ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 12 : ผู้หญิงคนนั้นกับปมในใจของฉัน (2)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 12 : ผู้หญิงคนนั้นกับปมในใจของฉัน (2)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

การมีพี่ติมาดูแล ทำให้ชีวิตฉันที่เคยน่าเบื่อนั้นคลายลงไปได้มาก พี่ติพยายามสรรหากิจกรรมต่างๆ มาให้ฉันทำ โดยเฉพาะในช่วงบ่ายหลังอาหารเที่ยงและฉันได้นอนพักกลางวันแล้ว บางวันเราก็เล่นเกมกระดาน บางวันเราก็ชวนกันทำกายบริหารด้วยท่าง่ายๆ แต่ได้ออกแรงดี จนพี่ติสังเกตเห็นว่าฉันแข็งแรงดีแล้ว ก็เริ่มขยับพาฉันออกไปข้างนอก ตั้งแต่พาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน พี่ติเลือกเวลาบ่ายคล้อยที่แดดไม่ร้อนจัด แต่ผู้คนก็ยังไม่เลิกงานมาเดิน ทำให้บรรยากาศสงบและสดชื่น บางวันก็พาฉันออกไปจ่ายของสดในซูเปอร์มาร์เก็ต บางวันก็ชวนฉันทำขนมสุขภาพโดยมีเป้าหมายว่าส่วนหนึ่งจะส่งไปให้เครือแก้วและอีกส่วนจะนำไปฝากนายขวดด้วยกัน ตลอดเวลาสิบกว่าวันที่พี่ติมาดูแลฉันทำให้มีชีวิตชีวาและสดใสขึ้น…หากไม่มีโทรศัพท์ทวงหนี้จากพวกนั้น

ฉันเลี่ยงที่จะไม่รับโทรศัพท์หมายเลขแปลกๆ ที่ไม่รู้จักมาตลอดตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล แต่วันนี้คงเป็นวันโลกาวินาศของฉันเป็นแน่แท้ เพราะระหว่างที่พี่ติออกไปส่งของให้เครือแก้วแทนฉัน มิจฉาชีพในคราบทนายและคนทวงหนี้ก็ขับมอเตอร์ไซค์มาจอดถึงหน้าบ้าน มันระดมกดกริ่งหน้าบ้านจนฉันทนไม่ไหวต้องออกไปเผชิญหน้า มันทั้งขู่ทั้งปลอบให้ฉันยอมใช้หนี้หรือยอมให้ยึดบ้านแต่โดยดี ฉันผู้ซึ่งยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับปัญหาคนเดียว จึงต้องซื้อเวลาด้วยการขู่ไปว่า

“ฉันรู้ว่าต้องใช้หนี้ แต่ตอนนี้ฉันยังป่วยอยู่ ขอพักจนอาการดีขึ้นก่อนแล้วฉันจะติดต่อไป และถ้าพวกแกยังขืนรบเร้าฉันอยู่อย่างนี้ ฉันเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกตายไป พวกแกจะไม่ได้อะไรเลย”

คำขู่ได้ผล มันทั้งสองยืดเวลาให้ฉันไปอีกหนึ่งสัปดาห์พร้อมขู่ว่า “ถ้าวันพุธหน้ายังไม่ติดต่อกลับมา พวกเราจะมาอีก”

พี่ติกลับมาเมื่อพวกมันกลับไปแล้ว พี่ติเห็นฉันหน้าเสียจึงถามด้วยความเป็นห่วง ฉันเล่าทุกอย่างให้พี่ติฟัง

 

แต่เหมือนสวรรค์จะชี้ให้เห็นว่าวันนี้เป็นวันโลกาวินาศของฉันจริงๆ จึงส่งอีกเรื่องที่น่าตกใจมาให้ฉัน

เสียงกริ่งประตูดังขึ้น พี่ติอาสาจะออกไปดูให้เอง พี่ติหายไปสักพัก ฉันจึงเดินตามออกไปหยุดยืนที่หน้าประตูบ้าน มองตามออกไปที่ประตูรั้ว เพื่อดูว่าเป็นใครกันที่มากดกริ่ง

พี่ติเปิดประตูให้ใครคนนั้นเข้ามาในบ้าน ฉันจึงเห็นว่าเป็นผู้หญิง คุ้นหน้าหมือนเคยเห็นที่ไหน แต่ไม่ใช่คนที่ฉันเคยรู้จักและสนิทสนมแน่นอน ระหว่างที่ฉันกำลังใช้ความคิดทบทวนความทรงจำอยู่นั้น ผู้หญิงที่คุ้นหน้าจะโผกอดพี่ติอย่างแนบแน่นสนิทสนม

ใช่แล้ว ฉันจำได้แล้ว ผู้หญิงคนนั้นคือคนที่ทำให้ฉันต้องห่างเหินกับสามี ผู้หญิงคนนั้นนั่นเอง!

