ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 4 : ชีวิตใหม่ (1)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 4 : ชีวิตใหม่ (1)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

ปัญหาใหม่เริ่มขึ้นเมื่อฉันตกลงใจว่าจะไปทำงาน แต่ที่ทำงานอยู่ไกลจากบ้านพอสมควร ทำให้ฉันกังวลว่าใครจะไปส่งลูกๆ ทั้งสองและสืบธารไปโรงเรียน เพราะเวลาที่ฉันออกจากไปบ้านทำงานนั้นเช้ามาก และมันเช้าเกินไปที่เด็กๆ ทั้งสามต้องตื่นขึ้นมาเพื่อไปโรงเรียนที่อยู่ห่างออกไปจากบ้านที่พวกเราอาศัยเพียง 2 ซอยเท่านั้น

ฉันปรึกษาธารีเผื่อว่าน้องจะรับหน้าที่ช่วยขับรถไปส่งเด็กๆ ทั้งสามแทนฉัน

ธารีปฏิเสธพัลวัน “พี่กุนจะมาหวังให้น้องไปส่งลูกพี่กุนได้ยังไงคะ ในเมื่องานของน้องมันไม่เป็นเวล่ำเวลา” ฉันนึกฉุนเล็กๆ ว่า มันไม่ใช่มีแค่ลูกของฉันแต่มันมีลูกของเธอด้วย แต่ก็ข่มใจไม่พูดอะไร

เป็นพ่อที่เข้ามาแก้ปัญหาทุกอย่าง “จะยากอะไร ลูกก็จัดการธุระตัวเองแล้วไปทำงานให้ทันก็พอ ส่วนหลานๆ เดี๋ยวพ่อกับแม่ดูแลเอง แค่ไปรับไปส่งโรงเรียนมันจะยากอะไรกัน” พ่อพูดขึ้น

“จะดีหรือคะ ไหนจะต้องปลุกเด็กๆ ให้อาบน้ำแต่งตัว ไหนจะป้อนอาหารเช้าอีก” ฉันรู้สึกเป็นห่วง

“เด็กๆ ก็นอนกับตายายอยู่แล้ว ตานะน่ะรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว อาบน้ำแต่งตัว กินข้าวเองได้ ส่วนยายนันท์กับตาสืบไม่เกินกำลังแม่หรอก ไม่ต้องห่วง ทำงานให้เต็มที่ แล้วเสาร์อาทิตย์ค่อยเว้นให้พ่อแม่ได้พักก็พอแล้ว” แม่สนับสนุน ทำให้ฉันสามารถไปทำงานได้อย่างสบายใจ

 

งานทำให้ฉันรู้สึกภาคภูมิและเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้นกว่าก่อน มันเป็นจริงอย่างที่นายขวดเคยบอกฉันไว้

เที่ยงของวันสิ้นเดือนในเดือนแรกของการทำงาน ฉันเดินไปเซ็นรับซองเงินเดือนที่โต๊ะของหัวหน้าแผนก “ฝ่ายการเงินเพิ่งเอามาส่งเมื่อเช้านี้เอง ยังอุ่นๆ อยู่เชียว ทยอยมาเซ็นรับซองเงินเดือนกันนะ” พี่มาลีหัวหน้าแผนกของฉันประกาศ ฉันรอให้เพื่อนร่วมแผนกคนอื่นๆ ไปรับซองเงินเดือนกันก่อน เมื่อทุกคนรับซองเงินเดือนกันครบแล้วฉันจึงเดินเข้าไปรับ

พี่มาลีส่งซองเงินเดือนให้ฉันพร้อมรอยยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เงินเดือนเดือนแรกของกุน ขยันและพยายามแบบนี้นะ อีกสามเดือนผ่านช่วงทดลองงานกุนจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นกว่านี้ พร้อมสวัสดิการของพนักงานประจำ” ฉันไหว้ขอบคุณพี่มาลีพร้อมรับซองงานเดือนมา ฉันตั้งใจว่าจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งมอบให้พ่อแม่ไว้ใช้จ่ายกินขนม แม้ท่านทั้งสองจะมีเงินบำนาญไว้กินใช้ไม่ขัดสนก็ตาม นอกจากนี้วันพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดของทั้งฉันและเด็กๆ ฉันจึงตั้งใจว่าจะพาเด็กๆ ทั้งสามไปรับประทานไอศกรีมร้านดังแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

