ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 6 : บ้างร่วงโรยรา (2)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 6 : บ้างร่วงโรยรา (2)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

อาหารเที่ยงมื้อนั้นของฉันกับเครือแก้วเงียบงันกว่าปกติ ต่างคนต่างกินจนอิ่ม

“ของหวานล้างปากหน่อยไหมเครือ…” ฉันถามก่อนที่จะก้มลงเลือกของหวานในรายการอาหาร ก่อนจะสั่งบริกรที่กำลังรอให้บริการ “…ทับทิมกรอบหนึ่งที่ค่ะ”

“ไม่เอาละ หมอสั่งห้าม” เครือแก้วตอบสั้นๆ ส่วนบริกรรับคำสั่งแล้วก็ออกไปส่งรายการของหวานที่ครัว

“ไหนเธอมีอะไรสำคัญจะบอกฉัน” ฉันถามเครือแก้ว

“ฉันกำลังจะย้ายไปอยู่ที่…” เครือแก้วเอ่ยชื่อจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ

“ทำไมต้องย้ายล่ะเครือ ที่บ้านเธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

“ที่บ้านไม่มีปัญหาหรอก แต่ฉันมี…” เครือแก้วตอบ

“พูดให้มันชัดๆ หน่อยเครือแก้ว เธอมีปัญหาอะไร มีอะไรที่ฉันช่วยเธอได้ไหม” ฉันซักอย่างร้อนใจ

“เรื่องสุขภาพน่ะกุน หลังจากที่เกิดเรื่องนายขวด ฉันก็กังวลเรื่องสุขภาพตัวเองขึ้นมา เธอก็รู้ทั้งฉันและนายขวดมีพฤติกรรมหลายอย่างคล้ายกัน ผิดแต่ว่าฉันไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้าอย่างนายขวด แต่เธอก็เห็นใช่ไหมว่าฉันมีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตั้งแต่ยังสาว มันก็เสี่ยงน้อยอยู่เสียเมื่อไร ฉันตัดสินใจเด็ดขาดไปตรวจสุขภาพแบบชุดใหญ่ไฟกะพริบมา รู้ไหมฉันเจออะไร…มาครบเลยละจ้ะกุนจ๋า เบาหวาน ความดัน หัวใจขาดเลือด ระดับคอเลสเตอรอลสูงปรี๊ด ยูริคก็ไม่น้อย สารพันจะมี ฉันเลยคิดว่าต้องหันมาดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นด้วยล่ะ อยู่กรุงเทพไม่ดีกว่าหรือ ทั้งใกล้มดใกล้หมอ แถมยังมีญาติๆ ดูแล”

“ที่นั่นก็มีหมอเก่งๆ เยอะนะยายกุน ส่วนเรื่องมีญาติคอยดูแล เธอลืมไปหรือเปล่าว่าฉันมันคนโสด พี่ๆ น้องๆ ที่มีก็แก่พอๆ กันกับฉันหมดแล้ว ลำพังดูแลตัวเองก็ลำบากจะแย่ จะเอาเวลาที่ไหนมาช่วยดูแลฉันเล่า จะหวังพึ่งหลานๆ หรือ อย่าหวัง…แค่พวกเขาดูแลพ่อแม่ตัวเองให้ดีก็ยากแล้ว แล้วนี่จะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลฉัน อย่าว่าฉันมองโลกในแง่ร้ายเลย ถ้ามีอะไรขึ้นมาเขาคงปล่อยให้ฉันนอนแห้งตายแล้วค่อยมารุมทึ้งสมบัติของฉันสบายๆ ไปเท่านั้นเอง”

