A MIND จิตอริยะ บทที่ 8 : สัญญาของดอกไม้ไฟ

A MIND จิตอริยะ บทที่ 8 : สัญญาของดอกไม้ไฟ

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

A MIND จิตอริยะ โดย ไข่เจียวหมูสับ กับเรื่องราวซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของระบบสลับจิตที่นำมาทั้งการตามล่า บททดสอบทางศีลธรรมและความรักที่อาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา และนี่คือนวนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับเลือกจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 ที่จะถูกนำไปสร้างเป็นละครและเป็นนวนิยายที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์บนเว็บไซต์ anowl.co

วิริยะนั้นแตกต่างออกไปจากเอ็ดเวิร์ดและอลิน เรียกว่าเป็นมนุษย์คนละประเภทจะเหมาะที่สุด

ในสายตาของอลินแล้ว วิริยะมีความเจ้าเล่ห์และชอบหลอกใช้คนอื่น หรือก็คือมีความเป็นนักธุรกิจนั่นเอง แต่เพราะเอ็ดเวิร์ดเชื่อใจด้วยชีวิตแถมวิริยะเองก็ฉลาดในการเจรจาเรื่องเงิน ทางเขาเองจึงต้องตามน้ำไปด้วย

และในเวลาวิกฤติเช่นนี้ เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากหันหน้าพึ่งพาวิริยะ ประธานคนปัจจุบัน

เช้าตรู่ในห้องประธานที่เย็นยะเยือก วิริยะในชุดสูทกำลังอ่านหยิบเอกสารที่อลินนำมาให้ เป็นรายงานการฟื้นสติของหมายเลข ๔๖ ทว่าอ่านไปสองสามแผ่นก็ส่ายหัว

“ปกป้อง ปักษ์ดนู คุณบอกว่าเขามีปัญหาอะไรนะ” แน่นอนว่าวิริยะรู้แล้ว แต่คงถามเพื่อความแน่ใจ หรือไม่ในหัวก็ไม่เชื่อเลยสักนิด

“ผมลองไปค้นในประวัติการตอบคำถาม และเขาตอบผิดไปเล็กน้อย แต่ไม่มีการส่งเรื่องขึ้นที่ประชุม ทั้งที่ผู้จัดการฝ่ายอย่างคุณรุจีน่าจะคุยกับคุณตั้งนานแล้ว”

วิริยะทำปากขมุบขมิบ ฉายแววไม่พอใจ แต่พริบตาเดียวก็กลับมาหน้าขรึมดังปกติ ก่อนจะเดินไปหยิบแก้วบรั่นดีมาจิบ เอกสารในมืออีกข้างนั้นยังไม่ยอมอ่านต่อ “ตอบผิดเล็กน้อยจะเป็นไรไป ใช่ว่าความทรงจำจะกลับมาเสียหน่อย เห็นบอกว่าเรื่องที่เรากลัวมันเริ่มขึ้นแล้ว ไอ้ฉันก็นึกว่า…”

“มันเริ่มขึ้นแล้วจริงๆ” เขาตะโกน มั่นใจแล้วว่าวิริยะพอจะทราบแต่ทำนิ่ง

“ผม…ผมกำลังเปลี่ยนไป วิริยะ”

วิริยะหน้าเครียดทันที มือที่ถือแก้วบรั่นดีสั่น แหงละ เพราะนั่นแปลว่าเขากำลังยืนอยู่กับฆาตกรในห้องเพียงลำพัง

“ไม่ต้องห่วงๆ” เขายกมือสองข้างขึ้น พยายามคุมสถานการณ์ “ผมยังปกติดี แค่มีบางอย่างเปลี่ยนไปนิดเดียว แค่นิดเดียวเท่านั้นจริงๆ”

แต่ว่า…หากวิริยะพอทราบจริงๆ ก็คงไม่กล้ามายืนต่อหน้าเขาแบบนี้หรอก ไม่สิ มันเป็นพวกเจ้าเล่ห์ หรือว่ามันแอบเก็บปืนไว้ในเสื้อสูท รอเวลาหยิบมาสังหารเรากันนะ ภายในหัวของอลินเริ่มปั่นป่วนและถูกถมทับไปด้วยความระแวง

“อลิน คุณโอเคไหม” วิริยะถามด้วยสีหน้าห่วงใย เหงื่อไหลออกจากหน้าผากของพวกเขาทั้งคู่

“เรื่องปกป้อง ปักษ์ดนู ผมลองสืบด้วยตัวเองดูแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้” เขาไม่ได้เอ่ยชื่อของ ร.ต.ท. พิศวัติออกไป นิ้วชี้ไปที่เอกสารในในมือวิริยะ เจ้าตัวพยักหน้าแล้วเริ่มอ่านต่อ

“พิณเพลง…”

“ใช่ โรงเรียนเดียวกับเหยื่อของธาดาร์ หลับตาตะแคงดูยังรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”

“อาจจะบังเอิญจริงๆ ก็ได้” วิริยะกล่าว “คุณไม่ควรจะตามสืบเรื่องนี้นะ หากทางนั้นระแวงขึ้นมาจะเป็นอย่างไร คิดถึงฐานะของตัวเองด้วย คุณคือความหวังและตัวแทนของโครงการที่ขาดไม่ได้นะ”

“แต่ถ้าความทรงจำของธาดาร์กลับมา เท่ากับว่ามีสองเคสแล้ว มันเกินกว่าจะอยู่เฉยได้แล้ว”

ใบหน้าของวิริยะบิดเบี้ยวด้วยความกดดัน “ระบบมันควรจะสมบูรณ์แบบสิ”

“อย่าหลอกตัวเอง” อลินขึ้นเสียง “หลอกคนอื่นได้ แต่อย่าหลอกตัวเอง”

วิริยะสะดุ้ง มันคือประโยคที่ทั้งคู่เอาไว้ใช้เรียกสติกันในสมัยก่อตั้งโครงการ “โทษที พยายามหลอกตัวเองมานาน กระทั่งเกือบจะเชื่อไปแล้ว”

เขาเอ่ยตอบอย่างแสนเข็ญ “ฉันก็เกือบจะเชื่อเหมือนกัน…”

ใช่ ระบบการสลับจิตไม่เคยสมบูรณ์แบบหรอก เขากับวิริยะรู้ดี ส่วนคนที่ไม่รู้นั้นก็ตายไปแล้ว

 

สายฝนถล่มลงมาอย่างหนัก นอกกระจกห้องประธานนั้นเห็นฟ้าแลบอยู่ไกลๆ

อลินรู้สึกหนาว เพิ่งรู้ตัวว่าลืมสวมเบลเซอร์สีแดงมา

วิริยะเริ่มจิบบรั่นดีแก้วที่เท่าไรไม่ทราบแล้ว ส่วนเขากำลังนั่งคอตกที่เก้าอี้รับแขกสีแดง ทั้งคู่เพิ่งถกกันเรื่องฝ่ายตรวจสอบส่วนกลางของประเทศ และยังไม่ได้ข้อสรุป

วิริยะกระแอมเรียกสติ “ฉันพอรู้จักคนในฝ่ายตรวจสอบอยู่ แม้ไม่อยากจะทำแต่ต้องจำใจ จ่ายให้ทางนั้นสักร้อยหนึ่งคงช่วยได้”

สายตาที่ส่งมานั้นชัดเจน เขาผงกหัวรับ แน่นอนว่าหน่วยของร้อยที่ว่าคือหนึ่งล้าน

“แต่นั่นไม่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้นะ” อลินชี้ที่ขมับตนเอง “เราต้องรื้อตรวจสอบระบบการสลับจิตใหม่อีกครั้ง ตั้งแต่ต้นเลย”

“คุณกำลังหลงทาง อลิน เราไม่ต้องการหาสาเหตุตอนนี้ ผมไม่ใช่เอ็ดเวิร์ด และเราจะไม่ทำงานเป็นเส้นตรง” วิริยะเดินมาจับไหล่เขา “เรายังมีเวลาอีกมากหากไร้อุปสรรค แต่อย่างหนึ่งที่ผมต้องการ…”

เพราะวิริยะเงียบไป เขาจึงเงยหน้าขึ้นมอง และสอดผสานกับสายตาเจ้าเล่ห์อีกครั้ง

“แทนที่จะงมเข็มในทะเล สู้ไปรับมือกับหมายเลข ๔๖ ก่อนจะดีกว่า จากนั้นเราก็จะมีเวลามาช่วยคุณได้แล้ว ระหว่างนี้ผมจะประสานงานกับฝ่ายวิจัยบางคนแบบเป็นลับๆ ดู”

