
ตรวนใบจาก บทที่ 13 : เรื่องเล่าของฉลอง
โดย : ฉาย แสงเพชร
ตรวนใบจาก รางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 5 โดย ฉาย แสงเพชร เกษตรกรจาก จ.ตราด ผู้ฝันอยากเป็นนักเขียนแนวท้องถิ่นที่ได้พลิกบทบาทจากงานเขียนเชิงวิชาการมาสู่การเขียนนวนิยายแนวแฟมิลี่ดราม่ากับเรื่องราวของอาชีพลอกใบจากและชีวิตที่เป็นปริศนาของคุณยายคนหนึ่ง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์อ่านเอา
“สีไพลน่ะหรือ ทำไมย่าจะจำไม่ได้ล่ะ พ่อจักร จำได้ดีทีเดียวแหละ” นี่เป็นคำพูดที่หญิงชราผู้นั้นเอ่ยออกมาทันทีที่ถูกถาม “ยังไม่ตายอีกหรือ เห็นหายหน้าไปหลายปีละ”
“ยังครับ” จักรวาลตอบด้วยท่าทีสำรวม พลางเหลือบตามามองโบตั๋นที่นั่งหน้าตึงเมื่อได้ยินหญิงชราที่ชื่อฉลองเอ่ยถึงยายเธอแบบนั้น “ตอนนี้แกไปอยู่กับป้าเหมย ก็สามวันดีสี่วันไข้ ไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว เริ่มหลงเป็นพักๆ”
หญิงชราผู้นั้นยิ้มเหยียดๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา “บาปกรรมมันก็มีจริงเหมือนกันนะ ถึงมันจะช้าไปหน่อย ตอนที่ฉันเห็นยายสีไพลออกมารำอีโต้ไล่ตำรวจอยู่หน้าบ้าน แวบแรกที่ฉันคิดก็คือ ชีวิตคนที่ตายไปเพราะผู้หญิงคนนี้ได้รับการชดใช้เสียที”
“ยายสีไพลเคยฆ่าคนด้วยหรือคะ” โบตั๋นถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“เธอรู้จักผู้หญิงคนนั้นน้อยไปเสียแล้วละ รีบกลับไหมล่ะ พ่อจักร ย่าจะได้เล่าให้แม่หนูคนนี้ฟัง”
คนที่ชื่อสีไพลคนนั้นน่ะ รุ่นราวคราวเดียวกับฉัน ดูเหมือนจะแก่กว่าราวปีหรือสองปีกระมัง ฉันจำไม่ได้แน่เสียแล้ว ตอนเด็กๆ เราไม่ได้เจอกันหรอกนะ ครอบครัวฉันค้าขายอยู่ที่พลิ้วมาตั้งแต่ก่อนฉันเกิด ส่วนแม่สีไพลนั่น บ้านเดิมอยู่หนองชิ่ม พ่อเป็นคนแถวนั้นแหละ แต่แม่เป็นคนชอง บ้านเดิมอยู่ที่ไหนฉันก็นึกไม่ออกเสียแล้ว แต่ช่างเถอะ คงเพราะฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องราวของแม่คนนี้ตั้งแต่แรกกระมัง นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเฮียเจ็ก พี่ชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพายของฉัน ไปเจอแม่หม้ายคนนี้ที่หนองชิ่มเข้าจนติดอกติดใจ ถึงขนาดให้เตี่ยไปสู่ขอ ฉันกับแม่สีไพลก็คงไม่ต้องมาร่วมวงศาคณาญาติกันแบบนี้หรอก
