ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 8 : ก้าวไม่เท่าทัน (2)
โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ
ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co
สองสามวันแรกหลังจากเกิดเรื่อง ฉันอยู่ไม่เป็นสุขเลย ผุดลุกผุดนั่งทั้งวันด้วยความกระวนกระวาย เมื่อมีรถมาจอดที่หน้าบ้านก็ยิ่งกังวลว่าจะเป็นหมายศาลตามที่ทนายของยายนักแสดงสาวคนนั้นกับยายนันท์ขู่ฉันไว้ มีเพียงธารีคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจความกังวลของฉัน จึงมีถ้อยคำปลอบโยนเสมอ เช่น “อย่ากลัวเลยค่ะ ใครๆ เขาก็ด่ายายคนนี้กันทั้งนั้น มีปัญญาฟ้องไหวกันหรือคะ คนรุมด่านางกันเป็นร้อยเป็นพัน”
หรือ “พี่กุนอย่ากลัวไปเลยค่ะ พี่กุนทำถูกแล้ว”
จนเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ฉันก็รู้สึกเบาใจขึ้นว่าไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นแล้ว และมีความเห็นคล้อยตามธารีที่ว่า ‘คนเป็นร้อยเป็นพันจะเอาเวลาจากไหนมาฟ้อง’ โดยลืมคิดไปว่า เพราะคนด่าเป็นเป็นร้อยเป็นพัน เจ้าทุกข์ก็คงต้องใช้เวลานานหน่อยในการรวบรวมข้อมูลเพื่อฟ้อง
เมื่อฉันมั่นใจว่ายายดาราสาวคนนั้น ไม่ได้ดำเนินเรื่องฟ้องและไม่มีทางฟ้องให้เสียเวลา ฉันก็เริ่มย่ามใจ หันมาใช้ชีวิตตามปกติอย่างปราศจากความกังวลใดๆ
โบราณว่าก่อนจะเกิดพายุใหญ่ลมฟ้าอากาศจะเงียบสงบผิดปกติ เรื่องของฉันก็เช่นกัน
บ่ายวันหนึ่งมีใครบางคนมากดออดเรียกเพื่อให้รับเอกสารบางอย่างที่หน้าบ้าน ธารีเป็นคนเซ็นชื่อรับแล้วเดินเข้ามาในบ้านก่อนที่จะส่งซองจดหมายมีตราครุฑซองหนึ่งให้ฉัน ฉันมือสั่นรับมาซองมาเปิดอย่างทุลักทุเลเต็มทน ก่อนจะครางออกมาเบาๆ ว่า “หมายศาล…” ก่อนสมองจะพร่าเลือนอย่างอับจนปัญญา
ฉันจินตนาการอย่างคนไม่รู้ว่า แค่พิมพ์ด่าประโยคเดียวจะต้องติดคุกอยู่กี่ปีเพื่อชดใช้ความผิด แล้วในคุกจะลำบากแค่ไหน ฉันจะปรับตัวเข้ากับสังคมในนั้นได้หรือไม่ แล้วชื่อเสียงวงศ์ตระกูลที่พ่อแม่สั่งสมมาจะต้องมาพังทลายในมือลูกสาวอย่างฉันหรือไม่ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวตุบๆ สายตาพร่าเลือนจนต้องล้มตัวลงนอนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นทั้งวันจวบจนเย็น
ยายนันท์กลับมาถึงบ้านในช่วงเย็น ก็เห็นฉันนอนหงายเอามือก่ายหน้าผาก ส่งเสียงถอนหายใจดัง ‘เฮ้อๆ เฮ้ยๆ’ อยู่ตลอด
“แม่เป็นอะไรคะ ไม่สบายหรือเปล่า ไปหาหมอไหม” ยายนันท์ถาม
ฉันไม่กล้าตอบ ได้แต่พลิกตัวหันหลังให้ลูก ฉันกลัวการบอกความจริงว่ามีหมายศาลที่แม่ดาราสาวคนนั้นฟ้องส่งมาถึงบ้านแล้ว
หลังจากได้รับหมายศาลและฉันได้กระดกยาหอมยาลมไปเสียหลายจอกแล้ว ก็วางแผนกับธารีว่า เมื่อยายนันท์กลับมา ฉันจะนอนนิ่งๆ อย่างคนเป็นทุกข์เป็นร้อน เมื่อยายลูกถามก็ให้ธารีเอาหมายศาลไปให้ยายนันท์อ่านเอง