เสียงนั้นเยือกเย็น แต่สายตาของวิริยะกลับสื่อชัดเจน

ไปรีดรายละเอียดจากปกป้อง ปักษ์ดนู จากนั้นค่อยเก็บมัน

รู้ทันทีว่าวิริยะคิดโยนภาระสกปรกมาให้เขา นั่นคือสิ่งที่มันถนัด แต่อลินไม่มีทางเลือก วิริยะรู้ความลับของเขาแล้ว หากไม่ทำตามก็คงถูกเก็บอยู่ดี

“แล้วเรื่องการประชุมที่ใกล้จะถึงล่ะ” อลินถามเสียงเครียด ไม่มีใครอยากให้พลาดเพราะมันคือโอกาสดีที่จะขยายโครงการไปยังนอกประเทศ

“ช่วงนี้คุณไม่ต้องทำอะไร รวมถึงเรื่องการประชุมกับทางสหราชอาณาจักรด้วย”

“แต่ตัวแทนฝั่งนั้นต้องการพบผม”

“แต่คุณไม่พร้อม…ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะจัดการเอง” วิริยะปล่อยมือจากหัวไหล่ มองมาด้วยแววตาเลือดเย็นอีกครั้ง

นอกจากจะบังคับให้เขาเป็นคนลงมือกับปกป้องแล้ว…วิริยะกำลังจะยึดทุกอย่างไป

พลาดแล้ว ไม่น่าเอาความลับมาบอกมันเลย อลิน ริชเริ่มสำนึกในเวลาที่สายไปและเริ่มก่นด่าตัวเอง ทั้งหมดพังเพราะสมองของเขาไม่ฉลาดเหมือนแต่ก่อน มันทำตามอารมณ์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตาม อลินมั่นใจอย่างหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร ดีหรือแย่ วิริยะจะหาทางเก็บเขาแน่นอน สายตาเมื่อครู่ของมันบอกอย่างนั้น นั่นเพราะมันไม่อยากยุ่งกับฆาตกรมากไปกว่านี้

ตอนนี้คงต้องทำตามแผนของมันไปก่อน เมื่อสบโอกาสค่อยหาทางรอดออกไปให้ได้

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอด เพื่อชิชา เพื่อคริสตี้ ครอบครัวของเขา

 

อลิน ริชเดินคอตกออกไปแล้ว ส่วนตัววิริยะนั่งกลุ้ม

อากาศในห้องทำงานของเอ็ดเวิร์ดบางทีก็เย็นเกินไป ไม่สิ มันเป็นห้องทำงานของเขาแล้วต่างหาก แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังไม่ชินเสียที

ไม่ใช่เพียงวิริยะ แต่พวกเจ้าหน้าที่และเลขาฯ บางครั้งก็เกือบหลุดชื่อประธานคนเก่าออกมาทั้งนั้น ไม่เคยมีใครเห็นหัวของวิริยะ วาระธารเมือง คนนี้สักคน

แถมยังมีปัญหาตามมาอีกมากมาย เล่นเอาอยากจะร้องไห้ออกมาเป็นรายวัน

ระหว่างที่หงุดหงิดก็มีสายตรงเข้ามาในสมาร์ตโฟน เป็นเบอร์ที่เขาไม่ได้บันทึกไว้ เมื่อกดรับก็ได้ยินเสียงกล่าวสวัสดีของผู้หญิงลอดมาเบาๆ

ใคร เขาถามอย่างไม่พอใจ “จู่ๆ ก็ติดต่อมา คุณรู้เบอร์ของผมได้อย่างไร”

“ท่านประธานคะ ดิฉันวาววาเองค่ะ ดิฉันอยู่ฝ่ายความทรงจำผู้ฟื้นสติค่ะ” ปลายสายนั้นส่งเสียงดูเกร็งชอบกล

เขาชะงัก ทราบดีว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ยังไม่อยากคุยในเวลานี้

“ต้องการอะไร ทำไมกล้าติดต่อเข้ามาโดยไม่ผ่านเลขา”

“ขอโทษจริงๆ ค่ะ ดิฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องแจ้ง แต่ทางผู้จัดการฝ่ายไม่ยอมเดินเรื่องให้”

วิริยะจะวางสาย แต่อีกฝ่ายรีบรายงานเป็นการใหญ่ แม้เป็นเรื่องที่พอจะทราบอยู่แล้ว แต่ไม่ช้าเขาก็เกิดความคิดดีๆ ขึ้นมา

กระแอมสองครั้ง จากนั้นจึงเข้าเรื่อง “คุณวาววาครับ ผมยินดีมากกับความทุ่มเทในหน้าที่ของคุณ และคิดออกแล้วว่าเราควรทำอย่างไรดีกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่คงต้องขอความร่วมมือจากคุณหน่อย”

ได้ยินเสียงสูดหายใจของหญิงสาว “ได้ค่ะ ฉันจะทำทุกอย่างเลย”

วิริยะยิ้มออก จากนั้นจึงนัดวาววามาพบที่ห้องเป็นการด่วน

  

ปกป้องนอนกลิ้งไปมาบนเตียงช่วงเช้าของวันพุธ เลยเวลาเข้างานแล้ว แต่เพราะบริษัทการ์ด แอนด์ ลิงก์เข้าสู่ช่วงปรับปุรงอาคารประจำปี พนักงานส่วนใหญ่จึงทำงานกันที่บ้าน ฝ่ายปฏิบัติการก็หยุดชั่วคราว ที่เข้าออฟฟิศก็มีเพียงบางส่วนซึ่งหมุนเวียนกันเท่านั้น การปรับปรุงน่าจะกินเวลาสักสองสัปดาห์ได้ แน่นอนว่าคนภายนอกไม่ทราบเรื่องการปรับปรุงนี้หรอก เพราะอันที่จริง มันคือช่วงเวลาในการทำลายหลักฐานเอกสารการติดต่องานประเภทสีเทาของบริษัทต่างหาก แต่ตัวปกป้องไม่เคยทราบรายละเอียดจากครอบครัว จึงไม่กล้าจะยุ่งเกี่ยวอะไรด้วย ทว่าก็อยากจะใช้เวลาว่างช่วงนี้กับพิณเพลงให้มากที่สุด

ว่าแล้วก็โทร. หาในทันที เสียงสดใสรับสาย เขารีบถามออกไป

“วันพรุ่งนี้ช่วงบ่ายไปดูหนังกันไหมครับ มีเรื่องที่อยากดูเข้าฉายพอดี” ปกป้องไม่ได้โกหก แถมระยะหลังเขาเริ่มไม่ห้ามตนเองในการดูอะไรสยองขวัญแล้ว

และก็ต้องชะงักไป เมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงร้องคล้ายลังเลกลับมา

“ขอโทษนะคะ คือ…ไม่รู้มาก่อนว่าจะชวน”

ปกป้องร้องอ๋อ แล้วก็อมยิ้ม ‘มีนัดกับที่ทำงานหรือครับ”

“ทางเถ้าแก่เนี้ยกับรุ่นน้องเขาชวนไปทานข้าวเที่ยงที่ห้างน่ะค่ะ เห็นว่าจะฉลองเปิดร้านครบสิบปี แล้วก็จะไปเดินเที่ยวกันต่อยันค่ำ เห็นว่าให้พนักงานใหม่สองคนดูแลร้านไปก่อน ว่าจะบอกปกป้องเหมือนกัน แต่ยังไม่มีจังหวะเลย”

ปกป้องยิ้มออก ดีใจยิ่งกว่าเจ้าตัวเสียอีก

“ดีแล้ว ไปเถอะครับ ดีใจด้วยนะที่ยอมไปเที่ยวกับเพื่อนแล้ว”

“ไม่หรอก ถ้าเถ้าแก่เนี้ยไม่ชวนเองก็คงไม่สน แต่ไม่โกรธจริงๆ ใช่ไหม”

“จะโกรธทำไมเล่า” เขาหัวเราะ

“งั้น ช่วงค่ำมารับฉันได้ไหมคะ รับที่ไหนเดี๋ยวจะบอกอีกทีนะ”

“ได้เลยครับ” เขาหัวเราะอย่างมีความสุขก่อนจะวางสาย งั้นหรือ…ในที่สุดก็มีเพื่อนแล้วสินะ

 

สายฟ้าแลบส่งเสียงคำราม ฝนเทลงมาช่วยให้อากาศเย็นขึ้นเล็กน้อย แต่ผู้หมวดวัยกลางคนกลับร้อนไปทั้งกายใจ เขานั่งอย่างอ่อนล้าที่ข้างเตียงนอน ท้อแท้อย่างหนักด้วยเพราะไม่มีข้อมูลมากพอจะส่งให้อลิน ริชอีก ติดต่อไปก็ไม่รับสาย

