ดรีนา มิลยัสกา ซาราเยโว 

ดรีนา มิลยัสกา ซาราเยโว 

โดย : วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ

Loading

“เที่ยวโทงเทง” คอลัมน์ท่องเที่ยวกับเรื่องเล่าจากสมุดบันทึกของ “วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ” ซึ่งได้แบกเป้เดินทางคนเดียวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นบันทึกการโดยสารขนส่งสาธารณะ การพบปะและบทสนทนากับผู้คน (ตลอดจนหมาแมว) พร้อมแนบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำเมือง แต่ละวันมักจบลงด้วยเบียร์เย็นๆ หรือวิสกี้ในบาร์ท้องถิ่น

เราเช็กเอาท์จากโรงแรมของเมืองหิน “อันดริซกราด” (Andricgrad) ราว 9 โมงเช้า หนุ่มพนักงานต้อนรับออกใบเสร็จให้พร้อมเอกสารแผ่นเล็กๆ ระบุชื่อของเรา ชื่อโรงแรม และวันเวลาเข้าพัก เขาบอกว่าให้เก็บติดตัวไว้เผื่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเรียกดู

หลังจากเอากระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บในรถของโกรันที่จอดอยู่ในลานจอดด้านหน้าของเมืองหินแล้วก็เดินกลับเข้าไปอีกครั้งเพื่อกินมื้อเช้าที่ร้านอาหารของอันดริชกราด แฮมแผ่นรูปวงกลมสอดไส้อยู่ในไข่เจียวเหมือนกับแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นบางๆ บานๆ ทอดด้วยเนยและโรยด้วยเครื่องเทศสีเขียวๆ กรอบๆ กินมื้อเช้าเสร็จผมใช้ Wi-fi ของร้านอาหารเข้าอินเตอร์เน็ตจองที่พักในกรุงซาราเยโว พบที่พักทำเลดีโกรันก็บอกให้กดจอง

ตอนออกจากร้านอาหารผมนึกว่าจะออกเดินทางกันทันที แต่โกรันเดินไปเลือกซื้อของที่ระลึกบริเวณทางเข้าลานจอดรถที่มีร้ายขายอยู่สามสี่ร้าน ผมเดินไปเลือกได้แผ่นแม่เหล็กติดตู้เย็น 2 ชิ้นก็เรียบร้อย แต่โกรันพิถีพิถันในการเลือกและใช้เวลานานมากเพื่อซื้อฝากลูกๆ ทั้ง 3 คน จากนั้นก็ยังไม่เดินกลับไปขึ้นรถแต่เดินเข้าเมือง บอกว่าจะไปซื้อไวน์เพิ่มทั้งที่เมื่อวานก็ซื้อจากร้านในเมืองหินมาจำนวนหนึ่งแล้ว

ม้าตัวนี้เลือกวิวในการหากินได้อย่างมีรสนิยม

ผมเดินเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตตามโกรันไปด้วย ซื้อขนมขบเคี้ยว เวเฟอร์ และน้ำเปล่า เผื่อหิวระหว่างทาง หันไปเห็นเบียร์ในตู้แช่ ยี่ห้อ Pilsner Urquell จากเช็ก กระป๋องขนาด 500 มิลลิลิตร ราคา 1.65 BAM คิดเป็นเงินไทยไม่ถึง 30 บาท ยี่ห้อ Niksicko จากมอนเตเนโกร ราคา 1.35 BAM เบียร์ Jelen จากเซอร์เบีย ราคา 1.25 BAM และอีกหลายยี่ห้อเบียร์นำเข้าซึ่งล้วนราคาถูก ไม่เหมือนบ้านเราแค่นำเข้าจากลาวก็แพงกว่าที่นี่อย่างน้อย 2 เท่า ทั้งที่ค่าครองชีพด้านอื่นๆ รวมถึงค่าแรงขั้นต่ำก็พอๆ กับไทย ส่วนไวน์นั้นตกขวดละ 10 – 20 BAM (200 – 400 บาท) ส่วนมากมาจากฝั่งเฮอร์เซโกวีนาที่มีภูมิประเทศและสภาพอากาศเหมาะสำหรับปลูกองุ่นเพื่อผลิตไวน์ โกรันเลือกใส่ตะกร้าหลายขวดเพื่อนำไปดื่มที่บ้านในสาธารณรัฐเช็ก