“แล้วเธอจะไปอยู่ยังไง ญาติโยมก็ไม่มี เกิดอะไรขึ้นใครจะดูแลเธอ” ฉันซักหนักขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“โอ้ยไม่ต้องห่วง ฉันศึกษามาดีแล้ว เธอฟังนะกุน…” เครือแก้วเล่าให้ฉันฟังว่าสถานที่ที่ตัวเองจะย้ายไปอยู่เป็นโครงการเพื่อผู้สูงอายุ ดำเนินงานโดยบริษัทเอกชนที่จัดสรรพื้นที่เป็นชุมชนของผู้สูงอายุ ในรูปแบบคอมมูนิตี้ มีที่พักหลากหลายแบบตามแต่ความต้องการและงบประมาณ เน้นความสะดวกและความปลอดภัย มีบุคลากรทางการแพทย์ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง มีกิจกรรมที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ และกิจกรรมพิเศษรายเดือน

“ฉันบินไปสำรวจมาแล้ว น่าอยู่มาก โครงการอยู่ในหุบเขาอากาศดีตลอดปี สงบอีกต่างหาก เดินทางเข้าเมืองก็ไม่ยาก เพื่อนๆ ก็คนวัยเดียวกันน่าจะไม่เหงา นี่ฉันจองสิทธิ์แบบบ้านทรงบังกะโลเดี่ยวเอาไว้ เผื่อเธอมาเยี่ยมจะได้มาพักกับฉันได้”

“แล้วค่าใช้จ่ายล่ะเธอ ฟังเธอเล่าแล้วบริการดีขนาดนั้นน่าจะค่าใช้จ่ายสูง”

“โอ๊ย นักบัญชีอย่างเธอก็ห่วงแต่เรื่องเงินนั้นละ ไม่ต้องห่วง…เธออย่างลืมสิฉันมีเงินบำนาญกินทุกเดือน ฉันวางแผนไว้แล้วว่าเงินบำนาญของฉันจะพอจ่ายค่าบริการรายเดือน แล้วยังเหลือเงินอีกนิดหน่อยสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนตัว ส่วนค่าแรกเข้าฉันมีเงินเก็บ เมื่อจ่ายแล้วก็ยังเหลือเงินเก็บอีกก้อนสบายๆ แล้วนี่ฉันขอให้สำนักงานทนายความของนายขวดช่วยบอกขายบ้านที่กรุงเทพให้แล้วนะ ถ้าขายได้ฉันยิ่งสบายมีเงินใช้ไปจนอายุครบร้อยปีเลยทีเดียว แต่สำคัญที่ว่าฉันจะอายุอยู่ถึงร้อยปีหรือเปล่าเท่านั้นเอง”

“บ้านนั้นเป็นมรดกที่พ่อแม่ของเธอมอบให้เลยนะ” ฉันท้วง

“พ่อแม่ให้ฉันแล้วมันก็ของฉันสิ ในส่วนของพี่ๆ น้องๆ คนอื่น พ่อแม่ท่านก็แบ่งให้แล้วเท่าๆ กัน ลูกฉันก็ไม่มีจะเก็บไว้ให้ใครกัน ตายไปก็เอาไปไม่ได้ สู้ขายมากินใช้ให้สุขสบายในชาตินี้เสียไม่ดีกว่าหรือ” เครือแก้วพูดอย่างเป็นเรื่องปกติทั่วไป ราวกับบ้านหลังนั้นราคาแค่ห้าบาทสิบบาทไม่ใช่ราคาหลักสิบล้านขึ้นไปเช่นนี้

“ฉันคงต้องคิดถึงเธอมากแน่ๆ” ฉันพ้อ

“โอ๊ยเวอร์ เล่นใหญ่นะยายกุน คิดถึงก็โทรหาสิ วิดีโอคอลก็ได้ถ้าอยากเห็นหน้า ถ้าว่างก็บินมาหาฉันสิ ชั่วโมงเดียวเอง…ฉันให้โครงการไปรับ หายคิดถึงก็กลับบ้าน มันจะยากตรงไหนกัน”