ฉันกลับมาถึงบ้านในตอนใกล้อาหารเย็น แม่ไล่ให้ฉันไปล้างหน้าล้างตาก่อนลงมารับประทานอาหารเย็น หลังจากรับประมานอาหารอิ่มแล้ว ฉันหยิบซองเงินที่เตรียมไว้ส่งให้แม่ด้วยความรู้สึกเต็มตื้นและภูมิใจ “นี่เงินเดือนเดือนแรกของกุนค่ะ กุนแบ่งให้พ่อกับแม่ไว้กินขนม” แม่รับไว้แล้วขอบใจและให้ศีลให้พรฉัน จากนั้นก็ล้วงไปในกระเป๋าเสื้อของตนเองส่งซองใส่ธนาณัติฉบับหนึ่งให้ฉัน

“ค่าใช้จ่ายประจำเดือนนี้ของกุนและหลานๆ พ่อติส่งมาเพิ่งถึงเมื่อบ่ายๆ นี้เอง”

ฉันรับแล้วเปิดดูมูลค่าในธนาณัตินั้นเกินกว่าครึ่งหนึ่งของเงินเดือนพี่ติ ฉันมองธนาณัติด้วยความรู้สึกลึกล้ำ พี่ติจะรู้สึกมีความสุขและภูมิใจเหมือนฉันตอนที่มอบเงินให้พ่อแม่ไว้ใช้จ่ายหรือไม่ หรือพี่ติทำไปเพราะแค่ต้องรับผิดชอบตามที่เคยสัญญาเท่านั้น

การที่พี่ติรับผิดชอบครอบครัวอย่างดีเหมือนเดิม ทำให้ฉันรู้สึกเกรงใจอยู่ แม้จะโกรธและขัดเคืองใจอย่างไร แต่ฉันก็ยังมีฐานะเป็นภรรยาตามกฎหมาย ดังนั้นหากมีงานใดๆ ที่ฉันต้องทำในฐานะภรรยาของพี่ติ ฉันก็ยินดีทำโดยไม่อิดเอื้อน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ใครๆ จะเห็นฉันออกงานคู่กับพี่ติ หรือบางครั้งก็ไปช่วยงานจังหวัดที่พี่ติประจำการอยู่ตามหน้าที่ภรรยาคุณปลัด ดังนั้นหากไม่ใช่คนที่สนิทสนมกันจริงๆ ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าฉันกับพี่ติมีปัญหากัน

ส่วนพ่อแม่ต่างก็ยังต้อนรับขับสู้พี่ติในฐานะลูกเขยอย่างดีเหมือนเดิม พี่ติสามารถเข้านอกออกในได้เหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่ง มีแต่ฉันที่วางท่าปึ่งชาใส่เวลาอยู่ในที่ส่วนตัว อ้อ ยังมีธารีอีกคนที่มักจะปลีกตัวออกไปเสมอเวลาที่พี่ติกลับมาเยี่ยม

แม่เคยพูดประชดฉันว่า “ก็ยังดีที่บ้านแตกแต่สาแหรกไม่ขาด”

 

ฉันผ่านขั้นทดลองงานมาได้อย่างราบรื่น ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานในแผนกเป็นไปอย่างดี เงินเดือนของฉันแม้จะยังไม่มากนัก แต่เมื่อรวมกับที่พี่ติส่งมาให้ประกอบกับการที่ฉันวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ ทำให้ฉันเหลือเงินเก็บทุกเดือน ความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายของลูกๆ บรรเทาลง

ความหมกหมุ่นเรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับพี่ติคลายลงไปมาก เพราะเวลาส่วนใหญ่ของฉันนั้นทุ่มไปที่งาน วันหยุดฉันรับภาระดูแลเรื่องส่วนตัวของฉันและลูกๆ เพื่อเปิดโอกาสให้พ่อแม่ได้พักผ่อน ซึ่งบางครั้งวันหยุดยาวพ่อกับแม่ของฉันก็มักจะขับรถออกไปตากอากาศไกลๆ กันสองคน และจะกลับมาก่อนวันทำงานของฉัน เมื่อฉันสามารถจัดลำดับความสำคัญในชีวิตได้ดี ความรู้สึกวิตกทุกข์ร้อนเกี่ยวกับชีวิตคู่ก็เบาบางลง และสุดท้ายฉันก็ยอมพูดคุยกับพี่ติดีขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเรื่องของลูกๆ ทุกครั้งก่อนวางสายพี่ติจะต้องถามเสมอว่า “กุนสบายดีใช่ไหม รักษาสุขภาพนะครับ” ส่วนฉันก็จะตอบว่า “สบายดีคะ ไม่เจ็บไม่ไข้ เท่านี้นะคะ” ก่อนจะวางสายไป พี่ติถามและฉันตอบไปเช่นนี้ทุกคราวราวกับเป็นประโยคบังคับ เช่นเดียวกับพนักงานขายในร้านสะดวกซื้อที่ชอบถามว่า ‘รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มไหมคะ’ นั่นเอง

