
A MIND จิตอริยะ บทที่ 10 : การเตรียมใจของปกป้อง
โดย : ไข่เจียวหมูสับ
A MIND จิตอริยะ โดย ไข่เจียวหมูสับ กับเรื่องราวซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของระบบสลับจิตที่นำมาทั้งการตามล่า บททดสอบทางศีลธรรมและความรักที่อาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา และนี่คือนวนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับเลือกจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 ที่จะถูกนำไปสร้างเป็นละครและเป็นนวนิยายที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์บนเว็บไซต์ anowl.co
แสงแดดอ่อนส่องผ่านกระจกในห้องพยาบาล หลังจากนอนเหม่อมองแสงนวลได้ประมาณห้านาที ปกป้องเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขามิได้ฝันอยู่
เรื่องที่ผ่านเข้ามาในหัวเมื่อครู่…เป็นของธาดาร์สินะ…แต่ช่างมันก่อนเถอะ เขามีเรื่องอื่นให้กลัดกลุ้มอยู่
ว่าแล้วก็กะพริบตาถี่เพื่อเรียกสติครู่หนึ่ง ค่อยๆ หันหน้ากลับมา ศีรษะแนบไปกับหมอนนุ่ม บรรยากาศและภาพรอบตัวสื่อให้ทราบว่าเป็นห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลแห่งเดิม
ไม่นานพิณเพลงก็เปิดประตูเข้ามา เมื่อพบว่าเขารู้สึกตัวแล้วก็ร้องไห้เสียงดังและวิ่งเข้ามากอด
“งั้นหรือ ผมรอดสินะ” ปกป้องพึมพำด้วยเสียงแหบ คอแห้งไปหมด พิณเพลงกดปุ่มที่หัวเตียงเพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่พยาบาล จากนั้นจึงเดินไปหยิบน้ำมาให้ บอกว่าเขาไม่ได้สติไปเกือบหนึ่งอาทิตย์
อาการไม่หนักหนาอะไรราวกับปาฎิหารย์ มีแผลถูกไฟลวกเล็กๆ แค่สองสามแห่งเท่านั้น เมื่อแพทย์และพยาบาลตรวจเบื้องต้นเสร็จสิ้น ปกป้องก็มีเวลานั่งคุยกับพิณเพลงสักที
ปกป้องได้ทราบว่าเขากับยศถูกช่วยเหลือโดยเจ้าหน้าที่ดับเพลิงซึ่งมาทันเวลาพอดี เขาสูดควันเข้าไปพอควรแต่ไม่บาดเจ็บมาก ส่วนยศถูกแรงระเบิดอาการหนัก แม้เวลานี้พ้นขีดอันตรายแล้วแต่ก็ยังต้องเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
“ยศยังอยู่ในห้องไอซียูงั้นหรือครับ” เสียงของปกป้องสั่นเครือเจือความรู้สึกผิดบาป
“มันไม่ใช่ความผิดของคุณ” พิณเพลงจับมือเขา ส่วนเสียงของเธอนั้นไม่เจืออารมณ์ใด “เราต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และใครต้องการทำร้ายคุณ”
ปกป้องพยักหน้า พอนึกออกว่าใครต้องการแบบนั้น
“ทางตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการมุ่งทำร้ายที่คุณโดยตรง แต่ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรมาก ส่วนผู้ต้องสงสัย…”