ธารีหยิบหมายศาลไปให้ยายนันท์ แล้วพูดว่า “น่าจะไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ละค่ะน้องนันท์ นี่ก็ยังไม่ยอมกินอะไรเลยตั้งแต่บ่าย”
ยายนันท์เปิดซองแล้วหยิบเอกสารมาอ่านอย่างละเอียด
“น้องนันท์ อย่าโกรธแม่เลยนะคะ อย่าดุแม่ด้วย แม่เสียใจมากแล้ว”
“นันท์ยังไม่พูดอะไรสักคำเลยค่ะน้าธารี” พูดจบยายนันท์ก็เดินขึ้นห้องไป
หัวใจฉันตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่รู้แม่เจ้าประคุณนันท์จะเล่นงานฉันยังไง สักพักเสียงประตูห้องของลูกก็เปิดออก ฉันได้ยินเสียงแว่วๆ ว่า ‘นันท์ไม่รู้จะพึ่งใครแล้วเหมือนกันเรื่องนี้ คุยกับพี่นะ พี่นะก็บอกว่าให้ดำเนินการไปตามกฎหมาย ผิดก็ยอมรับผิด แล้วแต่เจ้าทุกข์จะเรียกร้องให้ทำอะไร หรือชดเชยยังไง แต่นันท์คิดว่าจะให้แม่ไปขึ้นโรงขึ้นศาลก็กลัวเรื่องจะยิ่งบานปลาย ถ้ากฤตย์พอมีช่องทางประนีประนอมกันก่อนขึ้นศาลได้ นันท์ก็ว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดี ยังไงนันท์รบกวนกฤตย์ด้วยนะ…ขอบคุณค่ะ’
ลูกเดินมาหาฉัน…ฉันเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องโดนยายนันท์ตำหนิแบบที่เด็กวัยรุ่นในโลกออนไลน์ชอบพูดว่า ‘จัดให้ชุดใหญ่ไฟกระพริบวิบวับ’ แต่เปล่าเลยยายนันท์เดินมาหยุดที่ฉันแล้วแบมือออก “นันท์ขอโทรศัพท์ของแม่ด้วยค่ะ”
ฉันผวาคว้าโทรศัพท์มือถือมากอดไว้กับตัว นี่มันของสำคัญในชีวิตประจำวันเลยนะ
“แกจะเอาไปทำอะไร เอาไปแล้วแม่จะใช้อะไรล่ะ ถ้าเกิดเรื่องฉุกเฉินแล้วแม่จะโทรหาแก โทรหารถพยาบาลได้ยังไง”
“เรามีโทรศัพท์บ้านค่ะแม่ แล้วนันท์ก็ยึดแค่วันเดียวพรุ่งนี้นันท์จะเอาเครื่องใหม่มาเปลี่ยนให้”
“น้องนันท์จะเปลี่ยนโทรศัพท์รุ่นใหม่ให้แม่เหรอคะ” ธารีถาม
“ค่ะ นันท์จะเปลี่ยนโทรศัพท์ให้แม่ใช้รุ่นที่แค่โทรออกและรับสายได้เท่านั้นคะ จนกว่าแม่จะรู้เท่าทันการใช้สื่อออนไลน์และมารยาทในโลกออนไลน์ค่ะ นันท์ถึงจะให้แม่กลับมาใช้สมาร์ตโฟนเหมือนเดิม”
“นี่แกทำอย่างกับแม่ทำผิดมากมาย แม่แค่หวังดีในฐานะผู้ใหญ่ ในฐานะแฟนคลับ ไม่อยากให้เขาทำผิดไปกว่านี้” ฉันพยายามแก้ตัว
“ข้อความที่แม่พิมพ์ลงไป ไม่ใช่คำตักเตือนด้วยความหวังดี แต่มาคือคำด่า คำเสียดสีให้ร้าย”
“เอาเถอะๆ ฉันยอมรับก็ได้ว่าฉันด่าแม่ดาราสาวคนนั้น แล้วก็การไปด่าคนอื่นมันก็ผิดอยู่หรอก แต่ความผิดมันถึงขั้นต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเลยหรือ ฉันไม่ได้ฆ่าคนตายสักหน่อย”
