A MIND จิตอริยะ บทที่ 11 : ความถี่ปริศนา

A MIND จิตอริยะ บทที่ 11 : ความถี่ปริศนา

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

A MIND จิตอริยะ โดย ไข่เจียวหมูสับ กับเรื่องราวซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของระบบสลับจิตที่นำมาทั้งการตามล่า บททดสอบทางศีลธรรมและความรักที่อาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา และนี่คือนวนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับเลือกจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 ที่จะถูกนำไปสร้างเป็นละครและเป็นนวนิยายที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์บนเว็บไซต์ anowl.co

…ธาดาร์นั้นรักพิณเพลงมาก และอยากจะสังหารด้วยเช่นกัน สองความคิดนี้สลับกันวนเวียนไปมาในหัวและสร้างความทรมานอันแสนสาหัส จิตของฆาตกรนั้นค่อยๆ คืนกลับมาอย่างช้าๆ ไม่เรียงร้อยกันเป็นระบบ หากแต่เป็นการสุ่มจังหวะ

และครั้งนี้สิ่งที่มีอำนาจมากกว่า คือความอยากสังหาร

ปกป้องรู้ดีว่าต้องหยุดธาดาร์ แต่จะทำอย่างไรเล่า…

ด้วยในเวลานี้ เขาได้หลุดจากการควบคุมร่างกายตนเองไปโดยสมบูรณ์แล้ว

 

ใช่แล้วครับ คุณปกป้อง …ผมรักพิณเพลง และอยากทำร้ายเธอด้วยเช่นกัน

ร่างงดงามตรงหน้ากระตุกเกร็ง ตาเหลือกขาว ลิ้นจุกออกมา แต่ยังคงงดงามไม่ต่างจากพิณเพลงยามปกติ เธอยังไม่ตาย และผมสามารถหยุดมือได้

แต่ผมควรทำอย่างไรล่ะ ผมอยากฆ่าเธอ เป็นครั้งแรกที่นึกอยากฆ่าคนที่ไม่เคยคิดร้ายกับตนเอง แม้แต่ตัวผมเองยังไม่เข้าใจอารมณ์นี้เลยสักนิด ความต้องการทำร้ายคนอื่นของผม…มันควรจะมีเหตุผลสิ หรือมันไม่เคยมีอยู่เลย ไอ้เหตุผลอะไรพวกนั้น

ความรักจะกลับมามีอำนาจพอจะหยุดยั้งได้ทันไหม ความทรงจำและจิตอันปรารถนาดีนั้นอยู่ที่ไหนกัน ช่วยกลับมาและห้ามผมไว้ที ได้โปรดเถิด

สายตาพลันสังเกตเห็นนิ้วชี้ของพิณเพลงค่อยๆ ยื่นขึ้นมาที่กลางช่วงอกของผม

เคาะมาที่บริเวณหัวใจสองครั้ง

ปกป้องอยู่ในนี้ไง แม้ไม่ได้ยินเสียง แต่ผมรู้สึกได้ว่าเธอเพิ่งจะกล่าวเช่นนี้

เมื่อคิดถึงจิตอันสวยงามของคุณ…ปกป้อง ผมรีบปล่อยมือออกทันที ร่างของพิณเพลงฟุบลงที่ปลายเตียงพร้อมไอโขลกแทบจะขาดใจ

และเมื่อนั้นจิตของปีศาจอย่างผมก็กลับไปยังสถานที่ที่เหมาะสมอีกครั้ง

 

ปกป้องรีบโอบกอดพิณเพลงไว้ พร่ำตะโกนว่าผมขอโทษ ขอโทษ ผมขอโทษ ซ้ำไปซ้ำมาราวกับเสียสติไปแล้ว ก่อนที่ทั้งสองจะกอดรัดกันราวกับจะหลอมรวมเป็นหนึ่ง แลกเปลี่ยนความลึกซึ้งกันยาวนาน

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะไม่ให้คุณไป” เสียงนั้นตัดสินใจแน่แน่วชัดเจนภายในอ้อมกอด

“แต่ว่า…” ปกป้องกระซิบ ไม่อยากจะทำร้ายเธอไปมากกว่านี้ เสียงวิ้งในหัวเริ่มดังขึ้นอีกกระทั่งทรมาน เขารู้สึกอยากจะอาเจียนแต่ก็ทนไว้

ไม่ทันไรเสียงเรียกของสมาร์ตโฟนก็ดังขึ้น เป็นเครื่องของเขา ร.ต.ท.พิศวัติคือผู้ติดต่อเข้ามาด้วยน้ำเสียงเครียดขรึม

