
ทิมิชัวรา – บูดาเปสต์
โดย : วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ
“เที่ยวโทงเทง” คอลัมน์ท่องเที่ยวกับเรื่องเล่าจากสมุดบันทึกของ “วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ” ซึ่งได้แบกเป้เดินทางคนเดียวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นบันทึกการโดยสารขนส่งสาธารณะ การพบปะและบทสนทนากับผู้คน (ตลอดจนหมาแมว) พร้อมแนบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำเมือง แต่ละวันมักจบลงด้วยเบียร์เย็นๆ หรือวิสกี้ในบาร์ท้องถิ่น
ตอนผมตื่นคนอื่นๆ ยังคงนอนกันอยู่ ห้องนอนรวม 4 เตียง ของ Timisoara Central Hostel ห้องนี้นอกจากผมและเซซิเลีย สาวสวยดีกรีปริญญาโทจากกรุงลอนดอนแล้ว ยังมีฝรั่งสาวใส่แว่นที่เข้ามาเช็กอินกลางดึกของเมื่อคืน และหนุ่มอิตาเลียนจากเมืองปาโดวาที่ไม่ทราบว่าเข้ามานอนตอนไหน
ผมเข้าห้องครัวไปต้มกาแฟ กินกับคุกกี้ธัญพืชที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เกตเมื่อวานเย็น ตามด้วยสตรอว์เบอร์รีเกือบหมดแพ็กใหญ่ เพราะต้องการวิตามินซีเพื่อลดความเสี่ยงที่จะป่วยระหว่างเดินทาง
คู่รักคู่หนึ่งออกมาจากห้องพักของพวกเขา ทั้งคู่เริ่มวันใหม่ด้วยกาแฟเช่นเดียวกัน สาวแว่นจากห้องของผมใส่กางเกงขาสั้นจู๋ออกมาดื่มกาแฟอีกคน ตามมาด้วยหนุ่มอิตาเลียนที่ออกมาดื่มชาร้อนกับขนมปังปิ้งและแยมสตรอว์เบอร์รี ซึ่งบริการฟรีโดยโฮสเทล
เขาพูดว่า “แยมนี่ใส่น้ำตาลเยอะในระดับที่มนุษย์ไม่น่าจะกินเข้าไปได้” ผมจึงชวนให้เขากินสตรอว์เบอร์รีสด เขาบอกว่ามันทาขนมปังไม่ได้ แล้วก้มหน้าก้มตารับประทานน้ำตาลรสสตรอว์เบอร์รีต่อไป กินเสร็จเขาก็เข้าห้องไปแต่งตัวใส่สูทอย่างเนี้ยบเพื่อจะไปร่วมงานแต่งของเพื่อนคนหนึ่งที่จัดขึ้นในเมืองนี้
เซซิเลียขวัญใจหนุ่มๆ ทั้งโฮสเทลนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงเมื่อผมเข้าห้องไปเก็บกระเป๋า เธอลงจากเตียง หยิบตลับแป้งมาแต่งหน้าก่อนทำอย่างอื่น แล้วเล่าให้ฟังว่าเธอฝันถึงเพื่อนคนหนึ่งที่กรุงลอนดอน ผมจำรายละเอียดฝันของเธอไม่ได้ แต่ตอนท้ายเพื่อนของเธอโดนไฟชอร์ตตาย เมื่อตกใจตื่นขึ้นมาก็ส่งข้อความไปหาเพื่อนคนนั้นว่าห้ามไปยุ่งกับไฟฟ้าเด็ดขาด เดี๋ยวจะโดนชอร์ตตาย

เก็บกระเป๋าเสร็จผมก็อาบน้ำ แต่งตัว แล้วเอากระเป๋าออกไปฝากกับอเล็กซ์ หนุ่มประจำโฮสเทลผู้คลั่งไคล้เซซิเลียอย่างออกนอกหน้า เมื่อผมเดินลงไปจากโฮสเทล อเล็กซ์ก็เดินตามไปทันที่หน้าประตู เขาเรียกผมว่า “บราเธอร์” แล้วชวนผมไปร้านเสื้อที่เขาเพิ่งซื้อมาเมื่อวันก่อนและกำลังใส่อยู่ เพื่อจะให้ร้านซ่อมกระดุมแขนให้ เราเดินผ่านจัตุรัส Piata Libertatii ซึ่งที่มุมหนึ่งของจัตุรัสมีโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาธอลิก ชื่อ Catedrala Sfantul Gheorghe สีเหลืองทองสวยเด่น เข้าสู่ถนนคนเดินชื่อ Strada Vasile Alecsandri ปรากฏว่าร้านเสื้อปิดเพราะเป็นวันเสาร์
