ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 11 : จะกอบกู้มันได้อย่างไร (2)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 11 : จะกอบกู้มันได้อย่างไร (2)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

“ก็ย่าของนันท์ไงล่ะ พ่อยังเคยตามย่าของนันท์ขึ้นไปดูแลคุณทวดในวันหยุดด้วย ตอนนั้นคุณทวดท่านหลงมากแล้ว วันไหนดีก็พูดจาอ่อนหวานเหมือนยามปกติที่ท่านเคยเป็น วันไหนท่านอารมณ์ไม่ดีซึ่งก็ไม่ทราบสาเหตุว่าเพราะอะไร ท่านก็หยิกตีคุณย่าของนันท์เสียจนเขียวเป็นจ้ำๆ บางวันกว่าจะป้อนข้าวหมด ก็เสียเวลาเป็นชั่วโมง เพราะคุณทวดท่านก็อมข้าวไม่ยอมเคี้ยวไม่ยอมกลืนดื้อๆ เสียอย่างนั้น”

“ฟังเรื่องคุณทวดแล้ว แม่ของนันท์เบากว่าเยอะเลยค่ะ…แล้วคุณย่าไม่โกรธไม่โมโหบ้างหรือคะเวลาคุณทวดท่านดื้อและงอแงแบบนั้น”

“พ่อก็ไม่แน่ใจ แต่พ่อเคยถามย่าของนันท์ว่า ทำไมอดทนดูแลคุณทวดได้ขนาดนั้น อย่าว่าแต่ทุบตีเลย จะพูดจาดุหรือว่ากล่าวให้เสียใจ คุณย่าของนันท์ก็ไม่เคยทำกับคุณทวด คุณย่านันท์บอกพ่อว่า ‘คำว่ากตัญญูมันค้ำคอท่านก็คงไม่ถูก เพราะท่านรักแม่ของท่าน’ คุณย่าท่านว่าเมื่อก่อนไม่เข้าใจหรอกว่าความรักของแม่ที่มีต่อลูกมันมากมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน จนคุณย่ามีพ่อท่านจึงยิ่งเข้าใจ ตั้งแต่วันนั้นคุณย่าบอกว่าท่านรักคุณทวดซึ่งเป็นแม่ของท่านอีกเป็นร้อยเท่าพันเท่า ท่านอยากตอบแทนความรักของคุณทวดให้ได้เท่าเทียมกับที่ท่านได้รับ…แล้วนันท์ล่ะลูก…รักแม่ของนันท์มากแค่ไหน ความรักของนันท์มากพอที่จะเข้าใจความร่วงโรยของวัยที่แม่ไม่อาจยื้อมันไว้ให้เหมือนเดิมได้ไหม ความรักของนันท์มากพอที่จะให้อภัยความพลาดพลั้งของแม่ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจได้ไหม”

ศาตนันท์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะร้องไห้โฮออกมาอีกครั้งอย่างไม่รู้จักอาย แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้นว่า “นันท์รักแม่ค่ะ นันท์รักทั้งพ่อและแม่ ความรักของนันท์มากพอที่จะให้อภัยในทุกความผิดพลาดตามวัยของแม่ เพียงแต่นันท์ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ถึงทำหรือเป็นแบบนั้น…นันท์ไม่ได้หมายถึงความร่วงโรยของร่างกายนะคะ แต่นันท์ไม่เข้าใจวิธีคิดของแม่เลยค่ะ ว่าทำไมแม่ถึงเลือกทางที่นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวแม่เองแล้ว บ้างครั้งยังทำให้แม่เป็นอันตรายอีกด้วย”

“อย่างเรื่องไหนล่ะนันท์ ลองบอกพ่อมาหน่อย”

“เอาง่ายๆ เลยค่ะ เรื่องปีนขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟเอง รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นความดัน การก้มๆ เงยๆ มันจะทำให้มืดหน้า สุดท้ายก็ตกลงมาเจ็บตัวแบบนั้น”