เมืองหินอันดริชกราดตั้งอยู่ตรงปลายแหลมจุดที่แม่น้ำรซาฟไหลไปบรรจบกับแม่น้ำดรีนา

เดินกลับจะไปขึ้นรถ ปรากฏว่าเขาแวะร้านขายของที่ระลึกอีกรอบเพราะยังไม่ได้ของฝากสำหรับลูกสาววัย 4 ขวบ เขาเองมีร้านขายของที่ระลึกอยู่ในกรุงปราก คงติดนิสัยพ่อค้าที่ต้องดูอย่างละเอียด รวมแล้วใช้เวลาที่ร้านขายของที่ระลึกมากกว่าครึ่งชั่วโมง แล้วจึงได้เดินทางไปยังเนินเขาไม้กางเขน หรือ Grad Hill อยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองวิเชกราด (Visegrad)

โกรันจอดรถใกล้รั้วบ้านหลังหนึ่งบริเวนทางขึ้นเขา แลเห็นแม่น้ำดรีนาอีกฝั่งก่อนที่จะไหลเลี้ยวไปยังบริเวณตัวเมืองวิเชกราด ระหว่างที่เดินขึ้นยอดเนินเจอม้าตัวผู้รูปร่างอ้วนพีตัวหนึ่งกินหญ้าอยู่อย่างเพลิดเพลิน ตัวมันสีน้ำตาล ส่วนแผงคอและหางสีดำ ไม่ไกลกันลูกหมาสีดำครอกหนึ่งเพิ่งคลอดออกจากท้องแม้ได้ไม่กี่สัปดาห์เดินไปมาอยู่ใต้ต้นไม้ โกรันเตือนผมว่าอย่าไปจับเพราะอาจมีเชื้อโรค ถึงเขาไม่บอกผมก็ไม่จับอยู่แล้ว เพราะกลัวแม่พวกมันจะกัดเอา

มีกลิ่นเหม็นโชยมาขณะเราเดินขึ้นเนินเขาในส่วนที่เป็นหินซึ่งชันมากก่อนถึงยอดเนิน ผมกำลังเหนื่อยหอบจากการไต่ระดับความสูงจึงสูดดมกลิ่นเข้าไปเต็มๆ น่าจะเป็นกลิ่นซากสัตว์ที่เพิ่งตายไม่นาน แต่ไม่เห็นว่าเป็นซากตัวอะไร และไม่อยากจะมองหา

ทุ่งหญ้าและปศุสัตว์ ช่วงกลางๆ ของการเดินทางไปยังกรุงซาราเยโว

จากยอดเนิน Grad Hill มองลงไปเห็นแม่น้ำดรีนา สะพาน “เมเหม็ด พาชา โซโคโลวิช” เมืองวิเชกราดทั้งสองฝั่งแม่น้ำ และยอดเขาสลับซับซ้อนค่อยๆ ถอยห่างออกไปจนกลืนหายไปกับขอบฟ้า เป็นทัศนียภาพที่น่าประทับใจมาก และหากหันหลังมองไปยังอีกฝั่งซึ่งแม่น้ำดรีนาไหลมาจากทิศใต้ผ่านช่องเขาแคบๆ น้ำยังคงแลเห็นเป็นสีเขียวมรกตแม้มองสูงจากยอดเนิน

เมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 2017 ซึ่งเป็นเวลาเพียงเดือนกว่าๆ ก่อนที่เราจะมาถึง รัฐบาลสาธารณรัฐเซิร์ปสกาได้ทำพิธีเปิดอนุสรณ์สถานไม้กางเขนแบบรัสเซียนออร์โธดอกซ์บนเนินเขาแห่งนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงทหารรัสเซียที่มาช่วยกองกำลังเชิร์บรบกับฝ่ายบอสนีแอก (มุสลิมในบอสเนียฯ) และเสียชีวิตลง 37 นายระหว่างสงคราม จากที่ถูกส่งมาประมาณ 500 – 600 นาย สร้างความโกรธเคืองให้กับชาวมุสลิมในบอสเนียฯ เป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาคือฝ่ายที่ถูกกระทำอย่างเจ็บแสบและสูญเสียมากกว่า เฉพาะในเมืองวิเชกราดและพื้นที่ใกล้ๆ กันนี้มีชาวบอสนีแอกเสียชีวิตถึงประมาณ 3,000 คน โดยมีการสังหารบนสะพานที่เรามองอยู่เบื้องล่างแล้วโยนศพลงน้ำไปก็ไม่น้อย