พี่ติคุยกับเธออย่างสนิทสนม ถึงแม้ฉันจะไม่ได้ยินว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่ดูจากท่าทีที่แสดงออกถึงความห่วงหาอาทรกัน ทำให้ลมเพชรหึงพัดปั่นป่วนไปมาในอกของฉันจนแทบจะระเบิด

หากความหึงหวงคือไฟที่โหมไหม้ในอก บัดนี้ไฟหึงหวงนั้นก็พร้อมจะทะลุออกมาทางตาเพื่อจะพุ่งไปแผดเผาทั้งผู้หญิงคนนั้นและพี่ติให้ไหม้เป็นจุณ

เมื่อสติคืนมา ฉันก็พยายามปรับสีหน้าท่าทางของเมียหลวงที่พร้อมจะบวกกับเมียน้อยอย่างเต็มอัตราศึก ให้เป็นเพียงคนทั่วไปที่ไม่ยินดียินร้ายต่อภาพตรงหน้า แม้มันจะทำได้ยากก็ตาม ยิ่งพี่ติจูงมือแม่คนนั้นเดินมาหาฉัน ฉันก็ยิ่งต้องพยายามสงบอารณ์ระงับอาการให้เป็นปกติ

“กุน…นี่คามิลเลีย” พี่ติเอ่ยขึ้นอย่างยินดี “คามิลเลีย ลูกสาวของลุงใหญ่” พี่ติออกเสียงอย่างชัดเจน

“ลูกสาวที่พ่อไม่ยอมรับน่ะค่ะ” คามิลเลียพูดเสริม โดยในน้ำเสียงนั้นไม่มีแววเจ็บปวดหรือน้อยใจเลยแม้แต่น้อย

ฉันยืนนิ่งด้วยความสับสน ส่วนคามิลเลียกลับยิ้มให้ฉันด้วยรอยยิ้มที่จริงใจและไม่ขัดเขินแม้แต่น้อย ยังไม่ทันจะตั้งตัว คามิลเลียก็เดินมากอดฉันเข้าเต็มรักก่อนพูดว่า “นี่คงเป็นพี่กุน ภรรยาของพี่ติสินะคะ พี่กุนจำมิล่าได้ไหมคะ…พี่กุนเคยพบมิลล่าครั้งหนึ่งแล้ว ที่บ้านหลังนี้นี่ละค่ะ…”

ฉันได้เพียงแต่พยักหน้าตอบรับ

คามิลเลียเห็นฉันนิ่ง จึงพูดเสียงแจ๋วต่อไปว่า “…แต่เรายังไม่ได้คุยกัน มิลล่าจำได้ว่าตอนนั้นได้คุยกับพี่…เอ่อ…” เธอหันไปทางพี่ติแล้วถามว่า “…พี่อะไรนะคะ”

“ธารีครับ มิลล่า” พี่ติตอบ

“ใช่ค่ะ พี่ธารี น้องสาวแท้ๆ ของพี่กุน ตอนนั้นมิลล่ายังฝากพี่ธารีมาสวัสดีพี่กุนด้วยนะคะ”

ฉันยังรู้สึกมึนงงจับต้นชนปลายยังไม่ถูก ธารีมาเกี่ยวข้องอะไรด้วย

“มิลล่าดีใจจริงๆ ค่ะ ที่พี่ติกับพี่กุนเข้าใจกัน วันนั้นมิลล่ากลัวจังเลยค่ะว่าจะทำให้พี่ทั้งสองทะเลาะกัน แต่มิลล่าต้องรีบไปสนามบินจริงๆ จึงไม่มีโอกาสอธิบายเรื่องราวให้พี่กุนฟัง แต่มิลล่าเดาว่าพี่ธารีน่าจะช่วยพูดให้พี่กุนเข้าใจเรื่องราวแล้ว…ก็พี่ธารีสัญญาว่าจะไปอธิบายแทนมิลล่านี่คะ”