ไม่ช้าก็มีเสียงเตือนจากมือถือ เขาหยิบขึ้นมาดูอย่างเชื่องช้า ข้อความเตือนว่าพรุ่งนี้คือวันเกิดของณรัณ ผู้เป็นลูกสาวคนเดียวของเขากับปานรุ้ง

พรุ่งนี้ก็อายุสิบเก้าแล้วสินะ…

นอกจากหน้าที่การงานของปานรุ้งแล้ว ลูกสาวก็เป็นหนึ่งในความภาคภูมิของนายตำรวจที่ยศไม่ได้ใหญ่โตอย่างเขา ทว่าหลังจากที่ภรรยาตายจากไป เขาก็บ้าไปกับการทำงานและการอาละวาดใช้กำลังกับผู้คน เคยเผลอตบหน้าลูกสาวไปครั้งหนึ่งเพียงเพราะถูกเตือนเรื่องเหล้า จากนั้นณรัณก็ไม่กลับมาที่บ้านนี้อีกเลย

ตัวพิศวัติก็ไม่มีความกล้าจะไปตาม เพราะรู้ดีว่าชีวิตและความเป็นตัวตนของเขามันพังไปหมดแล้ว

เปิดรูปในมือถือดู ในเพจส่วนตัวของณรัณมีการโพสต์ภาพใหม่ๆ อยู่ หญิงสาวหน้านิ่งไว้ผมสั้นกุดในชุดทำงานออฟฟิศ กำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมพร้อมเพื่อนร่วมงานอีกหลายคน มีแคปชันประกอบว่า ‘วันสุดท้ายของการฝึกงาน’ คนถ่ายคงเป็นรุ่นพี่หรือไม่ก็พนักงานของบริษัทซึ่งทำไปตามหน้าที่

พิศวัติน้ำตาซึม สังเกตเห็นว่ากระเป๋าสะพายสีดำที่วางบนตักยังเป็นใบเดิมที่เขาซื้อให้เมื่อหลายปีที่แล้ว

…ยังคงประหยัดและชอบอดออม ที่ผ่านมาเงินค่าขนมกับงานพิเศษคงถูกนำไปฝากธนาคารและซื้อคอยน์อะไรไม่รู้ และกำไรจากเหรียญออนไลน์พวกนั้นก็นำไปผ่อนทรัพย์สินอื่นต่ออีกที นั่นทำให้การเงินมักตึงอยู่เสมอ แต่ตัวณรัณเองกลับมีความสุข พิศวัติเห็นเช่นนั้นจึงไม่ได้ขัดอะไร นอกเสียจากเตือนลูกสาวว่าควรให้รางวัลตัวเองบ้างก็เท่านั้น

“งั้นพ่อก็ซื้อรางวัลให้หนูสิ” เธอเคยบอกกับเขาอย่างนั้น

แค่นั้นที่เขาต้องการ พิศวัติขออนุญาตภรรยา จากนั้นควักเงินซื้อกระเป๋าหรูใบจิ๋วให้กับลูกสาวอย่างไม่ลังเล ได้เห็นแววตาของลูกเมื่อเจอของแพงๆ ก็คุ้มค่ามากแล้ว

หากปานรุ้งกลับมาจริงๆ ลูกสาวอาจจะยกโทษให้เขาก็ได้นะ พิศวัติคิดไปไกล

ระหว่างที่เลื่อนดูรูปไปมา หน้าจอก็ปรากฏข้อความเข้า อลิน ริชส่งอะไรมา

และนั่นทำให้เขาสะอึก ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงทันที

ให้เวลาอีกสองวัน หากไม่ได้อะไรที่มีประโยชน์ ข้อเสนอทั้งหมดถือว่ายกเลิก

 

มันเป็นสถานที่ซึ่งตั้งอยู่ข้างทะเลสาบกลางเมือง เป็นพื้นที่ที่เคยว่างเปล่าเพราะการไล่รื้อจากภาครัฐ กระทั่งมีคนจรจัดมารวมตัวกันและสร้างเป็นชุมชนไร้ชื่อขึ้น ไม่นานก็มีทั้งบ้านที่สร้างจากเพิงไม้กับสังกะสี ซากกองไฟ และร่องรอยการปลูกพืชไว้ทานกันเอง

เสียงวิ้งในหูแรงขึ้น เล่นเอาหน้ามืดไปสองรอบแล้ว มันน่าจะเกี่ยวกับความทรงจำของฆาตกรแน่นอน

เขาเดินผ่านเหล่าคนในชุดขาดวึ่นซึ่งนอนกระจัดกระจาย คงเพราะในบ้านบุด้วยสังกะสีใกล้ๆ นั้นมีคนอาศัยแทบล้นแล้ว คนส่วนนี้จึงต้องปลีกตัวออกมาตามทางเดินที่เต็มไปด้วยเศษบุหรี่

อลิน ริชคำรามในใจ แม้จะสวมแมสก์หนาทอละเอียดแต่ก็ยังไม่วายได้กลิ่นไม่พึงประสงค์อยู่ดี

กลิ่นขี้ ไม่สิ กลิ่นอุจจาระต่างหาก แม้คิดในใจก็ไม่ควรใช้คำไม่สุภาพ อลิน ริช พยายามสั่งตัวเอง พักหลังเริ่มมีคำหยาบคายผุดขึ้นมาเต็มไปหมด

อันตราย อันตรายมากๆ ต้องหยุดเรื่องนี้ให้ได้ แต่ก่อนอื่นต้องทำในสิ่งที่วิริยะสั่งให้เสร็จก่อน ไอ้เวรนั้นสั่งให้เขากำจัดปกป้อง แน่นอนว่าคงเผื่อใจไว้แล้วว่าจะผิดพลาด หรืออาจแค่ต้องการพิสูจน์อำนาจของตนเองเฉยๆ ว่ายังสามารถสั่งการเขาได้อยู่ไหม

…หรือไม่ก็อาจจะวางแผนอะไรลึกกว่านั้น ความฉลาดของเขาในตอนนี้ลดต่ำลงกระทั่งคิดอะไรไม่ออกแล้ว

เดินไปตามทางยาวไกล เลียบทะเลสาบทางด้านขวามือที่เวลานี้ส่งกลิ่นเน่าเพราะขาดการดูแล แรงลมพัดระลอกน้ำกระแทกริมตลิ่งเป็นระยะ น้ำกระเด็นขึ้นมาโดนรองเท้าเขาจนเป็นรอยด่างสีเขียวๆ

คิดถึงกลิ่นไอสะอาดของบ้านแถวชานเมืองอย่างประหลาด สังหรณ์ใจชัดเจนว่าอาจจะไม่ได้กลับไปอีก

เมื่อสองขาเริ่มล้า ก็มาถึงหน้าเต็นต์สีส้มเก่าๆ พอดี มีขาคู่เปลือยของใครสักคนยาวพ้นทางเข้าออกมาหลายคืบ ส่วนด้านบนขาขึ้นไปนั้นถูกรูดซิปปิดสนิท

เขาเตะเบาๆ ด้วยความคุ้นเคย ไม่สิ ไม่คุ้นสักนิดต่างหาก

เจ้าของปลายขาหัวเราะ จากนั้นหดเท้ากลับไปในเต็นท์ เกิดการขยุกขยิกอยู่ภายใน คงกำลังแต่งตัว ไม่นานซิปก็ถูกรูดขึ้น เห็นหญิงสาววัยยี่สิบปลายเดินออกมายิ้มให้ หน้าตาดูเกินวัย ผมย้อมสีแสบตา ปากนั้นคล้ำพอควร ส่วนฟันนั้นผุไปหมดแล้ว แต่ทว่าเรือนร่างยังคงเย้ายวนเหมือนเก่าไม่มีผิด

เมื่อเขาถอดแว่นดำออก และเปิดหน้าเบื้องหลังแมสก์ให้เห็นวูบหนึ่ง หญิงสาวก็จำได้ทันที “อ้าว พี่มาตร ไม่เจอกันนานนะคะ ได้ข่าวว่าถูกจับไปแล้วไม่ใช่หรือ”

เขากลืนน้ำลายเหนียวหนืดเหม็นเน่า โกหกออกไปอย่างจำทนว่า “ได้เพื่อนดีน่ะ”

อีกฝ่ายร้องอ๋อ แล้วก้าวมายืนประจันหน้ากับเขา “ท่าทางดูดีนะคะ ไม่เหมือนสมัยที่หนีมาให้ช่วยเลย”

