บ่าวหนุ่มบ้านบน บทที่ 3 : ใบหน้าในบ่อน้ำ
โดย : มาลา คำจันทร์
บ่าวหนุ่มบ้านบน โดย มาลา คำจันทร์ เรื่องของ บุญส่ง ครูหนุ่มที่ถูกบรรจุให้ไปสอนหนังสือที่บ้านห้วยผักกูดพร้อมคำเตือนที่ว่าไม่ไหวก็ให้ลาออก แล้ววันหนึ่งเขาก็พบเรื่องผิดปกติมากมาย ทั้งเสียงร้องไห้ในยามค่ำคืน เงาปริศนา เรื่องเล่า ตำนานท้องถิ่น และภูตร้ายพรายผี เขาจะเดินหน้าหรือถอยหนี พบกับคำตอบที่เพจอ่านเอาและ anowl.co
พาดพิงถึงเรื่องใบหน้าในบ่อน้ำ เกรงคนอ่านจะไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นจึงเอามาเล่า เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2511 เมื่อสอบติดวิทยาลัยครูเชียงใหม่ได้ลำดับที่ 21 ของจังหวัด มีสิทธิ์ได้พักหอใน
หอในแยกเป็นสองชนิดคือหอชายกับหอหญิง มีอย่างละสี่หลัง ขอเล่าถึงเฉพาะหอชาย เรียกกันว่าหอ 1 หอ 2 หอ 3 และหอ 4 ตามลำดับ มีโรงอาบน้ำสองโรง หอ 1 กับหอ 2 ใช้โรงอาบน้ำร่วมกัน หอ 3กับหอ 4 ก็ใช้โรงอาบน้ำร่วมกันเช่นกัน ในโรงมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่แต่ไม่เรียกกันว่าอ่างน้ำ กลับเรียกว่าบ่อน้ำสืบเนื่องกันมาหลายรุ่น หรือว่าแต่เดิม แต่ก่อนกระโน้นเมื่อยังเป็นโรงเรียนฝึกหัดครู จะเป็นบ่อน้ำจริงๆ อันนี้ไม่รู้
เป็นอ่างสี่เหลียมผืนผ้าขนาดใหญ่ ก่ออิฐถือปูนจากพื้นขึ้นมา ยาวราวห้าเมตร กว้างราวเมตรครึ่ง สูงจากพื้นถึงปากบ่อประมาณหนึ่งเมตรยี่สิบเซนติเมตร โรงอาบน้ำอยู่ด้านหลังหอ 2 แต่บุญส่งพักอยู่ที่หอ 1 ซึ่งอยู่ด้านหน้าหอ 2 โรงอาบน้ำกับห้องส้วมอยู่ติดกัน อยู่แทบส่วนหลังสุดของวิทยาลัย มีที่ว่างเหลืออีกนิดหน่อยก็สุดเขตแดนวิทยาลัยที่รั้วสังกะสี ทางไปสู่โรงอาบน้ำเลาะผ่านด้านข้างหอ 2
มีหอพักอีกชนิดเรียกกันว่าหอนอก เป็นของเอกชน ค่าใช้จ่ายระหว่างหอในกับหอนอกแตกต่างกันมาก หอในเทอมละ 400 บาทรวมค่าอาหารสามมื้อ หอนอกเดือนละร้อยห้าสิบบาทต่อห้อง หนึ่งห้องพักได้สองคน ค่ากินต่างหาก นักศึกษาที่มีสิทธิ์พักหอในจะต้องเป็นผู้ที่สอบได้ที่ 1-30 ของแต่ละจังหวัดเท่านั้น บุญส่งเองโชคดี สอบมาเรียนได้เป็นลำดับที่ 21 ของจังหวัด ส่วนไอ้หนุ่ยได้ที่ 28 เราพักหอ 1 ร่วมกัน นักศึกษาหอในมีระเบียบวินัยหยุมหยิมกว่านักศึกษาหอนอกมากมาย เช่นต้องตื่นราวตีห้า อาบน้ำขับถ่ายทำธุระส่วนตัวให้สรรพเสร็จเด็ดขาดก่อนตีห้าครึ่ง จากตีห้าครึ่งถึงหกโมงครึ่งต้องลงงาน งานที่ได้ลงได้แก่ปัดกวาดเช็ดถูหอพัก ดูแลทำความสะอาด รอบๆ หอพัก รดน้ำพรวนดินดูแลสวนดอกไม้ เก็บกวาดทำความสะอาดห้องน้ำห้องส้วม และเก็บกวาดดูแลโรงอาหารเป็นต้น อาจารย์ผู้ควบคุมหอพักจะแบ่งนักศึกษาออกเป็นกลุ่มๆ เท่าจำนวนงานที่ต้องลง หนึ่งกลุ่มจะลงงานชนิดนั้นหนึ่งอาทิตย์แล้วสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป แต่นักศึกษาที่พักหอนอกไม่ต้องลงงานหมู่นี้
“คิงเป็นคนที่ไหน”
“ฮาเป็นคนเมืองพาน คิงเป็นคนที่ไหน”
“ฮาเป็นคนเชียงของ”
เราใช้สรรพนามคำเมืองว่าฮาคิง ฮา=กู คิง= มึง ปีนั้นนักศึกษาหอในเฉพาะทั้งสี่หอมีรวมกันเกือบห้าร้อยคน มีตั้งแต่นักศึกษาน้องใหม่ไล่ขึ้นไปถึงพี่ปีสี่ มาจากสี่จังหวัดได้แก่เชียงรายเชียงใหม่ลำพูนและแม่ฮ่องสอน วันนั้นเย็นย่ำค่ำแล้ว นักศึกษาหอในคนอื่นๆ ประชุมร่วมกันที่ห้องประชุมใหญ่ยังไม่แล้วเสร็จ บุญส่งกับเพื่อนหอ 3 และหอ 4 สองสามคนไม่ต้องเข้าประชุมเพราะเตรียมเอกสารต่างๆ ให้อาจารย์เสร็จสรรพเรียบร้อย อาจารย์ก็อนุญาตให้กลับหอได้ ฉวยโอกาสที่เพื่อนและพี่หอ 1 หอ 2 ยังติดประชุม ยังไม่มีใครอาบน้ำ จึงถ่ายผ้า เอาผ้าเช็ดตัวเคียนเอว เอากางเกงในตัวเปลี่ยนเหน็บเอว ฉวยขันน้ำสบู่แชมพูลงทางบันไดหลังไปอาบน้ำก่อน มีไฟอยู่ไม่กี่ดวง ไม่ค่อยสว่างนักแต่พวกเราก็คุ้นเคยดีแล้ว สองข้างทางค่อนข้างรก ลำพังแรงที่พวกเราลงงานปราบหญ้าไม่อยู่หมัด ต้องถึงมือกลุ่มนักการภารโรงเอาเครื่องตัดหญ้ามาตัดถึงจะเตียน แต่กว่าจะเวียนมาถึงด้านหลังหอพักคงอีกนาน