“พิณเพลง” ปกป้องเอ่ยขัดจังหวะ “เรื่องสถาบันนั่น ผม…”
“เอาไว้หายดีแล้วค่อยคุยเถอะค่ะ” พิณเพลงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดูไม่ออกเลยว่าคิดอะไรอยู่
ยังไม่ทันได้คุยต่อ ประตูห้องก็เปิดออก หมวดพิศวัติในชุดนอกเครื่องแบบเดินเข้ามา สีหน้าดูเหนื่อยล้า
“ผมขอคุยกับเขาหน่อย” ปกป้องกล่าว ในขณะที่พิณเพลงนั้นเข้าใจสถานการณ์ดีและตั้งท่าจะเดินออกไปตั้งแต่เห็นหน้าของนายตำรวจผู้นี้แล้ว
เมื่ออยู่ด้วยกันสองคน เขาเริ่มเปิดปากก่อน “ขอบคุณที่ช่วยผม”
พิศวัติแบะปากอย่างประชดประชัน แต่ไม่มีท่าทีเกลียดชังอีกต่อไป “ผมก็แค่วิ่งกลับมาชั้นล่างเพื่อไปตามเจ้าหน้าที่ดับเพลิง มองว่าคงได้ประโยชน์มากกว่าวิ่งตามคุณไปตาย”
“คิดว่าคุณฉลาดกว่านี้เสียอีก รู้ไหมถ้าหากพวกเขามาไม่ทัน คุณกับเพื่อนร่วมงานคงตายไปแล้ว” ตำรวจตัวดีจงใจเน้นเรื่องนี้ ส่วนปกป้องนั้นไม่กล้าเถียง
“ต้องยอมรับว่าผมตัดสินใจผิดพลาดจริงๆ” เขาหัวเราะเบาๆ กับความประมาทของตน
“จากที่สอบถามมา พูดตามตรง คุณไม่ได้สนิทกับคนที่ชื่อยศด้วยซ้ำ”
ปกป้องเอนหลังใส่หมอน ไม่ตอบอะไร
“ผมมาเพื่อขอสอบถามอะไรสักหน่อยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น คงไม่ว่าอะไรนะ” พูดจบก็ดึงเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ เตียง
“ผมว่าทางคุณกรฤทธิ์กับคุณดวงตาน่าจะให้ข้อมูลไปแล้วนะครับ”
“ทางนั้นยังอยู่ต่างประเทศอยู่เลย เห็นว่าติดพายุจึงยังกลับไม่ได้” ผู้พูดทำหน้านิ่ว เล่นเอาปกป้องรู้สึกอายที่คนภายนอกต้องมารับรู้ความไม่ได้เรื่องของครอบครัว “แต่รองกรรมการก็ให้ข้อมูลผมแล้ว ว่าเพราะเป็นช่วงปรับปรุงจึงมีการส่งอุปกรณ์ซ่อมแซมบ่อยครั้ง ทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าอาคารอาจมีการเลินเล่อ กระทั่งมีผู้ไม่หวังดีนำของอันตรายเข้ามาที่ชั้นสิบแปดได้ ทางเรากำลังตรวจสอบเอกสารรับของอยู่ ไม่นานก็คงรู้เรื่อง”
“ถ้าอย่างนั้นต้องการจะถามอะไรผมล่ะครับ”
ร.ต.ท.พิศวัติมองไปทางอื่นครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถาม “ทำไมถึงวิ่งไปช่วยคุณยศอย่างกับคนไม่มีสมองแบบนั้น”
“ก่อนหน้านี้ผมให้เขาช่วยจัดการเรื่องมือถือถูกลงแอปพลิเคชันแปลกๆ ไว้ คราวนี้เลยจะให้ช่วยมาทำโครงการใหม่ๆ เพื่อเป็นการตอบแทน”
นายตำรวจวัยกลางคนถึงกับสะอึกไป แต่ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจชัดแจ้ง คงพอเดาได้ก่อนหน้าและรู้สึกผิดไม่น้อย
