ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 11 : จะกอบกู้มันได้อย่างไร (1)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 11 : จะกอบกู้มันได้อย่างไร (1)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

“ผมกำลังกังวลว่าคุณกุนตีอาจมีอาการของโรคไตวายเฉียบพลัน เราต้องรีบหาสาเหตุของการที่ค่าการทำงานของไตลดลงอย่างรวดเร็วก่อน หากพบสาเหตุได้เร็วก็จะสามารถรักษาได้เร็วขึ้น…ฉะนั้นขอความร่วมมือตอบคำถามนะครับ”

“ได้ค่ะ” ศาตนันท์ตอบรับ

“หมอเห็นรายการอาหารทั้งมื้อหลักและอาหารว่างแล้ว คุณสามารถควบคุมได้ดีและได้ประโยชน์ทางโภชนาการครบถ้วนสำหรับผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงและเบาหวาน แต่คุณมั่นใจไหมครับว่าคุณกุนตีรับประทานอาหารตามนี้จริงๆ ไม่มีอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมา”

“ค่อนข้างมั่นใจค่ะ เพราะนันท์เป็นคนจ่ายอาหารสดเข้ามาในบ้านเอง และพยายามตรวจตู้เย็นว่าไม่มีอาหารอย่างอื่นที่นอกเหนือไปจากที่ควบคุมไหม”

“ขออภัยค่ะ” เสียงของหญิงสาวที่น่าจะเป็นพยาบาลขัดขึ้น “…คุณนันท์มั่นใจไหมคะว่าระหว่างวันที่คุณนันท์ไปทำงาน คุณกุนตีจะไม่ได้สั่งอาหารจากข้างนอกเข้ามารับประทานเอง”

“นันท์ก็ไม่แน่ใจค่ะ” ยายนันท์ตอบเสียงเจื่อน

“ถ้าอย่างนั้นทางเราคงต้องซักประวัติจากคนไข้อีกทีเมื่อฟื้น”

“แล้วความดันล่ะครับ ควบคุมให้เป็นปกติได้ดีไหมครับ”

“นันท์ตรวจให้ทุกเช้าเลยค่ะ ความดันเป็นปกติดีมาตลอด เพียงแต่ว่าเดือนที่ผ่านมานันท์งานยุ่งมาก จึงมอบหมายให้น้าธารีช่วยดูแลแทน ทุกก็รายงานว่าความดันปกติดีค่ะ”

“คุณกุนตีทานอาหารเสริมอะไรบ้างไหมครับ ผมหมายถึงผลิตภัณฑ์ชงดื่มเสริมหรือทดแทนอาหารสำหรับผู้ป่วยที่รับประทานอาหารไม่ค่อยได้”

“ไม่มีค่ะ แม่กินอาหารได้ตามปกติ นันท์เลยไม่คิดจะให้แม่ทานอาหารเสริมพวกนั้น”

“อืม…อันนี้ค่อนข้างสำคัญนะครับ ก่อนหน้านี้คุณกุนตีรับประทานสมุนไพรบ้างไหมครับ หมอหมายรวมหมดทั้งที่เรียกว่ายาและอาหารเสริมเพื่อสุขภาพชนิดเม็ด ที่นอกเหนือไปจากที่หมอสั่งและเภสัชกรแนะนำ”

“นันท์ว่าไม่มีนะคะ” เสียงยายนันท์ตอบอย่างไม่มั่นใจ

“เอาอย่างนี้ดีกว่าค่ะ…” เสียงพยาบาลคนเดิมพูดขึ้น “…พรุ่งนี้รบกวนให้ญาตินำถุงยาของผู้ป่วยมาให้ทางเภสัชกรของเราพิจารณาอีกทีว่ายาที่ให้ไปมีผลอะไรหรือไม่ แต่ยังไงก็ขอความร่วมมือญาติช่วยค้นดูในบ้านอย่างละเอียดว่าคนไข้แอบรับประทานอาหารเสริมหรือสมุนไพรตัวไหนบางหรือเปล่า ขออนุญาตเรียนตรงๆ จากประสบการณ์ ดิฉันพบมาเยอะกับเคสที่คนไข้แอบไปซื้อสมุนไพรมารับประทานเอง”