เราออกจากเมืองวิเชกราดในเวลาเกือบบ่ายโมง ใช้สะพานสำหรับรถข้ามทางด้านทิศเหนือของเมือง ข้ามไปยังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ แล้วขับไปบนถนนเลียบแม่น้ำไปทางทิศใต้ ทะลุอุโมงค์ภูเขาหลายอุโมงค์ ซึ่งก่อนจะเข้าอุโมงค์ก็จะมีป้ายบอกระยะทางว่าอุโมงค์นั้นยาวกี่เมตร ผ่านทางคดเคี้ยวอยู่นานถนนก็หนีออกจากแม่น้ำ ภูมิประเทศเปลี่ยนเป็นลักษณะเนินทุ่งสลับกับที่ราบ แลเห็นทิวเขาอยู่ไกลๆ

บางช่วงระหว่างเส้นทางฝนได้ตกลงมาแต่ไม่หนักมาก เราใช้เวลา 2 ชั่วโมงนิดๆ ก็เข้าสู่เขตกรุงซาราเยโว เมื่อสุดเขตของสาธารณรัฐเซิร์ปสกาก็มีป้ายระบุไว้ว่าเข้าสู่เขตสหพันธรัฐบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ผมหันหลังตามป้ายแผ่นหนึ่งเพื่ออ่านข้อความซึ่งมีไว้สำหรับรถยนต์ฝั่งตรงข้าม ป้ายเขียนว่า “ขอต้อนรับสู่สาธารณรัฐเซิร์ปสกา” มีสีแดงสาดลงบนป้ายนั้น จึงรู้สึกได้ถึงความขัดแย้งที่ยังไม่หมดไป

“ให้ข้าดื่มกาแฟอย่างเพียงพอ จะครองโลกทั้งใบก็ยังได้” กล่าวโดย “Terry Pratchett” นักเขียนชาวอังกฤษ

โกรันเคยเดินทางมายังกรุงซาราเยโวครั้งเดียวเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กนักเรียนมัธยม ตอนที่ดินแดนของชาวสลาฟตอนใต้หลายเผ่าพันธุ์ยังรวมกันเป็นสหพันธรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย ซึ่งผ่านมาแล้วราว 30 ปี ก่อนที่สงครามแยกดินแดนที่กลายเป็นสงครามเชื้อชาติจะปะทุขึ้นในปี ค.ศ.1992 และกรุงซาราเยโวแห่งนี้ถูกกองกำลังของฝ่ายเซิร์บปิดล้อมโจมตีอยู่นานถึง 1,425 วัน หรือเกือบ 4 ปีเต็ม

แม้ว่ากำลังฝ่ายบอสนีแอกจะมีมากกว่าแต่อาวุธยุทโธปกรณ์นั้นเทียบกับกองกำลังเซิร์บไม่ได้เลย อีกทั้งกรุงซาราเยโวซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาถูกฝ่ายเซิร์บโจมตีอย่างง่ายดายเพราะอยู่ในชัยภูมิที่ดีกว่า จนภายหลังกองกำลังนาโตได้เข้ามาช่วยฝ่ายบอสนีแอกและสงครามก็ได้ยุติลงในต้นปี ค.ศ. 1996 มีคนล้มตายในสงครามทั่วทั้งบอสเนียฯ นับแสน พลัดถิ่นฐานกว่า 2 ล้าน ชาวมุสลิมต้องอพยพออกจากดินแดนที่พลเมืองส่วนใหญ่เป็นชาวเซิร์บ เช่นเดียวกับที่ชาวเซิร์บต้องย้ายออกจากเมืองที่บอสนีแอกเป็นใหญ่ นอกจากนี้ยังมีชาวโครแอตที่นับถือคริสต์นิกายคอทอลิกซึ่งอยู่ข้างบอสนีแอกและมีส่วนร่วมในสงครามด้วยก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน

