ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 3 : ผิดหวัง (3)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 3 : ผิดหวัง (3)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

หลังจากที่แม่พยายามไกล่เกลี่ยให้ฉันพูดคุยกับพี่ติอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล ไม่ว่าแม่จะพูดอย่างไร ชี้ให้เห็นข้อสังเกตอย่างไร ฉันก็ไม่รับฟัง ในใจฉันมีแต่เพียงความปักใจว่า ‘พี่ตินอกใจฉัน พี่ตินอกใจฉัน’ และฉันก็ไม่ได้คิดไปเอง ฉันเห็นกับตา ธารีก็เป็นพยาน

แม่ที่พยายามจนถึงที่สุดก็กล่าวว่า “แกนี่บทจะดื้อก็ดื้อเหมือนวัวเหมือนควาย พูดอะไรไม่รู้จักฉุกคิด เอาเถิดชีวิตของแก แกจะไปหัวหกก้นขวิดที่ไหนก็เรื่องของแก แกโตแล้วรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้แล้ว แต่หากวันหน้าเกิดอะไรขึ้น อย่ามาโทษว่าแม่ไม่เตือนแกล่ะ” จากนั้นแม่ก็ไม่พูดเรื่องนี้กับฉันอีกเลย แต่ฉันแปลกใจไม่น้อยที่แม่ยังพูดจาปราศรัยกับพี่ติด้วยดี วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังจะลงจากชั้นบนของบ้าน ก็ได้ยินแม่คุยโทรศัพท์ซึ่งฉันเดาว่าน่าจะเป็นพี่ติ แม่พูดเพียงว่า “ยายกุนมันปักใจไปแล้วว่าพ่อติมีเมียน้อย ถ้าพ่อติไม่จัดการซักฟอกตัวเองให้สะอาด แม่ว่าอย่างไรยายกุนก็ไม่ยอมคืนดีด้วยแน่นอน” แม่พึมพำอยู่อีกสองคำ ก่อนจะวางสายไป

แม่ยังไม่ละความพยายาม วันหนึ่งขณะที่อยู่กันสองคน แม่ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นว่า “ทำยังไงแกถึงจะเชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นคือน้องสาวเขาจริงๆ”

“เอามายืนยันตัวสิคะ” ฉันตอบนิ่งๆ

“น้องสาวเขาอยู่ถึงอังกฤษ จะบินไปมาง่ายๆ ได้ยังไง แกนี่มันก็พิลึก”

“โทรมาก็ได้ค่ะ” ฉันต่อรอง

“พ่อติเขาบอกแม่ว่า ตั้งแต่น้องสาวคนนี้เขากลับอังกฤษไป จนบัดนี้ก็ยังติดต่อกันไม่ได้ เขาก็ยังเป็นห่วงอยู่ นี่ก็กำลังให้แน่งน้อยเพื่อนสมัยเรียนช่วยประสานงานติดต่อให้”

“ข้ออ้างเสียมากกว่าค่ะ ไม่รู้ละ ถ้าไม่ได้ผู้หญิงคนนั้นมายืนยันตัว ให้ตายยังไงกุนก็ไม่ยอมคืนดีด้วย”

 

สุดท้ายแม่เลิกพูดเรื่องนี้จริงจัง ฉันก็ถือดีที่จะไม่คุยเรื่องนี้กับแม่ เพราะรู้ว่าพูดไปแม่ก็ต้องขอให้ยอมพูดกับพี่ติดีๆ ซึ่งฉันไม่อยากจะพูดด้วย ยิ่งเห็นเขากระสับกระส่ายทุกข์ร้อนที่ฉันไม่ยอมพูดด้วยฉันก็ยิ่งรู้สึกเป็นต่อ และแอบยินดีที่พี่ติรู้สึกเป็นทุกข์ร้อนบ้าง อย่างน้อยพี่ติก็ควรเจ็บปวดบ้างที่ทำผิดต่อฉัน

พี่ติกลับมาโทรศัพท์หาฉันอย่างสม่ำเสมอ คือสัปดาห์ละครั้ง แต่ไม่ว่าจะโทร.มากี่ครั้งฉันก็ไม่ยอมรับสาย แต่ฉันก็ไม่หวงห้ามที่พี่ติจะคุยกับลูก นานๆ เข้าเมื่อฉันไม่ยอมคุยสายโทรศัพท์ด้วย พี่ติก็เลิกเซ้าซี้ขอสายฉัน ทุกครั้งที่พี่ติโทร.มาก็เพียงขอสายคุยกับลูกๆ และแม่เท่านั้น ส่วนพ่อของฉันท่านกันตัวออกจากเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง

ระยะหลังที่พี่ติเริ่มไม่ขอสายโทรศัพท์เพื่อคุยกับฉันแล้ว ทำให้ฉันที่เคยรู้สึกว่าเป็นต่อ และคิดว่าพี่ติยังใยดีต่อฉันบ้างนั้นเลือนหายไป ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนไร้ตัวตนสำหรับพี่ติไปแล้ว ครั้นจะถามแม่หรือลูกๆ ว่าพี่ติถามถึงฉันบางหรือไม่ ก็กลัวว่าจะเสียเหลี่ยมจึงสู้นิ่งเสีย ข่มความรู้สึกว้าวุ่นในใจไม่ให้ใครรู้ ทั้งที่แท้จริงแล้วในใจนั้นคุกรุ่นไปด้วยอารมณ์ต่างๆ ที่หลากกันออกไปจนยากจะอธิบาย

นานวันเข้าความรู้สึกที่คิดว่าจะนอนก้นได้ในสักวัน กลับยิ่งพลุ่งพล่านหนักกว่าเก่า ฉันกลายเป็นคนหงุดหงิดง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน และยิ่งคิดว่าพี่ติไม่รัก ไม่ต้องการฉันแล้ว ฉันยิ่งรู้สึกร้อนรนทุรนทุราย สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจที่จะขอหย่า ฉันเลือกที่จะไม่ปรึกษาแม่เพราะรู้ดีว่าแม่จะต้องขัดขวาง และฉันก็ยังไม่อยากที่จะคุยต่อกันซึ่งหน้ากับพี่ติ สุดท้ายฉันก็ใช้วิธีที่เรียบง่ายและทรงพลังที่สุดที่ฉันคิดว่าฉันพอจะทำได้ ฉันส่งโทรเลขไปถึงที่ทำงานของพี่ติ

เราหย่ากันค่ะ

ข้อความในโทรเลขที่เพียงสั้นๆ แค่นั้น แต่มันได้ผลดีที่สุด ค่ำวันนั้นพี่ติโทร.มาและเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ที่พี่ติร้องขอจะคุยกับฉัน แต่ฉันยังทำอย่างเดิมคือไม่ยอมรับสาย และบอกกับแม่ว่า “กุนไม่คุยค่ะแม่ มีอะไรให้เขาฝากกับแม่ไว้ได้เลย อ้อ กุนฝากแม่บอกด้วยนะคะว่า กุนไม่มีทางเปลี่ยนใจ”

หลังแม่วางสายจากพี่ติ แม่ไล่เด็กๆ เข้าห้องนอน ก็เดินปึงๆ ขึ้นมาหาฉันที่ห้อง “นี่แกจะบ้าหนักไปแล้วนะยายกุน จะโกรธจะงอนผัวแม่ไม่ว่า แต่นี่มันหนักข้อถึงขั้นท้าผัวหย่า มันถูกแล้วหรือ”

ฉันนิ่งไม่ตอบ แม่ยิ่งโกรธหนักขึ้น ตำหนิฉันเสียให้หลายกระบุงโกย ฉันนิ่งไม่เถียง แต่ในใจก็เกิดคำถามว่า ‘สรุปว่าแม่เป็นแม่ของฉันหรือแม่ของพี่ติกันแน่ ทำไมตั้งแต่เกิดเรื่องไม่เคยเข้าข้างฉันเลย’ ความคิดแบบพาลพาโลเช่นนั้นยิ่งทำให้ฉันเกิดมานะทิฐิว่าอย่างไรก็จะหย่าให้จงได้