เราเดินกลับออกมาสู่จัตุรัส Piata Libertatii ก่อนจะแยกกันอเล็กซ์ขอเฟซบุ๊กผม บอกว่าถ้าไปเมืองไทยจะได้มีเพื่อนแนะนำสถานที่เที่ยว ผมเดินชมเมืองถ่ายรูปอยู่พักใหญ่ก็กลับเข้าโฮสเทล
หนุ่มศีรษะล้านชาวกรีกที่เพิ่งเช็กอินเข้ามาคุยด้วย เขาบอกว่ามาทำงานในโรมาเนียเป็นฝ่ายพัฒนาระบบของบริษัทซัมซุงได้ 6 ปี เพิ่งจะลาออกมา เคยจับโทรศัพท์ยี่ห้อซัมซุงมาแล้วทุกรุ่น เขาขอดูโทรศัพท์ของผม พอเห็นว่าเป็นซัมซุงก็บอกเคล็ดลับให้ฟังหลายอย่าง อีกทั้งโชว์เกมบางตัวที่ซ่อนอยู่ในเครื่องโดยคนทั่วไปไม่ทราบ ตอนนี้เขาได้งานใหม่ที่บริษัทพลังงานในเมืองทิทิชัวราแห่งนี้ ย้ำว่าที่ลาออกจากงานเก่าไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่คิดว่าการทำงานที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลาถึง 6 ปีถือว่านานเกินไป
สนทนากันอยู่ไม่นานนัก ผมเข้าไปหยิบกระเป๋าในห้องที่อเล็กซ์เก็บไว้แล้วสะพายขึ้นหลังโดยไม่ได้เปิดประตูเข้าไปในห้องนอนเพื่อลาเซซิเลีย ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเธออยู่หรือไม่ ที่เคยคิดว่าเธอจะเป็นผู้ขออีเมลหรือเฟซบุ๊กของผมเพราะเธอมีธุระต้องเดินทางไปเมืองไทยในเดือนสิงหาคม ก็เป็นอันไม่เกิดขึ้น

ผมเดินหาจุดขายตั๋วรถเมล์อยู่นานก็ไม่เจอ จึงตัดสินใจเดินไปยังสถานีรถไฟเหมือนกับขาเข้าเมืองมาเมื่อวาน ระหว่างทางก็เจออเล็กซ์อีกครั้งจึงได้ลากันอีกรอบ จากโฮสเทลถึงสถานีรถไฟ Timisoara Nord ระยะทาง 1.6 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 20 นาที ผมซื้อตั๋วไปกรุงบูดาเปสต์ เมืองหลวงของประเทศฮังการีไว้แล้วตั้งแต่เมื่อวานที่เดินทางจากเมืองซีบีอูมาถึงสถานีทิมิชัวรา เจ้าหน้าที่ขายตั๋วให้ผมในราคา 70 เล จากปกติราคา 120 เล โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเดินทางในวันนี้เท่านั้น ห้ามเลื่อน ตั๋วระบุเวลารถออก 14.28 น. เห็นว่ามีเวลาจึงเข้าไปซื้ออาหารในซูเปอร์มาร์เกตชื่อ Profi City ข้างๆ สถานีรถไฟ ได้ไก่ทอด ปลาทอด และน้ำเปล่า แล้วเดินเข้าสถานีรถไฟไปหาเจ้าหน้าที่ขายตั๋วซึ่งเป็นสตรีคนเดิม เธอบอกว่าวันนี้รถมาช้า 1 ชั่วโมง ผมจึงเดินไปกินไก่และปลารอรถไฟที่ม้านั่งริมชานชาลา