อลินลังเลเมื่อถูกชม เขาพยายามแต่งตัวธรรมดาที่สุดแล้ว แถมยังปิดบังใบหน้าด้วยแมสก์และหมวก เพราะไม่อยากให้ใครจำได้

แต่จะว่าไป นางคงแค่ชมไปตามมารยาทเท่านั้น

วิราไม่มีท่าทีสงสัยเขา แน่ละ เพราะรายละเอียดหลังการจับกุมมาตรในตอนนั้นถูกปิดข่าว อีกอย่างข้อมูลทั้งหมดก็ถูกเขาจัดการไปแล้ว คนอย่างวิราและพรรคพวกในโซนนี้ที่สนใจแค่หาเช้ากินค่ำไม่มีวันทราบว่าชายหนุ่มที่พูดคุยอยู่นั้นถูกสลับกับอลิน ริช ไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ส่วนคนที่ทราบว่าเขาเป็นใครก็คงไม่มายังที่แบบนี้

“ผมมีเรื่องให้ช่วย”

“ได้เลย คนกันเองอยู่แล้ว” วิรายิ้มแล้วใช้สองแขนเรียวคล้องคออลิน เล่นเอาเสียววาบไปถึงแก่นกาย

เขากลืนน้ำลายเป็นรอบที่ล้าน หวาดกลัวจับใจ ในชีวิตไม่เคยมายังที่แบบนี้มาก่อน

แต่ไม่ใช่กับมาตร…ในวันที่กลายเป็นคนร้ายไร้สิ้นหนทางเพราะถูกตำรวจตามล่า มาตรหนีมาหลบตรงบริเวณนี้ และได้รับการช่วยเหลือจากวิราที่ดันเกิดหลงใหลในตัวมัน

บ้าจริง เขาไม่ควรจะรู้ดีขนาดนี้ แต่ความทรงจำของมาตรมันแพร่กระจายในหัวเร็วมาก เร็วอย่างน่าหวาดกลัว เขากรีดร้องในใจไปไม่รู้กี่รอบแล้ว

มันมีอะไรผิดพลาด การตัดสินใจของเขานั้นไม่สมเหตุสมผล แต่อลินหยุดไม่ได้ มันมีบางอย่างที่บังคับให้เขากระทำต่อไป

“แล้ว…มีอะไรให้ช่วยล่ะ” วิราถามพลางเอียงคอมองในระยะประชิดสายตา ทำไมกลิ่นกายหล่อนถึงได้หอมราวกับดอกกระดังงาเช่นนี้นะ

“ผมต้องการดอกไม้ไฟ”

วิรายิ้มยินดี เพราะมันคืองานถนัดของเธอ ยายสาวมือวางระเบิด

“แล้วก็ ขอแบบอลังการด้วย”

เท่านั้นเองที่หน้าสวยหมองลง “ไม่ไหวหรอก วัตถุดิบที่หาได้ในช่วงนี้ อย่างมากก็แค่วิบวับเท่านั้น”

อลินปลดตัวเองจากอ้อมกอดของวิรา รู้สึกผิดในหัวใจต่อคริสตี้ขึ้นมา แต่ยังฝืนทำหน้าที่ต่อไป เขายื่นกระดาษแผ่นเล็กให้กับวิรา เมื่อหล่อนอ่านดูก็ยิ้มแหย “เดี๋ยวนี้น่ากลัวจังนะ ไปเรียนมาจากไหนเนี่ย”

“มันเป็นสูตรพิเศษ วัตถุดิบที่ใช้ก็หาง่าย ซึ่งผมเตรียมไว้ให้แล้ว ฝากไว้ในตู้เก็บของสาธารณะ สถานที่ก็ตามที่เขียน รับรองเลยว่าอลังการแน่”

ว่าแล้วก็โล่ง…ที่ผ่านมาคงคิดมากไปเอง สมองของเขายังปลอดโปร่งดีอยู่ การคิดสูตรระเบิดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกฆาตกรหรอก แต่ที่ยังคิดคำนวณออกมาได้เช่นนี้ แสดงว่าในหัวยังปกติดีมากๆ

วิราอ่านแล้วขยำกระดาษ กลืนลงท้อง

“ให้ส่งที่ไหนดีคะ ที่รัก”

“ชั้นสิบแปด สำนักงานใหญ่ของการ์ด แอนด์ ลิงก์…ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไร” เขาชี้ไปที่อาคารสูงด้านขวามือที่มองเห็นได้อยู่ไกลๆ เพราะอยู่เขตข้างเคียงกัน จากตรงนี้ใช้เวลาไม่นานก็ไปถึง

วิราร้อง “นั่นมันพื้นที่สำนักงานนะ จะเข้าไปได้ยังไง มีหวังถูกจับได้ก่อนดิ”

“สองแสน” เขากล่าว ครั้งนี้เป็นหน่วยปกติ “วัน เวลา ทางนี้จะแจ้งอีกที ผมเชื่อว่ามีช่วงเวลาที่เหมาะสมอยู่ ขอแค่ทางคุณพร้อมก็บอกมาได้เลย”

วิรารับคำในทันที และแจ้งว่าต้องใช้เวลาจัดเตรียมสิ่งของสักสองวัน ทั้งสองแลกเบอร์ติดต่อกัน ส่วนของเขาใช้เบอร์สำรองที่ซื้อมาในราคาประหยัด

ว่าแต่ วิราส่งสายตา “ก่อนหน้านั้น เรามารื้อฟื้นกันหน่อยไหม”

“ไม่ละครับ ผมขอตัวก่อน” เขาบอกปัดไป แต่ในใจนั้นถอดเปลื้องผ้าเรียบร้อยแล้ว

“แหม พูดจาสุภาพเชียว ใจคอจะมาเจอกันแค่เรื่องงานอย่างเดียวหรือไง”

ผู้ฟื้นสติยิ้มให้ นั่นสินะ เขาพูดจาสุภาพผิดวิสัยตนเองจริงๆ ไม่สิ เขาควรสุภาพอยู่แล้วในฐานะผู้ฟื้นสติรายแรก และในฐานะโพรเจกต์ แอมบาสเดอร์ของโครงการ…รู้สึกเหมือนสมองจะตีกันเองจริงๆ

“อ้อ แล้วก็” เขาค้นอะไรในเสื้อคลุมทึบตัวหนา เป็นซองจดหมายสีน้ำตาล

วิรารับไปเปิดดูแล้วยิ้มออกมา “อะไรกัน เดี๋ยวนี้รู้จักวางแผนงั้นหรือ ไม่ตรงเป็นไม้บรรทัดแล้วสินะ”

เขาซีดไป ไม่รู้สึกดีใจเท่าไรนัก ภายในซองนั้นมีทั้งสำเนาลายนิ้วมือที่ถูกฝังลงกระดาษใส

เมื่อคิดถึงเจ้าของลายนิ้วมือแล้วก็ปวดใจ แต่จำเป็นต้องทำจริงๆ อลินบอกกับตัวเองแบบนั้น

ชายร่างผอมที่กำลังนั่งอยู่ริมตลิ่งหันมาเตือนเสียงแหบแห้ง “อย่าให้เรื่องมาถึงพวกเรานะ วิรา พวกผมไม่ชอบให้ตำรวจมายุ่ง”

วิรารับคำของชายผู้น่าจะเป็นหัวหน้าชุมชน ส่วนอลินผงกหัว

พอพูดถึงตำรวจ อลินรู้สึกผิดบาปผสมยินดีมีสุข เพราะเขาได้แกล้งหมวดพิศวัติไปเสียแล้ว อันที่จริงข้อมูลที่มันหามาให้นั้นก็เพียงพออยู่ จึงไม่จำเป็นต้องเสี่ยงไปตรวจสอบอะไรปกป้องอีก แต่เขาก็ยังไม่วายหาเรื่องขู่ให้มันตรวจสอบเพิ่ม

ในส่วนของเรื่องนี้ อลินอ้างเหตุกับตัวเองว่าเผื่อจะได้ไอเดียอะไรดีๆ ก็ได้ แต่ความจริงก็ทราบว่าเป็นเพราะรสนิยมชอบเห็นคนปวดร้าวที่แฝงมาจากไหนไม่ทราบ มั่นใจว่าไม่ใช่ของฆาตกร มาตรมันก็แค่คนที่ฆ่าเพราะหวาดระแวง ไม่ใช่ฆ่าเพราะความสนุก