“คุณปกป้อง รีบเปิดหน้าข่าวหรือไม่ก็หาฟังจากที่ไหนก็ได้ เดี๋ยวนี้”

“หมายความว่ายังไงครับ” ปกป้องถามกลับด้วยความมึนงง

“คุณงานเข้าแล้ว งานเข้าหนักเสียด้วย”

 

เขายังจำครั้งแรกที่ฆ่าคนได้ มันเป็นความผิดของเพื่อนร่วมงานเฮงซวยที่คิดจะเล่นตุกติกกับเขา เงินค่าทิปจากลูกค้าหายไปจากกล่องส่วนรวม และมันหลอกเพื่อนคนอื่นว่าเขาเป็นคนเอาไป

มันคือคนที่คอยติเตียนและจับผิดเขาตลอดเวลา ครั้งนี้หนักหน่อย การป้ายสีครั้งนี้อาจทำให้ตกงานได้ และเขาจำเป็นต้องใช้เงิน

หลังเลิกงาน เขากับมันประจันหน้ากันที่ชั้นใต้ดินของร้าน ไม่มีคนอื่นอีก

ทะเลาะกันไม่นานก็ไม่ได้ความอะไร เขาเริ่มสงสัยว่าทำไมมันจึงจองล้างจองผลาญถึงเพียงนี้

หรือว่ามันคิดจะทำลายอนาคตของเขา หรือการที่มันชวนมาคุยในที่ลับตาคน ก็เพื่อทำร้ายเขาให้จมดินไปเลย

เมื่อนั้นฝ่ามือแกร่งก็ผลักกลางอกของเพื่อนชั่วกระเด็นไป ตามด้วยมีดที่พุ่งเสียบยอดอกของมัน เป็นครั้งแรกที่เห็นความตาย

หลังจากนั้นคือขั้นตอนการจัดการศพ เขาพยายามหั่นเป็นชิ้นๆ แต่มันยากกว่าที่คาด จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากระบวนการจบลงอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วก็เสร็จสิ้น ร่างของเพื่อนนั้นหายไป ส่วนเขากลับมาทำงานเช่นเดิมในวันต่อมา

ใช่แล้ว เขาต้องป้องกันตัวเอง มันเป็นเรื่องอันสมควรที่สุด เรื่องทิปก็เช่นกัน เขาทำงานหนักกว่าก็สมควรจะได้รับมากกว่าคนอื่นไม่ใช่หรือ

แต่สายตาของเพื่อนคนอื่นไม่เหมือนเดิม บางคนสงสัยว่าไอ้เวรตะไลนั่นหายไปไหน เมื่อนั้นก็เริ่มมีการสืบสวนขึ้นในกลุ่มคนครัว

สายตาระแวงสงสัยจากคนอื่นทำให้เกิดความอึดอัดแทบจะระเบิด และแล้ว…

และแล้วอะไร เขาทำอะไรลงไปกันนะ จำไม่ได้แล้ว

 

ความมุ่งร้ายในใจนำพาเขามาจนถึงที่นี่…เพื่อเผชิญหน้ากับใครบางคน

อลิน ริชฟื้นสติอีกครั้ง มองซ้ายขวาไปมา พบว่าตนอยู่ในห้องนอนของวิริยะ ที่บ้านพักส่วนตัวที่ราคาเกินสามสิบล้าน และแน่นนอน เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

วิริยะมีท่าทีตกใจเมื่อเห็นหน้าของเขา ส่วนอลินเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เพราะไม่คิดว่าเพื่อนร่วมงานจะสวมชุดนอนที่ดูแก่เช่นนี้

“คุณมาทำอะไรในบ้านผม” เสียงของวิริยะนั้นเจือความโกรธ แต่ลึกลงไปมีความความกลัวอัดแน่นล้นปรี่

“แค่ทราบมาจากเลขาว่าคุณคิดจะบินไปเยอรมันสักสองเดือน ทั้งที่อีกไม่นานจะมีการตรวจสอบภายในอย่างเข้มข้นแท้ๆ”

วิริยะไม่กล่าวอะไรกับเขา เพียงแต่กลืนน้ำลาย

…ใช่ เขารู้ดีว่ามันกำลังจะหนี และจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น

“คุณมาก็ดีแล้ว” วิริยะเอ่ยเสียงต่ำ ราวกับต้องการใช้ความโกรธข่มเขา “เราต้องคุยกัน เรื่องการระเบิดที่บริษัทการ์ด แอนด์ ลิงก์”

อลินพยักหน้าช้าๆ ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาทางสีหน้า จากนั้นทั้งสองก็ย้ายมาคุยกันข้างนอก

 