สีหน้าของฉันคงแสดงความรู้สึกงงงวยจนพี่ติรับรู้ได้ จึงบอกฉันด้วยประโยคสั้นๆ ว่า

“กุน…นี่คือมิลล่า ลูกพี่ลูกน้องของพี่ คนที่กุนอยากให้พี่พามายืนยันตัวตนคนนั้นไง…”

แล้วพี่ติก็ทบทวนเรื่องราวของลูกพี่ลูกน้องคนนี้อีกครั้ง

 

ลุงใหญ่ของศานติพบกับชาล็อตหรือชฎาแม่ของคามิลเลียที่อังกฤษ ขณะนั้นลุงใหญ่ได้ทุนไปเรียนต่อที่นั้น ส่วนชฎาเป็นสาวลูกครึ่งไทยอังกฤษ เธออาศัยอยู่กับมารดาชาวไทยที่ย้ายถิ่นฐานมาปักหลักที่นี้เพราะมีเจ้านายเดิมเป็นนักธุรกิจชาวอังกฤษ ส่วนพ่อของชฎาเป็นชาวอังกฤษแต่มีบ้านเดิมอยู่ในชนบทที่ห่างออกไปมาก ครอบครัวของชฎาทำร้านอาหารไทยเล็กๆ อยู่ในกรุงลอนดอน

ลุงใหญ่ได้มีโอกาสไปกินอาหารที่ร้านของชฎา ด้วยความน่ารัก สดใส เป็นกันเองและสามารถพูดไทยได้ทำให้ชฎาสนิทสนมกับลุงใหญ่ได้ไม่ยาก และคงด้วยเพราะความสุภาพและภาพลักษณ์ที่ดูดีอย่างลูกผู้ดีของลุงใหญ่ทำให้ชฎาประทับใจลุงใหญ่ไม่น้อย ส่วนลุงใหญ่เองความห่างไกลบ้านที่ทำให้เกิดความอ้างว้างและเปลี่ยวเหงา กอปรกับการห่างไกลจากสังคมเดิมที่ตนเป็นที่รู้จักในแวดวงสังคม ต้องระมัดระวังตัวให้มีพฤติกรรมที่ดูเรียบร้อยงดงามนั้นผ่อนคลายลง ลุงใหญ่จึงถลำตัวมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชฎา

ความสัมพันธ์หวานซึ้งทำให้ชฎาปักใจและมั่นคงในความรักของตนเอง แต่สำหรับลุงใหญ่การที่ชฎาดูแลราวกับลุงใหญ่เป็นเจ้านายของตน และอาหารที่แม่ของชฎานำมาปรนเปรอให้ลุงใหญ่ตามความต้องการ เพียงแต่ออกปากบอกเท่านั้น ก็ทำให้ลุงใหญ่ยากที่ปฏิเสธผลประโยชน์เหล่านั้นด้วยความเคยชินเหมือนเมื่อครั้งอยู่บ้านในเมืองไทยที่ทุกคนล้วนแต่พะเน้าพะนอเอาอกเอาใจด้วยเพราะเป็นลูกชายคนโต ส่วนความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งก็คงเหมือนเป็นของแถมที่ตนเองได้รับยามต้องการเท่านั้น ทั้งหมดไม่ได้มีความรักเข้ามาเจือปนเลยแม้แต่น้อย

ต่อมาเมื่อเรียนจบลุงใหญ่ต้องกลับมาเมืองไทย ลุงใหญ่ก็ให้คำสัญญาว่าจะกลับมารับชฎาไปอยู่ด้วยในฐานะภรรยา แต่คำสัญญานั้นก็เป็นเพียงแค่ลมปาก ลุงใหญ่ไม่เคยคิดจะรักษาสัญญาแม้แต่น้อย

ชฎามารู้ตัวว่าตนเองตั้งท้องเมื่อลุงใหญ่กลับเมืองไทยไปแล้วถึงสองเดือน

ชฎารอการติดต่อกลับของลุงใหญ่ ด้วยความหวังที่ลุงใหญ่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าเมื่อกลับถึงบ้านจะรีบขออนุญาตพ่อแม่เรื่องที่จะรับชฎากลับมาอยู่ด้วย แต่จนแล้วจนรอดจนท้องของชฎาใหญ่ขึ้นจนทุกคนสังเกต ลุงใหญ่ก็ยังไม่ติดต่อกลับมา ชฎาพยายามเขียนจดหมายไปบอกข่าวว่าตนเองตั้งท้องกับลุงใหญ่ ขอให้เข้ารีบกลับมารับแต่ก็ไม่มีการตอบกลับ