พี่ติหัวเราะลงลูกคอก่อนจะถามลูกในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยกับสิ่งที่ลูกพูด พี่ติจับแขนของลูกพลิกดูท้องแขนเห็นรอยแผลเป็นแนวยาว

“รอยเตารีดค่ะ” นันท์บอกโดยที่พี่ติยังไม่ได้ถาม

“พ่อจำได้ ตอนนั้นนันท์ประมาณประถมหนึ่งประถมสองได้มั้ง เรื่องตอนนั้นเป็นยังไงนันท์ยังจำได้ไหม”

“ตอนนั้นนึกสนุกค่ะ เห็นแม่ใช้กระบอกฉีดน้ำพรมเสื้อแล้วเอาเตารีดรีดเสียงดังฉ่าๆ น่าสนุกดีคะ อีกใจก็คิดว่าถ้านันท์รีดผ้าได้เอง ก็จะช่วยลดภาระของแม่ลงไปบ้าง จึงอยากจะลองรีดผ้าดู”

“เคยขอแม่ไหมตอนนั้น” พี่ติซักต่อ

“ขอค่ะ แต่แม่บอกว่านันท์ยังเล็กอยู่มาก เตารีดทั้งหนักทั้งร้อน นันท์ยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบหน้าที่รีดผ้าค่ะ”

“แล้วนันท์เชื่อแม่ไหม”

“ไม่หรอกค่ะ ในใจเถียงแทบตาย เตารีดก็อันเท่านั้น แล้วก็ไม่เห็นมีไฟลุกอย่างเตาไฟในครัว มันจะหนักจะร้อนเท่าไรกัน นันท์อยากพิสูจน์ให้แม่เห็นว่านันท์สามารถทำได้…แต่ความจริงก็มีอารมณ์อยากลองเล่นดูสนุกๆ ผสมอยู่ด้วยละค่ะพ่อ นันท์ฉวยโอกาสที่แม่รอเตารีดเย็นก่อนจะม้วนสายเก็บเข้าที่ รีบเอาเสื้อตัวเก่งที่แม่ยังไม่รีดมาลองรีด แต่พ่อขามันยากจริงๆ นะคะ กว่าจะจับจะจัดทรงเสื้อให้เรียบ กว่าจะยกเตารีดที่แสนหนักจริงๆ อย่างที่แม่ว่ามานาบมาถูกับเสื้อ ก็งกเงิ่นเสียเต็มประดา สุดท้ายเพราะไม่ระวังแขนก็ไปปัดกับขอบเตารีด จนได้แผลเป็นอย่างนี้นี่ละค่ะ ส่วนเสื้อไม่ต้องพูดถึงพอนันท์เจ็บนันท์ก็ทิ้งทุกอย่าง เสื้อตัวเก่งก็เลยกลายเป็นเสื้อตัวเก่าเพราะมีร้อนไหม้จางๆ ของเตารีดอยู่”

“แล้วนันท์ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นไหมลูก พ่อไหมถึงตั้งใจให้ตัวเองเจ็บตัว ตั้งใจให้ของเสียหาย”

“ไม่เลยค่ะพ่อ นันท์ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น นันท์อาจจะอยากลองทำ อยากสนุก อยากดื้อ หรืออยากจะพิสูจน์ให้แม่เห็นว่านันท์ทำได้ แต่ไม่มีทางอยากให้ตัวเองเจ็บตัว หรือทำลายข้าวของเด็ดขาด”