ที่ห้องทำงานภายในบ้านพัก วิริยะยืนที่มุมห้อง บริเวณนั้นคือตู้เก็บไวน์ชั้นดี และวิริยะเริ่มเปิดขวดดื่มอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนราคาของมัน อลินพยายามจะบอกให้หยุดดื่ม แต่แทนที่จะทำตาม วิริยะกลับตวาดใส่เขาเสียงกร้าว

“ทำบ้าอะไรของคุณวะ เฮอะ ทำบ้าอะไรลงไป”

อลิน ริชหน้าชา ไม่เคยมีใครกล้าตวาดใส่แบบนี้ หากมีก็ถูกเขาฆ่าไปหมดแล้ว ไม่สิ เขาไม่เคยฆ่าใคร เจ้าของร่างนี้ต่างหากที่เคย

“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจัดการทุกอย่างไว้แล้ว พวกตำรวจโยงมาไม่ถึงเราแน่นอน”

วิริยะขยี้หัวตัวเอง “ใครใช้ให้คุณทำแบบนั้น”

อลินรู้สึกงุนงนมากพอๆ กับหงุดหงิด “คุณเป็นคนสั่งให้ผมไปจัดการเรื่องปกป้อง ปักษ์ดนูเองนะ จำไม่ได้หรือ” เขาตอบตามความจริง แต่น่าแปลกที่สายตาของวิริยะนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“บ้าไปแล้ว ผมไม่ได้สั่งให้คุณกำจัดเขา”

“มามุกนี้หรือ จะบอกว่าไม่ได้พูดออกจากปาก และเป็นผมที่ทำลงไปเอง คุณไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยสักนิดใช่ไหม ฮึ…อย่างกับตัวร้ายในหนังเลยนะ”

วิริยะวางแก้วลงด้วยมือสั่นเทา เอ่ยช้าๆ ราวกับกลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจ “นักโทษที่สลับร่างกับคุณ ชื่อมาตรใช่ไหม คุณรู้ใช่ไหมว่าเขาฆ่าคนเพราะอะไร”

เพราะหวาดระแวงว่าจะถูกทำร้ายและเข้าข้างตนเองว่าถูกเอาเปรียบ อลินตอบในใจอย่างชัดถ้อยคำ

“คุณได้รับอิทธิพลจากมาตร บ้าเอ๊ย คุณกำลังแพ้ความต้องการฆ่าของตัวเอง”

“นั่นไม่จริงเลยสักนิด!” อลินตะโกนออกมา ส่งผลให้วิริยะถึงกับสะดุ้ง มือขวาอ้อมไปที่ด้านหลัง ราวกับซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้

“ใจเย็นๆ ไว้ก่อน” วิริยะว่า

“ฆาตกรส่วนใหญ่ไม่ได้ฆ่าคนแบบไร้เหตุผลอย่างนั้น และฉันทำทุกอย่างก็เพื่อพวกเรา หรือว่านายคิดจะกำจัดฉัน”

“อลิน…ผมไม่เคยคิดร้ายกับคุณเลย อย่ายอมแพ้ให้กับจิตของ…”

“กูไม่ได้แพ้” เขาตะโกนอีกครั้ง รู้สึกถึงความโกรธที่พลุ่งพล่านจากภายใน คนเถรตรงอย่างเขารับมือเพื่อนผู้เจ้าเล่ห์คนนี้ไม่ถูกจริงๆ

วิริยะทำหน้าราวกับจะหาทางออก แต่มือขวายังอยู่ที่ด้านหลังเช่นเดิม “เรื่องความทรงจำที่กลับมา ผมฝากให้วาววาจัดการแล้ว คุณแค่ต้องอยู่เงียบๆ สักระยะไปก่อน”

“มึงแจ้งหน่วยปราบปรามแล้วใช่ไหม”

หา วิริยะตีสีหน้างงงัน “ไม่ ผมไม่เอาเรื่องของเราไปบอกพวกนั้นหรอก”

“มึงคิดจะกำจัดกูสินะ” เขาคำราม “พอเราคุยเรื่องนี้จบ ช่วงเวลาที่กูหันหลังให้ มึงก็จะยิงใส่กูเพื่อปิดงาน หรือถ้าไม่อย่างนั้น พอกูออกจากห้องแล้วกลับบ้าน ที่นั่นก็จะมีพวกตำรวจกับหน่วยปราบปรามมารอคุมตัวกูอยู่ ใช่ไหม! พอรู้ว่าความทรงจำเริ่มกลับมา คนอย่างมึงคงไม่เชื่อใจกูมากพอจะมายืนต่อหน้าอย่างนี้หรอก มึงต้องมีแผนอะไรซ่อนอยู่แน่นอน”