เพื่อนนักเรียนรุ่นน้องคนไทยของลุงใหญ่ ซึ่งน่าจะเห็นใจลูกผู้หญิงด้วยกัน จึงแอบนำที่อยู่ที่แท้จริงของลุงใหญ่และหมายเลขโทรศัพท์บ้านของลุงใหญ่มาให้ชฎา

การโทรศัพท์ข้ามทวีปในสมัยนั้นทั้งลำบากและค่าใช้จ่ายแสนแพง แต่ชฎาก็อุตสาหะโทรศัพท์ข้ามทวีปไปหาลุงใหญ่ เพื่อได้รับฟังคำตัดรอนว่า “ผมกลับมาเมืองไทยแล้วชฎาถึงตั้งท้อง ผมจะรู้ได้ยังไงว่าเด็กในท้องนั้นเป็นลูกของผมจริงๆ ผมเสียใจนะ ผมอุตส่าห์จะรีบสะสางภาระงานแล้วไปรับชฎากลับมาอยู่ด้วยกัน แต่นี่ชฎาไม่ซื่อกับผม แอบไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่นจนตั้งท้อง แล้วจะมาให้ผมรับผิดชอบ มันเกินที่ผมจะรับไหว เมื่อชฎาทำผิดต่อผมอย่างนี้ จากนี้ไปเราคงต้องขาดกันเสียที”

เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางหัวของชฎา ชฎาแบกความผิดหวังกลับบ้าน นอนร้องไห้ฟูมฟายที่ลุงใหญ่เข้าใจเธอผิด เธอคิดใคร่ครวญหาทางจะอธิบายความจริงให้ลุงใหญ่ได้ทราบว่าเธอไม่ได้นอกใจลุงใหญ่ และเด็กในท้องนี้คือลูกของลุงใหญ่จริงๆ

แม่ของชฎาผู้ผ่านโลกมามากคงอ่านเกมตัดรอนของลุงใหญ่ออก จึงค่อยๆ ชี้ให้ชฎาเห็นอีกแง่มุมหนึ่งที่ชฎาคิดตามไม่ทัน แม่ของชฎาค่อยๆ คลี่ค่อยๆ สางปมในใจที่ชฎารู้สึกผิด จากการถูกกล่าวหาโดยชายที่รัก ค่อยๆ ทำให้ชฎาเข้าใจความจริงทีละน้อยว่า สิ่งที่ชายคนรักของเธอทำนั้น คือการปัดความรับผิดชอบทั้งปวงโดยการโยนความผิดมาให้ชฎาแบกรับแต่เพียงผู้เดียว

เมื่อยอมรับความจริงที่โหดร้ายได้ ชฎาเด็กสาวผู้ร่าเริงก็กลับกลายเป็นคนเงียบขรึมและเก็บกด ชฎาให้กำเนิดคามิลเลีย และเลี้ยงดูลูกแต่ลำพังโดยไม่ยอมแต่งงานใหม่ เธอเข็ดแล้วกับความรักที่เพ้อฝัน ชฎาเอาชีวิตมุ่งมั่นกับการทำร้านอาหาร เธอขอให้แม่เกษียณเพื่อมีเวลาดูแลคามิลเลียแทนเธอ ส่วนเธอก็โหมงานร้านอาหาร และแบกรับทุกภาระของครอบครัวไว้บนบ่าเล็กๆ ของเธอโดยไม่ปริปากบ่น

แม่ของชฎา ยายของคามิลเลีย รู้สึกสะท้อนใจว่าสิ่งที่ชฎาทำลงไปนั้นไม่ใช่การรับภาระเพื่อทุกคนในครอบครัวอย่างเดียว แต่คือการลงโทษตัวเอง

ชฎาใช้ชีวิตอย่างเคร่งเครียดและเข้มงวดกับตนเองจนคามิลเลียอายุได้ 22 ปี ซึ่งตอนนั้นคามิลเลียเพิ่งจบจากวิทยาลัยด้านการอาหารและการจัดการภัตตาคารมามาดๆ คามิลเลียวาดหวังที่จะมาช่วยแบ่งเบาภาระจากแม่ และดูแลร้านอาหารที่ดำเนินกิจการมาตั้งแต่สมัยคุณยายให้ก้าวหน้าและดีขึ้น