ในโรงอาบน้ำไม่มีใครเลย พอใจมาก ปลดกางเกงในตัวเปลี่ยนยัดซอกผนังที่เป็นอิฐบล็อกมีรู เอาผ้าเช็ดตัวที่เคียนเอวออกจากเอวพาดราว เอาขันอาบน้ำวางขอบบ่อ อาบได้พร้อมกันคราวละหกเจ็ดคนเป็นอย่างต่ำ แต่วันนั้นคนอื่นยังติดประชุม จึงอาบคนเดียว
วันแรกที่ได้อาบน้ำเป็นคนแรกก็โดนแล้ว
พ.ศ.2511 เมืองเชียงใหม่สมัยนั้นยังไม่ใหญ่โตกว้างขวาง ตึกรามบ้านช่องขยายออกไปแทบทุกทิศทางอย่างปัจจุบัน รถราก็ยังไม่มาก ควันดำควันเสียยังไม่รมเมืองจนหมอง วิทยาลัยครูเชียงใหม่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตัวเมือง อยู่เลยประตูช้างเผือกออกไป แต่ก่อนแต่เดิมที่ทางแถวนอกประตูเมืองถือว่าอยู่นอกเมือง ที่เรียกว่าประตูช้างเผือกเพราะมีอนุสาวรีย์สร้างเป็นรูปช้างเผือกสองตัวอยู่ตรงนั้น ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวงถึงการสร้างรูปช้างเผือกสองตัวเอาไว้ว่า
ตโต ปรัง ถัดแต่นั้นไปภายหน้า เจ้าเมืองสุโขทัยผิดพญาบรมไตรจักรเมืองอโยธยา เจ้าเมืองสุโขทัยเอาเมืองมาพึ่งเจ้าแสนเมืองมา เจ้าแสนเมืองมายกรี้พลไปว่าจักปล้นเอาเมืองสุโขทัย ตั้งทัพอยู่นอกเวียง เจ้าพญาแสนเมืองมาเท่าอยู่บ่ออกค้ำเศิกอันจักแต่งแปลงเอาเมืองท่าน เจ้าเมืองสุโขทัยไปเฝ้า ก็เท่าใช้นางเฒ่าแก่กับเรือนสืบคำออกมาจา เจ้าเมืองสุโขทัยหันบ่หล้างจักรบด้วยพญาใต้แพ้ ยามดึกเจ้าเมืองสุโขทัยแปรพลศึกเข้ารบเจ้าแสนเมืองมา หมู่ชุมแตกพ่ายหนี เจ้าแสนเมืองมาพลัดช้างม้าหมู่ชุมออกหนีทางทัพสลิด เท่าพบขาสองคน ผู้หนึ่งชื่ออ้ายออบ ผู้หนึ่งชื่อยี่ระ ขาเปลี่ยนกันแบกเจ้าแสนเมืองมามาต่อรอดเมืองเชียงใหม่ เจ้าแสนเมืองมาเลี้ยงขาหื้อเป็นพวกช้างซ้ายขวา ขาตั้งบ้านอยู่ใต้เชียงโฉมฟากเบื้อวันออก ขาหื้อแปลงรูปช้างเผือกสองตัวไว้ซ้ายขวา เทียวเข้าออกตามหว่างกลางรูปช้างนั้นมาต่อเท้าบัดนี้ หากเป็นโบราณมาฉันนี้แล จิ่งลีดรูปร้างสองนั้นบ่ได้เพื่ออั้นแล
ทั้งหมดนี้เป็นข้อความจดจารบันทึกไว้ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่อันเปรียบเสมือนพงศาวดารอาณาจักรล้านนา เหตุการณ์เกิดขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าแสนเมืองมาเป็นกษัตริย์ล้านนาลำดับที่ 9 เฉพาะส่วนที่คัดลอกมาลงไว้นี้อาจแปลเป็นสำนวนภาษาไทยปัจจุบันได้ว่า ถัดจากนั้นเจ้าเมืองสุโขทัยทะเลาะกับพระเจ้าอยู่หัวบรมไตรโลกนาถแห่งราชอาณาจักรอยุธยา จึงคิดจะมาพึ่งเชียงใหม่ พญาแสนเมืองมาแห่งเชียงใหม่คิดจะยกทัพไปยึดเอาสุโขทัยไว้ในอำนาจ พอยกทัพไปถึงกลับไม่คิดอ่านประการใด ได้แต่ตั้งทัพอยู่นอกเมือง เจ้าเมืองสุโขทัยมาเฝ้ากลับให้นางเฒ่ากับเรือน (คล้ายๆ จะเปนแม่บ้าน) ออกมาพูด พญาสุโขทัยเห็นว่าสุโขทัยคงไม่อาจเอาชนะอยุธยาได้ ตกดึกจึงยกพลออกโจมตีพญาแสนเมืองมา พระองค์พลัดจากไพร่พล ไปพบเขาสองคนผู้หนึ่งชื่ออ้ายออบ อีกคนชื่อยี่ระ ทั้งสองผลัดเปลี่ยนกันแบกพญาแสนเมืองมาหนีรอดมาถึงเชียงใหม่ พระองค์ชุบเลี้ยงให้เป็นพวกช้าง (มีหน้าที่เกี่ยวกับช้าง) ทั้งสองจึงสร้างรูปช้างสองตัวไว้สองฟากทางเดิน คนเดินเข้าออกระหหว่างช้างสองตัว จึงเป็นโบราณบ้านเมืองสืบต่อมาจนถึงสมัยที่มีการจดบันทึกตำนานพื้นเมือง ไม่อาจรื้อหรือทำลายลงเสีย
แต่ว่ารูปปั้นช้างเผือกทั้งสองเชือกที่ตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งปัจจุบันครูบาอาจารย์ท่านผู้รู้ผู้หลักกล่าวว่าสร้างขึ้นในสมัยพญากาวิละ ปฐมกษัตริย์ในวงศ์เจ้าเจ็ดตนสมัยต้นรัตนโกสินทร์นี่เอง ส่วนช้างเผือกสองรูปเดิมที่อ้ายออบกับยี่ระสร้างขึ้นนั้น อยู่ในสมัยพญาแสนเมืองมา กษัตริย์องค์ที่ 9 ในราชวงศ์มังราย เก่าแก่ขึ้นไปร่วมสมัยกับพระบรมไตรจักรสมัยอยุธยา
บุญส่งเองมีสัมผัสแปลกๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นช้างเผือกเมื่อเข้าเรียนใหม่ๆ มันวูบวาบปลาบแปลบขึ้นมา คลับคล้ายเคยรู้เห็น เคยจับต้องลูบคลำมาก่อน เคยไหว้ถามตนชุ่มเย็นบ้านบน ท่านผู้เฒ่าว่าอาจเป็นสัญญาเก่าตกทอดมาแต่ชาติก่อนชาติเดิม อาจเคยเกิดร่วมในเหตุการณ์เมื่อก่อสร้างพญาช้างสองตัวเมื่อครั้งกระโน้น
“คนเราเกิดหลายหนตายหลายหน บางคนก็จำได้ บางคนก็จำบ่ได้”
“อะหยังเป็นเหตุหื้อบางคนจำได้ บางคนจำบ่ได้ครับ ตุ๊ปู่”
“สัญญาบ่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกรรม เกือบจะร้อยละร้อย สัญญาอ่อน พอตายก็ลืม เกิดใหม่เลยจำบ่ได้ บางคนสัญญาแข็งกล้า ความจำเลยติดมาถึงชาติใหม่ แต่ก็จำได้ไม่มากหรอกเอ็ง ร้อยส่วน จำได้สักหนึ่งส่วนจะถึงบ่ถึงบ่ฮู้”
ส่วนเรื่องราวแปลกประหลาดพิลึกพิลั่นคล้ายผีลงสิงไม่ได้เกิดกับตนเอง แต่เกิดกับไอ้ศรีชาวแม่สะเรียงเมื่อคราวอาจารย์พาไปบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เก็บกวาดชะล้างและขัดถูขี้โคลนขี้ไคลที่ฐานช้าง อยู่ดีๆ มันร้องอูมๆ เหมือนช้าง ทำท่าชูงวงชูงา เป็นที่ฮือฮาตื่นเต้นในหมู่น้องใหม่ พออาจารย์ตบหลังมัน มันสะดุ้งแล้วอาการนั้นก็หายไป
หอ 1 เป็นอาคารครึ่งอิฐครึ่งปูนหลังใหญ่มาก มีสองชั้น ชั้นล่างเป็นอิฐ ชั้นบนเป็นไม้ ชั้นล่างเป็นห้องสันทนาการและห้องทำกิจกรรม ห้องทำรายงานทำการบ้านห้องอ่านหนังสืออะไรทำนองนี้ ชั้นบนเป็นห้องพักอาจารย์ประจำหอพักหนึ่งห้อง พื้นที่เกือบทั้งหมดของชั้นสองเป็นห้องพักรวมของนักศึกษา พักนอนรวมกันทั้งหมด โล่งกว้าง ตั้งเตียงสองชั้นขนานกันเป็นสองแถวตลอดความยาวของห้อง เหลือพื้นที่ว่างทางซีกซ้ายเป็นที่ตั้งตู้เก็บเสื้อผ้า เก็บข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ของนักศึกษาแต่ละคน พักรวมกันทั้งรุ่นน้องรุ่นพี่ตั้งแต่ปี 1 ถึงปี 4 รวมแล้วราวร้อยคน มีรุ่นพี่ปี 4 เป็นประธานหอพัก รุ่นพี่ปี 3 เป็นรองประธานคอยว่ากล่าวตักเตือนรุ่นน้องปีสองปีหนึ่งที่อายุยังน้อยให้อยู่ในระเบียบวินัย หอพักมีกฎข้อหนึ่งว่าระหว่างหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่มครึ่ง ห้ามอยู่บนห้องนอน จะอยู่ได้ก็แต่ห้องสันทนาการกับห้องกิจกรรมค่อนข้างกว้างใหญ่ ตั้งโต๊ะทำงานเป็นกลุ่มๆ แต่มันก็ไม่พอเพียงต่อนักเรียนหอตั้งร้อยคน อาจารย์จึงอนุโลมให้ไปทำรายงานอ่านเขียนทบทวนวิชาความรู้ได้ตามระเบียงอาคารเรียน
ในกลุ่มน้องใหม่ปีหนึ่งมีอยู่คนหนึ่งกลัวผีกว่าเพื่อน เป็นคนเมืองฝาง ชื่อประสิทธิ์ ออกไปทางตุ้งติ้งสะบัดสะบิ้งหน่อยๆ ศัพท์สมัยนั้นเรียกว่ากะเทย แต่กะเทยสมัยนั้นจะแต่งหน้าทาปากหรือแต่งตัวเป็นหญิงไม่ได้ ถือว่าขึด
ขึดคือความเชื่อนอกพุทธศาสนาชุดหนึ่งที่มีอยู่ในสังคมล้านนา เป็นข้อห้าม หากใครละเมิดถือว่าตกขึด ต้องขึด หรือบางทีก็ว่าขึดเฉยๆ หากต้องขึดตกขึดหรือขึดแล้วจะเกิดผลร้ายต่อชีวิต หากขึดเล็กขึดน้อยก็ส่งผลน้อย หากขึดหนักๆ ก็ส่งผลร้ายแรง อาจต่อตนคนเดียว หนักขึ้นมาอาจส่งผลต่อครอบครัว หนักหน่วงที่สุดอาจตกแก่บ้านเมือง คำว่าบ้านเมืองอาจไม่ใช่เมืองทั้งเมืองก็ได้ อาจแค่ระดับหมู่บ้าน แต่ก็ถือว่าเป็นบ้านเป็นเมืองเพราะพ้นไปจากระดับครอบครัวแล้ว
ผู้ชายอาจมีจริตเป็นหญิงได้ แต่จะแสดงออกเป็นหญิงแบบออกหน้าออกตาไม่ได้ หากแค่ค้อนควักผลักไส สะบัดหน้า ชอบหยิกชอบตบแต่ไม่ชอบชกต่อยถือว่าพอยอมรับได้ แต่หากร้องหวีดว้ายออกมาจะโดนโห่ หากแต่งตัวเป็นหญิงไปเลยจะถูกอัปเปหิออกจากกลุ่ม ออกจากครอบครัว หรือหนักๆ อาจถูกขับออกจากหมู่บ้านไปเลย