“นันท์คงไม่รู้ว่าแม่เองก็มีอารมณ์เช่นเดียวกับนันท์ในตอนนั้น แม่อยากแบ่งเบาภาระนันท์ แม่รู้ว่านันท์ทำงานมาเหนื่อยแล้ว หากกลับมาต้องมาเปลี่ยนหลอดไฟให้อีก แม่ก็คงเกรงใจ แม่คงอยากให้นันท์พักผ่อนจากการตรากตรำทำงานมาทั้งวัน ดังนั้นอะไรที่แม่เขาคิดว่าตัวเองพอทำได้หรือเคยทำได้ ก็จัดการด้วยตัวเอง แม่เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เคยทำได้มาก่อน ตอนนี้จะทำไม่ได้แล้วด้วยข้อจำกัดของอายุและสุขภาพ ก็คงไม่ต่างจากนันท์ตอนนั้นหรอกลูก ที่เข้าใจว่าตัวเองสามารถควบคุมและรู้จักเตารีดมากพอที่จะรีดผ้าได้เองโดยไม่ได้รับอันตราย”

ลูกนิ่งคิดก่อนจะถามอีกว่า “แล้วเรื่องที่แม่เชื่ออะไรที่เขาแชร์กันในสื่อออนไลน์ นี่ไม่รวมเชื่อโฆษณาอาหารเสริมตามโทรทัศน์อีก อันนี้นันท์โกรธมากจริงๆ ทำไมแม่ถึงไม่มีสติไตร่ตรองเลยว่ามันน่าเชื่อถือหรือเปล่า พ่อดูสิคะสารพัดจะสั่งมากิน นี่ไม่รวมสูตรเครื่องดื่มวิเศษเพื่อสุขภาพที่แชร์กันในกลุ่มจนแม่หลงเชื่ออีกนะคะ”

พี่ติยังคงใจเย็นตอบคำถามลูกอย่างเข้าใจและค่อยๆ ตะล่อมให้ข้อมูลว่า “สมัยพ่อนะลูก โทรทัศน์แทบจะเป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อความคิดของประชาชนอย่างสูงเลย ด้วยเราเข้าใจกันว่าอะไรก็ตามที่สามารถนำมาออกรายการโทรทัศน์ได้ ต้องเป็นของดีมีคุณภาพและน่าเชื่อถือระดับหนึ่งเลยทีเดียว สมัยก่อนถ้าจะขายของเขาก็ขายกันตรงๆ บอกว่าจะขายอะไร มีสรรพคุณอย่างไร คนดูก็รู้ว่านี่คือโฆษณาขายของ ไม่เหมือนสมัยนี้หรอกลูก ขายของแอบแฝงไปทุกอย่าง เชิญคนดังที่มีอิทธิพลต่อความคิดผู้คนมาคุย สักพักของแฝงโฆษณาขายของ ทำเหมือนไม่ได้โฆษณา แค่ฉันใช้แล้วดีก็มาบอกต่อ คนดังเขาใช้แล้วดีเขาการันตี มีหรือคนอย่างเราจะไม่เชื่อถือแล้วซื้อตามถ้ามีกำลังซื้อ ที่พ่อพูดนี่ไม่ได้หมายความว่าของเขาไม่ดีนะ ของเขาอาจจะดีก็ได้ แต่พ่อกำลังติงวิธีการขายที่แฝงไปในรายการ จนคนรุ่นพ่อแม่บางคนที่ไม่เข้าใจวิธีการโฆษณาแบบนี้ก็เชื่อถือจนโหมซื้อเข้าไป แล้วนันท์ก็สังเกตเห็นใช้ไหมว่าเดี๋ยวนี้มีผลิตภัณฑ์หลายผลิตภัณฑ์ต่อให้ทุกอย่างดีจริง แต่กินเข้าไปทุกอย่าง ร่างกายเราขับของส่วนเกินไม่ทันหรือต้องทำงานหนักขึ้น ก็พังไปเท่านั้นเอง…ที่พ่อจะบอกก็คือ คนรุ่นพ่อรุ่นแม่โตมากับสมัยที่โทรทัศน์เป็นสื่อที่สังคมให้ความเชื่อถือสูง และยังนำเสนอข้อมูลต่างๆ อย่างตรงไปตรงมาไม่ค่อยแอบแฝง ดังนั้นเราจึงให้ความเชื่อถือหากอะไรก็ตามได้นำเสนอผ่านโทรทัศน์ นันท์คงเคยได้ยินคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ชอบเถียงลูกๆ ว่า ‘ถ้าไม่จริงเข้าจะเอามาออกได้ยังไง’ นี่คงเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ให้ความเชื่อถือโทรทัศน์มากแค่ไหน แต่พอมาในยุคหลังที่มีโทรทัศน์มากช่องการแข่งขันก็สูง พ่อเข้าใจว่าสถานีเขาอยู่ได้ด้วยค่าโฆษณา ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่จะมีการคิดวิธีการโฆษณาสินค้าใหม่ๆ เข้ามาใช้ แต่ที่แย่คือ คนรุ่นพ่อแม่ตามไม่ทันเท่านั้นเอง…”