ฉันพยักหน้าตอบรับ

“ว่าแต่เรื่องของเธอเถอะ นี่ไปตรวจสุขภาพบ้างหรือยัง เห็นยายนันท์มันว่าชวนเธอไปหลายทีแล้วแต่เธอก็บ่ายเบี่ยงทุกครั้ง” เครือแก้ววกมาเรื่องฉัน

“ฉันไม่ไปหรอก ไม่อยากรู้” ฉันตอบ

“พูดบ้าๆ น่ากุน ต้องตรวจสิ ถ้าปกติดีก็จะได้สบายใจ ถ้ามีแนวโน้มจะป่วยก็ได้ดูแลป้องกัน ถ้าป่วยก็จะได้รักษา รักษาแต่เนิ่นๆ มันง่ายกว่ามารักษาตอนป่วยหนัก” เครือแก้วบอกฉัน

“ไม่ละ ถ้าจะตายก็ให้มันตายไปเลย ฉันไม่กลัวตายหรอกนะ”

เครือแก้วยื่นหน้ามาใกล้ฉัน “ฮึ เธอนี่มันประหลาด ไม่กลัวตายแต่กลัวการไปตรวจสุขภาพ อย่ามาพูดเลยว่าไม่กลัวตาย มันก็แค่คำปลอบใจเท่านั้นละ”

“ฉันไม่กลัวตายจริงๆ นะ” ฉันเสียงแข็งตอบ

“อะก็ได้ เธอไม่กลัวตาย แต่ถ้าโรคมันไม่ทำให้เธอตายในทันทีทันใดเลยละ ถ้าโรคมันทำให้เธอทรมานใช้ชีวิตลำบากต่อไปอีกสักห้าปีสิบปีแล้วค่อยตายล่ะ เธอจะไหวหรือ เธอคิดสิว่าเธอสามารถทนอยู่ในสภาพอย่างนายขวดไหวหรือ  ฉันจะไม่ว่าเลยนะ ถ้าเธอมีสวิตช์ชีวิตของตัวเอง ที่สามารถกดปิดเองได้ตามคำสั่ง ‘โอเคฉันใช้ชีวิตพอแล้ว ขอปิดสวิตช์ชีวิต แป้ก! ยุติทุกอย่าง’ มันทำแบบนั้นไม่ได้ไงกุน ฉันเลยขอให้เธอไปตรวจสุขภาพเพื่อที่จะได้รับมือกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา…ไปตรวจเถอะฉันขอร้อง เพื่อตัวเธอเอง”

เครือแก้วขับรถมาส่งฉันที่บ้าน ก่อนย้ำว่า “ไปตรวจสุขภาพนะยายกุน เลิกดื้อ…เลิกกลัว…”

 

ฉันยังดื้อดึงไม่ยอมไปตรวจสุขภาพอยู่ดี จนวันหนึ่งร่างกายมันก็ออกอาการฟ้องขึ้นมา

ช่วงแรกฉันไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไรที่ทำให้ฉันมีอาการปวดตึงที่ท้ายทอย ลามไปจนปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ใจสั่น เป็นอย่างนี้ติดกันมาหลายวัน ฉันคาดไปเองว่าน่าจะเป็นเพราะความเครียดที่สะสมจากเหตุการณ์ร้ายที่ประสบมาติดๆ กัน จึงพยายามพักผ่อนให้มากขึ้น แต่อาการเหล่านี้ก็ไม่ได้ทุเลา จนเย็นวันหนึ่งที่มีอากาศร้อนมากกว่าปกติ ฉันเริ่มมีอาการมือชาและตามัวเพิ่มเข้ามา

‘เป็นลม ฉันต้องเป็นลมเพราะอากาศที่ร้อนจัดแน่นอน’ ฉันจัดแจงหายาลมมาละลายกับน้ำร้อนมาค่อยๆ นั่งจิบ มืออีกข้างก็ถือยาดมจ่อไว้ที่ปลายจมูก ใครจะรู้ว่ายายนันท์จะกลับบ้านมาเห็นสภาพของฉันพอดี