มีเรื่องรักร้าวรานเรื่องหนึ่งของคนชายเต็มชายคนหนึ่งกับชายครึ่งหญิงคนหนึ่งที่ถูกขับอัปเปหิออกจากหมู่บ้าน ได้ยินได้ฟังมาเมื่อยังเด็ก จำได้ไม่ชัดเจนนักว่าเกิดขึ้นที่บ้านม่วงโทนหรือบ้านป่าอ้อย ขอย้อนกลับไปกล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านป่าอ้อยก่อน บ้านป่าอ้อยอยู่ห่างจากบ้านบนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ที่จำได้ชัดเจนเกี่ยวกับบ้านป่าอ้อยก้คือเรื่องรักข้ามภพระหว่างบ่าวคนกับสาวผี คล้ายเรื่องทิดมากกับนางนากที่ท้องทุ่งพระโขนงของเมืองกอกกรุงเทพฯ เขารักกัน อยู่กินกันจนได้ลูกผู้หนึ่ง อยู่มาวันหนึ่งไอ้หนุ่มก็พาเมียกับลูกกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ยังบ้านเกิดเรือนเก่าของตน ฝ่ายสาวไม่ยอมขึ้นบ้าน มิไยไอ้หนุ่มจะเซ้าซี้อย่างไรก็ไม่ยอมขึ้น อ้างแต่ว่า
“เรือนสูร้อน ข้าขึ้นบ่ได้ เรือนสูร้อน ข้าขึ้นบ่ได้”
พ่อแม่สาวสงสัย ทำไมถึงร้อนจนขึ้นไม่ได้ คงไม่ใช่คนเสียแล้ว ไม่ว่าคนผู้ใดต่างขึ้นเรือนนี้ได้ แต่ผีขึ้นมาไม่ได้เด็ดขาดเพราะผีครูของพ่อไอ้หนุ่มฤทธิ์แรงแข็งกล้ามาก พ่อไอ้หนุ่มมองเห็นลูกสะใภ้เป็นผี ใครๆ ก็เห็นเป็นผี มีแต่ไอ้หนุ่มคนเดียวเห็นเป็นคนตามเดิม พ่อห้ามไม่ให้ลูกชายไปเป็นผัวผี แต่ลูกชายรักเมียมาก ไม่ฟังคำพ่อ หนีไปหาเมียผี พ่อจึงจับลูกชายล่ามโซ่ติดเสาเรือนแล้วประกอบพิธีกรรมอันหนึ่งเรียกว่าผ่าจ้านให้คนกับผีพรากกัน จ้านเป็นคำดั้งเดิมมากๆ แปลว่าหน่าย จืดจาง ห่างเหิน ไม่อาลัยไยดี ผีถูกผ่าจ้านไม่ได้จางหน่ายจากหนุ่ม หนุ่มถูกผ่าจ้านก็ไม่จืดจางร้างรักจากเมียผี ทั้งคู่ยังผูกใจรักต่อกันแต่เมียผีเข้าหาผัวคนไม่ได้เพราะอาคมของพ่อหนุ่มแข้งกล้ามาก หนุ่มจะหนีไปหาเมียผีก็ไม่ได้เพราะถูกล่ามโซ่ติดเสา สุดท้ายหนุ่มตรอมใจตายคาโซ่ไปอยู่กับเมียผีที่เมืองผี
ส่วนเรื่องชายรักชายนั้น ชายหนึ่งเป็นชายเต็มชาย แต่อีกคนกายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง จริตจะก้าน การแสดงออก การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เป็นหญิงอันเป็นการละเมิดข้อห้ามข้อถือสาว่าชายต้องเป็นชาย หญิงต้องเป็นหญิง เล่ามาถึงตอนนี้นึกไปถึงคำผายเพื่อนในวัยเยาว์ เราเรียกคำผายว่าอีผู้หมายถึงถึงผู้หญิงที่ชอบทำตัวเป็นชาย คำผายอาภัพมาก อายุสั้นมากในหมู่ละอ่อนบ้านลุ่มบ้านบนทั้งมวล สั้นกว่าไอ้สมศักดิ์คนร้ายคนเลวผู้นั้นเสียอีก สมศักดิ์เอามีดปักอกตัวเองตายเพื่อหนีความผิดอันเป็นอดีตกรรม แต่คำผายแต่งตัวเป็นชายไปแอ่วสาว โดนหนุ่มบ้านนั้นเขม่น เขารุมทำร้าย พอรู้ว่าคำผายเป็นหญิงไม่ใช่ชายเขาก็รุมข่มขืนคำผายตายคาทุ่ง
ส่วนเรื่องรักร่วมเพศที่ได้ยินมาในวัยเด็กนั้น เรื่องราวเล่าว่าแต่แรกทั้งคู่ต่างแสดงออกว่าเป็นชายเต็มชายทั้งคู่ เขาทั้งสองคนรักใคร่ชอบพอกันมาแต่ยังรุ่นๆ หนุ่มหนึ่งได้ช่วยชีวิตอีกหนุ่มไว้จากโดนงูพิษฉก เขาอ้าปากดูดพิษแล้วถ่มทิ้งจนเพื่อนปลอดภัย แต่ตัวเขาเองกลับได้รับพิษจนป่วยแทน หนุ่มผู้ถูกช่วยซาบซึ้งใจมาก ทั้งคู่กลายเปนเพื่อนรักที่รักกันมากยิ่งขึ้น สัญญาต่อกันว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะไม่ทิ้งกัน ต่อมาหนุ่มผู้ดูดพิษแล้วได้รับพิษแทนเริ่มแสดงตัวว่าเป็นชายใจหญิง แต่ชายผู้ซาบซึ้งใจในความช่วยเหลือของเพื่อนก็ไม่รังเกียจ ทั้งคู่อยู่กินเป็นผัวเมียกันแต่มันผิดข้อห้ามความเชื่อที่เรียกว่าขึด ทั้งคู่ถูกอัปเปหิ ทั้งคู่ยินยอมถูกอัปเปหิ แต่ไม่ยอมทิ้งกัน เรื่องราวตอนจบเป็นอย่างไรไม่รู้ ไม่มีใครเล่าให้ฟัง