“แต่นันท์ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นละว่าทำไมแม่เลือกเชื่อสิ่งเหล่านี้มากกว่าเชื่อหมอที่ดูแล”

“ความหวังที่จะให้ตัวเองจะมีสุขภาพที่ดีขึ้นไงลูก หวังจะหายจากโรคที่หมอแผนปัจจุบันยังรักษาไม่ได้ พ่อรู้นะว่าสูตรอาหารสูตรยารักษาโรคครอบจักรวาลต่างๆ ที่แชร์กันตามแอปสนทนา ตามสื่อสังคมออนไลน์มันก็ไม่ต่างจากสูตรยาผีบอกที่โปรยตามทางให้คนมาพบแล้วหยิบไปอ่าน พร้อมข้อความที่ว่า ‘หากไม่ส่งต่อคุณจะพบกับความวิบัติในเจ็ดวัน’ เพียงแต่สมัยนี้มันเปลี่ยนจากการเขียนด้วยกระดาษใส่ซองขาวไปโปรยตามทางเป็นการส่งทางแอปสนทนา พร้อมทั้งข้อความที่ว่า ‘แชร์ไปให้ถึงคนที่คนรัก’ แทน”

“นี่มันวัฒนธรรมยาผีบอกออนไลน์ชัดๆ” ยายนันท์สรุป

“ความหวังคือสิ่งหล่อเลี้ยงให้ผู้ป่วยอยู่ต่อไปได้ แม่ของนันท์ก็คงหวังจะให้ตัวเองหายป่วย หวังให้ตัวเองแข็งแรงขึ้น จะได้ดูแลตัวเองได้ไม่ต้องเป็นภาระให้นันท์ แม่คงอยากกลับไปมีชีวิตที่อยากทำ อยากกินอะไรก็ได้เหมือนช่วงที่ยังแข็งแรงก็เท่านั้นเอง…เข้าใจแม่หน่อยนะนันท์ สิ่งที่แม่ทำไปเพราะความไม่รู้ และที่ทำไปส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นห่วงลูก ไม่อยากให้ลูกต้องมารับภาระให้ลำบาก แม่คงอยากแบ่งเบาภาระของทุกคน จนลืมคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเท่านั้นเอง”

นันท์ทำท่าครุ่นคิด สักครู่ก็มีท่าทีที่เบาลง พี่ติลูบหัวลูบหลังลูกอย่างปรานี ก่อนจะพูดเรื่องสำคัญว่า “นันท์ พ่อขอได้ไหมลูก อย่างเพิ่งไล่เบี้ยปัญหาเรื่องที่เกิดขึ้นกับแม่ตอนนี้ แม่ยังป่วยอยู่ เดี๋ยวมันจะทำให้แม่หมดกำลังใจและทรุดหนักลงไป รอให้แม่ดีขึ้นก่อนแล้วเราค่อยหาทางออกกันใหม่”

“ถ้ามันไม่ทันการณ์จนบ้านถูกยึดไปล่ะคะ…”