“ไม่เลย ผมกำลังหาทางช่วยคุณอยู่ แต่สมองของคุณเริ่มผิดปกติอย่างหนักแล้ว” หน้าของวิริยะบิดเบี้ยวไปด้วยความหวาดกลัว ในขณะที่เขาเข้าใกล้มันมากขึ้นเรื่อยๆ

“โกหก แกมันไอ้เวรตะไลจอมโกหก” อลินคำรามอีกครั้ง เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว วิริยะน่าจะวางแผนทุกอย่างเอาไว้ หากไม่เล่นงานมันตอนนี้ จะเป็นเขาเองที่ถูกกำจัด

และไม่นานเขาก็ตัดสินใจปกป้องชีวิตของตนเอง ปกป้องอนาคตของครอบครัวเขา พริบตาเดียวเท่านั้นที่สองมือพุ่งเข้าใส่วิริยะ

…รู้สึกตัวอีกที ร่างของเพื่อนผู้ทรยศก็นอนจมกองเลือด

วิริยะตายแล้ว เขาเป็นคนทำ

ไม่สิ ทั้งหมดเป็นความผิดของไอ้ปกป้อง มันคือต้นเหตุของเรื่องวิบัติทั้งหมดในชีวิตใหม่ของเขา

ช่างหัวเหตุและผล มันชัดเจนแล้วว่าไอ้ปกป้องคือคนผิด และมันต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้

 

“เราพบหลักฐานชิ้นใหม่” เสียงของนายตำรวจที่คุ้นเคยดังจากสปีกเกอร์สมาร์ตโฟน “กลายเป็นว่าสาเหตุของการระเบิดมาจากโครงการส่วนตัวของคุณ”

ปกป้องกับพิณเพลงที่รับฟังอยู่ถึงกับกลืนน้ำลาย ในหัวคิดถึงอุปกรณ์ทรงเป้ กับแท่นสองข้างที่ยืดยาวออกมาให้จับ และมีฐานรองบั้นท้ายและปลายขา “โครงการส่วนตัว…งั้นหรือครับ”

“ใช่ มีการส่งระเบิดเข้ามาในห้องทำงานก็จริง ชิ้นส่วนนั้นก็เป็นของที่หาได้ง่ายในตลาดมืด แต่ตัวเร่งปฏิกิริยามันเป็นสารไวไฟแถมยังระเบิดง่าย ซึ่งก็ตรงกับสารที่ใช้ในโครงการของคุณพอดี”

“เดี๋ยวก่อนครับ” ปกป้องเอ่ยขัดเสียงแข็ง “อุปกรณ์…ที่อยู่ในห้องทำงานนั้นไม่ได้บรรจุสารอันตรายเลยสักนิด การคำนวณการใช้งานก็ทำผ่านระบบเอไอ มันเป็นแค่ของเล่นที่ไม่มีอันตรายอะไรสักนิด เรื่องนี้ตัวผมเองต้องรู้ดีที่สุด” พิณเพลงที่นั่งข้างกายจับที่แขนเขา พยายามจะให้กำลังใจ

“แต่สารก่อระเบิดที่พบในห้องนั้นเป็นตัวเดียวกันกับโครงการของคุณแน่นอน”

ปกป้องกุมขมับ “รู้ได้อย่างไรว่าตรงครับ ผมจำได้ว่าแทบไม่เคยเผยแพร่เรื่องโครงการทดลองส่วนตัว”

ได้ยินเสียงสบถเบาๆ ที่จับใจความไม่ได้จากปลายสาย “พอมีเรื่องเกิดขึ้น ตอนนี้ประวัติของคุณก็กระจายอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ในเขตแทบทุกคนแล้ว ฝ่ายปราบปรามก็คงจะเคลื่อนไหวในเร็วๆ นี้ ที่สำคัญที่สุด คือเราพบลายนิ้วมือของคุณในร่างเดิมบนชิ้นส่วนของระเบิดด้วย”

ฉิบหายแล้ว…ปกป้องกระซิบถาม “คุณก็สงสัยว่าผมทำใช่ไหม”

ผู้หมวดแค่นหัวเราะ “คุณไม่มีปัญญาทำอะไรแบบนี้หรอก”

พอได้ยินก็รู้สึกเจ็บปวดพิลึกกระทั่งต้องหลุดหัวเราะเศร้าๆ ออกมา

“แล้วผู้หญิงที่เดินสวนกับพิณเพลงล่ะครับ เธอน่าจะเป็นผู้ต้องสงสัยหลักไม่ใช่หรือ”