ย้อนไปสู่เรื่องของประสิทธิ์ แม้จะออกไปทางตุ้งติ้งแต่ก็ไม่แต่งหน้าทาปากเพราะวิทยาลัยครูยุคนั้นยังไม่ยอมรับการกระทำหรือการแสดงออกที่ผิดเพศ ในยามหัวค่ำ ประสิทธิ์ก็มักแอบไปนั่งวาดรูปหรือปักผ้าหรือถักโครเชต์อยู่ที่ชั้นล่างของอาคาร 2 มักไปกับไอ้มังกรหอ 2 และไอ้เมธหอ 3 กลุ่มนี้เขามีความเบี่ยงเบนทางเพศคล้ายกันแต่มากน้อยอาจแตกต่างกัน อาคารเรียนหลักๆ มีสี่หลัง เรียกว่าอาคาร 1 อาคาร 2 อาคาร 3 อาคาร 4 ตามลำดับ อาคาร 1 และอาคาร 2 ยังเป็นเรือนไม้สองชั้นครึ่งอิฐครึ่งปูน สร้างมาแต่สมัยที่วิทยาลัยครูยังเป็นโรงเรียนฝึกหัดครู ส่วนอาคาร 3 และอาคาร 4 สร้างสมัยที่เป็นวิทยาลัยครูแล้ว เป็นอาคารคอนกรีตสามชั้น
อาคาร 2 หลังที่ประสิทธิ์กับพวกชอบปลีกไปถักร้อยหรือปักผ้าอยู่ห่างออกไปเกือบชิดติดถนนสายเหนือของจังหวัด อาคารอื่นๆ รวมกลุ่มกันอยู่เกือบตรงกลางของวิทยาลัย กลุ่มหอพักชายอยู่ทางฟากเหนือของวิทยาลัย กลุ่มหอพักหญิงอยู่ทางฟากใต้ของวิทยาลัย นักศึกษาชายหญิงที่พักอยู่ยังหอพักในไม่มีทางไปมาหาสู่กันโดยเด็ดขาด ระเบียบวินัยเข้มงวดมาก พบปะกันก็เพียงช่วงเวลาเรียนตอนกลางวันเท่านั้น อาจรักใคร่ชอบพอกัน เป็นแฟนกัน จบออกไปแล้วแต่งงานกัน แต่ระหว่างที่ยังเรียน คู่รักไม่มีทางได้ร่วมรักกันเด็ดขาด นักศึกษาหญิงผู้ใดตั้งท้องขณะยังเรียน จะถูกแทงจำหน่ายโดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใดเลย
หอพักชายสี่หลังมีโรงอาบน้ำแค่สองโรง หอ 1 กับหอ 2 อาบน้ำร่วมกัน หอ 3 กับหอ 4 อาบน้ำร่วมกัน บุญส่ง ไอ้หนุ่ยกับประสิทธิ์พักอยู่หอ 1 ต้องไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำหลังหอ 2 ไม่แน่ใจว่ามีใครโดนอย่างบุญส่งโดนมาแล้วหรือไม่ ไม่มีใครพูดถึงเลย ส่วนตัวละอ่อนบ้านบนที่กลายเป็นบ่าวอ่อนบ้านบนก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้แก่ใครเลยนอกจากไอ้หนุ่ยตอนที่ไปฝึกสอนร่วมกัน หอพักในมีกฎข้อหนึ่งว่าห้ามก่อกวนสร้างเรื่องจนเป็นที่แตกตื่นหวั่นไหว ใครละเมิดจะถูกอาจารย์ผู้ควบคุมหอพักเรียกไปสอบสวน ตักเตือน อาจถูกหักคะแนนความประพฤติ อาจคาดโทษ หมดสิทธิ์ได้พักหอพักในเทอมถัดไป
บ่าวน้อยบ้านบนโดนอะไรหรือ
จำได้ว่าหัวค่ำวันนั้นในห้องอาบน้ำไม่มีใครเลย นักเรียนหอพักส่วนใหญ่ยังติดอยู่ในห้องประชุมใหญ่ ค่ำนั้นเดินตามทางคอนกรีตเก่าแก่ผุพ่ายไปสู่โรงอาบน้ำ ไฟฟ้ามีอยู่ห่างๆ สว่างและมืดไม่สม่ำเสมอ โรงอาบน้ำว่างเปล่า พอใจมาก ปลดกางเกงในตัวเปลี่ยนยัดซอกผนังที่เป็นอิฐบล็อกมีรู เอาผ้าเช็ดตัวที่เคียนเอวออกจากเอวพาดราว เอาขันอาบน้ำวางขอบอ่างที่เหมือนบ่อหมักหน่อไม้ดองในโรงงานชานเมืองที่อาจารย์พาไปดูงาน น้ำในบ่อไม่ค่อยใสนัก หากได้อาบก่อนจะได้อาบน้ำใสที่ลอยหน้า หากอาบช้าตะกอนขุ่นข้นจากก้นบ่อจะลอยขึ้นมา ข้นจนเป็นตัวเลย เป็นตัวๆ เหมือนขนมลอดช่องที่เราบีบแป้งลงไปในหม้อเดือดแล้วมันลอยขึ้นมา ดีใจที่วันนี้ได้อาบเป็นคนแรก ไม่รู้มาก่อนเลยว่าไม่เคยมีใครอาบน้ำเป็นคนแรก แต่กลุ่มแรกอาจมี
วันแรกที่อุตริเป็นคนแรกก็โดนเลย
ไฟฟ้าไม่สว่างนัก เป็นหลอดกลมมีไส้อยู่ติดผนังสี่ด้าน ด้านละดวง กำลังไฟคล้ายไม่พอจะแจกจ่ายได้ทั่ว แถวๆ โรงอาบน้ำกับห้องส้วมที่อยู่ติดกันมันจึงไม่ค่อยสว่าง จะบังเอิญหรืออย่างไรไม่ทราบ ดวงหนึ่งที่อยู่ผนังด้านกว้างไม่ติด ไส้คงขาด แต่ที่เหลือยังเปล่งแสงได้อยู่ ตุ๊กแกตับแก่ร้องตั้บ-แก้ ตั๊บแก้ดังมาจากร่มเงามะม่วงโบราณลึกลับ ส่วนนี้เป็นพื้นที่ท้ายๆ ของวิทยาลัย ยังมีต้นไม้ใหญ่ๆ อยู่หลายต้น เลยรั้วออกไปรกเรื้อมาก เข้าใจว่าเจ้าของที่ดินฝั่งนอกรั้วอาจรอจนได้ราคาที่น่าพอใจจึงค่อยขาย อาจกลายเป็นหอนอกอีกหลัง มีเรื่องเล่าเก่าแก่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นโรงเรียนฝึกหัดครูว่าสมัยนั้นบริเวณด้านหลังหอ 2 ยังเป็นป่าอุกดุกดงผืนเดียวกันกับที่ทางข้างนอก ถนนโชตนาที่แล่นผ่านหน้าวิทยาลัยไปจนถึงอำเภอฝางก็ยังเป็นทวงหลวงชนบทเล็กๆ แคบๆ ไฟฟ้าก็ยังมาไม่ถึง โรงเรียนฝึกหัดครูสมัยนั้นต้องปั่นไฟใช้เอง ก่อนเที่ยงคืนก็ปิดเครื่องแล้ว ราวตีห้าถึงจะเดินเครื่องอีกครั้ง
