A MIND จิตอริยะ บทที่ 2 : โครงการสลับจิต

A MIND จิตอริยะ บทที่ 2 : โครงการสลับจิต

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

A MIND จิตอริยะ โดย ไข่เจียวหมูสับ กับเรื่องราวซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของระบบสลับจิตที่นำมาทั้งการตามล่า บททดสอบทางศีลธรรมและความรักที่อาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา และนี่คือนวนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับเลือกจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 ที่จะถูกนำไปสร้างเป็นละครและเป็นนวนิยายที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์บนเว็บไซต์ anowl.co

ปี ๒๕๕๕

สองร้อยสิบหก ไม่สิ สองร้อยสี่สิบเอ็ดต่างหากเล่า…เอ็ดเวิร์ด ฮเดล กำลังนั่งคำนวณอะไรบางอย่างอยู่ในหัวท่ามกลางเสียงจอแจในห้องอัดรายการ แม้จะกว้างขวางเพียงใดก็ยังรู้สึกอึดอัด คงเพราะชุดสูทลายตารางที่สวมมามันร้อน หรือไม่ก็เพราะสายตาของผู้ชมที่นั่งอยู่เต็มไปหมดบริเวณฝั่งตรงข้าม

พิธีกรหนุ่มแน่นในชุดสูทสีกรมท่ากำลังอ่านสคริปต์ในมือ น่าจะชื่อองอาจ เป็นคนดังในระดับที่พวกล้าหลังด้านการบันเทิงอย่างเขายังพอรู้จัก

องอาจตกแต่งใบหน้าและทรงผมอย่างโดดเด่น ดูมีราศีสว่างไสว แต่แววตาที่พุ่งตรงไปยังกระดาษปึกหนึ่งนั้น กลับสื่อถึงความมุ่งร้ายอย่างชัดเจน พิธีกรหนุ่มต้องการไล่ต้อนเขากลางรายการ…เขารู้ดี

เป็นรอบที่สองร้อยสี่สิบเอ็ดแล้วที่เจอกับผู้ที่มีแววตาเช่นนี้ คนที่จ้องจะทำลายโครงการของเขา และคนพวกนั้นก็ล้มเหลวมาตลอดเกือบจะครบสองทศวรรษแล้ว แต่แน่นอนว่า พวกมันไม่เคยหมดความพยายาม

วัยของเอ็ดเวิร์ดใกล้เกษียณอีกไม่นานแล้ว เขาผ่านโลกมาพอสมควร แต่ยังไม่คุ้นชินกับการถูกปองร้ายสักเท่าไร โดยเฉพาะจากคนที่โง่กว่าตัวเอง เขาไม่เข้าใจว่า ความปรารถนาดีต่อประเทศนี้มันสร้างศัตรูจำนวนมหาศาลได้อย่างไร ต้องลงทุนลงแรงอีกขนาดไหนพวกเขาจึงจะเข้าใจว่าบางสิ่งนั้นต้องมีการพัฒนาและการอยู่นิ่งคือบาปมหันต์ โดยเฉพาะกับเรื่องการอาชญากรรมและโทษประหารชีวิต

เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งเข้ามาส่งสัญญาณและเสียงสดใสว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว พิธีกรพยักหน้า จากนั้นไฟในห้องจึงเริ่มสว่าง เสียงจอแจของผู้รับผิดชอบแต่ละฝ่ายเงียบลงทันที ทุกคนในสถานที่นั้นดูเป็นมืออาชีพอย่างไม่ต้องสงสัย ยกเว้นพิธีกรผู้เป็นเจ้าของรายการนี้ ดูยังไงก็ไม่น่าเป็นกลางอย่างแน่นอน

หน้าจอขนาดยักษ์ของรายการใช้ภาพของคดีอาชญากรรม ทั้งปล้น ฆ่า วางเพลิง รวมถึงภาพของเหยื่อหลายคนที่สร้างจำลองขึ้นมาจากกราฟิกเป็นฉากหลัง ทั้งหมดล้วนใช้โทนสีหม่น

ไม่น่าสะท้อนถึงความชั่วร้ายของฆาตกรหรอก แต่ตั้งใจจะหมายถึงความผิดบาปจากสิ่งที่ตัวเอ็ดเวิร์ดทำกระมัง

ใช้มุกนี้เลยหรือ…เขาแอบทึ่ง

เอ็ดเวิร์ด ฮเดลหลับตาลงวูบหนึ่ง รู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องตอบคำถามซ้ำซากแบบเดิม เขาทราบดีว่ารูปแบบของพิธีกรเป็นอย่างไร

องอาจใช้เสียงหวานในการเปิดรายการพร้อมเสียงปรบมือที่ดังขึ้น เขาพล่ามเล็กน้อยเรื่องช่องทางการรับชมก่อนจะเข้าเรื่อง ไฟยังส่องเน้นไปที่พิธีกรเป็นหลักอยู่ กล้องทั้งหลายก็เช่นกัน

“พบกันทุกคืนเวลาห้าทุ่มสิบห้านาที คืนนี้เราจะมานั่งถกกันเกี่ยวกับประเด็นที่สัญญาไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนครับ นั่นคือโครงการ A MIND หรือที่รู้จักกันในชื่อของ โครงการสลับจิตเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรมนุษย์

เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง ไม่แน่ใจว่ามาจากความยินดีหรือเปล่า

“อย่างที่เราทราบกันดี” องอาจตีหน้าขรึม “อัตราการเพิ่มขึ้นของอาชญากรคดีร้ายแรงในประเทศนั้นพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ แค่สิบปี ก็มีนักโทษที่ถูกศาลตัดสินประหารชีวิตเพิ่มขึ้นถึงสิบเอ็ดเท่า” เขาจงใจเน้นเสียง

“แต่ไม่…เราจะไม่กล่าวไปถึงประเด็นคำตัดสินที่เด็ดขาดมากขึ้นของศาล ที่เรามองคือในแง่ของปริมาณและความร้ายแรงของคดีต่างหาก”

เอ็ดเวิร์ดพยักหน้า ห้ามใจไม่ให้ลูบเคราตนเอง องอาจทำหน้าที่ตรงนี้ได้ไม่เลว เพราะนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นกลาง

“ที่ผ่านมามีความพยายามมากมายในการแก้ไขปัญหานี้ แต่ทั้งหมดล้วนล้มเหลวในการปฏิบัติจริง อัตราการเพิ่มนั้นไม่เคยชะลอลงด้วยซ้ำ แต่มีคนคนหนึ่งที่ทุ่มเทในการแก้ไขปัญหาจากอีกมุมมองหนึ่ง และกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์มาตลอดหลายปี นั่นก็คือโครงการสลับจิตระหว่างนักโทษประหารกับเหยื่อที่เสียชีวิตจากการถูกฆาตกรรมนั่นเอง และเจ้าของโครงการ ประธานเอ็ดเวิร์ด ฮเดล ก็ได้ให้เกียรติมานั่งถกประเด็นนี้พร้อมกับเราแล้ว”

