให้บริการในร้านคนละช็อต ซึ่งเหมาะกับอากาศและเรียกน้ำย่อยได้ดีมาก
มื้อเย็นจบลงยังพอมีแสงจากดวงอาทิตย์จึงรีบเดินไปตามเส้นทางที่คุณป้าแห่งร้านอาหารบอกว่าจะนำไปสู่ Drvengrad (ดระเวนกราด – เมืองไม้) หรือบางคนเรียกตามชื่อหมู่บ้านละแวกนั้นว่า ‘เมชาฟนิค’ (Mecavnik) เราเดินเลียบรางรถไฟไปไม่น่านก็ไต่ขึ้นเนินเขาไปตามทางเดินดิน แวะถามสตรีที่บ้านหลังหนึ่ง เธอกำลังหัวเสียกับลูกน้อยที่ร้องจ้าอยู่ แต่ก็ยังสละเวลาบอกทางแก่เรา เธอว่าให้เดินไปเรื่อยๆ ตามทางดินนั่นแหละก็จะถึงเมืองไม้บนเนินเขา
นี่ไม่ใช่ทางเข้า แต่เราก็มาถึงจนได้ เมืองโบราณสร้างขึ้นด้วยไม้ล้วนๆ โดย ‘เอเมียร์ คูซตูริซา’ (Emir Kusturica) ผู้กำกับภาพยนตร์และศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ชาวเซิร์บ เขาสร้างเมืองนี้ขึ้นเพื่อเป็นฉากในภาพยนตร์เรื่อง Life is a Miracle เมื่อปี ค.ศ. 2004 และเก็บรักษาเมืองไม้แห่งนี้ อีกทั้งเปิดเป็นที่พัก ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ ฯลฯ ไว้จนกระทั่งปัจจุบัน และนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008 ก็ได้จัดเทศกาลภาพยนตร์และดนตรีประจำปีขึ้นเรื่อยมา
ขออนุญาตยกยอดรายละเอียดเมืองไม้และเรื่องราวของเส้นทางรถไฟหมายเลข 8 ไปเล่าในตอนหน้านะครับ
- READ เมืองไม้และรถไฟสายเลข 8
- READ บนเส้นทางสู่ “โมกราโกรา”
- READ กีฬา กาแฟ แก๊ส เกาะ
- READ เมืองขาวของชาวเซิร์บ
- READ โร้ดทริปสู่เซอร์เบีย
- READ วิสกี้ ซิการ์ บูดาเปสต์
- READ คอยเพื่อนที่บูดาเปสต์
- READ ปวดบาทาที่บูดาเปสต์
- READ ทิมิชัวรา – บูดาเปสต์
- READ จาก ‘ซีบีอู’ สู่ ‘ทิมิชัวรา’
- READ มื้อเช้าของนักเดินทางและสะพานคนลวง
- READ ดวงตาซีบีอู
- READ เสน่หา บราชอฟ
- READ รถไฟสายทรานซิลเวเนีย
- READ เชาเชสคูและบูคาเรสต์
- READ บูนา บูคาเรสต์
- READ ผู้ควบอาชาแห่งเมืองบราชอฟ