แต่ความโชคร้ายของชฎาไม่จบเพียงเท่านั้น ปีนั้นสุขภาพของชฎาทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด เธอมีอาการปวดท้องอยู่เป็นประจำ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ฝืนทนไม่ยอมไปหาหมอ จนครั้งสุดท้ายที่เธอปวดท้องจนหมดสติไป

นั่นเป็นครั้งแรกที่ชฎาได้รับการรักษาจากอาการปวดท้องที่หนักหนาและเรื้อรัง

หมอบอกข่าวร้ายแก่ทุกคนว่าชฎาป่วยเป็นมะเร็งมดลูกระยะลุกลาม น่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน

คามิลเลียสงสารแม่ที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีชีวิตที่มีความสุขเลย คามิลเลียปรึกษายายว่าอยากให้แม่มีโอกาสพบพ่อสักครั้งก่อนจากโลกนี้ไป แต่ยายก็ห้ามปรามเธอด้วยรู้ดีว่าคามิลเลียจะต้องพบกับความผิดหวังอย่างที่ชฎาเคยพบมาก่อนแน่นอน แต่คามิลเลียยังหวังว่าพ่อของเธอจะไม่ใช่คนใจร้ายเช่นนั้น เมื่อทนการรบเร้าไม่ได้ยายของเธอจึงนำที่อยู่ของพ่อมามอบให้คามิลเลีย

คามิลเลียเขียนจดหมายไปหาพ่อของเธอด้วยความมุ่งหวัง แต่สุดท้ายผู้ที่มาเยี่ยมนั้นไม่ใช่พ่อที่ตนเฝ้ารอ กลับเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูอบอุ่นและเป็นมิตร เขาแนะนำตัวว่าเขาชื่อ ศานติ เป็นหลานชายของพ่อของเธอ…

ชฎายิ้มขมเพื่อได้พบศานติ เธอไม่พูดอะไรมากไปกว่าขอบใจที่เขาข้ามน้ำข้ามทะเลมาเยี่ยม และก็เลือกที่จะไม่ฝากถ้อยคำใดไปถึงชายที่ตนเองรัก

ชฎาจากไปในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากคามิลเลียและยายจัดการปลงศพชฎาอย่างเรียบง่ายแล้ว ก็ง่วนอยู่กับการจัดการธุรกิจร้านอาหาร จนเวลาผ่านไปหลายปี คามิลเลียจากสาวน้อย กลายเป็นสาวเต็มโตที่งดงามสะพรั่ง

วันหนึ่งเกิดเหตุอาคารที่ครอบครัวของคามิลเลียเช่าทำร้านอาหารทรุด ทำให้ต้องปิดร้านระยะหนึ่งเพื่อให้เจ้าของซ่อมแซมอาคารให้ปลอดภัยก่อนเปิดดำเนินการตามกฎหมายความปลอดภัย

คามิลเลียว่างจึงได้เข้าไปจัดการเก็บกวาดทำความสะอาดห้องนอนของชฎาที่ปิดไว้ตลอดมาตั้งแต่ชฎาจากไป จึงได้พบจดหมายระบายความในใจของชฎาที่มีต่อพ่อของเธอ

คามิลเลียอ่านจดหมายก็รู้ว่า พ่อคือรักเดียวที่แม่ฝังใจ แม้พ่อจะทำให้แม่เจ็บปวดมากมายเพียงใดก็ตาม คามิลเลียอยากสานฝันของแม่ให้สำเร็จแม้แม่จะไม่อยู่บนโลกนี้แล้วก็ตาม เธอจะเอาจดหมายของแม่ฉบับนี้ไปให้พ่อ เธอจะเอาไปส่งให้ถึงมือพ่อด้วยตนเอง คามิลเลียตั้งใจเช่นนั้น

ศานติคือตัวช่วยเดียวที่คามิลเลียมี เธอค้นที่อยู่ของศานติและพยายามโทรศัพท์ข้ามทวีปเพื่อติดต่อแต่ไม่มีใครรับสาย คามิลเลียไม่รู้ว่าหมายเลขโทรศัพท์นั้นเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของบ้านที่สุขุมวิท ซึ่งขณะนี้ไม่มีใครอยู่อาศัย มีเพียงคนงานที่นานๆ ครั้งจะเข้ามาดูแลความเรียบร้อยสักครั้ง

 