เมื่อรถไฟเข้าเทียบก็เดินขึ้นรถ ชายโย่งคนหนึ่งทักขึ้นว่า “บอง ชู” เขาน่าจะเป็นคนฝรั่งเศส ผมไม่ได้ถาม ได้แต่ “บอง ชู” กลับไป ที่นั่งของผมอยู่ท้ายตู้ติดกับหนุ่มชาวฝรั่งเศสอีก 2 คน ซึ่งคนหนึ่งกำลังสอนเพื่อนให้พูดภาษาอังกฤษ ผมนั่งได้ไม่นานก็ลุกไปนั่งที่ใหม่เพราะฝรั่งเศส 2 คนส่งเสียงดังน่ารำคาญเหลือเกิน แม้ว่าผมหนีไปนั่งกลางตู้แล้วเสียงของสองฝรั่งเศสไร้มารยาทก็ยังตามไปรังควาญอยู่ มีเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วเข้ามาในตู้ เขาเตือนฝรั่งเศส 2 คนนั้นให้เบาเสียงลงหน่อย แต่พอเจ้าหน้าที่จากไปเสียงก็กลับมาดังเหมือนเดิม ผมจึงเดินไปหาบาร์ประจำรถไฟแต่ปรากฏว่ารถขบวนนี้ไม่มีบาร์จึงกลับมาที่ตู้ เดินไปส่วนหน้าสุดของตู้แล้วนั่งลงเพราะมีที่นั่งว่างเหลือเฟือ ยังได้ยินเสียงการเรียนการสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่ท้ายตู้เพียงเบาๆ คลายความรำคาญลงไปได้มาก
เมื่อถึงสถานี Curtici ซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายของประเทศโรมาเนียในเวลา 5 โมงเย็นนิดๆ ก็มีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองขึ้นมาตรวจหนังสือเดินทาง คนหนึ่งถามผมว่า “มีข้าวของแค่นี้เองหรือ” ผมตอบว่า “กระเป๋าใบใหญ่อยู่บนที่วางเหนือศีรษะตรงโน้น ผมหนีมานั่งตรงนี้กับกระเป๋าใบเล็กเพราะรำคาญชายชาวฝรั่งเศส 2 คนที่ส่งเสียงดัง แต่ตอนนี้พวกเขาลงไปแล้ว” เจ้าหน้าที่ทั้งสองก็ไม่ว่าอะไรอีก

รถไฟข้ามพรมแดนเข้าไปในประเทศฮังการีจอดที่สถานี Lokoshaza เจ้าหน้าที่ชายวัยใกล้เกษียณรูปร่างอ้วนท้วนคนหนึ่งแบกอุปกรณ์หลายชิ้นขึ้นมาตรวจหนังสือเดินทาง แกเอาไปรูดกับเครื่อง กดเลขวีซ่าหรืออะไรบางอย่างแต่ข้อมูลไม่ขึ้น แล้วแกก็ถือพาสปอร์ตของผมไป ก่อนหันมาพูดเป็นภาษาฮังกาเรียน ซึ่งน่าจะหมายความว่า “รอสักครู่”
สักพักแกก็กลับขึ้นมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่สตรีรูปร่างเล็กจิ๋ว สะพายอุปกรณ์เต็มตัว ดูรุงรังยิ่งกว่าของลุงอ้วน ผมคิดในใจว่าอุปกรณ์ของเธออาจจะทันสมัยกว่า เธอทำแบบเดียวกับที่ลุงอ้วนทำ แต่ก็ยังไร้ข้อมูลส่วนตัวของผม จึงขอนิ้วมือของผมไปสแกน ซึ่งอุปกรณ์ชิ้นนี้ลุงอ้วนไม่มี ปรากฏว่าข้อมูลขึ้นมา ทำให้โล่งใจกันทั้งสองฝ่าย เจ้าหน้าที่สาววางพาสปอร์ตบนฝ่ามือของเธอ ประทับตราด้วยความทุลักทุเล ตราที่ออกมารอยหมึกจางเหลือเกินแต่ยังเห็นวันเดือนปีที่เข้าประเทศ ผิดกับตอนที่ผมเดินทางเข้าประเทศโรมาเนีย เจ้าหน้าที่ประทับตราให้โดยเห็นเฉพาะตัวเลขเดือนและปี ไม่เห็นวันที่