“งั้นเรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ผมอยากจะบอกว่าเรามีผู้ต้องสงสัยแล้ว ถึงจะยังตามตัวไม่ได้ก็เถอะ”
ปกป้องแทบจะร้องออกมา “เป็นใครกันครับ”
“ดูท่าคุณพิณเพลงยังไม่ได้บอกคุณสินะ”
เมื่อปกป้องได้ฟังก็ต้องทึ่ง นั่นเพราะหนึ่งสัปดาห์ก่อน ในช่วงที่เขากับหมวดพิศวัติกำลังจ้องจะฆ่ากัน กลายเป็นว่าพิณเพลงได้เห็นหน้าตาของผู้ต้องสงสัยในช่วงที่เธอวิ่งมาหาเขาที่บริษัท
ในระหว่างที่เหนื่อยล้าเกินขีดจำกัด เธอพักหอบหายใจที่ทางเดินเท้าริมถนน และเห็นบุคคลต้องสงสัยเดินออกมาจากรั้วทางเข้าพื้นที่ของบริษัท
ผู้ต้องสงสัยเป็นเพศหญิง สวมชุดของบริษัทขนส่งสีขาว แต่ที่น่าแปลกคือเธอกลับขยำเอกสารที่น่าจะเป็นใบรับส่งของใส่กระเป๋ากางเกง แทนที่จะดูแลอย่างดีเพราะต้องเก็บเป็นหลักฐานแก่บริษัทขนส่ง โดยเฉพาะกับบริษัทใหญ่โตแบบนี้ยิ่งสำคัญ
และด้วยอากาศร้อนจัด วูบหนึ่งผู้ต้องสงสัยถอดหน้ากากอนามัยออกมาแล้วซับเหงื่อที่แก้ม เป็นหญิงสาวหน้าตาดี ริมฝีปากคล้ำอย่างชัดเจน
“ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วว่าไม่น่าใช่คนจากหน่วยงานหรือบริษัทขนส่ง น่าจะปลอมตัวมามากกว่า”
“งั้นคงต้องขอบคุณคุณตำรวจมากสินะ ที่เรียกพิณเพลงออกมา” เขาจงใจกัดจิก ในขณะที่ผู้หมวดหัวเราะร่าออกมา
“ไม่ต้องประชดขนาดนั้นก็ได้” พิศวัติดูผ่อนคลายกว่าคราวก่อนมาก กระทั่งปกป้องเองยังสงสัย
“ผมเดาว่าเรื่องระเบิดกับเรื่องที่ตามสืบผม ดูท่าจะเป็นคนละงานกัน” ปกป้องจ้องตานายตำรวจ ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องปิดปังอีก เขาเหนื่อยเกินไปแล้ว “คนใน A MIND ส่งคุณมาใช่ไหมครับ เขาเป็นใครและต้องการอะไรจากผมหรือครับ”
“ผมบอกไม่ได้หรอกว่าเขาเป็นใคร บอกได้แค่ว่าเขาต้องการอะไรบางอย่างที่คุณก็คงเดาออกอยู่แล้ว” หมวดพิศวัติมองตาเขาด้วยสายตาไร้ความมุ่งร้าย แต่ไม่ยอมบอกอะไรมากกว่านั้น
“ทำไมกำกวมจังครับ หรือว่ามีเครื่องดักฟังอยู่ในห้อง แต่ผมว่าไม่น่ามี”
อีกฝ่ายหัวเราะ “ไม่มีของอย่างนั้นหรอก ถึงมีก็คงไม่จำเป็นแล้ว”
“คุณแจ้งเรื่องของผมไปแล้วสินะ”
“เปล่าเลย” พิศวัติส่ายหัว “ผมไม่ทำต่อแล้ว เรื่องระหว่างเราพักเอาไว้เท่านี้”
ปกป้องย่นคิ้วเข้าหากัน “ง่ายไปไหม ทั้งที่คุณลงทุนไปกับการจับผิดผมขนาดนั้น”
…หมวดพิศวัติมองเหม่อขึ้นเพดานครู่หนึ่ง “ก็ดูทรงแล้วคุณไม่น่าจะก่อเรื่องร้ายๆ ได้หรอก”
ทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมกัน แน่นอนว่ายังไม่ใช่หัวเราะแบบมิตรสหาย