“แม่เป็นอะไรไปคะ” ยายนันท์วางกระเป๋าทำงานแล้วตรงมาหาฉัน

“อากาศร้อน แม่น่าจะเป็นลมนะ กินยาลมยาหอมแล้ว เดี๋ยวก็น่าจะดีขึ้น” ฉันตอบ

ยายนันท์เดินไปหยิบผ้าชุบน้ำเย็นมาลูบหน้าลูบตาให้ฉัน “ค่อยยังชั่วขึ้นบ้างไหมคะ”

ฉันพยักหน้ารับ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย แต่ด้วยความกลัวว่าลูกจะเป็นห่วง และอาจถูกบังคับให้ไปหาหมอ ฉันจึงพยายามแข็งใจทำเหมือนดีขึ้นแล้ว

“ดีขึ้นมาแล้ว…เดี๋ยวแม่ขอขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย ร้อนจนเหงื่อออกขนาดนี้ เหนียวตัวไปหมด” ฉันพยายามหาทางปลีกตัวออกมาจากยายนันท์ เพราะกลัวสายตาจับผิดของลูก แต่สังขารฉันไม่ให้ความร่วมมือด้วย เพียงแค่ลุกขึ้นยืนฉันก็รู้สึกหน้ามืด จนล้มแปะลงไปอีกที ไม่รอให้ฉันพูดแก้ต่างอะไรอีกแล้ว ยายนันท์โทร.เรียกรถพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านมารับฉันทันที

ฉันนั่งรถเข็นของโรงพยาบาล ในมือยังถือยาดมจ่อที่จมูก ก่อนพูดบ่นลูกเพื่อแก้ต่างว่า “โถ…ยายนันท์จะตื่นตูมไปทำไม แม่แค่เป็นลมเพราะอากาศร้อนก็เท่านั้น ทำเป็นเรื่องใหญ่โตต้องตามรถพยาบาลให้วุ่นวาย”

“เป็นลมหรือเป็นอะไรรอคุณหมอมาแจ้งดีกว่าค่ะ อีกสักครู่ก็รู้แล้ว” ยายนันท์ตอบฉันเสียงนิ่ง

เจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินมะรุมมะตุ้มฉันอยู่สักพักหนึ่ง แล้วก็ปล่อยให้ฉันนอนนิ่งๆ “ความดันโลหิตสูงมากนะคะ นอนพักสังเกตอาการสักพัก ถ้าไม่มีอาการอะไรคุณหมอน่าจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ค่ะ”

ฉันนอนพักนิ่งๆ ในห้องฉุกเฉินสักประมาณชั่วโมง พยาบาลก็เดินมาบอกว่า “คุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ ว่าแต่ผู้ป่วยมีญาติมาด้วยไหมคะ”

“มากับลูกสาวค่ะ ลูกสาวอยู่ข้างนอก มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันถามด้วยความกังวล

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณหมออยากคุยกับผู้ป่วยและญาติด้วยพร้อมกันคะ” เจ้าหน้าที่อธิบาย

เจ้าหน้าที่ไปเชิญตัวยายนันท์เข้ามาในห้องเพื่อพบหมอพร้อมกับฉัน

“คุณกุนตีความดันสูงมากเลยนะครับ อีกทั้งยังไม่มีประวัติการรักษาที่นี่เลย หมอจึงไม่แน่ใจว่าคุณกุนตีมีโรคประจำตัวอะไรด้วยอีกหรือเปล่า” คุณหมอเข้าเรื่อง

“ไม่มี ไม่มีหรอกค่ะ ดิฉันแข็งแรงดี” ฉันตอบรัวจนลิ้นแทบพันกัน

“คุณกุนตีตรวจสุขภาพประจำปีล่าสุดเมื่อไรครับ”

“ก็ไม่นานมานี้เองค่ะ”