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองลงไป เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วขึ้นมา บอกว่าอีก 1 ชั่วโมงรถขบวนนี้ถึงจะออกเดินทาง สามารถไปขึ้นอีกขบวนที่จอดอยู่อีกชานชาลาได้ จะออกในอีก 5 นาที จึงเต็มใจย้ายไปขบวนนั้น ชายโย่งที่พูดภาษาฝรั่งเศสกับผมใจดียกกระเป๋าลงจากที่เก็บให้แล้วเดินตามหลังมา ผมขึ้นตู้สุดท้าย มีตู้ย่อยๆ นั่งได้ตู้ละ 8 คน ผมเลือกนั่งตู้ที่ไม่มีคน นึกว่าชายโย่งจะเดินมานั่งด้วยกัน แต่เขาเข้าไปในตู้อื่นเสียก่อนแล้ว
รถไฟเข้าจอดที่สถานีบูดาเปสต์ตะวันออก (Budapest Keleti) ในเวลาเกือบ 2 ทุ่ม ซึ่งเวลาของฮังการีจะเร็วกว่าประเทศโรมาเนีย 1 ชั่วโมง เดินไปที่ตู้เอทีเอ็มหมายจะกดเงินสกุลโฟรินต์ (Forint) แต่ดูอัตราแลกเปลี่ยนแล้วค่อนข้างโหด จึงเดินออกจากสถานีหาตู้ใหม่ ตู้นี้ไม่แสดงอัตราแลกเปลี่ยนบนจอ แต่ก็ต้องจำใจกดออกมาก่อนจะมืดค่ำไปกว่านี้ ตอนหลังพบว่าได้เรท 7.9 โฟรินต์ ต่อ 1 บาท ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนปกติจะอยู่ที่ 8.2 ถึง 8.3 โฟรินต์ ต่อ 1 บาท

ประเทศฮังการี
ได้เงินสกุลท้องถิ่นแล้วก็เดินลงสถานีเมโทร Keleti Palyaudvar จุดเริ่มต้นของสายสีเขียว ซึ่งอยู่เชื่อมติดกับสถานีรถไฟ Budapest Keleti มีตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติแต่ผมไม่อยากเสี่ยง เดินเข้าห้องกระจกที่มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ ราคาตั๋วเที่ยวละ 350 โฟรินต์ หรือราว 40 บาท ไม่จำกัดระยะทาง ผมซื้อมา 4 ใบ ราคา 1,400 โฟรินต์
ความรู้สึกสะดุดนิดหน่อยเมื่อเห็นอักษรย่อของรถไฟใต้ดิน ซึ่งเป็นของ Budapesti Kozlekedesi Kozpont หรือสำนักงานขนส่งบูดาเปสต์ คือ BKK เหมือนกับตัวย่อเมืองหลวงของไทย ทั้งนี้การเขียนในภาษาฮังกาเรียนจะมีจุดแต้มบนตัวอักษรคล้ายๆ ภาษาเยอรมันและฝรั่งเศส เช่น อักษรโอ อักษรอี แต่แท้จริงแล้วภาษาฮังกาเรียน (รวมทั้งคนฮังกาเรียน) หรือที่เรียกว่า Magyar (อ่านว่า “มอจอร์”) อยู่ในกลุ่มเดียวกับภาษาฟินนิชและเอสโตเนียน ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่อพยพย้ายถิ่นมาจากดินแดนแถบเทือกเขาอูราล (Ural) ในรัสเซียเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 9 นอกจากนี้แล้วภาษาพูดยังมีความคล้ายคลึงกับภาษาของชาวคาซัคสถานในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ทางใต้ของเทือกเขาอูราล
สถานี Kalvin ter เป้าหมายของผมอยู่ห่างไปเพียง 3 สถานี เมื่อโผล่ขึ้นจากเมโทรแล้วก็เปิดแผนที่กูเกิลจากโทรศัพท์มือถือ ซึ่งซิมการ์ดโรมาเนียของผมใช้ได้โดยไม่ต้องมีค่าโรมมิงสัญญาณ เดินงงๆ อยู่ไม่นานก็จับเส้นทางได้ แต่เมื่อแผนที่กูเกิลแจ้งว่าถึงจุดหมายคือ Suit Hostel แล้ว ผมกลับต้องหาอยู่อีกนานกว่าจะเจอ เพราะอาคารเก่าในเมืองแก่แห่งนี้ไม่สามารถทำป้ายใหญ่ๆ มาติดได้ เราต้องจำบ้านเลขที่และถนนอย่างเดียว ซึ่งอาคารส่วนมากจะมีการใช้ร่วมกันหลายบริษัทหลายองค์กร เมื่อแน่ใจว่าบ้านเลขที่ถูกแล้ว เราก็ดูที่ประตูจะมีแผงสัญญาณให้กดเลขชั้น เมื่อมีเสียงตอบรับดังออกมาก็พูดแจ้งความประสงค์กลับไป ผู้ดูแลประจำชั้นนั้นๆ ก็จะกดเปิดประตูแบบอัตโนมัติให้