คุณไม่คิดหรือ ว่าผมอาจจะจัดฉากทั้งหมดขึ้นก็ได้ ปกป้องอยากจะเอ่ยคำถามนี้ออกไป แต่ก็ปิดปากนิ่งสนิท ทว่านายตำรวจผู้นี้ดูจะทราบว่าเขากำลังคิดอะไรในหัว “ภรรยาผมชื่อปานรุ้ง เธอตายเพราะเข้าไปช่วยเด็กในโครงการย่อยของ A MIND…วันนั้นก็เกิดไฟไหม้แบบนี้ และเธอช่วยออกมาได้สามคน”
เป็นเขาเองที่ตะลึง ถึงกับต้องก้มหน้าเพื่อหลบสายตา คงเป็นเหตุผลที่ผู้หมวดคนนี้ตะโกนเรียกสติเขามาตลอดทาง
“หากคุณแอบสืบเรื่องปานรุ้ง แล้วจัดฉากทั้งหมดนี้เพื่อหลอกผมก็นับว่าเซียน ถ้าอย่างนั้นผมก็คงเอาคุณไม่ลงหรอก”
อากาศในห้องเย็นยะเยือก เขาดึงผ้ามาคลุมที่ท้อง “คุณทำตามคำสั่งคนใหญ่โต แลกกับให้คุณปานรุ้งได้เป็นผู้ฟื้นสติสินะ”
“เดาเก่งดีนะครับ” พิศวัติยิ้มบาง “แต่ผมเลิกคิดไปแล้ว ช่างมันเถอะ”
ปกป้องรู้ดีว่าควรจะพูดอะไรออกไป แต่ก็คิดอะไรไม่ออก ในหัวเริ่มคาดเดาแล้วว่าคนสั่งการพิศวัติคือใคร
“แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไป”
“ก็ทำตามหน้าที่ สืบคดีครั้งนี้ต่อไปเท่านั้น เรื่องปานรุ้งนั้นผมสบายใจละ เมียผมช่วยคนได้สามคน แต่คุณที่ทำท่าฉลาดนักหนาดันช่วยใครไม่ได้เลย ที่คุณยศรอดมาได้ก็เพราะเจ้าหน้าที่ล้วนๆ” สายตาล้อเลียนนั้นมีความสุข และภาคภูมิใจในตัวภรรยา
“ถึงหยาบคายไปนิด แต่ก็จริงของคุณ” ว่าแล้วทั้งสองคนหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง
วิริยะเคยเชื่อเสมอว่ารสเหล้าที่เข้าปากมักช่วยให้คลายความตึงเครียด เวลานี้เพิ่งตระหนักว่าตนนั้นคิดผิดไปไกล ยิ่งเทกรอกปากยิ่งทรมานเกินจะต้านทานไหว
หน้าจอขนาดใหญ่ตรงกำแพงนั้นกำลังฉายภาพข่าวการวางระเบิดที่บริษัทใหญ่โตแห่งหนึ่ง แน่นอนว่านักขุดข่าวในโลกโซเชียลก็เผยแล้วว่าเป็นตำแหน่งที่ตั้งของบริษัทการ์ด แอนด์ ลิงก์ ซึ่งเป็นที่ทำงานของปกป้อง ปักษ์ดนู
แม่-งไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน และเขาทราบดีว่าอลินเป็นคนทำ
หากมีการสืบสาวราวเรื่อง และความผิดพลาดของโครงการถูกแพร่งพราย อลินและพรรคพวกผู้ฟื้นสติคงถูกจับเข้าเคลียริงทันที ส่วนเขาก็ไม่พ้นติดคุกหัวโต
สิบปี ยี่สิบปี ไม่สิ อาจจะตลอดชีวิตด้วยซ้ำ เขาขย้อนของเหลวขึ้นมาตรงลำคอและแทบจะอ้วกออกมาเป็นเลือด มันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ มิใช่การเปรียบเทียบ
ต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่ออนาคตของประเทศนี้…เขาหยิบสมาร์ตโฟนออกมาติดต่อหาใครคนหนึ่ง จากนั้นจึงนั่งรออย่างสงบเท่าที่จะทำได้ อีกฝ่ายนั้นสัญญาว่าจะรีบมาหา