“ได้ค่ะนันท์จะตรวจดูในบ้านอย่างละเอียดอีกครั้ง…”

ประโยคที่ว่า ‘จะกลับไปตรวจบ้านอย่างละเอียดอีกครั้ง’ ที่ลูกตอบทำให้ขนที่สันหลังของฉันลุกกรูเกรียว พรุ่งนี้ถ้าลูกตรวจดูบ้านอย่างละเอียดจนไปถึงตู้เก็บของในห้องพักของธารี ยายนันท์ก็คงจะได้เห็นบรรดาอาหารเสริมแบบเม็ดและยาสมุนไพรที่กองอยู่เต็มตู้ ฉันแทบไม่อยากจะคิดว่าลูกจะโกรธแค่ไหน แต่คงจะเป็นความอ่อนล้าจากทั้งโรคทางกายและความกังวลในใจ กอปรกับยาที่ได้รับทางสายน้ำเกลือ ทำให้ฉันหลับลงไปอีกครั้ง

ผ่านไปสักครึ่งคืนได้ ฉันรู้สึกตัวแต่ไม่เต็มที่นัก ฉันกวาดสายตาไปรอบตัวทำให้พอจำได้ว่า นี่คือห้องนอนของธารี ตาของฉันกำลังจับจ้องไปที่ตู้แขวนสำหรับเก็บข้าวของจุกจิกหลังนั้น ตู้ที่เก็บความลับของฉันที่ไม่อยากให้ลูกๆ ล่วงรู้ โดยเฉพาะยายนันท์ สมองฉันพุ่งปรู๊ด

‘ต้องเก็บของในตู้ก่อนที่ยายนันท์จะมาค้นเจอ’ ไวเท่าความคิด ฉันหยิบเก้าอี้มาต่อเพื่อที่พอจะขึ้นไปขนสิ่งของเหล่านั้นลงมา

‘ลูกห้ามเธอปีนที่สูงไม่ใช่หรือกุนตี จำได้ไหมคราวก่อนที่พลัดตกลงมาจนแขนขาหัก’ เสียงหนึ่งดังขึ้นเพื่อปรามฉัน

‘ถ้าไม่ปีนแล้วจะให้ฉันหยิบของในตู้ได้ยังไงกัน ไม่เอาละ ตกลงมาแขนหักอีกรอบยังดีเสียกว่ายายนันท์มาค้นเจอ’ ฉันจำได้ว่าตอบไปอย่างนั้น แล้วก็รีบปีนเก้าอี้ขึ้นไปหยิบขวดต่างๆ ประดามีโยนลงมา จนถึงขวดสุดท้าย…พลันก็มีเสียงประตูเปิดเข้ามา

‘แม่ทำอะไรคะ…ในมือแม่นั่นมันคืออะไร แม่แอบกินยาสมุนไพรใช่ไหม แม่กำลังทำลายหลักฐานใช่ไหม…’

คุณพระช่วย ยิ่งพูดหัวยายนันท์ก็ยิ่งโตขึ้น แดงขึ้นหมือนลูกโป่งสีแดงที่กำลังอัดลม เพียงไม่นานหัวของลูกก็ใหญ่คับห้องจนเบียดฉันไปติดฝาผนังห้อง ฉันทั้งตกใจทั้งกลัวจนต้องหลับตาปี๋ ปากก็ได้แต่ร่ำๆ ว่า “โอ๊ยนันท์แม่กลัวแล้ว พอแล้ว แม่ไม่กินอีกแล้ว อย่าโกรธแม่อีกเลย โอ๊ยแม่หายใจไม่ออก พอแล้ว…”

ฉันรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก คิดว่าหัวของยายนันท์จะต้องใหญ่คับห้องจนเบียดฉันไปอัดกับฝาผนังจนตับแตกตายไปแน่นอนแล้ว…ถ้าไม่มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน

“กุน…กุน…เป็นอะไรไป เอาหมอนไปอุดหน้าตัวเองทำไม ตื่นก่อน ตื่น…”

เสียงพี่ติ “พี่ติช่วยกุนด้วย…” ฉันจำได้ว่าฉันร้องขอความช่วยเหลือออกไป เพียงครู่ฉันก็เริ่มหายใจได้โล่งขึ้น ฉันอยากลืมตาขึ้นแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ฉันได้ยินเพียงเสียงแว่วๆ จางๆ ว่า

“น่าจะฝันร้ายครับคุณพยาบาล ผมได้ยินเธอเพ้ออะไรไม่ปะติดปะต่อนัก”

“น่าจะเพราะความเครียดที่สะสมค่ะ เลยทำให้หลับไม่สนิทนัก คุณหมอสั่งยาไว้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะให้ทางสายน้ำเกลือ สักครู่ก็น่าจะหลับได้สนิทดีขึ้นค่ะ…”

มีเสียงเบาๆ เพียงครู่ เมื่อทุกอย่างเงียบลง ฉันก็สัมผัสได้ถึงอุ้งมือที่หนาแต่อบอุ่นอย่างคุ้นเคยกุมมือฉันอย่างถนอม มันนานหนักหนาแล้วที่ฉันไม่ได้สัมผัสที่อบอุ่นและปลอดภัยเช่นนี้ ฉันหายใจราบรื่นเป็นจังหวะสม่ำเสมอขึ้นด้วยความรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัย…

ฉันตื่นขึ้นมาในช่วงสายของอีกวัน น่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่เข้ามากับน้ำเกลือทำให้ฉันหลับได้เต็มอิ่มขึ้นในคืนที่ผ่านมา แต่ฉันยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงทั้งหลายที่ประดังเข้ามา จึงแกล้งหลับตานิ่งๆ อยู่เช่นนั้น

เสียงเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยดังขึ้น เสียงฝีเท้าคนย่างเข้ามา ก่อนมีเสียงทักทายว่า “เมื่อคืนได้พักบ้างไหมคะพ่อ”

“ได้นอนบ้าง กลางดึกแม่ของเราเขาละเมอโวยวายขึ้น แต่พอได้ยาไปก็หลับสนิทจนตอนนี้ยังไม่ตื่นเลย…อ้าว กฤตย์ก็มาด้วยหรือ มานั่งก่อน”

“วันนี้ผมลงเวรครับ เลยถือโอกาสมาเยี่ยมคุณน้าพร้อมกับนันท์” เสียงกฤตย์ตอบ

“กฤตย์ไม่พักเสียหน่อยล่ะ งานก็ยุ่งพอตัวไม่ใช่หรือ” พี่ติถาม

“ช่วงนี้ผมไม่ต้องควบเวรครับ ได้พักพอแล้ว”

“อืม ขอบใจนะกฤตย์ พ่อขอบใจทั้งที่มีน้ำใจมาเยี่ยมแม่ของยายนันท์ และขอบใจที่เป็นธุระสืบความเรื่องนายสืบธารกับแม่ของเขา…ว่าแต่นั่น นันท์หอบถึงอะไรมาตั้งเยอะแยะลูก”

“พ่อดูเองแล้วกันค่ะ นันท์ไปเจอที่ตู้แขวนในห้องน้าธารี” เสียงยายนันท์ดูฉุนเฉียว ตายแล้วแน่ฉันคราวนี้ ยายนันท์ไปเจอสารพัดอาหารเสริมและยาสมุนไพรเข้าให้แล้ว

“สารพัดจะสั่งมากิน แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ไตพังได้ยังไง รอให้แม่ตื่นก่อนเถิดค่ะ นันท์จะซักฟอกให้ขาวทีเดียว อยากรู้นักว่ากินอะไรไปเท่าไร แล้วก็สั่งมาได้ยังไง…” ยิ่งฟังเสียงมาดหมายของยายนันท์ฉันยิ่งไม่อยากตื่นลืมตามาเลยจริงๆ