“เพราะลายนิ้วมือที่พบตรงกับคุณก่อนจะถูกฆาตกรรมไปในรอบแรก แถมวัตถุดิบที่ใช้ในการก่อระเบิดนั้นก็คล้ายคลึงกับงานทดลองล่าสุดที่กำลังทำอยู่ ตอนนี้เอกสารในมือผมจึงระบุว่าคุณคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง คงเพราะสถานะการเป็นผู้ฟื้นสติและหลักฐานที่จะถูกเตรียมการไว้ ผู้หญิงที่เป็นผู้ต้องสงสัยจึงถูกมองว่าเป็นตัวกลางจัดหาอาวุธระเบิดเท่านั้น” พิศวัติเสียงเครียดขึ้นเรื่อยๆ “มันกลายเป็นว่าคุณเป็นคนวางแผนร้ายตั้งแต่ก่อนจะตายอีก ผมแอบเอาข่าวมาบอกได้ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง แถมยังไม่ใช่คนที่รับผิดชอบคดีนี้โดยตรงด้วย… คุณรู้ดีใช่ไหมว่าต้องห่างจากตำรวจที่สุดในเวลานี้”

“มีคนต้องการจะเล่นคุณ พร้อมกับปิดบังความผิดพลาดของโครงการไปด้วย” พิศวัติย้ำอีกครั้ง

พิณเพลงบีบแขนเขาแน่น ใช่แล้ว จะถูกจับไม่ได้ เพราะหากมีเจ้าหน้าที่คนไหนทราบเรื่องความทรงจำของธาดาร์ที่กลับมา ทุกอย่างก็จบเห่ทันที การเคลียริงจะกลายเป็นปลายทางที่ไม่มีทางหนีพ้น

“ว่าแต่” พิศวัติกล่าวอย่างหงุดหงิด “ไอ้เวรที่ใส่ร้ายคุณแม่งฉลาดชะมัดเลยว่ะ

“คงเป็นคนเดียวกับที่เคยว่าจ้างคุณใช่ไหม”

ผู้หมวดเงียบไปครู่หนึ่ง “ใช่ คุณคงเดาออกแล้วสินะว่าเป็นใคร”

แน่นอนว่าปกป้องเดาออก คนในโครงการสลับจิตที่มีเส้นสายขนาดนั้น บวกกับมีความสามารถในการสืบหาสารที่ใช้ในโครงการส่วนตัวของเขาได้ น่าจะเป็นคนในวงการนวัตกรรมเดียวกัน ซึ่งก็มีแค่คนเดียว

อลิน ริช ชื่อนี้โผล่มาในหัวเป็นคนแรก ทว่าเขาจะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไรกัน มันดูไร้เหตุผลและไร้ประโยชน์ต่อตัวอลินอย่างเห็นได้ชัด แต่ช่างมันก่อน ตอนนี้ต้องเอาตัวให้รอดเป็นอันดับแรก การเคลียริงไม่น่ากลัวหรอก แต่จะให้เขาตายห่าไปในฐานะผู้ต้องสงสัยวางระเบิดก็ทุเรศเกินรับไหว

“ผมรู้สึกผิดทีเดียว ต้องขอโทษจริงๆ”

“อันที่จริงมันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว คุณจะมาเกี่ยวหรือไม่ก็ไม่มีผลหรอกครับ”

ได้ยินเสียงพิศวัติเดาะลิ้น คงกะให้เขาด่าเพื่อลงโทษตัวเอง แต่ปกป้องไม่มีอารมณ์จะทำแบบนั้นหรอก “คำสั่งคงจะส่งมาในอีกไม่กี่ชั่วโมง หรือไม่ก็ไม่กี่นาทีแล้ว”

“ถ้าผมยอมเข้าให้ปากคำกับตำรวจล่ะ” เขาถามเสียงเรียบ แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะแกมประชด

“ผมไม่อยากพูดอย่างนี้หรอกนะ” ฝ่ายนั้นกล่าวขัด ความรู้สึกผิดแผ่มาตามสาย “แต่ทางศูนย์ใหญ่ฝั่งผมมีหลายคนที่มุ่งมั่นในการเอาชนะโครงการนี้อยู่ และเวลานี้คือโอกาสโคตรดีที่ไม่อาจพลาดได้ แถมยังช่วยสร้างผลงานได้อีก ผมไม่กล้าคิดหรอกว่าคุณจะปลอดภัย บางทีพวกเขาอาจจะใช้คำถามหลอกให้สารภาพว่าความทรงจำกลับมาแล้วก็ได้ หรือต่อให้จำอะไรไม่ได้จริงๆ พวกเขาก็สามารถทำให้คุณตอบตามที่ต้องการได้”