ด้วยความที่ร้านอาหารของชฎาเป็นร้านอาหารไทยที่ปรุงโดยคนไทย จึงมีข้าราชการจากสถานทูตมาเป็นลูกค้าอยู่บ้าง ยายของคามิลเลียเมื่อเห็นว่าเป็นคนไทยมากินอาหารที่ร้านก็มักจะมีน้ำใจแถมขนมหวานแบบไทยๆ หรือกับข้าวพิเศษที่ทำไว้กินกันเองในร้านให้ข้าราชการเหล่านี้ เป็นโอกาสทำให้คามิลเลียสนิทสนมกับข้าราชการสถานทูตบางคน หนึ่งในนั้นคือแน่งน้อย

เมื่อติดต่อศานติไม่ได้คามิลเลียจึงตัดสินใจที่จะลองเดินทางไปหาพ่อด้วยตนเอง ‘ไหนๆ ร้านก็ต้องปิดซ่อมอยู่แล้ว ลองเสี่ยงไปทำความหวังของแม่ให้สำเร็จสักครั้งดีกว่า’ คามิลเลียตั้งใจเช่นนั้น

คามิลเลียเริ่มดำเนินการด้วยการขอความช่วยเหลือจากแน่งน้อย ด้วยการส่งที่อยู่พร้อมชื่อของพ่อให้แน่งน้อยดู เพื่อจะขอคำปรึกษาเรื่องการเดินทางไปบ้านตามที่อยู่นี้ด้วยตนเอง

เมื่อแน่งน้อยเห็นนามสกุลพ่อของคามิลเลียก็บอกว่า

“พี่น้อยมีเพื่อนสมัยเรียนคณะเดียวกันคนหนึ่งนามสกุลนี้เลย แต่เรียนกันคนละวิชาเอก เอาแบบนี้ขอเวลาพี่น้อยลองติดต่อเพื่อนคนนี้ดูก่อน ถ้าเขารู้จักหรือเป็นญาติกับพ่อของมิลล่า อะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น”

เพื่อนที่แน่งน้อยเอ่ยถึงก็คือศานตินั่นเอง แน่งน้อยใช้เครือข่ายเพื่อนๆ ร่วมคณะจึงรู้ว่าศานติย้ายไปรับราชการอยู่ที่ภาคใต้ ด้วยความสงสารคามิลล่าจึงติดต่อกับศานติในเบื้องต้นก่อน เมื่อศานติทราบก็แจ้งแน่งน้อยไปว่า เขารู้จักคามิลเลียและเคยพบกันมาแล้วครั้งหนึ่งที่อังกฤษ

“โลกกลมดีจังนะติ สุดท้ายญาติที่มิลล่าตามหาก็คือเธอนี่เอง ถ้าอย่างนั้นฉันฝากเธอดูแลมิลล่าต่อเลยนะ” แน่งน้อยฝากฝัง

ศานติกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือคามิลเลีย แต่เขาไม่กล้าเดาเลยว่าลุงใหญ่จะยอมรับคามิลเลียหรือไม่ เขาบอกข้อจำกัดและความเสี่ยงนี้แก่คามิลเลีย เธอตอบเขาว่า “ขอแค่พ่อได้รับจดหมายฉบับนี้ของแม่ก็พอ จะยอมรับหรือไม่ยอมรับมิลล่าก็ไม่สนใจแล้วค่ะ และมิลล่าให้สัญญาว่าถ้าพ่อไม่ยอมรับเป็นลูก มิลล่าจะไม่เซ้าซี้และจะยอมกลับอังกฤษแต่โดยดีค่ะ”

แม้จะหนักใจแต่ศานติก็ยอมช่วยให้มิลล่าได้พบลุงใหญ่ของเขา

ศานติจำได้ดีว่าขณะนั้น เขาส่งกุนตีขึ้นมาอาศัยกับพ่อแม่ของเธอที่กรุงเทพฯ แล้ว ด้วยทั้งภาระงานปกติ และต้องจัดการเรื่องให้คามิลเลียได้พบกับลุงใหญ่ ทำให้ระยะนั้นเขาแทบจะไม่มีเวลาไปพบลูกเมียเลย แม้จะไปหาได้บางแต่ก็น้อยกว่าแต่ก่อน ศานติสังเกตได้ว่ากุนตีเริ่มมีอาการน้อยอกน้อยใจที่ตนห่างเหินไป แต่เขาก็ตั้งใจว่าหากเสร็จธุระของคามิลเลียแล้ว ตนจะมีเวลามาเยี่ยมและดูแลกุนตีกับลูกๆ มากขึ้นกว่าเดิม