“ยังไงกุนก็จะหย่าค่ะ” ฉันตอบแม่หน้านิ่งๆ

เป็นจังหวะเดียวกับที่พ่อเดินขึ้นมาสมทบ ฉันคิดว่าพ่อคงสังเกตสังกาและเก็บข้อมูลมาอย่างนี้แล้ว พ่อเดินมาจับที่แขนแม่แล้วพูดเสียงนิ่งๆ แบบของพ่อว่า “ชีวิตครอบครัวของลูก ให้ลูกมันตัดสินใจเองเถิดคุณ การตัดสินใจมันจะถูกต้องหรือผิดพลาดสุดท้ายแล้วลูกก็ต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่เรา เราสองคนก็แก่ขึ้นทุกๆ วัน จะอยู่อุ้มชูดูแลลูกมันไปได้สักเท่าไร” แม่ถอนหายใจอย่างท้อแท้ พ่อหันมาพูดกับฉันอีกว่า “การตัดสินใจให้เด็ดขาดก็ดีนะลูก สมแล้วที่เป็นลูกทหาร แต่พ่อจะบอกลูกไว้อย่างนะว่า ทหารอย่างพ่อก่อนจะตัดสินใจอะไร เราจะประมวลข้อมูลให้ดี พิจารณาถึงข้อดีข้อเสียที่จะได้รับหลังตัดสินใจไปแล้วว่าอย่างไหนมันคุ้มค่ากว่ากัน ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป เรื่องบ้างอย่างถ้าพลาดก็ตายเฉพาะตัว บางอย่างถ้าพลาดก็พาลูกน้องไปตายด้วย…” พ่อพูดกับฉันแค่นี้ก็เอ่ยปากชวนแม่เข้าห้องนอน ระหว่างที่พ่อหันหลังให้ฉันพ่อก็พูดกับแม่ แต่ความดังของเสียงนั้นมากพอที่ฉันจะได้ยินด้วยว่า “ยายกุนหย่ากับพ่อติก็ดีทั้งสองฝ่ายนะ ถ้าฝ่ายใดไปพบใครที่ดีกว่าถึงขั้นตกลงปลงใจจะร่วมชีวิต ก็จะได้จดทะเบียนตบแต่งให้ถูกต้อง… ”

คืนนั้นเป็นอีกคืนที่ฉันนอนไม่หลับ คำพูดของพ่อทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นได้ว่า ถ้าฉันหย่ากับพี่ติ ก็เท่ากับว่าฉันเปิดโอกาสให้พี่ติกับนังผู้หญิงคนนั้นได้เริ่มชีวิตใหม่กันโดยไม่มีอุปสรรค และฉันก็ต้องตกพุ่มหม้ายนอนเศร้าอยู่คนเดียว คิดได้แบบนั้นฉันก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะนอนกอดทะเบียนสมรสเอาไว้อย่างนี้ ฉันไม่มีทางส่งเสริมให้ทั้งสองคนสมหวังได้อย่างง่ายๆ และราบรื่นแน่นอน

เมื่อความคิดตกผลึกก็ดึกโข ฉันเริ่มง่วงจึงก้มลงกราบหมอนเตรียมนอน แล้วก็กราบเลยไปที่ห้องนอนของพ่อและแม่ ฉันกราบขอบพระคุณคำพูดของพ่อที่ทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นมาได้….

‘เกือบพลาดเตะหมูเข้าปากหมาไปแล้วฉัน’

 

เมื่อฉันเลิกพูดเรื่องหย่าร้าง พี่ติก็ไม่เอ่ยเรื่องนี้อีก สิ่งที่พี่ติยังทำอย่างสม่ำเสมอคือโทร.มาหาลูกสัปดาห์ละหน หากมีโอกาสได้เข้ากรุงเทพฯ ก็จะรับลูกๆ ไปเที่ยวเล่น บางครั้งก็พ่วงตาสืบธารไปด้วย ซึ่งฉันก็ไม่หวงห้ามให้ลูกๆ ไปพบพ่อ นอกจากเรื่องนี้ทุกเดือนพี่ติจะส่งค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับลูกๆ มาให้ฉัน ฉันยังจำได้ดีว่าพี่ติส่งค่าใช้จ่ายมาเป็นธนาณัติในนามของฉันทุกเดือน

วันหนึ่งนายขวดก็มาเยี่ยมฉันถึงบ้าน ฉันเดาว่านายขวดน่าจะรู้เรื่องความแตกร้าวของฉันและพี่ติมาบ้างแล้ว ชวนพูดคุยสารทุกข์สุขดิบ ก่อนจะวกเข้าเรื่อง

“กุน ฉันขอวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของเธอหน่อยแล้วกัน เธอจะโกรธฉันก็ยอม” นายขวดเริ่มเข้าเรื่องอย่างง่ายๆ