ฟังดูอ้อมค้อมและน้ำท่วมทุ่งไปนิด แต่คงชัดสุดที่จะบอกเขาได้แล้ว สรุปว่าไม่มีทางรอดเลยสินะ

ไม่มีทางเลือกแล้ว ปกป้องหันไปมองพิณเพลงแล้วตัดสินใจ “ผู้หมวด ขอบคุณมากสำหรับทุกเรื่อง ผมกับพิณเพลงจะออกไปอยู่นอกเมืองก่อนสักพัก”

ดีแล้ว พิศวัติกระซิบ “แต่หากได้รับคำสั่ง ผมคงต้องตามล่าคุณเหมือนกัน”

“ผมก็คิดอย่างนั้น ไม่อยากทำให้คุณเดือดร้อน…” ปกป้องพูดจากใจจริง “แต่ถ้ามีสักวินาทีที่พิณเพลงจะเป็นอันตราย ไม่ว่าจะเพราะผมหรือเพราะธาดาร์ก็ตาม คุณช่วยหยุดผมที จะยิงที่กลางหัว ลำตัว หรือยิงเข้าตรงไหนก็ได้”

“ผมสัญญา ถ้ามีจังหวะนะ”

จากนั้นผู้หมวดบอกให้รอสาย สักพักจึงมีเสียงข้อความส่งเข้ามา

เราจะไปจับกุมปกป้อง ปักษ์ดนูที่บ้านในอีกยี่สิบนาที เส้นทางควบคุมการหลบหนีจะเน้นที่ถนนใหญ่กับซอยรอบข้าง เตรียมตัวให้พร้อม

ข้อความดังกล่าวทำให้เขาตัวแข็งทื่อ จากนั้นครู่หนึ่ง ผู้หมวดพิศวัติจึงกลับมาคุยกับปกป้องต่อ

“คุณต้องรีบแล้ว”

“คุณตำรวจ ผมขอบคุณมาก” เขากล่าวอย่างซาบซึ้ง

“จบเรื่องผมก็คงเป็นอดีตตำรวจแล้ว คุณสนแค่ตัวเองกับคุณพิณเพลงก่อนเถอะ”

“ผมคงทำให้คุณเดือดร้อนแน่นอน”

นายตำรวจในสายหัวเราะอย่างผ่อนคลาย และเริ่มใช้น้ำเสียงอีกแบบ ราวกับกำลังพูดกับอีกคนอยู่ “กูทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยในฐานะตำรวจไปแล้วเพื่อช่วยมึง ปกป้องพิณเพลงด้วยชีวิตเสีย ไม่งั้นกูจะฆ่ามึงก่อน แล้วค่อยฆ่าตัวตายตาม”

และปกป้องตอบสั้นๆ แต่ชัดถ้อยคำว่า “ได้ครับ”

 

สมาร์ตโฟนบอกเวลาสามทุ่มครึ่ง หากเป็นเมื่อสัปดาห์ก่อน ตัววาววาคงยังง่วนกับงานอยู่เลย แต่มาวันนี้กลับต้องรับภาระอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

เธอกระชับเสื้อแจ็กเก็ตกีฬาสีชมพูตัวเก่า เดินลัดเลาะไปตามทางเท้ายามค่ำคืน พลางคิดไปว่าบรรยากาศในเวลานี้ดูสงบดีจัง ตึกสูงรอบๆ ตัวนั้นราวกับกำลังโอบกอดเธอไว้อย่างหลวมๆ แต่คิดว่าช่วงกลางวันฝุ่นน่าจะเยอะ

ไม่ได้ออกมาเดินแบบนี้นานแล้วสินะ…เธอคิดในใจขณะมองทางสลับกับหน้าจอสมาร์ตโฟนของวิริยะ

วาววาเป็นเพียงเด็กสาวที่เข้ามาหางานทำในเมืองใหญ่ด้วยวุฒิการศึกษาและเงินทุนน้อยนิด แต่วิริยะกลับรับเธอเข้าโครงการพัฒนาบุคลากรของ A MIND พร้อมทั้งให้ทุนการศึกษากระทั่งจบปริญญาและเข้าทำงานในโครงการ แน่นอนว่าเด็กกว่าครึ่งนั้นไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้า ทั้งเรียนไม่จบหรือไม่ก็เลือกจะลาออกหลังจากใช้ทุนคืนแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะรูปแบบการทำงานที่เน้นความกดดันเกินขีดจำกัดของอดีตประธานเอ็ดเวิร์ดนั่นเอง

เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผ่านเกณฑ์นรกนั้นมาได้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ประธานวิริยะคงคาดหวังกับวาววาไว้สูง และเธอไม่มีสิทธิ์พลาดเด็ดขาด

 