ฉันเห็นข้อดีประการหนึ่งที่ฉันทุ่มเทกับงานและการดูแลลูกในวันหยุดคือ ในทุกวันที่หัวถึงหมอนฉันก็หลับเป็นตายไปทันที ฉันไม่มีเวลาที่จะไปคิดวิตกหมกหมุ่นกับเรื่องความผิดหวังอย่างเมื่อก่อน ฉันทำเช่นนี้ต่อเนื่องยาวนานจนพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปถึง 6 ปี

ในปีที่ 6 ที่ฉันทำงานนั้นบริษัทของฉันมีความก้าวหน้าขยายสายงานเพิ่มอีกหลายด้าน ทำให้แผนกของฉันต้องเติบโตตามเพื่อรองรับความซับซ้อนของงานที่มีความขึ้น ก่อนเลิกงานวันหนึ่งพี่มาลีหัวหน้าแผนกของฉันก็เรียกฉันเข้าไปพบ

“กุนรู้ใช่ไหมว่าบริษัทของเรากำลังขยายงาน” พี่มาลีถามขึ้น

ฉันพยักหน้ารับ พี่มาลียิ้มให้ก่อนอธิบายว่าทีมผู้บริหารมีนโยบายจะแบ่งแผนกบัญชีเป็นส่วนๆ เพื่อดูแลงานที่ขยายออกไปให้จัดงานได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ โดยมีทีมบัญชีใหญ่ควบคุมทีมย่อยๆ เพื่อให้เห็นในภาพรวมทั้งหมด

“กุนมีความเห็นยังไงกับเรื่องนี้” พี่มาลีถามฉัน

“กุนเห็นด้วยนะคะ การที่แบ่งส่วนงานให้ดูแลรับผิดชอบส่วนงานที่ขยายออกไป ทีมไม่ใหญ่มากไม่เทอะทะบริหารจัดการงานได้สะดวกและดำเนินการได้รวดเร็วดี แต่ก็มีข้อเสียนะคะถ้าทีมที่ทำงานมีคนไม่เชี่ยวชาญหรือขาดความรับผิดชอบ ส่วนงานนั้นอาจเกิดปัญหาได้ แต่ที่น่ากังวลกว่าคือ หากทีมใหญ่ควบคุมไม่ดีเกิดความหละหลวม อาจเกิดการทุจริตโดยที่ทีมบัญชีนั้นตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้ค่ะ”

พี่มาลียิ้มอย่างถูกใจ “…พี่ก็เห็นแบบนั้น พี่จึงเสนอให้กุนเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกย่อยเข้าไปให้บอร์ดบริหารพิจารณา ซึ่งบอร์ดก็เห็นด้วย เหลือแต่ตัวกุนเองแล้วว่าจะว่ายังไง”

ฉันดีใจระคนไปกับความกังวลใจ เพราะทีมย่อยที่ฉันต้องไปเป็นหัวหน้าแผนกคุมทีมนั้นมีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีของทุกทีมย่อยที่บริษัทขยายออกไป นั่นหมายความความว่าฉันมีหน้าที่ดูแลตรวจสอบบัญชีทุกบัญชีของบริษัทนี้

“กุนขอบคุณที่พี่มาลีและบอร์ดบริหารไว้ใจกุนคะ แต่ถึงยังไงกุนก็ยังอ่อนประสบการณ์ กุนยินดีรับหน้าที่นี้คะ แต่ก็ต้องขอความกรุณาให้พี่มาลีช่วยดูแลและแนะนำกุนด้วยนะคะ”

พี่มาลียิ้มรับเหมือนอย่างเคย “พี่เชื่อว่ากุนทำหน้าที่นี้ได้ดีแน่นอน และไม่ต้องห่วงนะ มีอะไรเดินเข้ามาหาพี่ได้เสมอ”

 

คุณมีความเชื่อเรื่องรอบอายุแห่งการเปลี่ยนแปลงไหมคะ

ฉันเรียนจบและแต่งงานเมื่ออายุ 22 ปี ฉันได้รับการเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าแผนกตรวจสอบบัญชีเมื่ออายุ 32 ปี ปีนั้นตานะเพิ่งเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ยายนันท์และตาสืบเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทั้งคู่ ธารียังคงทำอาชีพนายหน้าเช่นเดิม ส่วนพ่อแม่นั้นแม้สุขภาพจะร่วงโรยไปตามวัย แต่ก็ยังนับว่าแข็งแรงมาก ท่านทั้งสองยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ ยังคงไปส่งหลานๆ ไปโรงเรียน และขับรถไปตามอากาศในจังหวัดใกล้ๆ เช่น เพชรบุรี หัวหิน ชลบุรี หรืออาจเลยไปไกลกว่านั้นบางเล็กน้อย