“ถ้ามันถึงที่สุด เขาจะเอาก็ให้เขาเอาไป สำหรับพ่อ ชีวิตของทุกคนในครอบครัวสำคัญที่สุด พ่อจะมีความสุขบนกองสมบัติไปทำไม ถ้าไม่มีครอบครัวอยู่ด้วย…นันท์อย่ากังวลเรื่องนั้นไปเลย ถ้าจะห่วงตอนนี้ห่วงเรื่องสุขภาพแม่เราก่อนดีกว่า…”

น้ำตาที่เหือดไปแล้วของยายนันท์ไหลหยาดลงมาอีก ฉันเองไม่เคยเห็นลูกร้องไห้ฟูมฟายมากขนาดนี้มาก่อน แล้วยายนันท์ก็เช็ดน้ำตากลั้นก้อนสะอื้น ก่อนจะพูดกับพี่ติอย่างเด็ดเดี่ยวว่า

“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ พ่อไม่ต้องห่วง ถ้ามันถึงขั้นนั้นจริงๆ นันท์จะสละไตให้แม่ข้างหนึ่ง นันท์กับแม่เลือดหมู่เดียวกัน เป็นแม่ลูกกัน นันท์คิดว่าไตของนันท์น่าจะเข้ากันได้กับร่างกายของแม่ค่ะ…นันท์เองก็ทนไม่ได้หรอกค่ะที่จะเห็นแม่ต้องไปฟอกไตทุกสองสามวัน นันท์สงสารแม่”

ฉันเห็นมือของนายกฤตย์ยื่นมาจับที่มือของยายนันท์เพื่อส่งกำลังใจให้กัน เขารอจนยายนันท์หมดคำพูดแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ทางผมก็ช่วยอีกแรงครับ ตอนนี้กำลังขอให้เพื่อนๆ ช่วยสืบภูมิหลังของน้าธารีและสืบธาร ช่วงที่ทั้งสองไม่ได้ติดต่อกับบ้านของนันท์ พวกเขาสองคนมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ทำมาหากินอะไร และมีประวัติอะไรที่น่าสงสัยหรือไม่ครับ…มันจะช่วยให้เรารับมือเรื่องนี้ได้ดีขึ้น”

“ขอบใจนะกฤตย์ พ่อฝากด้วย ทางพ่อก็จะใช้เส้นสายของเพื่อนฝูงช่วยสืบอีกทาง พ่อว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ ยังน่าจะมีเรื่องตื้นลึกหนาบางที่เรายังไม่รู้ กระทั่งแม่ของนันท์เองก็ไม่รู้ เพราะพ่อเชื่อว่าด้วยนิสัยนักบัญชีของแม่ ไม่มีทางพลาดเซ็นเอกสารพวกนั้นแน่ๆ มันต้องมีเล่ห์กลอะไรที่เรายังไม่รู้…และพ่อเชื่อว่าสุดท้ายพวกเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยดี”

ทั้งสามคนต่างนั่งนิ่งๆ ต่างคนต่างใช้ความคิดของตนเอง สักครู่นกุลและครอบครัวก็ตามเข้ามา เมื่อณฤดีเห็นปู่ก็โผเข้าไปกอด แล้วก็นั่งนิ่งๆ บนตักของปู่อย่างสนิทสนม

“หนูดีกินอะไรกันมาบ้างหรือยัง นี่ปู่แอบได้ยินเสียงท้องหนูร้องแล้วนะ หิวหรือเปล่า”

“หิวค่ะ แต่หนูดีคิดถึงคุณปู่กับคุณย่าเลยขอให้คุณพ่อคุณแม่พามาหาก่อนค่ะ” เสียงตอบแจ๋วๆ ของณฤดี ทำให้บรรยายกาศที่ตึงเครียดเมื่อสักครู่แจ่มใสขึ้น พี่ติยิ้มอย่างชื่นใจก่อนจะก้มลงไปหอมแก้วหลานฟอดใหญ่ด้วยความรัก