ยังมีนักเรียนฝึกหัดครูคนหนึ่งผูกคอตายแล้วกลายเป็นผีเฮี้ยนคอยหลอกหลอนรุ่นน้องในยุคหลังๆ ในทำนองตัวตายตัวแทน สมัยนั้นหอหนึ่งหอสองยังไม่ได้สร้างขึ้นมา โรงอาบน้ำกับส้วมก็ยังไม่ได้สร้างขึ้นเช่นกัน เรื่องราวเล่ามาไม่ปรากฏว่ามีนักศึกษาคนใดไปผูกคอตายเป็นตัวตายตัวแทนหรือไม่ แต่ถูกหลอกหลอนจนขวัญหนีดีฝ่อหลายคน ต่อมาทางวิทยาลัยล้อมรั้วสังกะสีกั้นไว้ ไม่มีนักศึกษาคนใดปีนข้ามไป ข่าวลือก็ค่อยจางหายไป
แต่สิ่งที่บุญส่งประสบพบเห็นในโรงอาบน้ำค่ำนั้นไม่เคยมีเรื่องเล่ามาก่อน
มันค่อยลอยขึ้นมา ปรากฏเป็นรูปชัดเจน
ใบหน้าในบ่อน้ำ
เอาขันวางบนขอบ น้ำเปี่ยมขอบ นิ่งสนิท ก้มหน้าลงเล็กน้อย วักน้ำลูบหน้า คลื่นน้ำพลิ้วเป็นวง
แล้วมันก็ขึ้นมาเลย ขึ้นมาจากก้นอ่าง
แต่แรกก็ไม่แน่ใจนัก คิดว่าเป็นตะกอนลอยขึ้นมา แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเพียงแรงวักจากมือไม่น่าลงไปก่อนกวนตะกอนก้นบ่อซึ่งลึกราวเมตรเศษ
แต่มันก็ลอยขึ้นมา เป็นหน้าคนชัดเจน
หน้าผี
ผีผู้หญิง
หน้านั้นเท่ากระด้ง บวมอืดบ้าง เน่าเฟะเละล่านบ้าง ผมยาวฟูแผ่ออกไปเกือบถึงขอบอ่าง หน้าขาวซีด มีร่องรอยคล้ายโดนปลาแทะกินเนื้อเป็นแห่งๆ ริมปากแหว่งหายเห็นฟัน จมูกก็หาย ตาหลับ แต่พลันที่มันลอยถึงผิวน้ำ ตาคู่นั้นก็ลืมขึ้น
ตาคู่นั้นน่ากลัว ขาวๆ ฝ้าๆ ไม่มีแก้วตาดำอยู่เลย สบตามันแล้วพลันคล้ายโดนสะกดควบคุม คล้ายสิ่งศักดิ์คุ้มครองหนีหาย ในบ่อไม่ได้มีแค่หน้า แต่เราเห็นเฉพาะใบหน้า พลันนั้นมันยื่นสองมือออกมาคว้า
“คำฝั้น”
เรื่องเล่าตอนนี้อาจสับสนเพราะผนวกเอาเหตุการณ์มากมายมาเล่ารวมกัน ย้อนไปสู่เรื่องของผองเพื่อนลักเพศ กลุ่มของประสิทธิ์มักอาบน้ำหลังสองทุ่ม รอคนอื่นๆ อาบกันเกือบครบจึงค่อยไปอาบ ประสิทธิ์กับมังกรอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ไปฝึกสอนร่วมกัน เรื่องใบหน้าในบ่อน้ำบุญส่งเล่าครั้งแรกตอนไปฝึกสอน ซึ่งอยู่ในเทอมสุดท้ายของหลักสูตร ไม่มีผลอะไรต่อการถูกลงโทษไม่ให้พักที่หอในเทอมหน้า เพราะเรียนจบออกไปแล้ว
คืนนั้นไอ้สิทธิ์ไอ้กรไปรวมกลุ่มกันที่อาคาร 2 เช่นเคย พวกเราทำงานอยู่ที่ห้องโถงชั้นล่างของหอ ไอ้ตรีตัวแสบประจำรุ่นปรารภขึ้นกลางวงกับพวกเราที่โต๊ะทำงานในห้องกิจกรรม
“ กูจะปลอมเป็นผีหลอกมัน พวกมึงคอยดู”
“กูด้วย กูเล่นด้วย” ไอ้ทิศแหบคู่หูมันเออออ มันชื่ออุทิศ แต่รุ่นเรามีอุทิศสองคน คนนี้มีเอกลักษณ์คือเสียงแหบเลยเรียกทิศแหบ
“อย่าหลอกมันเลย” คนอยากบวชปรามเพื่อน “แค่มันโดนพวกมึงจับนมจับก้นมันก็ทุกข์พอตัวอยู่แล้ว อย่าเพิ่มทุกข์แก่มัน”
“พี่หนาน…ท่านมหา”
ไม่อยากได้ยินคำเสียดสีแกมถากถางมากไปกว่านั้น ลุกจากมาเสีย แต่แรกก็อยากเตือนมันเรื่องใบหน้าในบ่อน้ำ แต่เรื่องนี้อย่าพูดเลยจะดีที่สุด ไม่อยากให้อาจารย์ควบคุมหอคาดโทษว่ากุเรื่องสร้างความแตกตื่นหวาดกลัวภายในหอพัก ผิดกฎค่อนข้างรุนแรง
นึกคิดไปถึงหัวค่ำวันนั้นที่ไปอาบน้ำเป็นแรก มันเป็นจริงหรือ หรือเราปรุงแต่งขึ้นมาเอง หลากหลายเรื่องราวเกิดขึ้นจริงๆ แต่บางเรื่องบางราวก็คล้ายตนฝันไปหรือถูกสะกดครอบงำให้เคลิ้มคิดฟุ้งไป ตอนที่เรียนอยู่ชั้น ม.ศ.2 แตกหนุ่มเต็มตัว มีอยู่คืนหนึ่งกลายร่างออกไปเป็นวิทยาธรเหาะล่องเหาะลอยบนฝอยเมฆฟุ้ง มือหนึ่งถือพระขรรค์อีกมือโอบเอวสาวที่นั่งซ้อนตัก พาสาวไปพักตามวิมานเมฆเสกสร้างเสวยสวรรค์ เป็นจริงเป็นจังจนไม่อยากจะคิดว่าเป็นเพียงความฝัน
เป็นจริงเป็นจังหลายครั้งหลายหนจนเคลือบแคลงว่าหากฝันทำไมฝันซ้ำๆ หลายครั้งหลายหน
ใบหน้าในบ่อน้ำขอให้ได้เห็นเพียงครั้งเดียวเถิด อย่าได้เห็นบ่อยๆ เลย มันหลอน หลอนมากๆ จนไม่กล้าอาบน้ำคนเดียวตลอดเวลาสองปีที่เรียน