Suit Hostel ของผมอยู่ชั้น 2 รีเซปชันเกย์หนุ่มชื่ออัลเบิร์ตรออยู่ที่กลางบันได ช่วยผมแบกกระเป๋า แล้วนำตัวไปเช็กอิน เขาบอกว่าคราวหน้าควรจองโดยตรงกับโฮสเทลจะได้ราคาถูกกว่าเพราะเขาไม่ต้องจ่ายให้กับเว็บไซต์รับจองที่พัก ผมจองมาแค่คืนเดียว จึงบอกเขาว่าหากอยู่ต่อผมก็จะจองโดยตรง
ห้องของผมเป็นแบบเตียงนอนสองชั้นรวม 6 เตียง คืนนี้มีเพียงผมและนักธุรกิจสาวจากกลาสโกว์ สกอตแลนด์ ที่เดินทางมาประชุมในกรุงบูดาเปสต์ทั้งสัปดาห์ และเธออยู่ต่อวันเสาร์อีกคืน หน้าตาและรูปร่างของเธอถือว่าดี แม้ว่าจะสู้เซซิเลีย นางผู้ขยี้ใจชายทั้งโฮสเทลที่ผมจากมาไม่ได้ แต่สาวร่วมห้องคืนนี้ของผมดูสง่าและมีภูมิรู้กว่าเซซิเลีย

อาบน้ำเสร็จผมออกไปยังร้านอาหารชื่อ Trapez ที่อยู่ติดๆ กับโฮสเทล สั่งสลัดตามที่บริกรหนุ่มแนะนำ มีผัก เนื้อไก่ ไข่ต้ม ชีสเป็นเส้นๆ และเบคอน เสิร์ฟมาในจานใบใหญ่ ราคา 1,300 โฟรินต์ กินกับเบียร์ท้องถิ่น Soproni 1 ไพต์ ราคาแค่ 390 โฟรินต์ หรือไม่ถึง 40 บาท หลังเรียกเก็บเงินผมเดินขึ้นชั้นสองของร้านซึ่งเป็นผับ มีคนหนุ่มสาวมานั่งดื่มผ่อนคลายกันเกือบเต็มร้าน ผมสั่งชีวาสออนเดอะร็อกส์ ราคาแก้วละ 880 โฟรินต์ หรือ 110 บาทเท่านั้น ถือว่าราคาถูกมาก แม้อยู่ห่างจากแม่น้ำดานูบเพียงแค่สองสามร้อยเมตร
วิสกี้หมดแก้วผมก็ออกไปเดินเล่นริมแม่น้ำดานูบ มองจากฝั่งเปสต์ไปยังฝั่งบูดาเห็นอาคารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและเศรษฐศาสตร์บูดาเปสต์ โรงแรมเยลเล็ต (Hotel Gellert) ที่โด่งดัง และรูปปั้นเสรีภาพบนเนินเขาเยลเล็ต ทั้งหมดสวยเด่นด้วยแสงไฟ ด้านขวามือคือสะพานเหล็กลิเบอร์ตี หนึ่งในสะพานที่เชื่อมฝั่งบูดาและเปสต์ ด้านซ้ายมือคือศูนย์การค้าชื่อ Balna Budapest ยามค่ำคืนร้านอาหารและผับบาร์ที่อยู่ชั้นล่างเปิดล้นออกมาบนทางเท้าริมฝั่งแม่น้ำเป็นทิวแถวมากกว่าสิบร้าน
รู้สึกได้ถึงความเพลียและง่วงนอน จึงเดินกลับเข้าโฮสเทล สาวนักธุรกิจจากกลาสโกว์เพื่อนร่วมห้องของผมหลับไปแล้ว ตอนเช้าอีกวันผมตื่นขึ้นเพราะเสียงเก็บกระเป๋าของเธอ
ผมแกล้งหลับต่อเมื่อเธอเดินผ่านเตียงของผมออกไปเช็กเอาต์
หมายเหตุ : ผู้เขียนต้องขออภัยที่ภาพในฉบับนี้อาจไม่คมชัดนักเพราะบางภาพมาจากกล้องโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากเมมโมรีการ์ดกล้องถ่ายรูปที่ใช้ประจำมีปัญหา