เอ็ดเวิร์ดแนะนำตัวไปตามปกติ เสียงปรบมือที่กระหึ่มนั้นทำให้ใจสั่น อย่างไรก็ไม่ชินกับจุดนี้ เขาชอบหลบอยู่ในซอกมุมของห้องวิจัยมากกว่า แต่เอาเถอะ เพื่อประโยชน์ของประเทศแล้ว แค่นี้ยังถือว่าเป็นการเสียสละที่ไม่เกินกำลัง

องอาจเริ่มถามถึงที่มาและความสำคัญของโครงการ ราวกับว่ามันไม่มีให้อ่านและศึกษาในช่องทางออนไลน์นับสิบนับร้อยช่องทาง

เอ็ดเวิร์ดเกิดและโตที่ไทย หลังจากใช้ชีวิตในสงครามธุรกิจมากว่าสามสิบปี เขาก็ตระหนักได้ว่าภาษีที่ตนเสียไปนั้นไม่ช่วยให้สังคมของประเทศนี้ดีขึ้นแต่อย่างใด และตนต้องเป็นผู้เปลี่ยนแปลงมันเอง แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงกำลังจะมาถึงในไม่ช้า ทว่าก็ยังมีพวกที่คอยขัดแข้งขัดขา หรือไม่ก็พวกที่ไร้ความสนใจและไม่ให้การสนับสนุนอย่างน่าประหลาดใจ ราวกับไม่ต้องการให้ทุกอย่างดีขึ้นอย่างนั้นแหละ

เขากลืนความขมขื่นลง จากนั้นจึงอธิบายข้อมูลทั่วไปของ A MIND อย่างง่ายๆ แผนหลักของโครงการสลับจิตนั้นเริ่มต้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี ๒๕๓๒ มาถึงเวลานี้ก็ปาเข้าไปยี่สิบสามปีแล้ว เป็นการร่วมมือกันของกลุ่มบริษัทเอกชนภายใต้การดูแลจากภาครัฐ มีเป้าหมายในการสร้างโลกที่ดีขึ้น ตัวทดลองแรกนั้นจะเริ่มเมื่อไรก็ได้ ร่างกฎหมายก็กำลังจะผ่านในอีกไม่ช้า หากไม่อยู่ในกระดองก็ต้องทราบข้อมูลอยู่แล้วละ

โดยการสลับจิตระหว่างนักโทษประหารกับเหยื่อจากคดีฆาตกรรมนั้นตรงตามตัวอักษร เกณฑ์การคัดเลือกง่ายมาก คือเหยื่อนั้นเป็นบุคคลที่สร้างคุณงามความดีให้กับประเทศ มีมันสมอง ความถนัด ศักยภาพทางร่างกายที่สูง หรือเรียกว่าอัจฉริยะ ไม่จำเป็นต้องมีครบทุกข้อหรอก แค่โดดเด่นเรื่องใดเรื่องหนึ่งและมีสภาวะสมองที่ไม่เสียหายเกินไปนัก แค่นี้ก็สามารถเข้ารับการคัดเลือกได้แล้ว และไม่จำเป็นต้องเป็นเหยื่อในคดีเดียวกับนักโทษที่จะนำมาสลับตัวด้วย

ตัวฆาตกรที่ได้รับโทษประหารจะถูกเรียกว่า ‘ผู้เป็นตัวแทน’ ในขณะที่ผู้ถูกสลับจิตให้ฟื้นขึ้นมาจะเรียกว่า ‘ผู้ฟื้นสติ’

จิตของเหยื่อจะฟื้นขึ้นมาในร่างของนักโทษ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ในร่างกายที่แข็งแรง ส่วนจิตของนักโทษนั้นก็จะไปอยู่ในร่างที่ตายไปแล้ว จะเรียกว่าถูกประหารก็ไม่ผิด ต่างกันตรงแทนที่จะตายไปเปล่าๆ สองคน แต่กลับมีคนฟื้นขึ้นมาใช้ชีวิตใหม่ได้หนึ่งคน

เป็นการลงทุนที่โคตรจะไม่น่าเชื่อและคล้ายจะหลอกลวงด้วยซ้ำไป…

เขาอธิบายไปพร้อมกับสังเกตท่าทางขององอาจและกลุ่มผู้ชมที่รักไปด้วย พยายามถอดความให้ฟังง่ายที่สุด ไม่มีใครอยากฟังขั้นตอนการวิจัยจากเปเปอร์แปดร้อยสี่สิบห้าหน้าหรอก

ส่วนญาติของเหยื่อนั้นจะได้รับการแจ้งข้อมูลการสลับจิตโดยละเอียด เพื่อป้องกันการล้างแค้นผิดคน เพราะทางกฎหมายจะถือว่าผู้ฟื้นสติเป็นคนละบุคคลกับผู้เป็นตัวแทน และปราศจากการรับผิดซึ่งผู้เป็นตัวแทนก่อไว้โดยสิ้นเชิง แน่นอนว่า ตัวของผู้เป็นตัวแทนนั้นจะมุ่งเลือกสรรจากนักโทษที่ก่อคดีเพียงลำพัง เพื่อป้องกันมิให้เกิดกรณีที่พรรคพวกของตัวแทนตามมายุ่งเกี่ยวกับผู้ฟื้นสติในภายหลัง

ส่วนผู้ฟื้นสติสามารถแจ้งความจำนงในการทำศัลยกรรมตกแต่งภายนอกให้กลับไปเป็นดังเดิมให้มากที่สุดได้ ทางโครงการจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ แต่ค่าใช้จ่ายอาจต้องมีการตกลงกันภายหลัง

 

“มีโอกาสไหมครับที่ความทรงจำของฆาตกรจะกลับมา” องอาจถามขึ้นมากลางคัน จากน้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนรอเวลามาสักพักแล้ว

เอ็ดเวิร์ดถลึงตาใส่ ชายตรงหน้าไม่ได้ศึกษาอะไรมางั้นหรือ “ไม่มีทางครับ เพราะมันไม่ใช่การถ่ายโอน หากแต่เป็นการสลับอย่างสมบูรณ์ ผู้ฟื้นสติจะไม่มีความทรงจำใดของนักโทษประหารหลงเหลืออยู่ ส่วนความทรงจำ ‘ทั้งหมด’ ของผู้เป็นตัวแทน…” เขาเน้นย้ำคำว่า ‘ทั้งหมด’