และในปีที่ฉันอายุครบ 32 ปีนี้เองที่ชีวิตของฉันถึงจุดเปลี่ยนอย่างร้ายแรง

ฉันจำวันนั้นได้ดี วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของวันหยุดยาวติดต่อกัน 4 วัน พี่ติขึ้นมาเยี่ยมลูกที่กรุงเทพฯ เด็กๆ ร้องขอให้พี่ติพาไปเที่ยวสวนสนุกแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว แม้จะไกลจากบ้านเรามากพอสมควร แต่พี่ติก็ไม่อิดออด ไม่ว่าเด็กๆ จะร้องขออะไร พี่ติเอ่ยปากชวนฉันไปด้วย แต่ฉันยังไม่อยากไป เพราะยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูกหากต้องอยู่กับพี่ติเพียงสองต่อสองยามที่เด็กๆ ไปเล่นเครื่องเล่น บัดนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว ฉันไม่ได้รู้สึกโกรธพี่ติเหมือนอย่างวันแรกๆ แต่ก็รู้สึกไม่สนิทใจที่จะเข้าไปพูดคุยอย่างคนเคยสนิทชิดเชื้อกัน คงเหมือนกับคำภาษิตโบราณที่ว่า ‘กินน้ำเห็นปลิง’

ผ่านมาหลายปีที่ฉันเฝ้ารอให้พี่ติพาผู้หญิงคนที่อ้างว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องมายืนยันตัว แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

แม้นายขวด เครือแก้ว และศศิ ต่างผลัดเปลี่ยนมาทั้งหว่านล้อมและเตือนฉันอย่างไร ฉันก็ยังยืนยันคำเดิม

“เอาญาติของเธอมายืนยันสิ ฉันจะเชื่อ” ฉันบอกนายขวด

“เหมือนฉันจะมุสา แต่มันเป็นความจริงนะกุน ตั้งแต่วันนั้น พวกเราก็ไม่มีใครติดต่อคามิลเลียได้เลย ทั้งโทรทางไกลข้ามทวีปทั้งจดหมาย ไม่มีอะไรตอบกลับ” นายขวดพูดอย่างจนใจ

“ก็เพราะญาติคนนี้มันไม่มีตัวตนไงนายขวด” ฉันย้อน

“เราคบกันมานานนะกุน ถึงฉันจะตลกคะนองอย่างไร แต่ฉันก็ไม่เคยโกหก เธอน่าจะรู้ความจริงข้อนี้” นายขวดเริ่มหัวเสีย ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ฉันก็แปลกใจนะที่คนฉลาดๆ อย่างเธอ บทจะโง่ขึ้นมาก็โง่งี่เง่าได้อย่างร้ายกาจทีเดียว… นี่ฉันถามเธอหน่อยกุน เธอไม่คิดว่ามันบ้าไปหน่อยหรือกับเรื่องแค่นี้ที่เธอจะทำให้ครอบครัวของเธอร้าวฉาน… ถ้าพี่ตินิสัยเจ้าชู้เหมือนลุงใหญ่แล้วมีเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว ฉันจะเป็นคนแรกเลยที่เข้าข้างเธอ…แต่นี่เธอก็เห็นว่าพี่ติไม่ใช่คนเจ้าชู้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร”

‘พ่อของฉันก็ไม่เคยเจ้าชู้นอกลู่นอกทาง…จนวันที่ต้องอยู่ห่างจากแม่… แล้วจะไม่ให้ฉันหวั่นใจได้อย่างไรว่าพี่ติจะไม่เป็นอย่างนั้น…’ ฉันเพียงแต่นึกค้านขึ้นในใจ เพราะถึงอย่างไรฉันก็ไม่อาจกล่าวตำหนิพ่อให้คนอื่นฟังได้

ฉันไม่รู้ว่าเพราะความกลัวเรื่องที่เคยเกิดกับแม่จะย้อนรอยมาเกิดกับฉัน หรือทิฐิมานะที่ทุกคนต่างบอกว่าฉันมีความคิดที่เหลวไหล ตัดสินใจอย่างไร้น้ำหนักน่าเชื่อถือ ทำให้ฉันยิ่งมีความคิดยึดมั่นถือมั่นเอาว่า หากพี่ติไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามที่ฉันลั่นวาจาไว้ อย่างไรฉันก็จะไม่ยอมคืนดีด้วยเด็ดขาด…

 



Don`t copy text!