เสียงพี่ติรื้อของให้ถุงขึ้นมาดู พร้อมอ่านฉลากข้างขวดไปช้าๆ “อืม…ถ้าแม่ของเรากินครบทุกขวดนี่พ่อว่าก็น่าเป็นห่วงมากนะ…”

‘บางขวดก็ไม่ใช่ของกุนค่ะพี่ติ เป็นของธารีเขา…’ ฉันร้องตอบในใจ

“ก็นั่นยังไงคะพ่อ นันท์ถึงรอให้แม่ตื่นแล้วจะได้ถามว่าแม่กินอะไรไปบ้างมาก น้อยแค่ไหน…แล้วนี่แม่ตื่นหรือยังคะ…” สิ้นคำถาม เสียงม่านกั้นระหว่างเตียงผู้ป่วยกับที่พักญาติก็เปิดออก ฉันรีบหลับตาปี๋แสร้งทำเป็นยังไม่ได้สติ

“นันท์ อย่าเพิ่งไปกวนแม่เขาเลย…นันท์มาก็ดีแล้ว พ่อมีเรื่องอยากจะคุยกับนันท์ก่อนที่แม่จะตื่น”

“เรื่องอะไรคะพ่อ”

“เมื่อคืนแม่ของเราละเมอหนักเลยละนันท์ ตอนพ่อไปเห็นก็เอาหมอนอุดหน้าอุดตา ปากก็เพ้อว่า นันท์อย่าโกรธ อย่าดุ แม่กลัวแล้ว พอแล้ว…จนยาออกฤทธิ์ถึงจะสงบลงได้…”

เสียงเงียบลงชั่วครู่ ก่อนเสียงยายนันท์จะดังขึ้นอย่างตกใจว่า “นี่พ่อคงไม่คิดว่านันท์ใช้กำลังกับแม่ใช่ไหมคะ”

“หือ…เหลวไหล พ่อจะคิดอย่างนั้นได้ยังไงกัน ในเมื่อบ้านเราไม่เคยเลี้ยงลูกด้วยความรุนแรง แล้วเราจะไปซึมซับความรุนแรงมาได้ยังไงกัน…”

“แล้วทำไมแม่ละเมออย่างนั้นได้ล่ะคะ”

“คงกลัวเรานั่นละนันท์”

“จะมากลัวนันท์ทำไมกันคะ แม่เป็นแม่ ส่วนนันท์เป็นลูก มีอย่างที่ไหนที่แม่จะมากลัวลูก”

ฉันแอบหรี่ตามอง โชคดีนะที่ก่อนนันท์จะเปิดผ้าม่านฉันก็นอนในท่าตะแคงเข้าหาฝั่งที่พักของญาติที่มาเฝ้าไข้อยู่แล้ว จึงพอเห็นภาพเหตุการณ์ พี่ติลุกขึ้นมาโอบบ่ายายนันท์ให้นั่งลง ก่อนจะพูดว่า

“ปกตินันท์ดุแม่บ้างไหมลูก”

ยายนันท์นั่งนิ่งเหมือนใช้ความคิด ก่อนจะตอบว่า “พ่อก็รู้ว่านันท์งานยุ่ง กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำ บางคราวก็ดึก นันท์กลับบ้านมาบางครั้งก็เครียดกับงาน กลับมาถึงบ้านเห็นแม่ทำอะไรเหลวไหลนันท์ก็บ่นไปบ้างค่ะพ่อ”