“จะถูกย้ายไปยังร่างที่หยุดทำงานแล้ว แน่นอนว่าเราจะไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้เป็นตัวแทนให้กับผู้ฟื้นสติเด็ดขาด ข้อมูลในระบบออนไลน์ของนักโทษคนนั้นก็จะถูกจำกัดการเข้าถึงก่อนเริ่มการสลับจิตประมาณหกเดือน ยกเว้นหน่วยงานราชการและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่เข้าถึงได้”

“เพื่อป้องกันไม่ให้ความทรงจำของฆาตกรในร่างผู้ฟื้นสติจำกลับคืนมาใช่ไหมครับ” คราวนี้พิธีกรยิ้มออกมา

เอ็ดเวิร์ดหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหัว จงใจให้รู้สึกราวกับเป็นเรื่องไร้สาระ “เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกผิดบาปโดยไม่จำเป็น เพราะหากทราบถึงชื่อนามสกุลและรายละเอียดทั่วไป ผู้ฟื้นสติที่เป็นบุคลากรชั้นเลิศของประเทศอาจรู้สึกอยากตอบแทนอะไรแก่ญาติของผู้เป็นตัวแทน หรือแม้แต่อยากช่วยเหลือเหยื่อของตัวแทนนั้นๆ ซึ่งมันไม่ใช่เป้าหมายหลักของโครงการนี้” เอ็ดเวิร์ดกล่าว รู้ดีว่าอีกฝ่ายพยายามดันกลับไปเรื่องการตื่นขึ้นของความทรงจำ

ช่างไร้สาระ! เอ็ดเวิร์ดตะโกนในอกตนเอง โครงการนี้ไม่มีวันผิดพลาด เขาขอรับรองด้วยชีวิต

เอ็ดเวิร์ดหันกลับไปพยักหน้าให้ฝ่ายเทคนิคที่เป็นหญิงวัยรุ่นสวมแว่นสีสด เธอกดปุ่มบางอย่างที่มือถือ ไม่ถึงนาทีภาพฮอโลแกรมสามมิติก็ฉายขึ้นมาที่พื้นที่ว่างตรงกลางระหว่างเก้าอี้ของเขากับพิธีกร แน่นอนว่าเขาเป็นคนนำระบบนี้มาเอง

แคปซูลสีขาวยาวสามเมตรจำนวนสองหลอด ตั้งหันส่วนล่างเข้าหากัน มีเพียงอุปกรณ์สีเทาทรงแพนเค้กที่สูงครึ่งเมตรขวางระหว่างสองแคปซูลเท่านั้น ส่วนหัวของแคปซูลถูกยกขึ้น ไม่ต่างอะไรจากที่เคยเห็นในภาพยนตร์ ต่างกันที่สองหลอดนี้ตีราคาได้เกินพันล้านเหรียญ

“จิตของทั้งสองจะถูกส่งมากักที่เครื่องเก็บจิตและบุคลิก” เขาชี้ไปที่อุปกรณ์ตรงกลาง เกือบจะเรียกว่าแพนเค้กออกไปแล้วเชียว แม้ว่าชื่อจะเหมาะสมมากก็เถอะ แต่คงผิดกาลเทศะอย่างไม่น่าให้อภัยหากพลั้งปากออกไป

“มันมีแค่สองระบบ คือ กักเก็บ และสลับ ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้โอนถ่ายฝ่ายเดียว และจะไม่ทำงานเด็ดขาดหากยังมีเศษเสี้ยวของจิตหรือความทรงจำของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหลงเหลือในร่างกาย”

มีเสียงฮือฮาจากฝั่งผู้ชม

“ลงทุนลงแรงกับจุดนี้เป็นพิเศษเลยนะครับ” องอาจยังไม่วายจับผิด คุยกับคนประเภทนี้คงไม่ได้อะไร

“เราต้องการให้ผู้ฟื้นสติได้ใช้ชีวิตใหม่เพื่อสร้างประโยขน์แก่สังคมครับ ไม่ใช่เพื่อให้เขาไปสนใจในประวัติของนักโทษประหาร และการเลือกตัวแทนการสลับจิตนั้นก็จะคำนึงถึงตัวชี้วัดด้านถิ่นที่อยู่อาศัยด้วย เพื่อไม่ให้ตัวผู้ฟื้นสติต้องไปพบกับคนรู้จักของผู้เป็นตัวแทนโดยไม่จำเป็น อีกอย่างเราคำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาด้วย แม้จะจำกัดการเข้าถึงข้อมูลของผู้เป็นตัวแทนแล้ว แต่ยุคนี้หลายคนคงสามารถเข้าถึงรายละเอียดของนักโทษประหารได้ อาจมีคนเก็บข่าวในอดีตเป็นไฟล์ไว้หรืออ่านจากหนังสือพิมพ์เก่า จึงต้องมีการระวังในจุดนี้เป็นพิเศษ”

สายตาไม่โฟกัสมาที่เขาแล้ว องอาจกำลังจะเปลี่ยนประเด็น

“อีกเรื่อง คือกระแสเรียกร้องเกี่ยวกับ…” พิธีกรชะงักเล็กน้อย ทำท่าคล้ายไม่อยากจะกล่าว แต่แล้วก็กล่าวออกมาอย่างลื่นปาก “We are not god”

เขากะพริบตา หวั่นไหวครู่หนึ่ง เพราะเคยได้ยินประโยคนี้มาก่อน เป็นกระแสที่กำลังดังทีเดียว

“มีหลายคนในโลกโซเชียลที่มองว่า มนุษย์เราไม่มีสิทธิสลับจิตใครทั้งนั้น เพราะนั่นเป็นการก้าวล่วงอาณาเขตที่เราไม่ควรไปถึง”

เอ็ดเวิร์ดหลุดยิ้มออกมา นั่นเพราะพิธีกรใช้คำถามเสียของ น่าจะกดดันเขาทางอื่นมากกว่า

“หากการสลับจิตเป็นอะไรที่ผิด แล้วเรามีสิทธิ์อะไรในการประหารคนอื่นล่ะครับ กฎหมายมีสิทธิ์อะไรในการจบชีวิตนักโทษมาตั้งแต่หลายพันปีก่อนแล้วล่ะ”

องอาจหลบสายตาเมื่อถูกจดจ้อง เขาจึงไม่ปล่อยไป “ระหว่างการสลับจิตเพื่อให้คนดีได้อยู่ต่อ กับการถือวิสาสะประหารให้ตายตกตามกัน อย่างไหนที่คล้ายกับการทำตัวเสมือนเทพมากกว่ากันครับ”