ฉันเป็นลูกสาวคนสุดท้องของเตี่ย เป็นลูกที่เตี่ยกับแมะ (1) เห็นเป็นเด็กน้อยมาตลอด ไม่ใคร่สนใจไยดีเท่าไหร่ เตี่ยมีลูกชายน้อยมาก มีแค่ 3 คน เฮียฮก เป็นลูกของเมียแรกและเป็นป้าแท้ๆ ของฉันเอง คลอดเฮียฮกได้ไม่เท่าไรก็ตาย เตี่ยเลยแต่งกับแมะ ได้เฮียเจ็กเป็นลูกคนโต แล้วก็มีลูกสาวอีกสามคน รวมฉันด้วย อีกคนคือเฮียเว้ง แม่เป็นคนงานในบ้าน แก่กว่าฉันสักสามปีได้มั้ง ทั้งๆ ที่แมะเลี้ยงมาด้วยกัน แต่เฮียฮกกับเฮียเจ็กเหมือนหน้ามือกับหลังมือ คนหนึ่งละเอียด รอบคอบ หัวไว ค้าขายเก่ง อีกคนกลับชุ่ย ทำอะไรแค่พอผ่านๆ แถมไม่กล้าตัดสินใจ เชื่องช้ากว่าเขาไปทุกที เฮียเว้งเสียอีกยังค้าขายเก่งกว่า ถึงจะสู้เฮียฮกไม่ได้ เรียกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะแมะไม่ชอบแม่เฮียเว้งแล้ว กิจการของครอบครัวควรเป็นของเฮียฮกกับเฮียเว้ง ไม่ใช่เฮียฮกกับเฮียเจ็ก
เรื่องที่เฮียเจ็กไปเจอแม่สีไพลยังไงน่ะ ฉันไม่รู้หรอกนะ ตอนนั้นฉันแต่งออกไปแล้ว แต่ก็ไปอยู่แค่ตะปอน ไม่ได้ไปไกลเหมือนเจ๊ๆ เขา มารู้ก็ตอนที่มาเยี่ยมบ้าน ถ้าถามพวกเพื่อนๆ ของเฮีย เขาบอกว่าเฮียไปหนองชิ่มกับเพื่อนแล้วไปป่วย ไปได้แม่สีไพลนี่แหละรักษาหาย เฮียเลยติดใจแม่หม้ายที่ทั้งสวยทั้งเก่ง เพียรจีบจนติด แต่ถ้าถามแมะ แมะพูดแค่คำเดียวว่า นังแม่หม้ายหมอยามันทำเสน่ห์ จากนั้น แมะมีเรื่องบ่นให้ฟังทุกครั้งที่ฉันมาหา ข้อดีอย่างเดียวของแม่สีไพลที่ฉันเห็นคือ พอแต่งกับเฮียเจ็กแล้ว เฮียเจ็กค่อยเป็นผู้เป็นคนขึ้น กิจการค้าใบจากที่รับช่วงจากครอบครัวไปดีขึ้นทันตาเห็น ฉันว่าถ้าสีไพลเป็นสะใภ้ที่แมะโปรดปรานกว่านี้ หรือแม่นั่นจะยอมอ่อนให้แมะสักหน่อย ไม่ลอยหน้าลอยตาเถียงฉอดๆ อย่างที่แมะเล่า เตี่ยคงแบ่งกิจการให้เฮียเจ็กดูแลมากกว่านี้
สองปีนั้น ฉันจำได้ดี มันเป็นสองปีมหาวิบากที่พลิกชะตาชีวิตของครอบครัวฉันไปโดยสิ้นเชิง พ.ศ.2494 ก่อนเข้าหน้าหนาวไม่นาน หลานชายฉัน ลูกคนโตของเฮียเจ็ก ป่วยตายกะทันหัน ถัดมาช่วงปลายปี เฮียฮกถูกยิงตาย พอเฮียฮกตาย เตี่ยกับแมะก็ทะเลาะกัน เตี่ยอยากให้เฮียเว้งมาค้าขายต่อจากเฮียฮก แต่แมะไม่ยอม แมะต้องการให้เฮียเจ็กมาทำแทนเฮียฮก แต่ก็ติดที่แม่สีไพลนั่นแหละ เรื่องมันเลยคาราคาซังอยู่แบบนั้น หาทางลงไม่ได้
พอ พ.ศ.2495 ใครจะคิดว่าเรื่องมันจะเลวร้ายไปกว่าเดิม กลางปีนั้น เฮียเจ็กตาย ตายอย่างมีเงื่อนงำ แกถูกยาเบื่อตาย ทั้งๆ ที่เมียแกนี่แหละเก่งเรื่องยาพื้นบ้านหนักหนา แต่ปล่อยให้ผัวโดนยาเบื่อตายได้ แมะชี้หน้าด่าสีไพลกลางงานศพเฮียเจ็กเลยว่ามันเป็นคนทำ แต่ใครจะยอมรับง่ายๆ ผ่านมาอีกไม่นาน ช่วงที่เฮียฮกตายไปจะครบปี เฮียเว้งก็ตายอีกคน อุบัติเหตุน่ะแหละ คุ้นๆ ว่าแกตกเรือตายนะ เตี่ยช็อกมากที่ลูกชายคนสุดท้ายตายไปอีก เตี่ยถึงได้ตามฉันกับผัวให้มารับช่วงค้าขายแทน ฉันมาได้ไม่นาน เตี่ยก็ป่วยตาย อีกปี แมะก็ป่วยตายตามไปอีกคน ตอนป่วยแกเรียกหาเฮียเจ็กตลอด นี่ถ้าเฮียเจ็กไม่ตาย เตี่ยกับแมะก็คงไม่อายุสั้นแบบนี้