จาก “ข้อตกลงเดย์ตัน” (Dayton Agreement) ทำให้ดินแดนของฝ่ายสาธารณรัฐเซิร์ปสกา (Republika Serpska) และสหพันธรัฐบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา (Federation of Bosnia and Herzegovina) ถูกขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจนภายในหนึ่งประเทศคือบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา แม้ว่าเมืองหลวงจะยังคงเป็นซาราเยโว แต่แทบจะแยกการบริหารการปกครองออกจากกัน โดย “บันยาลูกา” (Banja Luka) คือเมืองหลวงของสาธารณรัฐเซิร์ปสกา

แน่นอนว่าโกรันจำถนนหนทางไม่ได้ และยิ่งอาคารบ้านเรือนที่ถูกทำลายลงไปเป็นหมื่นๆ หลัง ก็ย่อมทำให้กรุงซาราเยโวไม่มีอะไรเป็นที่คุ้นเคย เพียงแต่เขาได้ศึกษาประวัติศาสตร์มาพอสมควรจนทราบว่าสถานที่สำคัญๆ มีอะไรบ้าง

วิวจากห้องพักของผู้เขียนในกรุงซาราเยโวหลังฝนตก

ตอนที่มาถึงและจอดรถในที่จอดเสียเงินแห่งหนึ่งฝนยังตกลงมา ผมโชคดีที่มีเสื้อกันฝนขณะที่โกรันไม่ได้เตรียมมา โทรศัพท์ของเราทั้งคู่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ ของผมนั้นใช้ซิมโรมาเนีย ส่วนโกรันใช้ซิมของเซอร์เบีย แต่ผมได้แคปหน้าจอแสดงที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของที่พักไว้ โกรันถามทางกับคนเก็บเงินค่าที่จอดรถ แล้วก็เดินนำตรงไปยังแม่น้ำ มิลยัสกา” (Miljacka) น้ำมีสีออกแดงๆ จนผมเผลอพูดออกมาว่า คล้ายเลือด โกรันถึงกับส่ายหน้า คงรู้สึกประมาณว่า มึงจะพูดทำไม’

ศาลาว่าการกรุงซาราเยโวตั้งอยู่ด้านซ้ายมือก่อนที่จะข้ามสะพาน เมื่อข้ามไปแล้วเห็นสถานทูตคูเวตอยู่เยื้องๆ กัน เราเลี้ยวขวาไปบนถนน Obala Isa-bega Ishakovica แล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Isevica Sokak  ไม่นานก็พบหมายเลขของที่พักที่จองไว้ ซึ่งผมทราบทีหลังว่าหมายเลข 4,7 นั้นหมายถึงบ้านเลขที่ 4 ตั้งอยู่บนชั้น 7

ชั้นล่างของอาคารหลังนี้มีคาเฟ่ ชื่อ GONDOLA โกรันเปิดประตูเข้าไปถามสตรีผู้ดูแลร้านก็ได้ความว่าห้องพักน่าจะอยู่ด้านบน เมื่อรู้ว่าโทรศัพท์ของเราใช้โทรไม่ได้เธอก็กรุณาใช้โทรศัพท์ของเธอโทรให้ แล้วอธิบายหลังวางสายว่า “เจ้าของที่พักไม่ทราบว่ามีคนจอง ตอนนี้กำลังติดธุระอยู่นอกเมือง จะมาหาตอน 5 โมงกว่าๆ” เราจึงสั่งกาแฟดื่มรอ

มีกลุ่มวัยรุ่นชายเข้ามาสูบบารากุและเปิดเพลงในเว็บไซต์ยูทูปจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของร้าน เป็นเพลงของวง Guns n’ Roses ติดต่อกันหลายเพลง สักพักมีกลุ่มวัยรุ่นสาว คาดว่าจะเรียนในระดับมัธยมปลาย เปิดประตูหลังของร้านเข้ามานั่งสูบบุหรี่ใกล้ๆ กับประตู