“แม่รู้ไหมคะว่า เราไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางชีวิตของเขาทั้งสามคน ถึงจะจริงอย่างที่แม่คาดการณ์ แต่แม่ก็ไม่ใช่คนที่มีส่วนได้รับผลกระทบกับการกระทำของเขา ดังนั้นแม่จึงไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา แม่ลองคิดสิคะ ถ้ามีคนเอาเรื่องชีวิตส่วนตัวของแม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ทั้งๆ ที่ไม่รู้ความจริง แม่จะรู้สึกยังไง ใจเขาใจเราค่ะแม่ อ้อ…แล้วที่ว่าแค่ด่าไม่ได้ฆ่าใครตายสักหน่อย สำหรับคนที่อ่อนไหวบางคน คำด่าก็เหมือนการเอามีดที่มองไม่เห็นกระหน่ำแทงเขาอย่างไม่ปรานี มีคนตั้งมากมายตายไปอย่างไม่เป็นธรรมเพราะคำด่าของคนอื่นนี่ละค่ะ…”
ยายนันท์พูดเสียจนใส่แต้มไม่ทัน…ภายหลังเมื่อฉันกลับมาใคร่ครวญในสิ่งที่ลูกพูดมา ฉันก็เห็นจริงตามลูกทั้งหมด แต่ตอนนั้นด้วยทิฐิมานะทำให้ฉันโกรธจนไม่ยอมรับเหตุผลใดๆ มีอย่างที่ไหนลูกจะมาสั่งสอนพ่อแม่ แต่ก็ต้องนิ่งเงียบเพราะจนถ้อยคำจะโต้เถียง
เมื่อสิ้นสุดบทสนทนาลูกก็เดินกลับขึ้นห้องไปอย่างหัวเสีย
“น้องนันท์นี่ก็แปลกคนนะคะ เห็นคนอื่นสำคัญกว่าแม่ได้ยังไง” ธารีพูดขึ้นหลังจากที่ยายนันท์ปิดประตูห้องของตัวเองเรียบร้อยแล้ว
ฉันพยักพเยิดรับคำของธารี แล้วก็ค้อนลมค้อนฟ้าไปตามเรื่อง แต่อย่างน้อยการที่ฉันได้ยินยายนันท์คุยโทรศัพท์เมื่อสักครู่ก็ทำให้พอเบาใจได้ว่า ลูกกำลังพยายามหาทางช่วยฉันอยู่ เมื่อฉันตระหนักในความจริงข้อนี้ก็ล้มตัวลงนอนหลับได้อย่างสบายใจขึ้น
เย็นวันถัดมาหลังจากยายนันท์กลับจากที่ทำงาน ก็ยื่นโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ทำงานได้เพียงโทร.ออกและรับสายให้ฉัน พร้อมทั้งพูดขู่ธารีว่า “น้าธารีคะ ถ้าน้าให้แม่ยืมโทรศัพท์ของน้าใช้ท่องโลกออนไลน์ แล้วแม่ไปพิมพ์ข้อความหมิ่นประมาทใครอีก คราวนี้น้าต้องร่วมรับผิดชอบด้วยนะคะเพราะมันเป็นมือถือของน้า ฉะนั้นทางที่ดีน้าอย่าให้แม่ใช้โทรศัพท์น้าจะดีกว่าค่ะ”
จากนั้นยายนันท์ก็หันมาพูดกับฉันว่า “แม่กดค้างเลขหนึ่งไว้สามวินาทีจะเครื่องจะโทร.ออกหาหนู เลขสองคือโรงพยาบาลประจำของแม่ เลขสามคือพี่นะ เลขสี่พ่อ เลขห้าน้าธารี เลขหกน้าเครือแก้ว ส่วนเลขศูนย์คือสถานีตำรวจนะคะ… อ้อ หนูโทรบอกน้าเครือแก้วแล้วว่าช่วงนี้แม่งดใช้สื่อออนไลน์ทุกอย่าง จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น หากน้าเครือแก้วอยากวิดีโอคอลคุยกับแม่ต้องรบกวนนัดล่วงหน้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์โดยคุยผ่านโทรศัพท์เครื่องของหนู แต่หากอยากโทรศัพท์ปกติ สามารถโทรหากันได้เลยค่ะ น้าเครือแก้วรับทราบตามนั้นค่ะ”
“ควบคุมพฤติกรรมอย่างกับสถานพินิจ” ฉันพึมพำ
“แม่ก็เลือกเอาแล้วกันค่ะว่าอยากให้ควบคุมแบบสถานพินิจ หรืออยากเข้าไปอยู่ในทัณฑสถานของจริงเลย” ยายนันท์สวนขึ้นทันที
ฉันก็ไม่รู้จริงๆ ว่า นิสัยช่างประชดประชัน และช่างต่อปากต่อคำเก่งนี่ยายนันท์มันได้มาจากข้างไหนกัน