ก็อย่างที่ว่าแหละนะ คนเราทำอะไรไว้ ผู้คนไม่รู้ไม่เห็น ผีสางเทวดาก็เห็น พอเตี่ยกับแมะตายไป แม่สีไพลก็ตีปีกพั่บๆ ไปรับลูกตัวเองที่เกิดกับผัวเก่ามาอยู่ด้วย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ขืนไปรับมาเป็นบ้านแตก กิจการค้าใบจากตอนแรกก็ไปได้ดี แต่ตอนหลัง ก็ความใจแคบของแม่นั่นแหละ ลูกจ้างมาชอบพอลูกสาว แม่ลูกสาวก็ดูท่าจะมีใจให้ด้วย แม่สีไพลก็เข้าขวาง สุดท้าย ตายทั้งคู่ ทำไมตาย ไม่มีใครรู้หรอก รู้แต่พ่อแม่ฝ่ายผู้ชายโทษสีไพลเต็มๆ ว่าทำลูกเขาตาย ฉันเองก็สงสัยเหมือนกัน ก็ผัวตัวเองยังฆ่าได้ ประสาอะไรกะคนอื่น ตอนนั้น ฉันเห็นว่าที่บ้านนั้น ขาดคนที่เป็นตัวหลักไปถึงสองคน ฉันถึงไปติดต่อจะรับมาทำเอง หรือไม่ก็มาทำด้วยกัน แต่แม่สีไพลก็ยังหยิ่ง สุดท้าย พอแผนจับคู่ให้ลูกสาวอีกคนพลาด ก็ใครเขาจะอยากไปดองกับบ้านที่มีแต่เรื่องราวฉาวโฉ่แบบนี้ ลูกสาวไปได้กะคนจนๆ แล้วออกไปจับจองที่ดินทำสวนที่อื่น ลูกชายอีกคนที่เหลือก็จะเรียนต่อ ไม่คิดค้าขาย แม่สีไพลถึงได้ยอมขายกิจการให้ฉัน จากนั้น ก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก
“คนที่ชื่อใบจากนี่ เป็นคนยังไงหรือคะ” โบตั๋นรีบถามคำถามที่คาใจ เมื่อได้เจอคนที่น่าจะอยู่ร่วมในเหตุการณ์จริง
“ก็ดูซื่อๆ ขยันทำมาหากินดี ถ้าแม่สีไพลเปิดใจให้กว้างเสียหน่อย ก็จะได้ลูกเขยดีๆ ไว้ช่วยงานอีกคน ไม่ต้องมาอยู่ตัวคนเดียวตอนแก่แบบนี้”
“ถ้านายใบจากคนนี้มาชอบลูกสาวของยาย ยายก็จะยกให้ใช่ไหมคะ”
“เอ๊ะ พูดอย่างนี้ได้ไง มันไม่เหมือนกัน” น้ำเสียงของฉลองเปลี่ยนเป็นดุทันที “ฉันเป็นลูกเตี่ย ลูกเขยฉันก็ต้องเป็นคนมีแซ่มีตระกูล มีเส้นสายที่จะมาช่วยกันค้าขาย แต่แม่สีไพลน่ะเป็นใคร กำพืดเดิมก็ลูกชาวนาจนๆ ได้ลูกเขยเป็นชาวนาแบบนั้นก็เหมาะสมดีแล้ว จะเอาอะไรนักหนา”
โบตั๋นคอแข็ง รู้สึกถึงอคติที่แฝงอยู่ในใจหญิงชราอย่างลึกล้ำ ก็คงเหมือนที่เธอเคยได้ยินเพื่อนๆ สมัยเรียนที่เป็นลูกหลานคนจีนเหมือนกันเล่าให้ฟัง ว่าคนจีนสมัยก่อนไม่ชอบคนไทย หาว่าขี้เกียจ ไม่ขยันทำมาหากิน พอรู้สึกถึงอคติ การพูดคุยซักถามก็ไม่สนุกอีกต่อไป คุยเรื่องอื่นต่ออีกสักพัก ทั้งคู่ก็ลากลับ