ผ่านไปไม่ถึงสองชั่วโมงก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เลขาฯ ในชุดกระโปรงปลายสอบเปิดเข้ามาพร้อมบอกว่า
“คุณลินดามาแล้วค่ะ”
ผู้มาเยือนคือสตรีวัยกลางคน มีหน้าตาขึงขังและเฉลียวฉลาด คางแหลม ร่างบาง ผิวเกรียมแดด ไว้ผมสั้นประมาณติ่งหู สวมชุดเดรสผ้าบางมีลวดลาย มีตำแหน่งหัวหน้าแห่งฝ่ายตรวจสอบส่วนกลางพิเศษของประเทศนี้ บริษัทของเขากับเธอมีนัดกันในอีกสองสัปดาห์
ที่มาในวันนี้จึงไม่ใช่การพูดคุยตามปกติ
สองวันแล้วที่ปกป้องออกจากโรงพยาบาล เขากลับไปพักฟื้นที่บ้านพักของตนเองโดยมีพิณเพลงคอยดูแลเรื่องต่างๆ ให้
เธอบอกว่าผู้จัดการอนุญาตให้ลางานได้ชั่วคราว แน่นอนว่าทั้งสองยังไม่ได้คุยกันเรื่องการบำบัด แม้บรรยากาศภายในบ้านนั้นเงียบสงบ แต่ก็ยังอึมครึมและไม่ทำให้ใจชื้นมากนัก ราวกับกำลังรอให้ระเบิดเวลาทำงาน
“เห็นอย่างนี้ฉันเป็นพนักงานที่ทำงานดีนะ สอนรุ่นน้องให้ทำงานเป็นด้วย อีกอย่าง…เดี๋ยวค่อยทำชดเชยเอาก็ยังได้” พิณเพลงแลบลิ้นใส่เมื่อรู้ว่าเขากลัวเธอจะเสียงานเสียการ
เสียงของพิณเพลงก็ยังสดใสเช่นเคย เล่นเอาลืมอาการและแทบไม่เจ็บแผลเลยสักนิด อันที่จริงเขารำคาญเสียงวิ้งในหูมากกว่าแผลอีก
แถมเมื่อเห็นท่าทีของพิณเพลงยามเปลี่ยนผ้าพันแผลและล้างน้ำเกลือบริเวณกลางหลัง ก็แอบรู้สึกเหมือนสามีภรรยากันอย่างบอกไม่ถูก จึงตัดสินใจว่าจะซึมซับความสุขนี้อีกสักพัก ก่อนที่มันจะจากลาหายไป
ใช่…ปกป้องมั่นใจเต็มที่แล้วว่าจะเข้ารับการเคลียริงในเร็วๆ นี้
แต่ทว่า อย่างไรก็พูดไม่ออก ไม่กล้าเอ่ยคำลากับพิณเพลงที่แสนจะห่วงใย ตัวหญิงสาวเองก็เลี่ยงจะไม่พูดเรื่องธาดาร์และการบำบัดอย่างเห็นได้ชัด
เขาคงต้องเป็นฝ่ายเริ่มสินะ ปกป้องคิดในใจระหว่างที่มองพิณเพลงทำข้าวต้มในครัว ส่วนเขานั่งรอที่โต๊ะทานข้าว ไม่นานหญิงสาวก็เดินมาป้อนให้ ทั้งที่เขาไม่ได้มีแผลที่มือด้วยซ้ำ
ในค่ำคืนอันอบอุ่น ข้าวต้มที่พิณเพลงป้อนนั้นอร่อยราวกับฟ้าประทาน อันที่จริงเมื่อคืนนั้น ผ้าห่มที่เธอห่มให้ก็ช่วยให้หลับสบาย
จะทำอย่างไรดีเล่า เขาทั้งสุขทั้งทรมานแทบเจียนตายแล้ว
กระทั่งเมื่อผ่านไปครบห้าวัน ปกป้องก็ฝืนใจตนเอง เขาเรียกพิณเพลงมานั่งที่ข้างกาย บนเตียงสีขาวที่เธอเป็นคนเปลี่ยนผ้าปูให้อย่างขันแข็ง
‘พิณเพลง เรามีเรื่องต้องคุยกันครับ’
ประโยคนั้นชัดถ้อยคำในความคิด แต่ดันไม่ยอมออกจากปาก มันสะท้อนไปมาในหัวใจและลำคอ เขานั่งพิงที่หัวเตียง หลังแนบไปกับหมอนนุ่มกำลังดี เป็นท่าที่ควรจะสบายกาย แต่เปล่าเลย มันสั่นเกร็งไปหมด