ผมดื่มกาแฟหมดก็สั่งน้ำเปล่าจากสตรีผู้ดูแลร้าน รออยู่จนเกือบจะ 6 โมงเย็น Mr.Adi เจ้าของ Eni Apartment ก็ยังไม่โผล่มา ผมขอรบกวนให้เธอโทรศัพท์หา Mr.Adi อีกครั้ง แต่เธอว่า “เขามาแน่ อีกประเดี๋ยวเดียว ได้โปรดรอก่อน” พอผมจะสั่งเบียร์ Mr.Adi ก็โทรศัพท์เข้ามายังเครื่องของเธอ และบอกให้เราเดินตามออกไปหลังร้านแล้วก็ได้เจอกับ Mr.Adi ผมและโกรันขอบคุณในน้ำใจของเธอเป็นการใหญ่

Mr.Adi จับมือทักทายกับเราแล้วเดินนำทางขึ้นลิฟต์ด้านหลังของอาคาร ลิฟต์มีถึงแค่ชั้น 6 เราจึงต้องเดินอีกหนึ่งชั้นเพื่อเข้าห้องพักชั้น 7 ซึ่งเป็นชั้นบนสุด

เว็บไซต์รับจองที่พักไม่ได้แสดงภาพของห้องน้ำ เมื่อเปิดประตูเข้าไปผมจึงเข้าใจสาเหตุ เพราะห้องน้ำมีเฉพาะอ่างอาบน้ำและโถสุขภัณฑ์ ไม่มีอ่างล้างหน้า แต่ส่วนอื่นของห้องพักถือว่าไม่เลวเลยทีเดียวสำหรับราคาคืนละประมาณ 1,200 บาท มีเตียง 2 เตียง ครัวขนาดกะทัดรัด และประตูด้านหนึ่งของห้องพักเมื่อเปิดออกไปแล้วพบว่าเป็นระเบียงขนาดใหญ่ ชมกรุงซาราเยโวได้ 180 องศา รวมถึงแม่น้ำมิลยัสกา ศาลาว่าการเมือง และบ้านเรือนบนเนินเขาด้านขวามือ ส่วนหน้าต่างในห้องก็สามารถมองเห็นเมืองอีกฝั่งได้อีก 180 องศา

แม่น้ำมิลยัสกา และศาลาว่าการกรุงซาราเยโว

ผมรออยู่ในห้องพักขณะโกรันลงลิฟต์ไปพร้อมกับ Mr.Adi และเดินไปเอารถที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำด้วยกัน Mr.Adi นั่งรถกลับมากับโกรัน เมื่อถึงที่จอดของอาคารที่พักแล้ว Mr.Adi ก็ถอยรถของตัวเองออกเพื่อให้โกรันเข้าจอดแทน แล้วเขาก็ขับออกไป

โกรันแบกกระเป๋าเสื้อผ้าของผมขึ้นมาด้วย ผมรับมาแล้วฟังเขาเล่า

“Mr.Adi เป็นมุสลิมอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว แต่เขาบอกว่าไม่ต้องการมองกลับไปยังความขัดแย้งนองเลือดในอดีต ทุกวันนี้มุ่งทำมาหากินและมองไปข้างหน้า แขกที่เคยมาพักในอพาร์ทเมนท์ของเขาที่เป็นชาวเซิร์บนับถือคริสต์เซอร์เบียนออร์โธดอกซ์ก็มีไม่น้อย ซึ่งเขาก็ยินดีต้อนรับ”

เราไม่อาบน้ำให้เสียเวลา เดินออกไปย่านใจกลางเมืองเพื่อกินเคบับ อาหารเติร์กขึ้นชื่อที่ยังทำให้รู้สึกเหมือนว่าอิทธิพลของจักรวรรดิออตโตมันยังไม่หายไปไหน ส่วนความรู้สึกกังวลปนอึมครึมของโกรันคงจะหายไปแล้วจากการที่เขาได้สนทนากับ Mr.Adi

กลายเป็นกำลังใจในการเผชิญกรุงซาราเยโว

 

Don`t copy text!