“น้องนันท์ขา น้าขออนุญาตถาม แล้วเรื่องยุ่งๆ ของแม่น้องนันท์จะเรียบร้อยไหมคะ” ธารีถามตามที่ได้เตี๊ยมกับฉันไว้
“กฤตย์กำลังช่วยวิ่งเต้นอยู่ค่ะ…”
“อุ้ยดีเลยค่ะ ผู้กองกฤตย์คงใช้ตำแหน่งวิ่งเต้นไม่ให้เขาฟ้องแม่ใช่ไหมคะ” ธารีถามขึ้น
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะน้าธารี กฤตย์ไม่เคยใช้หน้าที่การงานมาเพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่กฤตย์รู้จักกับพี่ชายของคุณมีมี่ เขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันมาตั้งแต่เรียนมัธยม เอาเข้าจริงมีมี่ก็เป็นรุ่นน้องคณะเดียวกับนันท์แต่ไม่สนิทกัน กฤตย์กำลังติดต่อผ่านทางพี่ชายของมีมี่ขอไกล่เกลี่ยกันเป็นการส่วนตัวก่อน หากทำได้จะได้ถอนฟ้องและจบเรื่องก่อนขึ้นชั้นศาล”
“น้าฝากกราบขอบพระคุณผู้กองกฤตย์แทนแม่ด้วยนะคะที่ช่วยเหลือ”
ยายนันท์ได้ฟังคำพูดของธารีแล้วก็เหมือนตั้งท่าจะอธิบายอะไร แต่ก็นิ่งแล้วส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนเดินออกไปจากวงสนทนา
ผ่านไปสักระยะ ยายนันท์ก็มาบอกฉันว่าปัญหาได้จบลงแล้วด้วยดี ดาราสาวคนนั้นยอมให้ลูกหิ้วตะกร้าผลไม้และดอกไม้ช่อใหญ่เข้าไปขอโทษแทนฉัน ฉันไม่รู้หรอกว่ายายนันท์ไปพูดขอโทษอย่างไร แม่ดาราสาวคนนั้นจึงยอมให้อภัยและถอนฟ้องฉัน ทราบแต่ว่าที่มีมี่ยอมให้ยายนันท์เข้าพบเพราะพี่ชายของมีมี่ขอร้องและรับรองพฤติกรรมของนายกฤตย์และยายนันท์
“ง่ายดีจังนะคะ แค่ตะกร้าผลไม้กับดอกไม้ช่อหนึ่งก็จบเรื่องแล้ว” ธารีพูดเหมือนตัวเองเป็นคนไปจัดการแก้ไขปัญหานี้ให้ฉัน
“ไม่ใช่แค่ตะกร้าผลไม้กับดอกไม้หรอกครับ นันท์ต้องออกปากขอรับผิดชอบค่าทนายความของคุณมีมี่ในส่วนนี้ไปตั้งหลายบาท และกว่าคุณมีมี่จะใจอ่อนยอมถอนฟ้องให้ นันท์เองก็ถูกคุณมีมี่ต่อว่าไปไม่น้อยเลยครับ” กฤตย์อธิบายสิ่งที่ธารีเข้าใจผิด ฉันเหลือบไปเห็นชายหนุ่มกุมมือยายนันท์เพื่อให้กำลังใจกันก็ตาม แต่ก็ขวางหูขวางตาฉันเหลือทน
“อุ้ย ลำบากน้องนันท์แย่เลยนะคะกับเรื่องของแม่”
ยายนันท์มองหน้าธารีอย่างครุ่นคิด ฉันประเมินว่าลูกคงผิดหูกับคำพูดของธารี
“นันท์ไม่เคยบ่นเลยครับว่าลำบาก นันท์เขาทำทุกอย่างเพื่อให้คุณน้าสบายใจ…” กฤตย์ตอบแทนยายนันท์
“แหม นี่ถ้าบอกว่าผู้กองกฤตย์เป็นทนายความด้วยน้าก็เชื่อนะคะ แก้ต่างแทนกันขนาดนี้…น่ารักดีนะคะพี่กุน”
ฉันไม่ตอบ แต่แบมือยื่นออกไปหายายนันท์ “จบเรื่องแล้ว คืนโทรศัพท์ให้แม่ได้แล้วสิ”
ยายนันท์นิ่ง ก่อนจะตอบออกมาด้วยเสียงที่นิ่งกว่าว่า “ยังไม่คืนค่ะ…”
- READ ก่อนย่ำสนธยา : บทส่งท้าย