“แต่สำหรับผม…ทั้งสองวิธีก็ไม่ต่างกันนักหรอก” เขาทิ้งท้ายเรียบๆ แอบรู้สึกสะใจพอสมควร

องอาจหน้าซีดไปอีก แต่ตายังเป็นประกาย เอ็ดเวิร์ดรู้ทันทีว่าเมื่อครู่นั้นเป็นคำถามลวง

“ทุกวันนี้ก็ยังมีหลายหน่วยงานที่สนับสนุนการยกเลิกโทษประหารนะครับ” ประโยคนั้นมาพร้อมรอยยิ้ม

ไอ้หนุ่มคนนี้กำลังลากองค์กรอื่นมาโยงด้วยสินะ คงจะล่อให้เขามีเรื่องกับพวกต่อต้านโทษประหาร

“เปล่าเลยครับ…แนวทางของเราอาจจะต่างกัน แต่ผมไม่เคยคิดจะไปต่อต้านหรือสนับสนุนอะไรเกี่ยวกับโทษประหาร กรุณาอย่าหลงประเด็น” เขากล่าวเสียงขรึม รู้ดีว่าค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล

 

หลังจบการสัมภาษณ์พิเศษ เอ็ดเวิร์ดกลับมานั่งตรงที่พักของแขกประจำสัปดาห์ ในห้องกว้างที่จัดวางทุกอย่างได้สะอาดเอี่ยม แต่อารมณ์ของเขายังคุกรุ่น

ไม่เป็นไร เขาพยายามบอกกับตนเองอย่างนั้น วิสัยทัศน์คนเราไม่เท่ากัน

ก่อนที่จะมีสายเข้ามาในสมาร์ตโฟนเครื่องเก่า วิริยะนั่นเอง เพื่อนร่วมงานที่คบกันตั้งแต่สมัยขอเงินทุนจากหลายกลุ่มผู้ปรารถนาดีกับประเทศ และเขาหวังว่าจะเป็นข่าวดี

และเมื่อยกเครื่องแนบหู เสียงตื่นเต้นของอีกฝ่ายก็ทำให้เอ็ดเวิร์ดยิ้มออกมา วิริยะแจ้งข่าวดีที่เขารอคอย

ร่างกฎหมายผ่านแล้ว และแนวทางการทดลองชุดแรกก็ได้รับการอนุมัติ ทุกอย่างเริ่มได้ทันทีที่เขาพร้อม ภาครัฐก็ออกตัวเต็มที่ นั่นเพราะเป็นโครงการร่วมที่หากได้ผลดีพวกนั้นก็ได้หน้า และหากล้มเหลวก็แค่รีบออกคำสั่งยกเลิก ทีนี้คนที่รับเคราะห์คือพวกเอ็ดเวิร์ดเป็นหลัก ช่างเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าดีเหลือเกิน

ไม่รู้เหมือนกันว่าโครงการมันรอดประชาพิจารณ์มาได้อย่างไร แต่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว เอ็ดเวิร์ดทราบดีว่ามันจะเป็นอย่างนั้น

 

ปี ๒๕๗๐

รถทัวร์คันสีขาวเริ่มออกจากสถานีขนส่งของจังหวัดพิษณุโลก

พิณเพลง ปานแสงตะวรรณ ได้นั่งที่ด้านหลังสุด หญิงสาวพยายามเหยียดขาออกเพื่อผ่อนคลาย

หลังจากทำงานขายสินค้าออนไลน์ร่วมกับงานพิเศษมาเป็นเวลาสามปี ในที่สุดก็เก็บเงินได้มากพอจะย้ายไปเริ่มชีวิตใหม่ที่กรุงเทพฯ เจ้าของร้านทำผมที่เธอเคยร่วมงานแนะนำเพื่อนที่เป็นเจ้าของร้านสะดวกซื้อให้ ที่นั่นให้เงินดีและมีข้าวปลาอาหารฟรี สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือค่าที่พักเท่านั้น

มันจะไปได้สวย หญิงสาววัยยี่สิบบอกกับตนเองแบบนั้น

แต่เมื่อสังเกตรอบตัวก็พบเรื่องที่น่ารำคาญอีกครั้ง สายตาของคนในรถทัวร์บางคนมองมาอย่างหื่นกระหาย เธอขยุ้มผมแสกกลางสีดำขลับให้กระเซิง รูดซิปเสื้อฮูดสีดำมาถึงคอ แล้วดึงส่วนที่เป็นหมวกขึ้นมาคลุมหัว จากนั้นก้มตัวเล่นสมาร์ตโฟน พยายามไม่สบตาใครนอกจากตัวละครในเกมตรงหน้า

ให้มันได้งี้สิ พิณเพลงไม่เคยมองว่าตนเองเป็นคนสวยหรือมีอะไรน่าดึงดูด แต่ไม่รู้ทำไมถึงมีชายมากหน้าหลายตาพยายามเข้ามาข้องแวะ บ้างก็มาอย่างสุภาพ บ้างก็น่าหวาดกลัวกระทั่งต้องใช้กำลังเพื่อปลีกตัวออกมา อีกอย่าง…เธอเป็นคนที่ไม่ชอบสนิทสนมกับใครมาตั้งแต่เกิดแล้ว คงเป็นสันดานที่ฝังมาในดีเอ็นเอแล้วมั้ง การถูกคนเข้ามาคุยด้วยจึงมักก่อความไม่สบายใจอยู่เสมอ

หวังว่าไปถึงที่หมายแล้วจะไม่เจอพวกแบบนี้นะ เธอได้แต่มองในแง่ดีไปก่อนเท่านั้น

 

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงก็มาถึงแดนสวรรค์ หลังจากลงจากรถก็สัมผัสได้ถึงอากาศที่แตกต่าง

แสงแดดร้อนระอุจนต้องรีบถอดเสื้อนอกออก แอบรู้สึกดีที่ไม่มีสายตาแทะโลมจากใครรอบข้าง คงเพราะทุกคนกำลังง่วนกับเรื่องของตัวเองอย่างที่ในโลกออนไลน์บอกไว้ แต่ก็ประมาทไม่ได้ อย่างไรก็ต้องระวังตัวให้ดี…

พิณเพลงเริ่มเดินทางไปยังสถานที่นัดพบ เธอรู้ดีว่างานในเมืองนี้หายากมากช่วงหลายปีที่ผ่านมา นับว่าตนยังโชคดีในเรื่องนี้