ผ่านมาอีกพักใหญ่ วาววาจึงได้ข้อสรุป ประธานวิริยะคาดการณ์ได้ถูกต้องจริงๆ พื้นที่ในละแวกอโศกนี้มีอะไรแปลกไป มันมีรังสีบางอย่างที่ไม่มีในฐานข้อมูล ช่วงความถี่นั้นคล้ายรังสีแกมม่าแต่ก็ไม่ใช่ และแหล่งกำเนิดของมันมาจากตึกร้างที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากสำนักงานใหญ่ของการ์ด แอนด์ ลิงก์

ท่านประธานฉลาดจัง แถมยังเท่ด้วย เธอแอบยิ้มย่องในใจ คิดถูกแล้วที่ยอมรับงานนี้ ภายในสมองแอบวาดฝันไว้ว่าในอนาคตจะได้รับคำชมหรือไม่ก็เลื่อนตำแหน่งมาใกล้ชิดวิริยะมากขึ้น แต่แล้วก็ต้องรีบดึงสติกลับมา เพราะความปลอดภัยและความรับผิดชอบต่อสังคมนั้นสำคัญกว่า

จากการตรวจสอบในโลกออนไลน์ มีข่าวลือออกมาว่าอาคารร้างนี้เดิมทีเป็นโครงการสร้างศูนย์การแพทย์ครบวงจรและคอนโดฯ ให้เช่า ทว่าเพราะขาดเงินทุนรวมถึงมีการโกงกันภายในอยู่บ่อยครั้ง จึงเกิดการถอนตัวของผู้เกี่ยวข้อง และกลายเป็นอาคารร้างกลางเมือง แม้จะมีการดำเนินงานต่อ แต่ก็เป็นในลักษณะของการรื้อถอนเพื่อใช้เป็นที่เก็บวัสดุตกค้าง ซึ่งระยะหลังก็ไม่พบการเคลื่อนไหวแล้ว ส่วนนายทุนชื่อพันทศนั่นก็หนีหายเข้ากลีบเมฆไป

หรือความจริงพันทศอาจพบบางสิ่งที่ผิดปกติในระหว่างก่อสร้าง ผู้เป็นเจ้าของโครงการจึงไม่กล้าลงแรงต่อ อาจเป็นบางสิ่งที่ร้ายแรงพอจะยอมเสียเงินมหาศาลที่ลงไป ความถี่ปริศนาคงเกิดจากสิ่งนั้น

เสียงสัญญาณดังเบาๆ จากสมาร์ตโฟน คะเนได้ว่ามีบางสิ่งที่เป็นตัวกำเนิดคลื่นอยู่ภายในส่วนกลางของอาคารร้างแห่งนี้ ตัวอาคารนั้นสูงสิบห้าชั้น สร้างเป็นทรงห้าเหลี่ยมโดยเว้นช่องว่างไว้ตรงเซ็นเตอร์ เธอเดินเข้าไปในเขตอาคารได้ง่ายๆ เพราะริมถนนไม่มีผู้คน แถมยังไม่มีอะไรขึงกั้นไว้สักนิด

 

โครงสร้างภายในนั้นเสร็จเกือบหมดแล้วแต่กลับไม่มีการลงสีหรือปูกระเบื้องให้สวยงาม ดูท่าว่าชั้นล่างๆ จะมองไม่เห็นที่ว่างขนาดเท่าครึ่งหนึ่งของสนามฟุตบอลที่อยู่ตรงกลางอาคาร แต่เพราะคิดว่าช่องว่างตรงกลางนั้นน่าสงสัยที่สุด จึงต้องตัดใจเดินขึ้นบันไดวนที่ตั้งอยู่ริมขวาของอาคารไปยังชั้นที่สูงกว่านี้ ส่วนบันไดเลื่อนนั้นยังไม่มีการติดตั้งด้วยซ้ำ

วาววามายืนหอบที่ชั้นห้า เหนื่อยจนขาสั่นไม่หยุด จากนั้นเดินมาตรงระเบียงเตี้ยๆ ซึ่งหันหน้าเข้าด้านในอาคาร

มันยังก่อสร้างไม่เสร็จและดูสกปรกรกร้าง แนวระเบียงนั้นล้อมรอบพื้นที่ว่างตรงกลางของอาคาร และเมื่อมองลงไปที่ชั้นล่างสุด ก็พบว่าพื้นดินส่วนนั้นมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ

ที่มุมหนึ่งของลานกว้าง มีอุปกรณ์ทรงกลมสีดำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเกินหนึ่งเมตรวางอยู่ มันถูกคลุมทับด้วยผ้าใบแบบลวกๆ โดยบัดนี้ผ้าคลุมนั้นขาดหลุดลุ่ยและเปิดอ้ากระทั่งมองเห็นลูกทรงกลมแทบจะชัดเจน