ออกจากบ้านของฉลองมา โบตั๋นเงียบและเคร่งเครียดไปในทันที ข้อมูลที่ได้รับจากญาติพี่น้องทางตาของเธอแต่ละคน ล้วนแล้วแต่บ่งชี้ว่ายายของเธอเป็นคนไม่ดี พัวพันกับการตายของคนถึง 5 คน มันเป็นไปได้จริงๆ น่ะหรือ แค่คำว่าสมบัติ มันทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ สำหรับเธอ ที่ฝังใจมาตลอดชีวิตว่าผู้หญิงต่างหากเป็นผู้ถูกกระทำ ทั้งแม่ ทั้งตัวเธอเอง เธอรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง แต่อคติของยายฉลองก็ทำให้เธอฉุกคิดถึงอีกมุม หรือที่จริงที่ยายถูกรังเกียจมากขนาดนี้ จุดเริ่มต้นอาจแค่เพราะยายเป็นคนไทยที่พลัดเข้าไปเป็นสะใภ้จีน ซ้ำยังเป็นแม่หม้ายลูกติดอีกด้วย ยายจะต้องแข็งแกร่งถึงปานไหน ถึงสามารถประคองครอบครัวให้อยู่รอดมาได้จนถึงวันที่ลูกๆ เป็นฝั่งเป็นฝากันแบบนี้
พอเงยหน้าขึ้นมามองสองข้างทางอีกครั้ง เธอถึงรู้ว่าจักรวาลไม่ได้ขับรถกลับไปทางถนนสุขุมวิท แต่มุ่งหน้าไปสู่ทางที่ตรงไปยังทะเล สองข้างทางส่วนใหญ่เป็นนากุ้ง ทั้งที่ร้างไป และยังเลี้ยงอยู่ มีต้นเสม็ดให้เห็นเป็นระยะๆ เสียงของจักรวาลเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มสนใจสองข้างทาง
“เชื่อไหม ตอนผมเด็กๆ แถวนี้เป็นนาข้าวนะ ตามริมน้ำก็มีกอจากขึ้นเป็นดง คนรุ่นยายสีไพล รุ่นป้าเหมย เขาถึงมีอาชีพลอกใบจากกันไง แล้วช่วงที่ผมเรียนมอปลาย จนเข้ามหาวิทยาลัย คนแถวนี้เปลี่ยนมาทำนากุ้งกันทั้งนั้น นาข้าวหายไปหมด กอจากก็หายไป อาชีพหลายอย่างก็หายไปด้วย ไม่มีใครรับจ้างทำนา ลอกใบจากกันอีกแล้ว”
“แถวนี้น่ะนะ ที่ทำนาได้ ไม่น่าเชื่อ น้ำเค็มน่าจะเข้าถึงนะ”
“ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว แต่เมื่อก่อน เขาทำกันจริงๆ ผมเห็นกับตา”
“นี่นายเห็นฉันเครียด ก็เลยขับรถพาฉันชมวิวเล่นเหรอ”
“เปล่า ผมฟังที่ย่าหลองพูดถึงกิมเจ็ก ทำให้ผมคิดได้ว่ามีอีกคนที่เราควรจะไปถาม ถึงแม้ผมจะไม่สนิทกับแกนัก และแกแทบไม่เคยพูดเรื่องเก่าๆ ให้ใครฟังเลย แต่แกก็น่าจะรู้อะไรดีๆ บ้าง”
“ใครหรือคะ”
“ลุงทิ้ง แกอยู่บ้านเมียแถวแหลมสิงห์นี่แหละ”
บ้านหลังนี้ที่จักรวาลพาเธอมา เป็นบ้านหลังไม่ใหญ่นัก ด้านหน้าเป็นเพิงโล่ง กลิ่นคาวของสัตว์ทะเลอบอวล มาจากปลาเค็ม กุ้งแห้ง และอาหารทะเลแปรรูปหลากหลายชนิดที่ตากไว้บริเวณหน้าบ้าน แต่ที่สะดุดตาของเธอมากที่สุด พวงของใบไม้ชนิดหนึ่ง ใบยาวสีซีดๆ ที่ชวนให้นึกถึงใบมะพร้าวอ่อนที่ใช้ห่อข้าวต้มมัด ใบไม้แต่ละใบนั้นถูกจับมาขดเป็นวงแล้วร้อยเข้าด้วยกันไม่ต่างจากข้อแต่ละข้อของสายโซ่ ลมที่อวลกลิ่นทะเลพัดมา จนพวงใบไม้ที่เกือบจะแห้งนั้นไหวไปตามแรงลม สัมผัสกับพื้นปูนข้างล่างดังแกรกกราก ชวนให้คิดถึงเสียงร้องของยายสีไพลยามที่แกคว้าผ้าห่มมาคลุมโปงที่เธอได้ยินหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่เธอมาถึง