“ไม่บ้างละมั้งพ่อว่า กลัวจนเก็บเอาไปฝันขนาดนี้” พี่ติไล่เลียงลูก

“อะไรนิดๆ หน่อยๆ นันท์ก็ทำเป็นมองข้ามไปค่ะ แต่เรื่องไหนที่มันร้ายแรงจริงๆ นันท์ก็ต้องดุบ้าง…แล้วพ่อจะไม่ให้นันท์ดุได้ยังไงกันคะ อะไรที่นันท์ห้ามแม่ก็ทำทุกอย่าง ห้ามปีนที่สูงก็ดื้อคิดว่าตัวเองแข็งแรงเหมือนเมื่อยังสาวที่เคยปีนเก้าอี้เปลี่ยนหลอดไฟเองได้ สุดท้ายมืดหน้าตกเก้าอี้ลงมาแขนขาหัก ต้องนอนรักษาตัวอยู่เป็นนานก็ไม่เข็ด รู้ว่าตัวเองป่วยเบาหวานนันท์สั่งห้ามกินขนมให้กินผลไม้แทน พ่อรู้ไหมคะแม่ทำยังไง แม่สั่งทุเรียนมากินคนเดียวเป็นกิโล เนื้อล้วนๆ นะคะ ไม่รวมเปลือกรวมพู พอนันท์รู้เรื่องแม่ก็เถียงข้างๆ คูๆ ว่านันท์อนุญาตให้กินผลไม้ได้ เท่านี้ยังไม่พอไปได้สูตรเครื่องดื่มจากที่เข้าแชร์กันในสังคมออนไลน์ บอกว่าช่วยลดน้ำตาลและรักษาโรคเบาหวานให้หายขาดได้ นันท์เตือนว่าไม่น่าเชื่อถือก็ไม่ฟัง อยากเอาชนะนันท์ก็แอบทำกินกันเองกับน้าธารี สุดท้ายเป็นยังไงคะ ทั้งน้ำตาลทั้งความดันพุ่งกระฉูด นี่ไม่รวมที่นันท์จะเคลียร์บ้านที่มีข้าวของรกไปหมดให้โล่งๆ อะไรไม่ใช้ก็ทิ้งหรือขายเป็นของเก่าไป ก็ไม่ยอมท่าเดียว พ่อรู้ไหมนันท์จะเอาชุดจานชามกระเบื้องที่เก่าเก็บจนแตกลายงารุ่นพระเจ้าเหาไปทิ้ง ก็ทะเลาะกันบ้านแทบแตก นันท์ก็ไม่รู้จะเก็บให้มันรกบ้านทำไม พ่อไม่รู้หรอกคะว่าวันๆ นันท์ต้องรบรากับแม่มากแค่ไหน…พูดแล้วหัวจะปวดค่ะ”

พี่ติฟังลูกโดยขัดคอแม้แต่น้อย รอจนนันท์ระบายจนหมดหัวใจแล้ว พี่ติก็ดึงลูกไปกอดอย่างที่เคยทำเหมือนเมื่อลูกเป็นเด็ก แล้วพูดว่า “ลูกของพ่อเก่งมาก พ่อรู้นะว่านันท์ต้องเหนื่อยแค่ไหน ทั้งต้องทำงานทั้งต้องดูแลแม่และบ้าน… ”

ยายนันท์น้ำตาไหลจนต้องยกมือมาเช็ดน้ำตาป้อยๆ ก่อนเริ่มตัดพ้อต่อไปว่า“นันท์ก็ไม่รู้ค่ะ ว่าแม่คนที่ทำงานเก่งจนเป็นที่ยอมรับของทุกคน เรื่องบ้านเรื่องลูกแม่ก็จัดการได้ดีจนไม่มีปัญหา เวลามีเรื่องเดือดร้อนอะไรเข้ามาแม่ก็แก้ไขจนผ่านพ้นไปได้ แม่ที่ไม่ตีโพยตีพาย ไม่คิดแต่จะเอาชนะจนทำตัวเองเดือดร้อน มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง อ่านขาดในทุกเรื่อง แม่คนนั้นของนันท์หายไปไหนคะพ่อ…”

ยายนันท์เริ่มร้องไห้จนสะอื้น หนักเข้าก็เอาหน้าซุกไปที่อกของพ่อราวกับลูกนกที่ซุกไซ้หาความอบอุ่นจากพ่อนกแม่นกในคืนที่ฝนตกจนรังของพวกมันเปียกชุ่มและหนาวเหน็บ พี่ติปล่อยให้ลูกร้องอย่างเต็มที่ รอให้ลูกอารมณ์คลายลงแล้วจึงพูดว่า