ขอให้ตนเห็นเพียงคนเดียวเถิด คนอื่นอย่าได้พบได้เห็นเลย ตนมีคำฝั้นเป็นภูตพิทักษ์ประจำตัวแต่คนอื่นไม่มี
ออกมาที่หน้าหอพัก ไฟรายตามถนนยืนต้นอยู่ห่างๆ ข้างหน้าคืออาคารคอนกรีตสามชั้นปิดไฟมืดหมดแต่ระเบียงอาคารด้านหน้ายังเปิดไฟอยู่ ระหว่างหอ 1 กับอาคาร 3 มีถนนคอนกรีตตัดผ่าน อาคารสร้างขึ้นตอนหลัง ไม่ได้หันหน้ามาทางหอพักมันเลยหลอกเราให้รู้สึกผิดว่าหอพักสร้างทีหลังเพราะอยู่ด้านหลังของอาคาร เราไม่ค่อยคุ้นกับความคิดว่าสิ่งที่มาภายหลังอาจอยู่ข้างหน้าก็ได้ เหมือนอย่างความเชื่อเรื่องลูกแฝด คนพื้นเมืองเชื่อว่าแฝดที่คลอดก่อนเป็นน้อง แฝดที่คลอดหลังเป็นพี่ เพราะพี่เข้าท้องก่อนจึงอยู่ข้างหลัง แฝดน้องเข้าท้องทีหลังจึงอยู่ข้างหน้า ความคิดแบบนี้พวกเราที่อายุยังน้อยไม่ค่อยคุ้นเคย
ยืนอยู่หน้าหอพัก เบื้องหน้าคือด้านหลังของอาคาร 3 ส่วนอาคาร 2 อยู่ทางขวา อยู่สุดปลายถนนขวางเกือบชิดติดรั้วด้านหน้า ไฟรายตามถนนไม่ได้ติดทุกต้นเสา แต่ติดต้นเว้นต้น มีต้นสนสลับสับหว่างขนาบสองแนวถนนบางคนเห็นเป็นเปรตยืนเข้าแถว ยามค่ำคืนดูแปลก ดูเปลี่ยว อาคาร 2 เป็นเรือนไม้ ชั้นบนยามค่ำคืนไม่มีนักศึกษาคนใดกล้าขึ้นไปเลยเพราะผีดุ โดนกันมาแล้วมากมาย ส่วนมากก็จะเป็นพวกห่ามๆ อยากเด่นอยากดังแบบไอ้ตรีไอ้ทิศ ส่วนพวกเจี๋ยมเจี้ยมสงบเสงี่ยมอย่างบุญส่งไม่มีใครโดน เพราะอะไรที่เป็นคำสั่ง ข้อห้าม หรือระเบียบวินัยพวกเราไม่กล้าฝ่าฝืน แต่พวกห่ามๆ ชอบฝ่าฝืน เพราะหากทำสำเร็จจะดัง
มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่เล่าลือกันมา เกิดก่อนหน้ารุ่นเราสี่ห้าปี รุ่นพี่ห่ามๆ ชักชวนกันไปเปิดวงเล่นไพ่ไฮโลบนระเบียงชั้นสองอาคาร 2 ขอออกตัวปกป้องสถาบันก่อนว่านักศึกษาวิทยาลัยครูไม่ได้ห่ามๆ เฮี้ยนๆทั้งหมด ไม่เคยมีชื่อเสียงเสียหายว่ายกพวกไปตีกับสถาบันไหนหรือไปทำอะไรเลวร้ายผิดกฎหมายบ้านเมือง แต่ไม่ว่าสถาบันไหนก็มักจะมีคนนอกลู่นอกแถวปะปนอยู่บ้างเป็นปกติธรรมดาทั่วไป
เรื่องเล่าเล่าว่านักศึกษาหอชายซึ่งมีอยู่ถึงสี่หอมีพวกชอบเล่นการพนันไม่ถึงยี่สิบคน เขามักจะรู้กันว่าคืนไหนจะไปมั่วสุมกันที่ไหน ระเบียงชั้นบนอาคาร 2 เป็นที่ลี้ลับไม่ค่อยมีใครไปยุ่งเกี่ยว แม้แต่คนยามดูแลความปลอดภัยก็ไม่อยากไปยุ่งเพราะลือกันว่าผีดุ มีเสาต้นหนึ่งตกน้ำมัน แล้วมักจะมีแม่ย่าตานีออกมาหลอกหลอน แต่พวกขาไพ่ไฮโลดูเหมือนจะไม่ค่อยกลัวกันเท่าไรนัก อาจถือว่าพวกมาก อยู่กันหลายคนหรือเพราะมีหลวงพี่หลวงพ่อขลังๆ ห้อยคอ อยู่มาวันหนึ่งเปิดวงไฮโลเล่นกัน เจ้ามือเป็นคนนอก ไม่ใช่นักศึกษาด้วยกัน เล่นมาเล่นไปเจ้ามือเจ๊ง ไม่มีเงินจ่าย คนแทงทั้งหลายซึ่งมีจำนวนมากกว่าก็ข่มขู่คุกคามจะทำร้าย เจ้ามือก็ว่าไม่เงินจ่ายจริงๆ ขอติดไว้ก่อนได้ไหม คืนพรุ่งนี้จะเอามาใช้ พวกนักศึกษาก็ว่าไม่มีเงินจ่ายเอาอะไรจ่ายก็ได้ จะเป็นกางเกงยีนส์ เสื้อผ้า นาฬิการองเท้าอะไรก็เอาหมด เจ้ามือเลยว่า
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน กูเอาหัวกูจ่าย”
ว่าแล้วก็ปลดหัวตัวเองออกจากคอโยนลงกลางวง
ออกมาที่หน้าหอพักเดินเลี้ยวขวาไปสู่อาคาร 2 ไม่ได้คิดจะไปพิสูจน์ว่าเจ้าแม่ตะเคียนทองที่สิงอยู่ในเสาตกน้ำมันจะมีจริงหรือไม่ ว่ากันตามความเชื่อดั้งเดิมของพื้นถิ่นพื้นฐาน นางพรายตานีและผีนางตะเคียนไม่มีมาแต่เดิม คงรับเพิ่มเข้ามาจากท้องถิ่นสยามหลังสงครามญี่ปุ่นนี่เอง ไม่ได้ไปร่วมวงไฮโลสยองขวัญหรือคิดจะไปบอกประสิทธิ์คนกลัวผีว่าไอ้ตรีจะทำเป็นผีหลอกมันที่โรงอาบน้ำ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันกลัวผีแต่ทำไมชอบไปขลุกกับกลุ่มก๊วนของมันที่นั่น อาจเห็นว่าระเบียงหน้าห้องชั้นหนึ่งไม่มีผี ผีอยู่แต่ชั้นบน