แต่อย่างไรก็ช่างมันเหอะ เพราะที่เป็นอยู่นี้มันช่างรู้สึกดีจริงๆ ให้ตายเหอะว่ะ แค่คิดถึงเรื่องดอกไม้ไฟรู้สึกสนุกแล้ว หุบยิ้มไม่ได้เลยเว้ย

 

อาคารสีขาวสูงสี่ชั้นทอดยาวไปในแนวเดียวกับริมถนนใหญ่ ห่างจากทางเดินเท้าเข้าไปพอสมควร มีพื้นที่สีเขียวล้อมรอบให้ดูสบายตา แต่อากาศคงร้อนเดือดไม่แพ้ด้านนอก ตัวอาคารใช้โทนสีขาวและม่วง ออกแบบค่อนข้างร่วมสมัย ทว่าเมื่อมองจากด้านนอกเข้าไปนั้นกลับดูไร้ผู้คน ทั้งที่เวลาในขณะนี้คือสิบเอ็ดโมงเช้าเท่านั้น

ปกป้องมองที่ป้ายเหนือหัว มันเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า ‘สถาบันเพื่อสุขภาพจิตสากล สาขา ๒’

เขาเดินผ่านมาหน้าสถาบันแห่งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว แต่ยังไม่กล้าขอรายละเอียดอะไรมากไปกว่าใบปลิวที่วางไว้หน้าอาคาร วันนี้ก็เช่นกัน เขาหยุดนิ่งที่หน้าทางเข้าซึ่งเป็นโถงกว้าง มีหลังคาคลุมคล้ายโดม เดินเลยจากป้ายและโต๊ะที่วางใบปลิวเข้าไปอีกหน่อยก็ถึงฝ่ายประชาสัมพันธ์แล้ว แต่ก็ยังลังเลอยู่

ใบปลิวในมือนั้นเป็นแนวทางการเข้ารับการบำบัดของผู้ป่วยที่เคยประสบเหตุร้ายแรงจากอาชญากรรม ข้างๆ ลิงก์และคิวอาร์โค้ดสำหรับสแกนรายละเอียดนั้น มีหัวข้อย่อยที่กล่าวถึงอาการซึ่งคล้ายกับกรณีของพิณเพลงด้วย

‘การมีความรู้สึกเชิงบวกหรือคลั่งไคล้ฆาตกร’

แม้ไม่เชี่ยวชาญ แต่ก็เดาว่าน่าจะตรงกับอาการของพิณเพลง ความจริงยังมีหัวข้ออื่นอีกที่น่าจะเข้าเค้า แต่ปกป้องไม่กล้าอ่านต่อ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าสถาบันแห่งนี้คงพอรักษาได้ และควรรีบพามาโดยด่วน เพราะไม่แน่ใจสักนิดว่าหากเขาและธาดาร์จากไป พิณเพลงจะอยู่ต่อไปอย่างไร หากมีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญคอยช่วยก็คงวางใจได้เปลาะหนึ่ง

แต่ที่ผ่านมานั้นทำใจชวนมาด้วยไม่ได้สักที หากทำเนียนพามารักษาก็กลัวจะโดนโกรธแล้วทำให้ทุกอย่างยากขึ้นไปอีก จะให้ค่อยๆ พูดก็ไม่ใช่แนวที่เขาถนัด จึงเป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่โคตรทรมานใจ

ว่าแล้วก็ทำได้เพียงหยิบใบปลิวมาเช่นเดิม จากนั้นจึงเดินซึมกลับออกมา

ปกป้องยังเชื่อมั่นว่าตนสมควรถูกเคลียริง มันอันตรายเกินไปสำหรับสังคมที่คนอย่างเขาจะมีชีวิตอยู่ ธาดาร์ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเท่ากับคนปกติ เรื่องนี้เขารับรองได้

 

อากาศยังระอุ เขาเดินออกมาตรงโถงก่อนจะถึงหน้าอาคาร นึกในใจว่าคงไปไม่ทันนัด

วันนี้บริษัทยังอยู่ในช่วงหยุดปรับปรุงพิเศษ แต่ยังมีพนักงานบางส่วนเข้าทำงาน และปกป้องมีนัดคุยกับยศ เจ้าหน้าที่ซึ่งถูกเขาชวนมาร่วมโครงการวิจัยใหม่เพราะเห็นว่าคุยกันรู้เรื่อง โดยนัดคุยที่ห้องทำงานของปกป้องในช่วงสิบเอ็ดโมง ซึ่งบัดนี้ตนสายไปแล้วห้านาทีเพราะมัวแต่เดินไปมาอยู่ในสถาบัน

คงต้องรีบกลับแล้ว

แต่พอเดินไปได้อีกครู่เดียว ก็ก้าวสวนกับใครบางคนที่อยากเจอหน้าน้อยที่สุดในโลก…

ร้อยตำรวจโทพิศวัตินั่นเอง

ร.ต.ท.พิศวัติมาในชุดไปรเวทแต่ดูรู้ทันทีว่าเป็นตำรวจ ทั้งสองหยุดเดินแล้วหันกลับมามองหน้ากัน วินาทีนั้นเขาเจ็บใจ เพราะรู้ว่าตนไม่ควรหันกลับมา แต่คิดอีกที หากแกล้งลืมหน้าค่าตาคงจะดูออกชัดเจนและมีพิรุธอีกต่างหาก

“อ้าว คุณตำรวจที่ช่วยผมที่สวนสนุกใช่ไหมครับ” เขาซ่อนใบปลิวไว้ด้านหลัง ขมับขวากระตุกลั่น ส่วนเสียงวิ้งในหูนั้นยังรุนแรงเช่นเดิม

“อ้าว สวัสดีครับ มาทำอะไรแถวนี้เนี่ยคุณ” คิ้วขณะพูดกระตุกเล็กน้อย น้ำเสียงนั้นดูโคตรเสแสร้ง “เดินเล่นไปทั่วแบบนี้อันตรายนะครับ แถวนี้ยิ่งมีฆาตกรหลบหนีเที่ยวโผล่ไปมาอยู่นะ ทางผมยังตามจับตัวไม่ได้เลย ไม่ได้ตามข่าวหรือครับ”

“กลางวันแบบนี้คงไม่เป็นไรมั้งครับ”

นายตำรวจไม่สนใจคำตอบ มองไปยังอาคารหลักของสถาบันที่อยู่ทางซ้าย

“สนใจอะไรเรื่องการบำบัดหรือครับ” ว่าแล้วก็ชี้มาที่ตัวปกป้อง คงรู้ว่าเขาถืออะไรอยู่

“อ้อ เปล่าครับ แค่เอาไปอ่านเล่นๆ”

นายตำรวจตัวแสบหัวเราะ “แล้วไป นึกว่าจะส่งคุณพิณเพลงมาบำบัดเสียอีก”

ปกป้องชะงักไป ในขณะที่อีกฝ่ายยิ้มเห็นฟันขาว แต่แววตามุ่งร้ายเต็มที่ แตกต่างจากคราวก่อนราวกับคนละคน

“ผมทราบมาว่าความทรงจำของธาดาร์ โพ้นวิไสยเริ่มกลับมาแล้วหรือครับ”

เขาใจสั่นระรัว ไม่คิดว่าจะถูกถามเข้าประเด็นกะทันหันแบบนี้

“ธาดาร์คือใคร ผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนด้วย พวกคุณต้องการอะไรจากผมกันแน่” เสียงจากปากนั้นแทบจะตวาด ไอ้ตำรวจคนนี้มันเป็นใคร ต้องการอะไร ทั้งที่อีกไม่นานเขาก็จะไปเคลียริงแล้ว ทำไมต้องไล่บี้กันด้วย

แต่ตำรวจอย่างพิศวัติไม่เกรงกลัวเสียงดัง “ขอโทษที ผมรีบไปหน่อย อันที่จริงผมแค่กังวลว่าคุณพิณเพลงจะเป็นอันตราย ส่วนธาดาร์ โพ้นวิไสย คือชื่อของนักโทษประหารที่คุณสลับจิตด้วยไงครับ ลืมง่ายจังเลยนะ”

ปกป้องสูดหายใจ สมองป่วนไปหมด คิดออกแค่จะฆ่านายตำรวจผู้นี้อย่างไรให้ตายเร็วที่สุด แต่ก็ต้องสลัดความต้องการด้านชั่วออกไป

“หากคุณกังวลว่าผมจะทำร้ายคุณพิณเพลง ไม่ต้องเลยครับ เพราะผมไม่มีวันทำร้ายเธอ” เขาพูดจากใจจริง และนั่นทำให้หมวดพิศวัติผู้น่าจะเป็นประเภทที่สังเกตอารมณ์คนได้มีท่าทีหวั่นไหว ชายตรงหน้ากะพริบตาและกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง

“ดูท่าคุณพิณเพลงจะเป็นคนสำคัญของคุณสินะ”

ปกป้องนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ อยากจะพูดอะไรยืนยันมากกว่านี้ แต่ตัดสินใจได้จากสัญชาตญาณว่าแค่การพยักหน้าให้มั่นคงที่สุดก็พอแล้ว

พิศวัติมีสีหน้าเจ็บใจ คงไม่คิดว่าเขาจะผูกพันกับพิณเพลงจริงๆ

“แต่คุณก็พยายามจะกันเธอออกไปไม่ใช่หรือ”

“คุณพูดเรื่องอะไรของคุณครับ”

ปกป้องหลบตา ฝั่งนั้นยังไม่ยอมแพ้ แน่นอนว่าเขาไม่อยากถกต่อแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าไม่ควรจะหนี

“คุณรู้ใช่ไหมว่าคุณพิณเพลงเรียนที่โรงเรียนเดียวกับเหยื่อของธาดาร์”

“ผม…”

เริ่มรู้สึกอึดอัดไปทั่วท้อง ปกป้องเดาว่าพิศวัติจงใจถามตรงๆ เพื่อวัดว่าเขาโกหกหรือไม่ ซึ่งคำถามเดียวก็ตัดสินอะไรได้หลายอย่างแล้ว ถ้าตอบว่าไม่รู้ อีกฝ่ายคงจับได้

…หรือไม่ก็แค่บลัฟ ชายตรงหน้าอาจจะจับโกหกได้ไม่เก่งเท่าไรด้วยซ้ำ สรุปคือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายคิดหรือมีเป้าหมายอะไรอยู่ ปกป้องโคตรเกลียดคนแบบนี้ และเขาจะเสี่ยงอีกไม่ได้แล้ว

“เธอเล่าให้ผมฟังว่าเคยผ่านเรื่องเลวร้ายมาก่อน เคยเห็นคนถูกฆ่าตายต่อหน้าโดยฆาตกรต่อเนื่อง ส่วนจะเป็นธาดาร์หรือไม่นั้น คุณคงต้องลองไปถามเธอเอง” ปกป้องคิดตัดบททันที “ผมขอตัวนะครับ มีนัดกับเพื่อนที่ทำงานเอาไว้”

เพราะเป็นความจริงทั้งหมด หมวดพิศวัติจึงยิ่งดูไม่พอใจ ปกป้องเองก็เช่นกัน ไม่น่าเอาพิณเพลงมาเอี่ยวในคำตอบด้วย แต่เขาคิดอะไรไม่ออกแล้ว

ทว่าพอหันหลังกลับ ฝ่ายตำรวจยังไม่ยอมปล่อยเขาไป

“คุณก็เลยอยากจะพาเธอมาบำบัด เพื่อให้ก้าวพ้นจากเหตุการณ์อันเลวร้ายสินะ จะได้ลืมเรื่องของธาดาร์ไป” เสียงผู้หมวดคล้ายจะเข้าใจความรู้สึกของเขา “คุณคิดว่าเธอควรก้าวข้ามเรื่องในอดีตให้ได้ใช่ไหมครับ”

“เพื่อตัวของเธอเอง” เขาตอบเสียงเบาหวิว ในหัวนั้นฆ่าแม่งไปแล้วสี่รอบ

“แล้วส่วนของธาดาร์…”

“นี่คุณเป็นอะไรกับคนชื่อธาดาร์นักหนา น่ารำคาญจริงๆ” เขาตวาดขัดจังหวะ คราวนี้อีกฝ่ายมีท่าทีสะดุ้ง เอี้ยวมือขวาไปที่หลังเอวซึ่งน่าจะมีปืนพกเหน็บอยู่ คงเพราะรังสีอำมหิตจากปกป้องนั่นเอง

ใช่แล้ว เมื่อครู่เขาคิดจะลงมือฆ่ามันจริงๆ

…แต่แล้วก็สูดหายใจ คิดถึงหน้าของพิณเพลง

“ขอโทษนะครับคุณตำรวจ แต่คุณไม่ใช่ศาล ไม่ใช่ตำรวจฝ่ายสอบสวนด้วยซ้ำ ผมไม่จำเป็นต้องบอกอะไรคุณมากไปกว่านี้”

ร.ต.ท.พิศวัตินิ่งไป ปกป้องจึงคิดฉวยโอกาสนี้หันกลับเพื่อเดินหนี ทว่าก็มีเสียงหนึ่งเรียกชื่อเขา

ไม่ใช่เสียงนายตำรวจนั่น แต่เป็นเสียงหวานที่คุ้นเคย

“ปกป้อง” เสียงนั้นมาจากด้านหลัง หันกลับไปทันทีก็พบว่าเป็นพิณเพลง เธอมาในชุดพนักงานของ ESS แถมยังมีหน้าตาตื่นตะลึง ในมือกำสมาร์ตโฟนเอาไว้แน่น คงได้รับข่าวบางอย่างแล้วจึงรีบมายังที่แห่งนี้

“จริงๆ ด้วย” พิณเพลงกล่าวเสียงสั่นเครือ “คุณพยายามจะให้ฉันมาบำบัดจริงๆ ด้วย”

ปกป้องรู้สึกราวกับกำลังดิ่งลงเหวลึก ไม่ต้องหันกลับไปหาพิศวัติ ก็ยังรู้ชัดว่ามันกำลังยิ้มอยู่

 

ท่าทีตื่นตระหนกของปกป้อง ปักษ์ดนูทำให้นายตำรวจรู้สึกผิดบาป แต่เขาไม่มีทางเลือก…

เมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้านี้ พิศวัติเพิ่งตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต

เพราะลงมือเองไม่ได้ จึงขอให้รุ่นน้องที่สถานีสะกดรอยตามปกป้องแทน โดยไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรไว้ แถมยังเป็นเด็กใหม่ที่ไม่ประสีประสา ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเจ้าของร่างเป้าหมายที่ต้องติดตามนั้นเป็นฆาตกร ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ตัวเขาไม่อยากตอบคำถามอะไรมาก

และก็ได้ทราบว่าปกป้องจะมายังที่แห่งนี้ทุกวันจันทร์ช่วงก่อนเที่ยง ซึ่งก็ทำให้เขาแปลกใจปนระแวง

…งั้นหรือ พยายามจะบำบัดตัวเองสินะ ไม่สิ น่าจะคิดพาพิณเพลง ปานแสงตะวรรณมาบำบัดมากกว่า เพราะหากเป็นเรื่องตัวเองจริงๆ สู้ไปที่โครงการ A MIND โดยตรงเลยดีกว่าไหม หรือจะบอกว่าไม่กล้ากลับไปที่โครงการกันนะ

ผู้หมวดพิศวัติยังคงลังเลเมื่อได้ข้อมูลนี้มา แต่สุดท้ายเขาแทงข้างฝั่งพิณเพลง นึกในใจไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ต้องลุยเต็มที่ โชคดีหน่อยที่ในช่วงแอบดักฟังมือถือของปกป้อง เขาได้คัดลอกเบอร์ติดต่อออกมาหมดแล้ว และหนึ่งในนั้นมีเบอร์ของพิณเพลงด้วย แต่เมื่อลองใช้มือถือคนอื่นติดต่อไปก็พบว่าเบอร์ถูกเปลี่ยนไปแล้ว

ระวังตัวแจเชียวนะ…คิดอีกทีก็คงไม่แปลก เมื่อวิธีนี้ไม่ได้ผล พิศวัติจึงเดินทางไปที่ร้านสะดวกซื้อ ESS ในช่วงกลางวัน เมื่อพบผู้จัดการร้านที่จะเข้ามาแค่ช่วงเวลานี้ก็ขอพูดคุยด้วย

อีกฝ่ายชื่อมินต์ เป็นหญิงอายุประมาณสี่สิบกลาง ไว้ผมประบ่า หน้าตาดูดื้อดึงแต่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เป็นประเภทได้ตำแหน่งเพราะทำงานมานาน รับงานโดยตรงจากเถ้าแก่เนี้ยเพื่อมากระจายให้ลูกน้องในร้าน มีตำแหน่งใหญ่กว่าพิณเพลง แต่พอได้คุยดูแล้วก็เดาน่าจะเป็นฝ่ายถูกสอนงานมากกว่า ซึ่งเขานึกดีใจได้คุยกับมินต์ เพราะหากเป็นเถ้าแก่เนี้ยซึ่งดูร้ายกาจแล้ว คงจะมองเห็นพิรุธและเริ่มปกป้องเด็กของตัวเองอย่างสุดกำลังแน่