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 14 : กว่าจะสำนึกได้ก็สายเสียแล้วล่ะพวกแก (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 14 : กว่าจะสำนึกได้ก็สายเสียแล้วล่ะพวกแก (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 13 : เมื่อเสียหายเพราะฉัน ก็ต้องเป็นฉันที่กอบกู้ (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 13 : เมื่อเสียหายเพราะฉัน ก็ต้องเป็นฉันที่กอบกู้ (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 12 : ผู้หญิงคนนั้นกับปมในใจของฉัน (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 12 : ผู้หญิงคนนั้นกับปมในใจของฉัน (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 11 : จะกอบกู้มันได้อย่างไร (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 11 : จะกอบกู้มันได้อย่างไร (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 10 : พังทลายในพริบตา (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 10 : พังทลายในพริบตา (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 9 : พลาดพลั้ง (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 9 : พลาดพลั้ง (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 8 : ก้าวไม่เท่าทัน (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 8 : ก้าวไม่เท่าทัน (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 7 : แห้งเฉา (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 7 : แห้งเฉา (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 6 : บ้างร่วงโรยรา (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 6 : บ้างร่วงโรยรา (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 5 : วันเคลื่อนเดือนผ่าน (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 5 : วันเคลื่อนเดือนผ่าน (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 4 : ชีวิตใหม่ (3)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 4 : ชีวิตใหม่ (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 4 : ชีวิตใหม่ (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 3 : ผิดหวัง (3)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 3 : ผิดหวัง (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 3 : ผิดหวัง (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 2 : พี่ศานติ (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 2 : พี่ศานติ (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 1 : ฉันชื่อกุนตี (3)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 1 : ฉันชื่อกุนตี (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 1 : ฉันชื่อกุนตี (1)