ที่ร้านสะดวกซื้อที่กำลังจะไปทำงานด้วยนั้นจ่ายค่าจ้างในราคาสูงได้ นั่นเพราะมีลูกค้าประจำเป็นบริษัทขนาดใหญ่คอยเกื้อหนุนอยู่ รู้สึกว่าจะเป็นแผนกนวัตกรรมของบริษัท การ์ด แอนด์ ลิงก์ ที่คอยสั่งของใช้และข้าวกล่องของร้านกันอยู่ตลอด แม้ร้านจะอยู่นอกเขตบริษัท แต่ก็คล้ายจะเป็นร้านสะดวกซื้อในเครือการ์ด แอนด์ ลิงก์ไปแล้ว

เมื่อไปถึงจุดที่น่าจะเรียกรถได้ เธอจึงนั่งรถแท็กซี่เพื่อประหยัดเวลา ไม่นานก็มาถึงย่านอโศกอันเป็นเป้าหมาย

นั่นไง พิณเพลงหยุดเดิน มองขึ้นฟ้าไปยังอาคารแห่งหนึ่ง สูงประมาณยี่สิบชั้น ลึกเข้าไปจากทางเดินติดถนนใหญ่

อาคารที่ก่อสร้างแบบเรียบหรูนั้นคืออาคารของ การ์ด แอนด์ ลิงก์ ผู้นำด้านนวัตกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ นี่ยังไม่ใช่อาคารที่สูงมากนักเมื่อเทียบกับตึกอื่นในเมือง แต่กลับดูแตกต่างอย่างยากจะอธิบาย

ไม่นานพิณเพลงก็ต้องร้อง อ๊ะ ออกมา คงเพราะมัวแต่มองตึกสูงกระมัง เมื่อออกเดินอีกครั้งจึงสะดุดลงไปนั่งกับพื้น มองกลับไปจึงทราบว่ามีก้อนซีเมนต์ขนาดเท่าหัววางขวางทางอยู่

ซุ่มซ่ามชะมัด ต้องระวังให้มากกว่านี้ พิณเพลงคิดในใจ แต่ยังไม่ทันที่จะชันตัวลุกขึ้น ก็มีมือของใครบางคนยื่นมาตรงหน้า

“ผมช่วยนะครับ”

เจ้าของเสียงอ่อนโยนนั้นเป็นชายวัยราวยี่สิบกลาง หน้าตาดูใจดีและไร้พิษภัยอย่างพบเห็นได้ยาก พิณเพลงที่มักจะถอยห่างจากคนอื่นเผลอยื่นมือไปจับโดยไม่ทันตั้งตัว

ชายคนนั้นดึงพิณเพลงขึ้นมาอย่างนุ่มนวล ผงกหัวลงเล็กน้อยรับคำขอบคุณของเธอ ก่อนจะเดินจากไป

คงเพราะไม่มีความมุ่งร้ายเลยกระมัง จึงไม่รู้สึกอยากถอยหนีสักนิด แทบไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อนเลย สายตาเธอมองไปยังเขาคนนั้นที่กำลังเดินเลี้ยวเข้าไปในเขตพื้นที่ของการ์ด แอนด์ ลิงก์

งั้นหรือ ทำงานในบริษัทนี้สินะ

…เริ่มต้นมาก็เจอคนดีเลย พิณเพลงกระซิบบอกใครคนหนึ่งในใจด้วยเสียงสดใส

ไม่แน่นะว่าเมืองนี้อาจจะเหมาะกับฉันก็ได้ และหากโชคดี ฉันอาจจะได้เจอกับคุณด้วยนะ ธาดาร์…

 

เสียงเพลงร็อกดังมาจากตึกข้างๆ ดังจนได้ยินชัดแทบทุกคำ

ชั้นดาดฟ้าบนตึกข้างเคียงนั้นเปิดเป็นร้านอาหารกึ่งผับ ปกป้อง ปักษ์ดนูได้ฟังแล้วก็เคลิ้มตามอยู่บ่อยครั้ง แม้ตนจะไม่สันทัดในด้านของมึนเมาและการปาร์ตี้ แต่ต้องยอมรับว่าเพลงที่ดังลอดเข้ามาถึงชั้นสิบสี่ของอาคาร การ์ด แอนด์ ลิงก์ นี้บางทีก็ช่างไพเราะ จนบางครั้งถึงกับต้องห้ามใจไว้ว่าตนมาทำงาน มิใช่มาเพื่อนั่งฟังเพลงชั้นเลิศไปพร้อมกับอ่านหนังสือที่ชื่นชอบ

แต่เพลงร็อกแบบนี้ก็คงดังเกินกว่าจะมีสมาธิได้ ปกป้องจึงสวมหูฟังและเริ่มลงมือกับงานตรงหน้า หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งสามแสดงผลการคำนวณร่วมกัน ส่วนมือทั้งสองนั้นเริ่มประดิษฐ์ชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ในอนาคตจะถูกใช้เป็นเครื่องป้องกันกล้ามเนื้ออักเสบฉับพลันของนักกีฬา

เขาทำงานในห้องส่วนตัว แทบไม่สุงสิงกับใคร นักวิจัยและพัฒนาคนอื่นจะรับหน้าที่ประสานงานกับเขาเท่านั้น แต่เพราะมิใช่ว่าใครคนหนึ่งจะสร้างนวัตกรรมเองคนเดียวได้ นานทีปีหนจึงจะลงไปพบปะคนอื่นเพื่อนตกลงเรื่องทิศทางและส่งต่อชิ้นงานให้เสร็จสมบูรณ์ แต่โครงการทั้งหลายของการ์ด แอนด์ ลิงก์ ก็ราบรื่นเสมอมา

แน่ละว่าเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการนี้แล้ว ผลงานทั้งหมดก็จะตกเป็นของปกปักษ์ พี่ชายผู้ไม่ต้องลงแรงอะไรเลย นั่นรวมถึงค่าสิทธิบัตรมหาศาลที่จะได้รับต่อจากนี้ก็ตกเป็นของพี่หรือไม่ก็บริษัท ส่วนปกป้องน่ะหรือ…แม้จะได้รับตำแหน่งหัวหน้าทีมพัฒนานวัตกรรมหลัก แต่ก็ได้เงินเดือนในอัตราเดียวกับเจ้าหน้าที่และนักวิจัยเท่านั้น แน่นอนว่ารายได้ก็ถือว่าเหลือกินเหลือใช้อยู่ ถ้าไม่นำไปเทียบกับพี่ชายเสียก่อน

แต่ช่างเถอะ นวัตกรรมหลายอย่างถูกนำไปต่อยอดเพื่อการแพทย์และการกีฬา นั่นถือเป็นเรื่องวิเศษ มีคนได้รับประโยชน์จากงานของเขา แค่นั้นคงพอแล้ว ส่วนใครจะเป็นเจ้าของสิทธิบัตรก็ช่างมัน

 