‘ปิดไฟๆ มันมาแล้ว เสียงลากตรวนใบจากมาแล้ว มันจะมาจับยาย จับยายใส่ตรวน ไม่เอาๆ’
‘ช่วยด้วยๆ มาแล้ว มันมาแล้ว ได้ยินไหม มันลากตรวนมาอีกแล้ว ปิดไฟที ปิดไฟ มันจะมาจับข้า’
ตอนแรกที่เธอได้ยินยายพูดเช่นนี้ เธอยังงงอยู่เลย เสียงลากตรวนใบจากที่ยายพูดถึงมันเป็นอย่างไร จนเธอมาได้ยินเสียงใบไม้แห้งนี้เสียดสีกับพื้นปูน ใบไม้ที่จับมาร้อยกันเป็นสายด้วยลักษณะเดียวกับสายโซ่ หรือนี่จะเป็นตรวนใบจากจริงๆ แต่ยุคนี้แล้ว ยังจะมีคนลอกใบจากมามวนยาสูบอีกหรือ
“นี่แหละ บ้านลุงทิ้ง พี่ชายคนละพ่อของป้าเหมย ถ้าโชคไม่ร้ายจนเกินไป แกคงเล่าเรื่องสมัยยายให้เราฟังได้บ้าง”
“ไม่ได้โทรนัดแกไว้หรือคะ”
“ผมไม่มีเบอร์แกหรอก แต่เมื่อสักแปดปีก่อนได้ แกรถล้ม สะโพกแตก แกเลยเดินลำบากมาจนทุกวันนี้ ปกติแกเลยไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน ขนาดแม่แกไปอยู่กับป้าเหมยนี่ แกยังไม่ค่อยได้ไปหาเลย ต้องรอให้ลูกๆ ว่างแล้วพาแกมา แกรุ่นๆ กะลุงจรนี่แหละ แต่ความแข็งแรงนี่ผิดกันเลย”
เชิงอรรถ :
(1) เนื่องจากเรื่องนี้ ผู้เขียนได้ไอเดียมาจากเรื่องเล่าในตระกูลของยาย ซึ่งเป็นจีนผสมไทย คนรุ่นยายเรียกพ่อของตัวเองที่เป็นจีนว่าเตี่ย แต่เรียกแม่ซึ่งเป็นคนไทยด้วยสำเนียงท้องถิ่นว่าแมะ ผู้เขียนจึงใช้ตามที่ได้ยินมา ซึ่งอาจจะต่างจากครอบครัวเชื้อสายจีนอื่นๆ ส่วนคนรุ่นแม่ใช้แต่สำเนียงท้องถิ่นว่าเพ่าะกับแมะเท่านั้น
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 13 : เรื่องเล่าของฉลอง
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 12 : คำลือที่บ้านเก่า
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 10 : ข้อสงสัยของโบตั๋น
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 9 : ความรักของจักรวาล
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 8 : เรื่องเล่าของจักรวาล
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 7 : แตกร้าว
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 6 : เรื่องเล่าของกิมเต้ง
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 5 : ชีวิตคู่ของกิมเหมย
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 4 : เรื่องเล่าของกิมเหมย
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 3 : ผู้ชายคนใดชื่อใบจาก
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 2 : ผู้หญิงคนใดชื่อกิมบ๊วย
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 1 : ฤดูมรสุม
- READ ตรวนใบจาก บทนำ : ผู้ซ่อนกายในความมืด