ศานติให้คามิลล่าพักที่บ้านเดิมของตนเองย่านสุขุมวิท ส่วนเขานั้นไปขออาศัยที่บ้านนายขวดขณะอยู่กรุงเทพฯ ดังนั้นนายขวดจึงเป็นอีกคนที่รู้เรื่องนี้

“พี่ติจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ยายกุนรู้หน่อยหรือครับ” นายขวดถามศานติเช่นนั้น

“พี่คิดว่าจะหาโอกาสเหมาะๆ บอกกุนให้รู้ แต่ช่วงนี้ธารีน้องสาวกุนเขาอยู่บ้านด้วย…เรื่องไม่ดีในครอบครัวแบบนี้รู้น้อยเป็นดี โดยเฉพาะธารีพี่ไม่อยากให้รู้ ขวดนายก็รู้ใช่ไหมว่าธารีนิสัยยังไง ดีไม่ดีเรื่องไปถึงคุณป้าเมียลุงใหญ่ คามิลเลียจะพลอยลำบาก นี่พี่ก็รอโอกาสเหมาะๆ จะเล่าให้กุนเขาฟังเหมือนกัน”

แต่โอกาสเหมาะของศานติมาไม่ถึงเสียทีจนวันเกิดเรื่องราวขึ้น หลายครั้งที่เขานึกเสียใจที่ปากหนักไม่ยอมบอกภรรยาในเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น หากเขาตัดสินใจบอกเรื่องราวทั้งหมดแต่แรกคงจะไม่บานปลายเช่นนี้

แล้วผลก็ออกมาอย่างที่เขาคาดไว้ ลุงใหญ่ไม่ยอมรับว่าคามิลเลียเป็นลูก และไม่ยอมรับว่าเคยมีสัมพันธ์กับชฎา ศานติเดาว่าเขาคงกลัวที่จะพลาดตำแหน่งสำคัญในกระทรวง หากทำให้ภรรยาของเขาซึ่งเป็นลูกหลานของนักการเมืองใหญ่ในขณะนั้นไม่พอใจ เมียเขายังไม่รู้เรื่องนี้ และไม่ควรจะรู้เรื่องในตอนนี้เด็ดขาด

คามิลเลียแบกความผิดหวังเสียใจกลับมาที่บ้านของศานติ ตั๋วเครื่องบินของคามิลเลียซื้อมาแบบยังไม่ระบุวันเดินทางกลับ ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงบ้านพักเธอก็รีบโทรศัพท์สำรองที่นั่งเครื่องบินกลับอังกฤษทันที โดยเลือกเที่ยวบินที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทางสายการบินตอบรับว่าเที่ยวบินเร็วสุดคือ 1 ทุ่มของวันนั้น และจะมีเที่ยวบินอีกครั้งในปลายสัปดาห์ คามิลล่ายืนยันตั๋วในเที่ยวบิน 1 ทุ่มของวันนั้นทันที

เมื่อได้ตั๋วเครื่องบินแล้ว เธอก็ลงมือเก็บกระเป๋าจนเสร็จ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าจะเดินทางไปสนามบินอย่างไร

ศานติที่เพิ่งรู้สถานการณ์ก็รีบกลับมาเพื่อปลอบโยนเธอ

“มิลล่าได้ตั๋วกลับอังกฤษ 1 ทุ่มวันนี้ค่ะ” เธอบอกศานติทั้งที่น้ำตายังนองหน้า

“เดี๋ยวพี่ไปส่งสนามบิน” ศานติตอบสั้นๆ

ความโศกเศร้าและอ่อนไหวทำให้คามิลล่าโอบกอดศานติผู้ที่เธอนับถือว่าเป็นพี่ชายเพื่อขอกำลังใจ และซึมซับความอบอุ่นเดียวที่เธอต้องการในขณะนี้

“มิลล่าขอบคุณพี่ศานตินะคะที่กรุณาช่วยเป็นธุระให้ ตอนนี้มิลล่าเข้าใจแล้ว เข้าใจทั้งที่คุณยายเตือนและที่พี่ศานติกังวล แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะคะมิลล่าจะรักษาสัญญา”

ศานติรู้ดีว่าไม่ควรทัดทานหรือเหนี่ยวรั้งให้คามิลล่าอยู่ต่อ เขาลูบหัวน้องสาวที่เพิ่งเคยพบหน้าอย่างปรานี คามิลเลียกอดเขาอีกครั้งอย่างซาบซึ้ง