ผ่านไปสองชั่วโมงเต็ม เขาพักมือ ก่อนจะถอดหูฟังแล้วมองไปรอบห้องทำงานขนาดใหญ่ที่รกพอสมควร สายตามองไปยังนาฬิกาติดกำแพง สี่ทุ่มตรง…เขาต้องไปแล้ว

ปกป้องลงลิฟต์มายังชั้นใต้ดินอันเป็นที่จอดรถของบริษัท จากนั้นขับรถส่วนตัวซึ่งเป็นรุ่นราคาประหยัดออกไป ไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งครองเนื้อที่กว้างขวางใจกลางเมือง

มันเป็นสิ่งที่คล้ายบ้าน แต่ไม่ใช่บ้าน อย่างน้อยก็สำหรับมุมมองของเขาที่หนีออกไปผ่อนตึกแถวอยู่ตั้งนานแล้ว

สิ่งก่อสร้างสูงสามชั้นยาวเท่าบ้านเดี่ยวหลายหลังต่อกัน ล้อมรอบด้วยสวนขนาดใหญ่ มีคนบอกว่าคฤหาสน์หรูหราระดับนี้มีไม่กี่แห่งในกรุงเทพฯ แต่เขาก็ได้แค่ยักไหล่แล้วตอบว่า งั้นหรือ อย่างงี้เรียกว่าหรูหราสินะ นั่นเพราะแทบไม่เคยได้อยู่จริงๆ เลยสักคืน

ปกป้องเดินเข้ามาหยุดหน้าประตูกระจกใส คนงานในชุดพ่อบ้านสองนายเปิดประตูให้ช้าๆ พลางโค้งคำนับ แต่สายตานั้นออกแนวห้ามปรามมากกว่า

“คุณปกป้อง…ถ้าเป็นไปได้ อย่าเพิ่งเข้าไปเลยครับ” หนึ่งในพ่อบ้านซึ่งเป็นชายกลางคนร่างแกร็นปรามไว้ด้วยสายตาและคำพูด “คุณหนูกำลังอารมณ์ไม่ค่อยดี”

เขายิ้มเยาะตนเอง หัวหน้าพ่อบ้านเรียกเขาว่าคุณปกป้อง แต่เรียก ปกปักษ์ ผู้เป็นพี่ชายว่าคุณหนู ได้ยินสักกี่ครั้งก็ยังรู้สึกตลกปนปวดใจ

“ผมมีเอกสารต้องให้เขาเซ็น” เมื่อพูดเช่นนั้นทางพ่อบ้านจึงก้มหัวให้อีกครั้ง แล้วเดินนำเขาเข้าไปในบ้านใหญ่ ขึ้นบันไดโค้งไปถึงชั้นสองที่มีห้องเรียงราย เมื่อมาถึงหน้าประตูที่มีป้ายสีทองแขวนว่าห้ามรบกวน ทางนี้ก็เคาะเบาๆ สองครั้ง

เกือบสองนาทีกว่าที่ปกปักษ์จะเปิดประตูและยื่นหน้าออกมา สีหน้าของพี่ชายนั้นโคตรโทรมและเหนื่อยล้า แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องงาน กลิ่นเหล้าคละคลุ้งออกจากร่างพลุ้ยที่อายุเพียงยี่สิบแปด ซึ่งมากกว่าเขาเพียงสามปีแต่กลับดูแก่กว่ามาก เมื่อมองผ่านร่างที่เตี้ยกว่าเขาประมาณยี่สิบเซ็นต์เข้าไปในห้องจะพบหญิงสาวนอนอยู่บนเตียงซึ่งคลุมด้วยผ้าห่มสีเทาเงาเลื่อม เขาชักสายตากลับมา ไม่ต้องการมองต่อ และยื่นเอกสารชุดหนึ่งให้พี่ชาย

ในหน้าแรกมันระบุไว้ว่า ‘โครงการพัฒนารองเท้าชนิดพิเศษเพื่อเป็นต้นแบบให้แบรนด์ S’ โดยมีชื่อปกปักษ์ตรงส่วนของผู้อนุมัติและผู้คิดค้น เมื่อเซ็นตรงนี้สิทธิบัตรของอุปกรณ์ชิ้นนี้ก็จะเป็นของพี่ชาย

“อ่านให้กูฟังหน่อย” พี่ชายกล่าว ปกป้องทำตามแต่โดยดี และเริ่มอธิบายรายละเอียดในเอกสารฉบับนี้ เมื่ออ่านจบก็พบว่าปกปักษ์กำลังเดินกลับไปกกหญิงสาวเปลื้องผ้า ก่อนจะหันมาด้วยแววตาดูถูก

“มึงเซ็นๆ ไปเลย”

“มันจะเป็นความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารนะครับ” ปกป้องกล่าวทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา

“ไอ้ควาย กูบอกให้เซ็นก็เซ็น อย่ามากเรื่อง ทำมากี่ร้อยรอบแล้ววะ”

ปกปักษ์จงใจ เขาทราบดี ให้ปลอมลายเซ็นพี่ชายเพื่อรับรองว่าเขาจะมีชนักปักหลัง

เมื่อเซ็นลงไป…สิ่งที่ตนใช้เวลาสองปีในการสร้างนั้นเป็นของปกปักษ์แล้ว เป็นเรื่องที่อย่างไรก็ไม่ชาชิน

เสร็จธุระแล้วจึงเดินกลับออกจากบ้านของพ่อแม่ด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายใจ เขาอยากกลับบ้านของตัวเองเสียที

ปกป้องกลับมาถึงบ้านของตนซึ่งตั้งอยู่ใกล้ที่ทำงานในเวลาเที่ยงคืน เป็นตึกแถวที่เขาซื้อต่อมา ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่ายไม่มีอะไรโดดเด่น แม้จะมีหลายห้องแต่ที่ใช้จริงก็แค่ห้องนอนซึ่งถูกรวมไปกับห้องทำงาน ที่เหลือคือห้องน้ำและห้องเก็บของเท่านั้น ส่วนห้องรับแขกที่ชั้นล่างนั้นแทบไม่เคยแตะแม้จะทำความสะอาดเป็นประจำก็ตาม เรื่องกินข้าวหากไม่เสร็จจากข้างนอกมา เขาก็เลือกจะนั่งกินในห้องนอนเงียบๆ

ปกป้องอาบน้ำและล้มตัวลงนอนในห้องขนาดกลาง หัวเตียงมีรูปของพ่อกับแม่อยู่ พวกท่านยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แต่ทว่าทั้งสองไม่ใช่พ่อแม่ใจร้ายที่อาศัยอยู่กับพี่ชายในบ้านหลังใหญ่นั่น