“จะไปไหน บุญส่ง”
“ไปอาคารสองครับลุง”
“พอดีเลย ป้าแก้วฝากกล้วยนึ่งมาให้ ว่าจะเอาไปให้ที่หอหนึ่งอยู่พอดี”
พบลุงยาม เดินถือกระบองกับไฟฉายเดินสวนมา ยกมือไหว้ทักทายสวัสดี พ่อแม่ตายายสอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่สอนให้เย่อหยิ่งแข็งกระด้าง ผลดีที่ได้รับคือลุงเมตตาเรา มีกล้วยมีอ้อย มีหัวเผือกมันแกวก็มักติดมือมาฝากเรา
ยกมือไหว้ก่อนรับเอากล้วยน้ำว้าผ่าซีกตากแดดจนผิวนอกแน่นแข็งแล้วเอาไปนึ่งอีกที เก็บไว้กินได้นานนับเดือน
“ลุงจะไปไหนครับ”
“ไปทางหลังหอสองแล้วค่อยวกมา”
ซ้ายมือเป็นสนามหญ้ากว้างใหญ่ ยาวเกือบเต็มหน้ากว้างของวิทยาลัย ยามค่ำคืนอย่างนี้ดูแปลกเปลี่ยวเพราะมืดมากกว่าสว่าง หน้าอาคาร 2 เปิดไฟไม่กี่ดวง ประสิทธิ์กับพวกถักนิตติ้งโครเชต์กันอยู่ยึกยักเหมือนแมงมุมชักใย
“นั่งด้วยได้ไหม”
“หากมาดี เชิญนั่ง”
ยิ้มให้ ไม่ถือสาเป็นอารณ์ขุ่นเคืองฉุนเฉียว เข้าใจดี แม้ไม่เคยมีเพื่อนลักเพศผู้ชายมาก่อนแต่ก็มีคำผายหรืออีผู้เมื่อเรียนอยู่ชั้นประถมต้น นึกๆ ก็ยังสงสารเพื่อนผู้อาภัพ
อัปปิเยหิ สัมปโยโค ทุกโข…สมดั่งคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าไว้แท้…ประสบสิ่งที่ไม่รัก เป็นทุกข์ ยัมปิจฉัง นลภติ ตัมปิ ทุกขัง…ปรารถนาแล้วไม่ได้ ก็เป็นทุกข์
คำผายประสบสิ่งที่ตนเองไม่รักคือเพศภาวะที่เป็นหญิง
คำผายปรารถนาแล้วไม่ได้คือเพศชาย
จับพลัดจับผลู เคราะห์ซ้ำกรรมซัด แปลงตัวเป็นชายไปจีบสาวแล้วสาวชอบใจแต่หนุ่มคู่แข่งไม่พอใจ เขาดักทำร้าย พอรู้ว่าคำผายไม่ใช่ชายแต่เป็นหญิงเขาก็รุมข่มขืนแล้วฆ่าทิ้งกลางทุ่ง
นั่งลง เอากล้วยนึ่งในถุงกระดาษสีน้ำตาลออกมา ชักชวนแก๊งแมงมุมชักใยกินด้วยกัน ท่าทีตั้งป้อมเตรียมสู้รบสลายตัวลง
“ไม่รังเกียจเราหรือ”
“ไม่รู้สึกอะไร”
“ชื่อประสงค์ใช่ไหม” เพื่อนมันคนหนึ่งที่อยู่หอ 3 ทักผิด “ที่ว่าเป็นหมอผี ไล่ผีลงสิงศรีวิไลออกไป”
“ชื่อบุญส่ง ไม่ใช่ประสงค์ ที่ว่าเป็นหมอผีก็ไม่ใช่ ศรีวิไลไม่ได้โดนผีสิง อาจารย์ห้องพยาบาลว่าเป็นไข้ทับระดู”
“เล่นผีถ้วยแก้วเป็นไหม ให้นายเชิญ อาจมาเร็ว”
“ไม่เป็น ไม่เคยเล่นเลย ผีถ้วยแก้ว”
หลอดเรืองแสงยาวๆ กะพริบวูบวาบติดๆ ดับๆ ชั้นบนไม่รู้จะมีวงไพ่ไฮโลอะไรหรือไม่ ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย กินกล้วยนึ่งคนละซีกสองซีกยังไม่ทันหมดมัด ทันใดมีเสียงร้องโวยวายดังมาจากแถวโรงอาบน้ำหลังหอชาย 2
“ไอ้ทิศแหบ”
ระบุได้เลย เพราะแม้โวยวายแต่ท้ายเสียงของมันก็ยังแหบๆ กรูเกรียวพรวดพราดกันไปยังต้นเสียง แต่เราอยู่ไกล พวกเพื่อนและพี่หอ 1 หอ 2 ไปถึงก่อนเพราะอยู่ใกล้กว่า ไอ้ทิศสงบลงได้แล้ว แต่ไอ้ตรีคนทำผีหลอกนอนหงายกับพื้นพวกรุ่นพี่ปีสี่ช่วยกันผายปอด ลุงสอนที่เดินยามมาทางหลังหอ 2 ยังอยู่
“เกิดอะไรขึ้นครับลุง”
“ไม่รู้เหมือนกัน ไอ้นี่โวยวาย” ลุงชี้ไอ้ทิศแหบ “ส่วนไอ้นี่จมอยู่ก้นบ่อ” ลุงชี้ไอ้ตรี “ลุงลงงม”
เป็นเรื่องใหญ่ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อาจารย์ผู้ควบคุมหอพักไม่อาจอยู่นิ่งได้ ทั้งสองท่านลงมาควบคุมสถานการณ์ ไอ้ตรีฟื้นแล้ว ตัวสั่นดกๆ ขดตัวงออยู่ในวงแขนอาจารย์ประจำหอพัก
“เข็ดแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว ไม่ทำอีกแล้ว”
“อะไร ไมตรี
“ใบหน้าในบ่อน้ำ…”
“เอาละ ไม่มีอะไรแล้ว กลับกันได้” อาจารย์ผู้ควบคุมดูแลหอพักตัดบท “ทุกคนกลับขึ้นหอ นายไมตรีตามครูไปห้องพักอาจารย์”
คำสั่งของอาจารย์ถือเป็นเด็ดขาด ทุกคนทยอยกลับ ทุกคนงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น คำว่าใบหน้าในบ่อน้ำ…ไม่จบในตัวเอง ไอ้ตรีไม่มีโอกาสได้พูดอะไรต่ออาจารย์ก็เอามันไปสอบสวน
อาจมีแต่บ่าวน้อยบ้านบนคนเดียวที่รู้ว่าใบหน้าในบ่อน้ำคืออะไร