“พิณเพลง ผม ผม…” ในที่สุดก็เอ่ยอะไรออกมาได้ แต่กลับเบาหวิว ในขณะที่พิณเพลงในชุดนอนน่ารักนั่งข้างกายไม่ไหวติง มองด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก คล้ายจะผิดหวัง…
ปกป้องน้ำตาซึม ร่างกายกับสมองเริ่มทำอะไรไม่ถูกแล้ว
พริบตานั้นเองที่พิณเพลงโน้มตัวลงมากอดเขา กระซิบอย่างอ่อนโยนและจริงใจ ราวกับว่าเป็นคำพูดซึ่งผ่านการกลั่นกรองมานานมากแล้ว
“จะไปก็ได้นะคะ ฉันอยู่ได้”
ปกป้องตกใจกระทั่งกลืนลมเข้าในลำคอ สำลักตัวกระตุกเฮือกหนึ่ง ในขณะที่พิณเพลงผละออกอย่างอ่อนโยน
สีหน้าเธอดูผิดหวังอีกแล้ว เขาคงทำให้เธอผิดหวังมากเลยสินะ
ผมขอโทษที่จะไม่ได้อยู่ช่วยคุณอีก ผม…เขาสับสนในหัวว่าจะพล่ามออกไปอย่างไรดี แต่พิณเพลงกลับกล่าวต่อไปด้วยเสียงสั่นเครือ
“ขอโทษนะคะที่เห็นแก่ตัว” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าสวยใส เป็นทรงปากที่เสแสร้งว่ากำลังยิ้ม “ฉันพอจะมองออกอยู่แล้วว่าคุณทรมานและอยากจะหลุดพ้นจากธาดาร์ แต่ก็เป็นห่วงฉันเกินกว่าจะไปเคลียริงได้”
แววตานั่นดูปวดร้าวไม่แพ้เขาสักนิด
“ทั้งที่รู้ดีแก่ใจ แต่กลับเผลออ้อนคุณออกไป เพราะเวลาที่คุณดูแลฉัน ไม่ว่าเรื่องพาไปทานข้าว เรื่องคบหาเพื่อน หรือพาไปเที่ยว มันมีความสุขมาก ทีแรกก็แค่อยากลิ้มลองชีวิตเหมือนคนอื่นเขาเท่านั้น เพราะที่ผ่านมาฉันก็ไม่เคยเจอใครที่น่าไว้ใจเท่านี้มาก่อน
…แต่กลับกลายเป็นว่าสนุกเกินไป กระทั่งลืมความทุกข์ของคุณไปนานเลย ฉันขอโทษนะคะ”
ฉันแค่อยากอ้อนเท่านั้น เสียงนั้นส่งผ่านลำคอของหญิงสาว แต่ชัดเจนเหมือนกับตะโกนบอก
บรรยากาศช่างหนักอึ้งและอึดอัดจนแทบจะอาเจียนออกมา
ผมไม่เคยคิดเลยว่า…ปกป้องแทบคลั่งเมื่อเห็นเธอเริ่มร้องไห้กระซิก เขาโผเข้ากอดเธอทันที
“ผมขอโทษ”
พิณเพลงขยุ้มเสื้อบริเวณหัวไหล่ของเขา หัวเราะเบาๆ “มันไม่ใช่ความผิดคุณ ฉันแค่ร้องไห้เพราะผิดหวังที่เป้าหมายไม่สำเร็จเท่านั้น ตัวฉันไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยจริงๆ”
ปกป้องได้ยินแล้วก็สงสัย แต่แล้วเมื่อจินตนาการถึงมุมมองของพิณเพลงก็เข้าใจในทันที
“เป้าหมายของคุณคือผม”
พิณเพลงกอดกระชับ แล้วกล่าวเรื่องที่เขาหวาดกลัวออกมา “วันแรกที่ได้พบก็รู้แล้ว ในตอนที่คุณเล่าเรื่องการสลับจิตกับธาดาร์ แววตาของคุณคือแววตาของคนที่กำลังรอความตายอยู่ ฉันจึงอยากยืดเวลาของคุณให้นานที่สุด แม้รู้ดีว่ามันทรมานสำหรับคุณขนาดไหน เพราะบางที…บางทีฉันอาจเปลี่ยนใจคุณได้”