ผู้หมวดอ้างกับมินต์ว่ามีข่าวฆาตกรหลบหนีมาแถวนี้ในช่วงเที่ยงคืน จึงขอสอบถามรายละเอียด ซึ่งทางนั้นก็ให้ความร่วมมือดี แถมยังแอบกระซิบด้วยว่ามีเรื่องไว้อวดกับเพื่อนๆ แล้ว เมื่อสอบถามสักพักหนึ่งจึงแจ้งว่าจะกลับมาอีกครั้งช่วงห้าทุ่ม อีกฝ่ายดูวิตก ถามเขาเบาๆ ว่าให้เด็กในร้านเป็นคนให้ข้อมูลแทนได้ไหม คงไม่ต้องการกลับเข้ามาคุยช่วงดึก

พิศวัติจึงขอเบอร์ติดต่อของพนักงานช่วงกะดึกไว้ โดยได้มาสองเบอร์ หนึ่งในนั่นน่าจะเป็นของพิณเพลง และแอบยิ้มเมื่อพบว่าทั้งสองเป็นคนละเบอร์กับที่เขามี

ที่เหลือก็แค่ใช้วิธีพื้นๆ เขาให้รุ่นน้องคนเดิมจัดการโทร.ดู พบว่าเบอร์แรกเป็นของคนชื่อพราว ซึ่งน่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานกะดึกของพิณเพลง

จากนั้นรุ่นน้องก็ส่งข้อความไปที่เครื่องของพิณเพลง แม้จะไม่ได้เป็นเพื่อนในแอปพลิเคชัน แต่อีกฝ่ายก็อ่านแทบจะในทันที นั่นเพราะเนื้อหาที่ส่งไปนั้นสำคัญเกินกว่าจะไม่สนใจได้

ผมเองนะครับ ปกป้อง ผมเปลี่ยนโทรศัพท์เพราะถูกดักฟังอีกรอบ

เกิดอะไรขึ้นคะ พิณเพลงตอบกลับมา เธอไม่ใช้วิธีโทร.กลับ คงกลัวไปหมดแล้ว

ผมว่าเราต้องคุยกัน ช่วยมาที่สถาบันเพื่อสุขภาพจิตสากลตอนนี้เลยได้ไหม ผมจะส่งโลเคชันไปให้ อยู่ไม่ไกลจากตึกการ์ด แอนด์ ลิงก์เท่าไร ผมจะรอนะ

คุณปกป้องหมายความว่าไงคะ

ผมตัดสินใจแล้ว เราต้องจบเรื่องนี้ ที่การบำบัด ผมอยากให้คุณหายจากอาการที่เป็นอยู่ แล้วก้าวข้ามความสัมพันธ์ของเรา ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะตามจองล้างจองผลาญไปเรื่อยๆ

ทางเขาหยุดส่งข้อความเท่านี้ แน่ละว่ายังไม่จบ เพราะพิณเพลงจะไม่เชื่อเรื่องนี้แน่นอน และจะยังไม่ยอมมาพบที่สถาบันเพื่อสุขภาพจิตสากลด้วย แต่จะโทร.หาเบอร์ของปกป้องก็ไม่กล้า ทางเดียวที่คิดออกคือเดินทางไปที่บริษัท การ์ด แอนด์ ลิงก์ด้วยตัวเอง

พิณเพลงจะวิ่งออกจากหอพักภายใต้อากาศร้อนจัดของช่วงก่อนเที่ยงวันจันทร์ มองซ้ายขวาไปทั่วกลัวว่าจะมีคนแอบสะกดรอย ทั้งหมดจะกัดกินสภาพจิตใจและความรอบคอบไปทีละน้อย จากนั้นเมื่อถึงที่หมาย เธอจะเข้าไปถามที่โอเปอร์เรเตอร์ ปกป้องน่าจะแจ้งไว้ตั้งนานแล้วว่าให้ดูแลพิณเพลงเป็นอย่างดี

และพิณเพลงจะได้รับคำตอบว่าปกป้องไม่อยู่ อาจจะออกไปทำธุระส่วนตัว และนั่นจะยิ่งทำให้เธอสติแตก

ไม่นานความกดดันทั้งหมดก็จะพาพิณเพลงมาถึงตรงนี้ มาพบกับเขาที่กำลังเถียงถ่วงเวลากับปกป้อง

เวลาสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว พิณเพลงยืนอยู่ด้านหลังปกป้อง ปักษ์ดนูซึ่งกำลังจ้องเขาด้วยแววตาของฆาตกร ประสบการณ์ทั้งหมดที่สั่งสมมานั้นแจ้งเตือนชัดเจนว่าธาดาร์กลับมาแล้ว

 

ทั้งสามชีวิตยืนนิ่งตรงโถงทางเดินกว้างของสถาบัน ร.ต.ท.พิศวัติเสี่ยงมาเพียงลำพัง แต่ก็มั่นใจว่าจะคุมสถานการณ์อยู่ ส่วนปกป้องยืนจ้องหน้าเขาราวกับจะกินเลือดเนื้อ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก ในขณะที่พิณเพลงค่อยๆ เดินมาที่ด้านหลังของปกป้อง จับที่แขนเสื้อ กระตุกครั้งหนึ่งเป็นเชิงถาม

ปกป้องไม่หันกลับไปตอบ แต่ยังคงเพ่งความแค้นมาทางนี้ นายตำรวจพิศวัติแอบสงสัยว่ามันจะสารภาพเรื่องที่ต้องการให้พิณเพลงมาบำบัด เพื่อให้พิณเพลงหลุดเรื่องธาดาร์ออกมา หรือจะอาละวาดเข้ามาทำร้ายเขาด้วยความแค้นของฆาตกร จะอย่างไหนก็เป็นได้ได้ทั้งนั้น

แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าทาง ปกป้องก็หลับตาลง แล้วยิ้มออกมา

“ผมว่าเราเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วครับ”

เมื่อนั้นแหละที่เขาแอบกัดปากด้วยความแค้น เล่นมันขนาดนี้ยังคุมอารมณ์ไหวอีกหรือวะ “อย่ามาแถไปเรื่อย คุณ…”

ว่ายังไม่ทันจบ ก็บังเกิดเสียงระเบิดขึ้น!

ปกป้องกับพิณเพลงรีบคว้าอีกฝ่ายมากอดไว้กลายเป็นก้อนกลม ส่วนเขาคู้ตัวลงเล็กน้อย ไม่ได้ตกใจขนาดนั้น ฟังแล้วเป็นเสียงระเบิดดังจากที่ไกลๆ ทว่าหนักหน่วงและชัดเจน ไม่ใช่แค่ยางแตกแน่นอน

และแล้วผู้หมวดก็ต้องตกใจ เมื่อมองเลยไปทางเหนือหัวของปกป้องกับพิณเพลง นอกรั้วของสถาบันออกไป ที่มาของแรงระเบิดอยู่ที่นั่น ที่ตึกสูงอันเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัท การ์ด แอนด์ ลิงก์

ไม่ต้องสืบก็พอจะเดาออก มันต้องเกิดระเบิดขึ้นที่ชั้น ๑๘ ซึ่งเป็นออฟฟิศของปกป้องแน่นอน

 

ปกป้องคู้ตัวลงกอดกับพิณเพลง เธอตัวสั่นจากเสียงดัง แต่ครู่เดียวก็หาย

หลังจากมั่นใจว่าพิณเพลงปลอดภัย ในใจก็ระเบิดวอดวายไม่แพ้ภาพที่เห็นจากระยะไกล ปกป้องตะโกนอะไรออกมาเต็มไปหมด ซึ่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหมายถึงอะไร บัดนี้ในใจมีสิ่งที่พะวงอย่างหนักเพียงอย่างเดียว

ฉิบหายแล้ว อาคารของบริษัทระเบิด ไฟกำลังลุกไหม้ เมื่อประมาณด้วยสายตาก็น่าจะเป็นชั้นที่ทำงานของเขาเอง ไม่ผิดแน่ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีคนจะฆ่าเขา

…ไม่ใช่พวกตำรวจ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ พวกนั้นน่าจะต้องการให้เขาถูกเคลียริง ไม่ใช่ฆ่าทิ้งแบบนี้

“ไม่เป็นไร โชคดีมากที่ปกป้องไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิศ” พิณเพลงยังพยายามกล่าวในแง่ดีภายใต้อ้อมกอด