เขาเหม่อมองไปที่รูป พ่อครับ แม่ครับ วันนี้ผมก็ทำงานได้ดีอีกแล้วนะ

“ชมผมหน่อยสิครับ ลูบหัวผมหน่อย” เขาพึมพำเช่นนั้นกระทั่งหลับใหล

 

ฟรานเชสก้ากับเนวิลล์ยิ้มให้เอ็ดเวิร์ดผ่านกรอบรูปสีทองที่วางบนโต๊ะทำงาน ภรรยาในวัยสามสิบอยู่ในชุดราตรีสีเขียวประกาย ส่วนลูกชายวัยห้าขวบนั้นอยู่ในชุดสูทตัวเก่ง

ทั้งสองภูมิใจในตัวเขา เอ็ดเวิร์ด ฮเดลในวัยชราเชื่ออย่างนั้น แม้ว่าภรรยาและลูกชายจะจากไปเกินกว่าสามสิบปีแล้วก็ตาม

โครงการสลับจิตดำเนินไปด้วยดี ผ่านเวลามาถึงวันนี้ก็ หลายสิบรายแล้วที่ได้รับชีวิตใหม่อันสดใส เสียดายที่ทั้งสองถูกสังหารก่อนแนวคิดอันยอดเยี่ยมนี้จะประสบวามสำเร็จ ไม่เช่นนั้น…

ไม่สิ อย่าไปคิดถึงมัน นายทำได้ดีแล้ว เอ็ดเวิร์ดพยายามปลอบใจตนเอง

เขามองไปรอบห้องทำงานที่จัดวางอย่างเรียบง่ายและสะอาดสะอ้าน ไม่มีสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อประเทศนี้อยู่เลย มีเพียงชั้นวางหนังสือสูงติดเพดาน ชุดรับแขกที่พร้อมจะเปลี่ยนเป็นที่ประชุมได้ในพริบตา ถ้วยรางวัลและใบประกาศแสดงความขอบคุณทั้งหลายถูกเก็บใส่กล่องใหญ่ตรงมุมห้อง ชื่อเสียงไม่ใช่ความสำเร็จของเขา ผลประโยชน์ของประเทศต่างหากที่สำคัญ

“ท่านครับ” เสียงจากลำโพงอินเตอร์คอมเก่าๆ ข้างโต๊ะดังขึ้น มันเป็นของโบราณที่เขาโปรดปรานและไม่ยินดีที่จะเปลี่ยน

เสียงนั่นเป็นของฤทธิ์ เลขาฯ หนุ่มที่ติดต่อมาจากหน้าห้องทำงาน “มีเรื่องอีกแล้วครับ กรุณาอ่านในอีเมลด้วย”

เขาตอบไปว่าได้ ก่อนจะมองที่ภรรยากับลูก เบนสายตากลับมายังหน้าจอขนาดใหญ่ตรงกลางโต๊ะแล้วก็ยิ้มเศร้า โดนเล่นงานอีกแล้วสินะ

‘…ความจริงเบื้องหลังโครงการลวง การสลับจิตไม่มีจริง เป็นเพียงการฟอกขาวเพื่อปล่อยนักโทษร้ายแรงเงินหนาออกมาเท่านั้น…’

เอ็ดเวิร์ดขยี้ผมขาว คนพวกนี้ยังไม่เชื่อหรือจงใจไม่เชื่อกันแน่นะ โครงการนี้ได้รับการรับรองจากสิบเจ็ดประเทศ และกำลังถูกซื้อต่อโดยสหราชอาณาจักร ยังมีตรงไหนที่ลวงโลกอีก

วิริยะเคยเตือนเอ็ดเวิร์ดแล้ว เพื่อนรักที่มาพร้อมคางแหลมและสายตาคมกริบเคยอ่านแผนงานที่เขาร่างอย่างตั้งใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่นว่าการเสนอให้ภาครัฐจำกัดข้อมูลของนักโทษประหารจะเป็นดาบสองคม และก็เป็นไปตามที่ได้รับคำเตือนไว้จริงๆ แต่มันก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ความเป็นส่วนตัวของผู้ฟื้นสตินั้นก็สำคัญ จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างไรหากยังมีข้อมูลเก่าของร่างตัวแทนกระจายอยู่ทั่วในโลกออนไลน์ และตัววิริยะเอง สุดท้ายก็เห็นด้วยกับเขา

ช่วงก่อนหน้านี้ก็มีกระแสต่อต้านทำนองนี้ แต่หลังจากหมายศาลนับพันถูกโปรยปราย คนพวกนี้ก็หายห่างไป ไม่คิดเลยว่าจะกลับมาเร็วปานนี้

๔๕ เคสไม่เคยผิดพลาด…ร้อยละ ๙๕ ของผู้ฟื้นสติเข้ารับการศัลยกรรมเพื่อเปลี่ยนหน้าตากลับไปเป็นดังเดิมหรือไม่ก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคน ส่วนน้อยที่ยินดีใช้หน้าของนักโทษต่อไป และจากข้อมูลการติดตามผลพบว่าทั้งหมดนั้นสร้างรายได้และประโยชน์สุขแก่ประเทศอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้ชีวิตใหม่อย่างคุ้มค่า ดีว่าการฉีดยาให้นักโทษค้ายาหรือค้ามนุษย์ให้ตายเปล่าเป็นไหนๆ

ผู้ฟื้นสติลำดับที่ ๕ สร้างผลงานดนตรีที่ติดเทรนด์ไปทั่วโลก และกำลังจะมีการแสดงคอนเสิร์ตที่เทศกาลดนตรีของอเมริกาในปีหน้า

ผู้ฟื้นสติลำดับที่ ๑๗ ใช้ชีวิตใหม่เพื่อสานต่องานวิจัย และพบแนวคิดที่สามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นควันในระยะยาวได้โดยใช้งบประมาณเพียงน้อยนิด

ผู้ฟื้นสติลำดับที่ ๒๙ น่ะหรือ เป็นตัวแทนไปแข่งชกมวยที่โอลิมปิกในรอบถัดไป..