“เธอกำลังเข้าใจผิดอยู่นะ ผู้หญิงคนนั้นคือคามิลเลีย ลูกสาวของคุณลุงใหญ่ คนที่พี่ติเคยไปเคลียร์ปัญหาให้ลุงใหญ่เมื่อสมัยยังเรียนไง”

“ฝรั่งที่ไหน คนไทยชัดๆ” ฉันแย้ง

“ตั้งสติ คามิลเลียเป็นลูกเสี้ยวฝรั่ง พ่อเธอเป็นไทยแท้ ส่วนแม่ก็ลูกครึ่ง คามิลเลียจะหน้าเป็นไทยก็ไม่เห็นแปลก” นายขวดแก้ต่าง แต่ฉันนิ่งไม่ยอมตอบ

“นี่เธอจะให้ชีวิตครอบครัวเธอมันพังลงจริงๆ เพียงเพราะเรื่องงี่เง่าแบบนี้หรือกุน”

“ถ้าแม่คนนั้นคือน้องสาวของพี่ติจริง ก็ให้เธอมาแสดงตัวสิ…” ฉันมั่นใจว่าจำหน้าผู้หญิงคนนั้นได้ดี ไม่มีทางที่พี่ติจะหาคนมาสวมรอยแทนแน่นอน

“พี่ติก็คิดเหมือนเธอนี่ละ แต่ติดที่ว่าพี่ติยังติดต่อคามิลเลียไม่ได้ นี่ก็โทรข้ามทวีปไปหลายครั้งก็ไม่เจอตัว เขียนจดหมายไปก็ยังไม่ตอบกลับ…นี่พี่ติก็ไหว้วานพี่แน่งน้องที่ทำงานสถานทูตช่วยตามตัวให้อยู่”

“ไว้ตามตัวได้ฉันค่อยคุยเรื่องนี้กับพี่ติแล้วกัน” ฉันตัดบท

ต่อให้รักแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่อาจอดทนอยู่บนความคลุมเครือจนนำความทุกข์มาให้อย่างแม่ได้

ฉันถามถึงเครือแก้วและศศิเพื่อเจตนาเปลี่ยนเรื่อง นายขวดถอนหายใจยาวๆ อย่างอ่อนใจก่อนตอบว่าศศิติดตามสามีที่เป็นข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ ไปประจำที่สถานทูตแห่งหนึ่งในต่างประเทศ ส่วนเครือแก้วนั้นงานยุ่งมากจนปลีกตัวไม่ได้

“แต่เธอไม่ต้องเศร้าไปนะยายกุน กลางเดือนหน้ายายศศิจะกลับมาไทยชั่วคราว ส่วนยายเครือแก้วก็จะว่างพอดี ฉันวางแผนไปแล้วว่าพวกเราจะมารวมตัวรำลึกความหลังกัน” นายขวดพูดขึ้น

ฉันน้ำตาซึมเพราะคิดถึงชีวิตวัยเรียนที่มีแต่สุขท่ามกลางเพื่อนๆ คำว่าทุกข์ในวัยนั้นก็เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เช่น เรื่องคะแนนสอบย่อยที่ได้คะแนนไม่สู้ดีนักเท่านั้น ฉันรู้สึกขอบคุณนายขวดที่อุตส่าห์แวะเวียนมาเยี่ยมทำให้ชีวิตฉันไม่ว่างเปล่าจนเกินไป

แม้นายขวดจะเป็นคนช่างพูด บางครั้งก็แอบเหน็บแนมให้เพื่อนๆ รู้สึกแสบๆ คันๆ บ้าง แต่นายขวดเป็นคนสังเกตคนเก่ง หากเพื่อนกำลังทุกข์นายขวดจะไม่มีวันพูดย้ำหัวตะปูความทุกข์โศกของเพื่อนเด็ดขาด ยกเว้นคราวนี้ที่นายขวดออกโรงช่วยไกล่เกลี่ย นายขวดคงพยายามหาทางออกให้เพื่อนตามแบบของนายขวดเสมอ

“นี่วันๆ นอกจากจะไปรับไปส่งลูกแล้วเธอทำอะไรอีกยายกุน” นายขวดถามฉัน

ฉันส่ายหน้า เพราะฉันไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ กลับจากส่งลูกก็ทำงานบ้านก๊อกๆ แก็กๆ แล้วก็ว่างไปทั้งวันจนถึงเวลาไปรับลูก