“ไม่นานอะไรกันแม่ นันท์เห็นแม่ตรวจล่าสุดเมื่อก่อนเกษียณ นี่ก็ผ่านมาตั้งห้าหกปีแล้ว นันท์ยังไม่เห็นแม่ตรวจอีกเลย” ยายนันท์แฉความจริงต่อหน้าหมอ

“อืม  ถ้าอย่างนั้นหมอขอให้ตรวจสุขภาพอย่างละเอียดเลยดีไหมครับ เราจะได้รู้ว่าความดันโลหิตสูงเกิดจากอะไร จะได้ดูแลกันถูกต้องและเหมาะสม”

“ดิฉันยังไม่ค่อยว่างคะ” ฉันรีบบ่ายเบี่ยง

“แม่มีธุระอะไรคะ นันท์เห็นแม่ก็ว่างตลอดช่วงนี้” ยายนันท์ขัดฉัน

“แกจะไปรู้อะไรยายนันท์ ธุระฉันเยอะแยะจะตาย”

“พรุ่งนี้แม่มีธุระอะไรคะ บอกนันท์เลย นันท์จะได้ไปแจ้งเลื่อนธุระแม่ก่อน” ยายนันท์ดักทางฉัน

คุณหมอมองดูฉันและยายนันท์เถียงกันเรื่องยุ่งเรื่องว่างอย่างใจเย็น สุดท้ายฉันก็เห็นคุณหมอแอบยิ้มอย่างเห็นขัน เมื่อยายนันท์จัดการให้ฉันตรวจสุขภาพโดยไม่ยอมให้กลับบ้าน

“เอาอย่างนี้ค่ะคุณหมอ คืนนี้ดิฉันขออนุญาตให้แม่แอดมิตพักผ่อนเสียที่โรงพยาบาลเลย พรุ่งนี้จะได้จัดการตรวจสุขภาพชุดใหญ่ คุณหมอจะเจาะเลือด จะจับเข้าเครื่องเอกซเรย์ เอ็มอาร์ไอ หรือแมมโมแกรมอะไรก็ทำเลยค่ะ”

“จริงๆ กลับไปพักที่บ้านก็ได้นะครับ แค่งดน้ำงดอาหารหลังเที่ยงคืน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเจาะเลือดที่โรงพยาบาลก็ได้ครับ”

“ขอนอนพักที่นี่ดีกว่าค่ะคุณหมอ ดิฉันกลัวว่าพรุ่งนี้จะแงะแม่มาโรงพยาบาลลำบาก”

“อืม อย่างนั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเขียนคำสั่งให้นอนโรงพยาบาลให้ ส่วนเรื่องแพ็กเกจตรวจสุขภาพ สักครู่จะมีเจ้าหน้าที่ไปเสนอที่ห้องพักผู้ป่วยนะครับ”

ฉันอ้าปากจะค้าน แต่คุณหมอก็ลุกออกไปจากตรงนั้นแล้ว สักพักเดียวก็มีเจ้าหน้าที่มาเข็นรถฉันไปส่งที่ห้องพัก ความจริงฉันอยากจะลุกเดินหนีกลับบ้านเสียเดี๋ยวนั้น แต่อาการวิงเวียนและปวดตึงที่ต้นคอยังไม่หายดีนัก กลัวว่าหากลุกขึ้นเดินไปเองอาจล้มฟุบลง จึงยอมเลยตามเลยให้เจ้าที่เข็นไปส่งที่ห้องพักแต่โดยดี

 

ฉันนั่งคอตกบนที่นั่งข้างคนขับ ยายนันท์ขับรถไปพร้อมหันหน้ามาส่งสายตาพิฆาตเป็นระยะ ฉันไม่ได้ทำผิด ฉันไม่ได้เลี่ยงภาษี ฉันไม่ได้แอบสูบกัญชา แค่ฉันป่วยเป็นเบาหวาน ความดัน และยังไม่อยากกินยา…ฉันอยากรู้จริงๆ การส่งสายตาพิฆาตใส่ให้ในรถนี่ยายนันท์มันไปได้จากใครมา