แค่สามรายยังมีผลงานชั้นเลิศขนาดนี้ จะมีใครหน้าไหนมีสิทธิ์มาขัดขวางโครงการของเขาได้

เขานวดหัวตา คลึงไปมาให้คลายอาการหดเกร็ง เพราะอีเมลที่ได้รับยังมีเรื่องอื่นอีก

…นอกจากกระแสตีกลับแล้ว โครงการยังเต็มไปด้วยข้อความคำขอร้องจากกลุ่มผู้เห็นชอบ คำขอร้องที่น่าเห็นใจและน่าสมเพช

ให้ลูกฉันเข้าโครงการนี้ด้วยเถอะ

ช่วยภรรยาผมเถอะนะ

ผมกำลังจะเสียน้องสาวไป ได้โปรด…

ญาติของผู้สูญเสียต่างส่งอีเมล โทร.ติดต่อ หรือแม้แต่เข้ามาหาที่สถาบัน เพื่อใช้เส้นสายในการส่งคนที่ตนรักมาเป็นผู้ฟื้นสติ ทั้งที่ผู้เสียชีวิตที่น่าสงสารเหล่านั้นมีศักยภาพไม่ตรงตามมาตรฐานขั้นต่ำด้วยซ้ำ

ต้องเด็ดขาด…เอ็ดเวิร์ดพยายามประนีประนอมในช่วงแรก และมันนำมาซึ่งคำถามจากสังคม เขาจึงต้องเด็ดขาด ไม่มีใครใช้เส้นสายในระบบนี้ได้ แม้จะปวดร้าวใจมากแค่ไหนก็ตาม

หากไม่ตีกรอบให้แข็ง ผลกระทบที่ตามมานั้นคาดเดาไม่ยาก การจงใจถูกฆ่าฆาตกรรมเพื่อเปลี่ยนร่างทั้งที่ไม่สมควร การรับจ้างสังหาร หรือการมีผู้ฟื้นสติมากเกินไป กระทั่งไม่เหลือนักโทษ ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

ส่วนเรื่องญาติของผู้เสียชีวิตนั้น เขาเชื่อว่าสักวันจะคุยกันลงตัว ส่วนใหญ่จะยอมรับว่าฆาตกรนั้นตายไปแล้ว เพราะผลการทดสอบและวิจัยก็ยืนยันชัดเจน แต่ก็มีบางส่วนที่มนทำใจไม่ไหวเหมือนกัน

 

เอ็ดเวิร์ดหยิบสมาร์ตโฟนเพื่อส่งข้อความหาใครสักคน ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตู เขาบอกให้เข้ามาได้

แขกที่มา อดีตคือชายวัยกลางคน แต่ขณะนี้อยู่ในร่างใหม่อันหนุ่มแน่น อลิน ริช ญาติสนิทของเขายิ้มกว้างโชว์ฟันขาวสะอาดตาให้

“ทุกอย่างไปได้สวยครับ อาเอ็ดเวิร์ด”

“ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น”

อลินนั่งลงตรงหน้า “คุณเอไอ ช่วยเปิดข่าวให้หน่อย”

หน้าจอขนาดใหญ่ด้านซ้ายมือของห้องทำงานสว่างขึ้น ฉายข่าวของอลินที่กำลังให้สัมภาษณ์เรื่องโครงการสลับจิตอยู่ เขาเสยผมสีน้ำตาลเข้มไปด้านหลังเผยรูปหน้าสมบูรณ์แบบ บนตัวสวมเบลเซอร์ผ้าวูลสีแดงตัวเดียวกับที่สวมมาในเวลานี้

“สีแดงทำให้ผมดูน่าเชื่อถือขึ้นน่ะ” อลินพูดอายๆ ส่วนผู้เป็นอาอยากจะขัดว่า ‘นายน่าเชื่อถืออยู่แล้ว’

และก็ตามนั้น พิธีกรชายหญิงต่างยินดีที่ได้อลินมานั่งสัมภาษณ์ การสนทนานั้นแตกต่างจากสมัยของเอ็ดเวิร์ดราวฟ้ากับเหว ไม่แน่ใจว่าเพราะความสำเร็จที่ผ่านมาของโครงการหรือเพราะหน้าตาอันงดงามของนายอลินกันแน่

อลินนั้นเป็นลูกของพี่ชายที่ลาลับของเอ็ดเวิร์ด และเขามองว่าอลินคือคนฉลาดและจิตใจดีที่สุดคนหนึ่งที่เคยพบมา

หลังจากฟรานเชสก้าและเนวิลล์จากไป เขาริเริ่มโครงการสลับจิตเพื่อไม่เกิดความสูญเสียเช่นนี้อีก และอลิน คอยช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีและวิจัยให้กับ A MIND มาตั้งแต่เริ่ม อันที่จริงร้อยละเก้าสิบของความคืบหน้าในนวัตกรรมนี้ก็มาจากหัวของอลินเอง

การสลับจิตอย่างเป็นทางการครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน อลินในวัยห้าสิบสองนั้นถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม และได้รับเลือกเป็นผู้ฟื้นสติคนแรกของโครงการ ก่อนจะฟื้นขึ้นมาในร่างอันสมบูรณ์ที่มีอายุเพียงยี่สิบหก เมื่อนั้นโลกก็เคลื่อนไหว

ชีวิตใหม่ของอลินสร้างความมหัศจรรย์มากมาย โครงการกลายเป็นที่สนใจเชิงบวกในชั่วข้ามคืน หลังจากที่ถูกถล่มมานาน ในที่สุดก็เริ่มมีแสงส่องทางแล้ว

เขาไม่ยอมทิ้งโอกาสนั้นและให้อลินรับหน้าที่ Project Ambassador ของ A MIND ควบคู่ไปกับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายคัดเลือกผู้ฟื้นสติ อลินเป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจให้ทำหน้าที่นี้ และเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของโครงการ กายเนื้อของเขาคือฆาตกรฆ่าหั่นศพที่สังคมหวาดกลัว แต่เมื่อจิตด้านในถูกสลับโดยนักวิจัยนวัตกรรมชื่อดัง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ร่างกายที่กำยำกับมันสมองชาญฉลาดได้สร้างผลงานออกมานับไม่ถ้วน

“เราเพิ่งจะเริ่มต้นเอง” เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ผมรู้ดี ยังมีปัญหาอีกมากที่เราต้องแก้ไข แต่หากมีคุณ มีผม และคุณวิริยะ ทั้งหมดจะต้องราบรื่นแน่”

“มันจะต้องราบรื่น” เขาพึมพำก่อนจะลุกขึ้นยืน หวังว่าจะไปดื่มน้ำสักแก้ว ก่อนที่จะเริ่มปวดหัวข้างหนึ่งอย่างรุนแรง แรงกระทั่งตัวสั่น

เอ็ดเวิร์ดเหงื่อท่วม ตัวสั่นเทา เขาไม่เคยเป็นไมเกรน และอาการที่ประสบอยู่ก็ไม่น่าใช่

ระหว่างที่กำลังสงสัย ร่างกายอ่อนล้านั้นก็ฟุบลงไปกับพื้นพรมสีแดง สายตามองเห็นแต่ความมืดมิด หูยังคงได้ยินเสียงกู่ร้องแทบขาดใจของอลินที่กำลังเรียกชื่อเขา แต่มันก็เบาลงเรื่อยๆ

และจางหายไปในที่สุด

 



Don`t copy text!