“นั่นไง เลยฟุ้งซ่าน นี่เธอรู้ไหมยายกุน เธอดูเหมือนคนที่แก่กว่าฉันตั้งห้าถึงหกปี นี่เธอไม่ดูแลตัวเองเลยหรือ หน้าก็มันเยิ้ม ผิวก็แห้งขนาดนี้ นี่สงสัยคงทาครีมบำรุงผิวครั้งล่าสุดเมื่อตอนรับปริญญาใช่ไหม”

ฉันตีแขนนายขวดไปผัวะหนึ่ง แต่ก็ยอมรับความจริงตามที่นายขวดพูดมา

นายขวดเห็นฉันสำรวจร่างกายตัวเองก็พูดต่อว่า “เธอมัวแต่หมกหมุ่นแต่เรื่องเดิมๆ ชีวิตมันจะไปถึงไหน นี่เธออายุเพิ่งจะสามสิบต้นๆ เองนะ ทำไมปล่อยชีวิตให้แห้งแล้งแบบนี้ นี่ยายกุนเธอคิดถึงลูกๆ บ้างไหม เด็กยิ่งโต ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งเพิ่ม เธอคิดว่าเงินที่เธอมีจะพอเลี้ยงลูกให้ดีพอตามที่เธอต้องการหรือ”

ฉันนิ่งคิด นายขวดเห็นฉันไม่โต้เถียงจึงพูดต่อ “ยายกุน เธอจบปริญญานะ ทำไมไม่คิดที่จะหางานทำ อย่างน้อยเธอจะได้ไม่ต้องจมแต่เรื่องเดิมๆ เธอเชื่อฉันไหม เมื่อเธอได้ทำงานเธอจะภูมิใจที่เธอสามารถหาเลี้ยงตัวเองและลูกได้ เธอจะกระตือรือร้นมากกว่านี้ ไม่ใช้ชีวิตซังตายไปแบบนี้”

น้ำตาฉันไหลเผาะๆ นายขวดพูดตรงใจฉัน ตั้งแต่ฉันรู้ว่าพี่ตินอกใจมีคนอื่น ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่ามีชีวิตซังตายไปวันๆ หากไม่มีลูก ฉันก็ไม่รู้ว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้อย่างไร “ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงนายขวด” ฉันสารภาพตรงๆ

นายขวดส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ฉัน ในนั้นเป็นที่อยู่ติดต่อบริษัทแห่งหนึ่ง “เอ้านี่ บริษัทเพิ่งเปิดใหม่ ยายเครือแก้วฝากมาให้ เขากำลังต้องการพนักงานฝ่ายบัญชี ฉันสืบดูแล้วน่าจะมั่นคงพอสมควร เธอรีบเขียนจดหมายพร้อมเรซูเมส่งไปด่วนๆ เลย ตามที่อยู่นี้นะ” นายขวดเจ้ากี้เจ้าการสั่งฉัน

“เขาจะรับฉันหรือ ตั้งแต่เรียนจบมาฉันก็ไม่ทำงานเลยตั้งหกถึงเจ็ดปี” ฉันถามอย่างไม่มั่นใจ

“รับไม่รับฉันไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ถ้าเธอไม่ส่งจดหมายสมัครงานเข้าก็ไม่รับเธอแน่นอน อย่าปิดโอกาสตัวเองยายกุน ส่งไปเขาไม่รับก็ส่งที่อื่น เดี๋ยวฉันกับยายเครือแก้วจะช่วยเธออีกแรง”

แรงผลักดันของนวยขวดทำให้ฉันลุกขึ้นมารื้อเครื่องพิมพ์ดีดที่ไม่ได้ใช้มานาน พิมพ์จดหมายสมัครงานพร้อมเรซูเมและสำเนาหลักฐานที่จำเป็นต่อการพิจารณา แล้วกลั้นใจส่งไปยังปลายทางคือบริษัทที่เครือแก้วฝากนายขวดมาให้ฉัน

จากนั้นอีกสองสัปดาห์ถัดมา บริษัทที่ฉันส่งใบสมัครไปเรียกฉันเข้าสัมภาษณ์ และอีกสัปดาห์ถัดมาฉันได้เริ่มงานแรกในชีวิตคือ พนักงานในแผนกบัญชีของบริษัทแห่งนี้

 

 



Don`t copy text!