แต่ทั้งสองหารู้เลยว่าภาพที่ทั้งสองร่ำลากันนั้น กุนตีและธารีมองเห็นอยู่ตลอด คงเพราะไม่ได้ยินเสียงที่พูดคุยกัน ทำให้ทั้งสองเกิดความคิดไปอีกทาง ที่ไม่ใช่พี่น้องกอดกันเพื่อร่ำลาก่อนจากกันไกล

ศานติมารู้ตัวว่ากุนตีน่าเห็นภาพที่ชวนเข้าใจผิดเข้าแล้ว ก็เมื่อธารีเดินเข้ามาต่อว่าเขาถึงในบ้าน

“ไม่ว่างมาเยี่ยมลูกเมีย แต่ว่างมากกเมียน้อยได้นะคะ” ธารีกล่าวคำเชือดเฉือน

“เมียน้อยอะไร…” ศานติถามพร้อมทั้งเหลือบไปเห็นกุนตีกำลังขึ้นรถแท็กซี่คันหนึ่ง ลางสังหรณ์พุ่งขึ้นอย่างแรง เขามั่นใจว่ากุนตีต้องเข้าใจผิดกับภาพที่เห็นเป็นแน่ จึงบอกกับคามิลเลียว่า

“มิลล่าอธิบายให้พี่ธารีฟังเรื่องราวของเราที พี่ขอตามไปอธิบายให้พี่กุนภรรยาของพี่เข้าใจก่อน โอ๊ย ทำไมมีแต่เรื่องยุ่งๆ ไม่จบไม่สิ้นนะ”

ศานติวิ่งออกไปนอกบ้านแต่ไม่ทันเสียแล้ว กุนตีขึ้นรถแท็กซี่คันหนึ่งบึ่งออกไปแล้ว ใจจริงของศานติอยากจะขับรถตามไปเสียเดียวนั้น ติดแต่ว่าเขาไม่อาจทิ้งคามิลล่าไว้ได้ จึงตัดสินใจขับรถไปส่งคามิลล่าเสียก่อน ‘ไม่เป็นไร จัดการส่งคามิลล่าขึ้นเครื่องบินให้หายห่วงเสียก่อน แล้วจึงค่อยตามไปคุยกับกุน กุนเป็นคนมีเหตุผล น่าจะรับฟังและเขาใจ’ ศานติกะเกณฑ์เช่นนั้น…

แต่ศานติไม่เคยรู้เลยว่า ปมเขื่องในใจผู้หญิงที่มีเหตุผลอย่างกุนตีคือเรื่องที่พ่อแอบมีบ้านเล็กยามที่ห่างจากแม่ และทำให้แม่เสียใจอยู่หลายปี กุนตีเคยปฏิญาณกับตนเองว่าจะไม่มีทางยอมทนเสียใจอย่างแม่เพื่อรักษาสถานภาพของผัวเมียไว้เด็ดขาด…

เหตุนี้จึงเป็นเรื่องร้าวฉาน เจ็บปวด และกระดากกระเดื่องใจมาหลายสิบปีในชีวิตคู่ของกุนตี

 

“มิลล่าต้องก็โทษพี่กุนจริงๆ ค่ะ ที่วันนั้นไม่ได้ไปอธิบายให้พี่กุนฟังด้วยตัวเอง มิลล่าต้องไปเช็กอินให้ทันภายในสองชั่วโมง ไม่อย่างนั้นมิลล่าก็จะตกเครื่อง และตอนนั้นมิลล่าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วแม้แต่เพียงวันเดียว…พี่กุนอย่าโกรธมิลล่าเลยนะคะ…แต่เรื่องทั้งหมดมิลล่าเล่าให้พี่ธารีฟังแล้ว พี่ธารีก็สัญญาว่าจะมาอธิบายให้พี่กุนเข้าใจเอง…”

ฉันปั้นหน้าไม่ถูก จนปัญญาเสียเหลือเกินว่าสถานการณ์เช่นนี้จะต้องทำหน้าอย่างไร คามิลเลียคงสังเกตเห็นความผิดปกติจึงถามอีกครั้งว่า

“วันนั้นพี่ธารีอธิบายสถานการณ์ของมิลล่าและพี่ศานติให้พี่กุนเข้าใจแล้วใช่ไหมคะ”

ฉันส่ายหน้าอย่างลืมตัว

ความรู้สึกเหมือนถูกคู่ต่อสู้ต่อยจนน็อก แล้วจับขึ้นมาต่อยให้น็อกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จบ…

 



Don`t copy text!