“ทั้งเรื่องที่เข้ากับเพื่อนไม่ได้ ทั้งเรื่องที่ถูกนินทา”
“พวกนั้นนินทาฉันจริง แต่ไม่แรงเท่าที่บอกหรอก รุ่นน้องก็นิสัยดีใช้ได้” เธอตอบเสียงอู้อี้เพราะซุกหน้าเข้ากับอกเขา
ทั้งหมดที่ผ่านมานั้น บางส่วนคือละครงั้นหรือ เขาไม่ได้กำลังปกป้องพิณเพลง เธอต่างหากที่พยายามปกป้องเขา ให้คุณค่าแก่ชีวิตเขา เผื่อว่าจะเปลี่ยนใจในสักวัน
“แต่มันทรมานสินะ อยากจะจบแล้วใช่ไหม จะไม่ห้ามแล้วละ”
เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว จิตของธาดาร์ภายในตัวก็คงเพิ่งทราบเช่นเดียวกัน
ภาพลวงตาสินะ…มีคนเห็นภาพลวงตาอยู่ แต่คนคนนั้นไม่ใช่พิณเพลงหรอก เป็นเขากับเจ้าของร่างนี้ต่างหาก เขากับธาดาร์มองเห็นภาพลวงตาว่าพิณเพลงอ่อนแอและไม่อาจอยู่ได้หากขาดพวกตนไป แต่มันไม่ใช่เลย
พิณเพลงผละตัวออกอีกครั้ง เริ่มลูบที่แก้มสองข้างของเขาสลับไปมา “ฉันทำงานเก็บเงินเพื่อย้ายมากรุงเทพได้ด้วยตัวเองนะ ไม่แย่ขนาดนั้นหรอก ฉันอยู่ได้จริงๆ น้ำขมก็ดื่มคล่องแล้วด้วย”
นั่นไม่ใช่คำโกหก เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว
“คงทรมานมามากสินะคะ ไม่เป็นไรนะ ถ้าอยากอยู่ต่อฉันก็จะปกป้องคุณเอง แต่ถ้าอยากจะพักผ่อน ฉันก็…จะไปส่งคุณด้วย”
ในที่สุด จิตใจของปกป้องก็ได้รับการปลดปล่อยเสียที
วินาทีนั้นเขาเข้าใจถึงอารมณ์ของธาดาร์ โพ้นวิไสยแล้ว เข้าใจแล้วว่าฆาตกรคนนั้นคิดอย่างไรกับหญิงสาวที่โคตรวิเศษเหมือนนางฟ้าคนนี้
และวินาทีนั้นเองที่เขาเอื้อมมือไปบีบคอของเธอ
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 10 : การเตรียมใจของปกป้อง
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 9 : ช่องโหว่ของระบบ
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 8 : สัญญาของดอกไม้ไฟ
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 7 : จุบจบที่เริ่มตั้งเค้า
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 6 : ความสุขที่โหยหา
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 5 : พบกันอีกครั้ง
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 4 : ผู้ฟื้นสติ
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 3 : สำนึกสุดท้ายของปกป้อง
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 2 : โครงการสลับจิต
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 1 : วาระสุดท้ายของธาดาร์ โพ้นวิไสย