“ตอนนี้ปู่ก็หิวแล้ว ดีเลยพวกเราลงไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารชั้นล่างกันดีกว่า ไปกันหมดนี่ละ ยาที่คุณหมอให้คงยังไม่หมดฤทธิ์ แม่คงยังไม่ตื่นหรอก รีบไปกันก่อนรอให้ตื่นแล้วค่อยมาคุยกัน…”

ทุกคนยกโขยงลงไปกินอาหาร ส่วนฉันที่นอนอยู่บนเตียงและได้รับรู้ทุกถ้วนถ้อยความที่ทุกคนคุยกัน ก็ลืมตาขึ้น สมองประมวลอย่างเร็วจี๋ คงมีแต่พี่ติละกระมังที่เข้าใจสิ่งที่ฉันทำทุกอย่าง แม้ฉันจะทำเรื่องที่แสนเหลวไหล แต่พี่ติก็ยังหาเหตุผลมาเข้าใจฉันจนได้ และสิ่งที่พี่ติอธิบายให้ลูกฟังนั้นมันตรงกับความรู้สึกในใจของฉันทุกอย่าง แม้บางเรื่องฉันจะทำไปเพราะสนุกที่ได้ท้าทายคำสั่งของลูก แต่ความจริงแล้ว ฉันเพียงอยากให้ลูกเห็นว่าฉันยังมีคุณค่า ยังสามารถดูแลตนเองและช่วยแบ่งเบาภาระของลูกได้ในบางเรื่อง

ฉันนอนถอนหายใจยาว นี่ทำตัวเหลวไหลเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว ทำให้ลูกต้องทุกข์ร้อนใจมามากแค่ไหนแล้ว ฉันเริ่มคิดถึงกุนตีคนนั้น คนที่มาดมั่นเฉียบคม ทำทุกอย่างด้วยความมั่นใจและมีเหตุผล ไม่ใช่ยายแก่ที่ใช้อารมณ์นำเหตุผลคนที่เป็นอยู่นี้

พอกันที! เมื่อเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ เมื่อปัญหาเกิดขึ้นจากฉัน ฉันก็ต้องแก้ไขมันด้วยตัวเอง ฉันจะเลิกกลัว เลิกคร่ำครวญ เลิกโทษทุกสิ่งอย่าง

เอาละกุนตีมาเริ่มกันใหม่ กลับมาเป็นผู้หญิงที่เป็นหลักให้ตัวเอง กลับมาเป็นแม่ที่เป็นหลักให้ลูก

ฉะนั้นก่อนที่ฉันจะมีแรงไปสู้รบปรบมือกับปัญหา ฉันต้องกลับมาแข็งแรงก่อน ฉันปฏิญาณกับตนเองว่า จากนี้ไปจะเคร่งครัดกับทุกคำสั่งของหมอ และจะไม่งอแงให้ลูกต้องลำบากใจ

ส่วนเจ้ากเฬวรากพวกนั้น พวกที่จ้องจะโกงสมบัติของพี่ติตาเป็นมัน มันต้องได้เจอฤทธิ์กุนตีคนนี้แน่ มันคงไม่รู้ว่าตอนที่ฉันครองตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของฝ่ายบัญชีบริษัทมหาชนที่ทำรายได้สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศนี้ ฉันต้องสู้รบปรบมือกับพวกโกงบริษัทด้วยบัญชีปลอมๆ มาขนาดไหน รอฉันตะไบเขี้ยวเล็บของแม่เสือคนนี้สักประเดี๋ยวเถอะ จะได้เห็นดีกัน

แต่ตอนนี้แม่เสือคนนี้กระหายน้ำเหลือใจ คงต้องทนรอให้ทุกคนกลับขึ้นมาก่อน แล้วค่อยแกล้งทำเป็นตื่นจากฤทธิ์ยา จากนั้นค่อยขอน้ำเขาดื่มอย่างมีชั้นเชิง…



Don`t copy text!