“นันท์เคยได้ยินที่เขาพูดกันไหมว่า คนยิ่งแก่ยิ่งกลับไปเป็นเด็ก”

ศาตนันท์ส่ายหน้า

“…คนที่มีอายุมากขึ้น ร่างกายที่แข็งแรงก็ถดถอยลงเหมือนเด็กที่ต้องมีผู้ใหญ่ประคบประหงมดูแล ส่วนความคิดอ่านที่เคยเฉียบคมก็อ่อนบางลงเหมือนเด็กน้อยลงไปทุกที…มีอย่างเดียวเท่านั้นละที่มีแต่กล้าแข็งขึ้นทุกวัน…” พี่ติหยุดเว้นจังหวะ ยายนันท์จึงถามขึ้น

“คืออะไรคะ”

“ทิฐิมานะและความถือดี…ไม่ว่าอะไรจะถดถอยและเบาบางลง แต่สิ่งนี้จะไม่หายไปเลย…”

นันท์ทำหน้าครุ่นคิด ก่อนพูดว่า “ก็คือเด็กดื้อในร่างผู้สูงวัยดีๆ นี่เองใช่ไหมคะพ่อ แต่มันต่างที่ว่าเด็กดื้อเราสอนเราดุ ถ้าหนักเข้าก็ทำโทษได้ แต่ผู้ใหญ่ที่กลายเป็นเด็กเราทำโทษไม่ได้…”

พี่ติยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ดูแลคนแก่ ก็เหมือนดูแลเด็กนั้นละลูก ต้องใช้ทั้งความรัก ความเข้าใจ และความอดทน ต่างกันแค่ว่าการเลี้ยงเด็กยิ่งนานวัน เขาจะยิ่งรู้และรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น ภาระของคนเลี้ยงดูแลก็จะค่อยๆ ปลดเปลื้องและเปลี่ยนแปลงไปละน้อยตามการเติบโต เช่น ตอนยังเล็กก็ห่วงเรื่องสวัสดิภาพและความปลอดภัยทั้งร่างกายและจิตใจ จำได้ไหมที่แม่ของเราคอยห้ามไม่ให้เรากับพี่ชายเราปีนต้นไม้เล่น หรือห้ามทำอะไรแผลงๆ เพราะกลัวจะได้รับอันตราย โตขึ้นมาเข้าโรงเรียนก็ต้องคอยระวังเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ในโรงเรียน ต้องค่อยสอดส่องเรื่องการเรียน โตเป็นวัยรุ่นก็ต้องระวังเรื่องความห่ามความคะนอง ต่อให้ตอนนี้ก็เถอะ พ่อแม่ก็ยังห่วงอยู่ดี เพียงแต่ว่ากำลังวังชาและความสามารถของพวกเราไม่ได้มากพอจะปกป้องดูแลได้เหมือนก่อนแล้ว…อีกทั้งลูกก็โตมากแล้วจึงต้องยอมปล่อยให้จัดการชีวิตของตัวเอง ต่างกับคนแก่ที่นับวันจะต้องยิ่งอาศัยความรัก ความเข้าใจและความอดทนของคนดูแลมากขึ้น ธรรมชาติก็แปลกนะนันท์ ยิ่งอายุมาก ยิ่งถอยหลังไปเป็นเด็ก พ่อจำได้ว่าคุณยายของพ่อตอนที่ท่านชราภาพจนเลอะเลือนก็ไม่ต่างอะไรกับเด็ก ทั้งงอแงไม่รู้เหตุผล จะกินจะขับถ่ายล้วนเหมือนเด็กเล็กที่จัดการเองไม่ได้ ต้องมีคนดูแล และจะเป็นเช่นนี้จนท่านจากโลกนี้ไป อย่างนี้ไงพ่อถึงได้บอกว่าดูแลคนแก่ยากกว่าดูแลเด็กหลายเท่า…”

ยายนันท์น่าจะคิดตามที่พี่ติพูด ก่อนจะถามว่า “ตอนที่คุณทวดท่านชราจนหลงจนเลอะเลือน ใครดูแลท่านคะพ่อ”

 



Don`t copy text!