สมาร์ตโฟนในมือนั้นรับความถี่ปริศนาได้และกำลังประมวลผล วาววารีบเปิดข้อมูลผู้ฟื้นสติทั้ง ๔๖ ราย และตั้งระบบเพื่อทดสอบคลื่นสมองของทุกรายกับความถี่นี้ ผ่านไปครู่หนึ่งก็รู้สึกตึงเครียดที่ท้ายทอยทันที

แม้การทดสอบจะยังไม่สมบูรณ์ แต่เบื้องต้นชัดเจนแล้วว่าเป็นความถี่ที่ไม่มีในฐานข้อมูล และน่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ฟื้นสติ คงเพราะมีการปล่อยความถี่ประหลาดออกมากระมัง ทางเจ้าของอาคารจึงเลือกจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่ทำไมถึงไม่แจ้งตำรวจหรือหน่วยงานอื่นๆ ให้มาตรวจสอบกันนะ

สมาร์ตโฟนส่งเสียงเตือนว่าประมวลผลเสร็จสิ้นแล้ว กำลังทำแบบจำลองผลต่อเซลล์สมองและสภาพจิตของผู้ฟื้นสติ

และเมื่อผลออกมา วาววาต้องตกใจแทบทรุดลงตรงนั้น

คลื่นความถี่นี้จะส่งผลให้จิตตกค้างนั้นค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพกลับดังเดิม และรวมตัวกับจิตปกติของร่าง เท่ากับว่าในหนึ่งคนจะมีสองจิตรวมกัน จากนั้นอาจจะมีจิตใดจิตหนึ่งชนะและได้ครอบครองร่าง หรืออาจจะรวมตัวกันกลายเป็นบุคลิกใหม่ที่ไม่สมบูรณ์ก็เป็นได้

อันตราย! มันคือการคืนชีพของนักโทษประหาร และอาจจะกลับมาหลอมรวมกับความเป็นอัจฉริยะของผู้ฟื้นสติ แย่แล้ว! หายนะอย่างแท้จริง! อลินกับปกป้องต้องเคยเจอกับความถี่นี้แน่นอน ไม่เกี่ยวกับระยะเวลาด้วย เพราะแค่ถูกกระตุ้นครั้งเดียว จิตตกค้างก็ขยายตัวได้แล้ว จะเร็วจะช้าก็แล้วแต่ดวงของแต่ละรายเท่านั้น

วาววาสูดหายใจแล้วรีบส่งข้อมูลนี้ไปยังแชตลับของเธอกับประธานวิริยะทันที แต่กลับไม่มีคนอ่าน

เดี๋ยวค่อยฝากข้อความเสียงไว้ดีกว่า เธอพึมพำออกมา

โชคดีที่สมาร์ตโฟนเครื่องนี้สามารถบันทึกและส่งต่อความถี่ปริศนาได้แทบจะสมบูรณ์ แต่เธอต้องรีบกลับไปที่แล็บเพื่อทำการสร้างความถี่ที่หักล้างกันได้ออกมา บางทีอาจจะแก้ไขได้ทัน วาววาเชื่อเช่นนั้น

ทว่าครู่ต่อมาก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง มันหนักแน่นราวกับว่าจงใจให้ได้ยินเธอค่อยๆ หันกลับไปช้าๆ และพบว่าอลิน ริช อยู่ตรงนั้น

ร่างสูงกำลังยืนประจันหน้ากับเธอ แววตานั้นไม่สดใส มันเย็นชาคล้ายกับในครั้งสุดท้ายที่เจอกัน…ช่างตรงข้ามกับในคลิปไวรัลและภาพความทรงจำที่ผู้ร่วมงานเคยเห็นมาโดยตลอด ในมือของเขามีปืนสีดำเงาวาว

อลินเผยยิ้มออกมานิดๆ เมื่อเห็นเธอหวาดกลัวตัวสั่น “ไม่ต้องตกใจ ผมตามคุณมาได้สักพักหนึ่ง ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงได้…นั่นหมายความว่า หากจะฆ่าก็คงฆ่าไปนานแล้ว”

วาววาไม่กล้าสู้หน้า แต่ก็กลัวจนร่างแข็งแกร็งเกินจะขยับ นั่นทำให้อลินกลับมีท่าทีสบายขึ้น

“ถ้าอย่างนั้น” อลินกล่าวเสียงหวาน “ช่วยบอกรายละเอียดเรื่องที่คุณกำลังตามอยู่ให้ฟังได้ไหม ช้าๆ นะครับ

 



Don`t copy text!