“แกอย่ามามองแม่ด้วยสายตาแบบนี้นะยายนันท์ แม่แค่ป่วย แม่ไม่ได้ฆ่าใครตาย” ฉันทนความอึดอัดไม่ไหว จึงระเบิดพลังออกไป หวังข่มให้ยายนันท์กลัวและลดราวาศอก

“แม่ไม่ได้ฆ่าใครก็จริง แต่แม่กำลังทำให้ตัวเองเดือดร้อน เท่านั้นไม่พอแม่ยังทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะความเอาแต่ใจของแม่” ยายนันท์ตอบเสียงนิ่ง

“แม่ทำใครเดือดร้อนกัน”

“หนูนี่ไงคะที่เดือดร้อน แม่คิดไหมคะว่าถ้าแม่ป่วยหนูจะต้องกังวลห่วงแม่เพิ่มขึ้นอีกแค่ไหน นี่ยังไม่รวมหมอ พยาบาลที่ต้องเพิ่มภาระมาดูแลสุขภาพแม่อีกนะคะ ลำพังแม่ป่วยก็พอทำเนา นี่ป่วยด้วย ดื้อดึงไม่ยอมรักษาด้วย แม่ไม่คิดหรือคะว่าหมอกับพยาบาลเขาจะมีภาระเพิ่มขึ้นแค่ไหน”

“แล้วใครบอกกันว่าแม่จะไม่รักษา” ฉันเถียง

“การที่แม่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตรวจสุขภาพมาตั้งแต่เกษียณนี่ละค่ะ มันส่อเจตนาว่าแม่ไม่ยอมรับความเจ็บป่วยของตัวเอง และทำให้เห็นว่าแม่จะไม่ยอมรับการดูแลรักษาสุขภาพ…”

“ก็แม่…” ฉันนึกคำโต้เถียงไม่ออก พลันภาพเก่าบางภาพก็ฉายกลับออกมาในความทรงจำ

‘ยายนันท์แค่กินยามันยากนักหรือไง แม่รู้ว่ามันขม แต่ถ้าลูกไม่กินก็ไม่หาย รู้จักรับผิดชอบตัวเองบ้างสิ นี่ถ้าลูกไม่กินยาอาการไข้มันหนักขึ้น แม่ก็ต้องพาลูกไปหาหมออีก ลำพังแม่ลำบากพาลูกวนไปมาโรงพยาบาลกับบ้าน แม่ทำได้เพื่อลูกของแม่ ให้เหนื่อยจนสายตัวแทบขาดแม่ก็ทำได้ แต่นันท์เคยคิดถึงหมอและพยาบาลที่ทำงานไหมว่า เขาต้องเสียเวลามาดูแลรักษาลูก ทั้งๆ ที่ลูกสามารถกินยาและหายได้โดยไม่ต้องไปเพิ่มภาระให้หมอกับพยาบาลอีกรอบ ซึ่งเขาจะได้เอาเวลาไปดูแลคนที่ป่วยหนักกว่าและจำเป็นกว่าเรา ลูกต้องคิดบางนะลูกว่าความเอาแต่ใจของเราจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นหรือไม่…’

 “จากนี้ไปหนูคงต้องดูแลเรื่องสุขภาพและการใช้ชีวิตของแม่ให้เข้มงวดและรอบคอบกว่าเดิมเสียแล้ว เริ่มจากบรรดาขนมที่แม่ขนซื้อมาใส่ตู้เย็นเสียก่อนเป็นอย่างแรกเลย…”

ฉันนั่งคอตกยอมรับชะตากรรมด้วยความจำนน…ไม่ต่างกับยายนันท์เมื่อตอนยังเด็กที่ถูกฉันอบรมชุดใหญ่ในรถ แต่มันต่างกันที่ว่าบัดนี้เราแม่ลูกต่างสลับหน้าที่กันเท่านั้นเอง

 



Don`t copy text!