แต่นั่นมันผิดถนัด

เขารีบคว้าข้อมือของเธอแล้วพาไปหาผู้หมวดซึ่งกำลังคุยโทรศัพท์กับใครไม่ทราบ เดาว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยกัน

“ฝากดูแลเธอด้วยครับ…ได้โปรด” เขาส่งมือของพิณเพลงให้ อีกฝ่ายหน้าเหวออย่างเห็นได้ชัด

“คุณจะไปไหน”

“อย่างไรเสียคุณก็เป็นตำรวจ แต่ถ้าเธอเป็นอะไรไป ผมจะฆ่าคุณ” กล่าวจบปกป้องหันหลังแล้วออกวิ่งทันทีโดยไม่รอคำตอบ

สักพักจึงรู้สึกได้ว่านายตำรวจผู้นั้นวิ่งไล่หลังมา

“คุณไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ รอเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมาก่อน” คิดว่ามันตะโกนมาประมาณนี้ แต่นั่นไม่สำคัญอะไร เขาไม่จำเป็นต้องฟังมัน

ผู้หมวดคงเดาเรื่องออก คนร้ายมันคงสืบมาแล้วว่าช่วงนี้บริษัทของเขาปิดปรับปรุงหลายจุด และพนักงานส่วนใหญ่ก็ไม่อยู่ โดยเฉพาะชั้น ๑๕ ขึ้นไปนั้นแทบร้างทีเดียว ใช่แล้ว หากระเบิดถูกเวลาจริงก็คงมีเพียงเขาที่ตาย แต่ไม่ใช่ในคราวนี้ เพราะเขาไปตามนัดสายแถมยังติดพันกับพิศวัติอีก

ทว่ายังมีหนึ่งคนที่จะไปยังชั้น ๑๘ แน่นอน

ยศ! เขาตะโกนตอบ “เพื่อนของผมชื่อยศ เขารออยู่ที่ห้องทำงานของผมตอนระเบิด”

ได้ยินเสียงไล่ตามหลังมาว่าฉิบหายแล้ว

 

เมื่อมาถึงในสภาพเหงื่อท่วม ใต้อาคารมีพนักงานจำนวนหนึ่งกำลังวิ่งออกมา ส่วนใหญ่มาจากชั้นหกและแปดที่คุมเรื่องมอนิเตอร์ผลวิจัย เขากวาดสายตาดู ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหนัก สอบถามคร่าวๆ พบว่าไม่น่ามีคนหายไป บางส่วนยังคงไม่กลับมาจากทานข้าวเที่ยงด้วยซ้ำ ขอบคุณพวกที่ชอบอู้งานเวลาที่หัวหน้าหนีไปต่างประเทศ

ทว่าก็ยังขาดเจ้าหน้าที่ไปคนหนึ่งอยู่ดี

“คุณยศล่ะ” เขาถาม รปภ.หนุ่ม เมื่อนั้นชายในชุดยูนิฟอร์มสีฟ้ามองกลับไปที่ทางเข้าอาคารซึ่งเป็นลานกว้างเพดานกระจกโค้ง และหันกลับมาส่ายหัวด้วยแววตาลังเล

…ทุกคนชอบอู้งานเวลาที่หัวหน้าหนีไปต่างประเทศ แต่ไม่ใช่กับยศ ยศจะมาตามคำขอของเขาแน่นอน

สองเท้าพาร่างของปกป้องวิ่งเข้าไปยังอาคารที่ด้านบนกำลังลุกไหม้ทันที ส่วนหนึ่งของสมองแจ้งชัดเจนผ่านทางขมับว่าอย่าขึ้นไป มันเป็นการกระทำที่โง่มาก เขาช่วยอะไรไม่ได้ มีแต่จะสร้างปัญหาเท่านั้น

แต่ปกป้องหยุดตนเองไม่ได้จริงๆ

สติกลับมาเมื่อขึ้นบันไดหนีไฟข้างอาคารมาถึงชั้นสิบสอง ควันและความร้อนลอยขึ้นสูง แต่อากาศในชั้นล่างๆ เริ่มระอุแถมหายใจลำบาก

เขาพักหายใจ และก้าวขึ้นบันไดอย่างรีบเร่ง ในขณะที่หมวดพิศวัติตามมาไม่หยุด

“ไอ้ห่าปกป้อง คุณเป็นบ้าอะไร! ให้นักดับเพลิงมาจัดการ เดี๋ยวก็ตายฟรีหรอก”

ที่นายตำรวจผู้นี้พูดก็ถูกแล้ว แต่ร่างกายไม่ยอมฟังสักนิด ทั้งที่ร้อนแทบจะอ้วกออกมาแล้วแท้ๆ

 

มาถึงชั้น ๑๘ ปกป้องวิ่งไปตามทางเดินที่เละเทะท่ามกลางเปลวเพลิง ไม่นานก็ถึงโซนออฟฟิศของเขา หลังทางเข้าหลักที่พังไม่เหลือซากนั้นคือห้องทำงานที่จำสภาพเดิมไม่ได้แล้ว

เข้าไปก็คือตาย ขมับขวามันบอกอย่างนั้น แต่ปกป้องก็ยังเข้าไป ใช้สองมือปัดอุปกรณ์มากมายที่กีดขวางทางทั้งซ้ายขวา มองไปรอบเพื่อหาใครสักคน จากนั้นจึงเห็นร่างร่างหนึ่งตรงหางตา…ยศนั่นเอง

ร่างสันทัดในชุดเสื้อวงดนตรีร็อกนั้นมีเลือดเต็มตัว นอนแน่นิ่งตรงมุมขวาของห้อง

ปกป้องรีบปรี่เข้าไป ก่อนจะสังเกตเห็นว่าตู้เก็บเอกสารขนาดใหญ่ริมกำแพงนั่นกำลังจะล้มลงใส่เพื่อนร่วมงานของเขา พริบตาเดียวปกป้องพุ่งพาร่างตัวเองเข้าไปบังให้ โครงเหล็กและแฟ้มเอกสารจึงอัดใส่แผ่นหลังของเต็มๆ

มันไม่เจ็บเท่าที่คาดไว้ ปกป้องแอบดีใจที่ธาดาร์นั้นแข็งแกร่ง หากเป็นเขาในสมัยก่อนคงตายไปแล้ว ว่าแล้วก็สะบัดให้ทุกอย่างที่โถมทับนั้นให้ร่วงไปกองกับพื้น เมื่อเป็นอิสระจึงรีบตะโกนเรียกชายที่นอนอยู่ใต้ร่างของเขา

“ยศ ยศ” ปกป้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็นั่นแหละ แม้จะจบปริญญาโทมาตั้งแต่อายุยี่สิบสอง แต่เขาไม่เคยเรียนวิชาช่วยเหลือคนจากการถูกแรงระเบิดเสียหน่อย ทำได้เพียงแค่ตะโกนเท่านั้น

ทว่ายศกลับค่อยๆ ลืมตาขึ้น ท่ามกลางความร้อนสูงและควันที่ลอยเต็มไปหมด

“คุณปกป้อง ผม…อยู่ที่ไหนเนี่ย” ยศกล่าวด้วยเสียงไร้เรี่ยวแรงและแหบแห้ง

“เก็บแรงไว้ ผมจะหาทางพาคุณออกไป” เขาตะโกน

แต่นั่นคือความคิดที่ไร้สาระที่สุด เพลิงเริ่มเผาผลาญลามล้อมรอบตัว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังร้อนหรือแสบที่ผิวภายนอก ที่เลวร้ายที่สุดคือเขาหายใจไม่ออก

ภาพตรงหน้าสลับไปมาระหว่างไฟกับความมืด ทุกอย่างพร่าเบลอไปหมด เห็นหน้าพ่อกับแม่ที่แสนคิดถึง พวกท่านยืนอยู่จากริมชายหาดอันไกลแสนไกล

คราวนี้พิศวัติพูดถูกว่ะ เขารำพึง

จากนั้นเริ่มมีเสียงกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู

“หมอบตัวลงให้ต่ำที่สุดครับ คุณปกป้อง”

เอ๋…เขาคุ้นเคยกับเสียงนั้นดี แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นของใคร

“หมอบตัวลงให้ต่ำที่สุดสิครับ อากาศน่าจะอยู่บริเวณนั้น”

ปกป้องพยายามหมอบไปกับพื้นตามที่ได้ยิน หูทั้งสองฝั่งได้ยินเสียงหายใจหนักเจียนตายของตัวเองชัดเจน ก่อนที่ทุกอย่างจะพลันวูบไปในที่สุด

 



Don`t copy text!