ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 9 : พลาดพลั้ง (2)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 9 : พลาดพลั้ง (2)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

พวกเราไปถึงห้างสรรพสินค้าก่อนเที่ยง ผู้คนยังไม่พลุกพล่านมากนัก ฉันปฏิเสธที่จะนั่งรถเข็นแต่เลือกใช้ไม้เท้าพยุงเดินแทน ตาสืบก็น่ารักช่วยประคองฉันเดินช้าๆ พร้อมกับชวนพูดคุยอย่างออกรส

เขาเลือกร้านอาหารบรรยากาศดีมีความเป็นส่วนตัว อาหารอร่อยทั้งของคาวและของหวาน

“ร้านนี้ป้าไม่มานานมากแล้ว ไม่รู้รสชาติจะเปลี่ยนไปไหม”

“ผมว่ายังอร่อยเหมือนเดิมครับ แต่ตอนนี้ทางร้านเพิ่มเมนูของหวานมาเสริมด้วยนะครับ ผมว่าป้ากุนน่าจะชอบ ขนมหวานขึ้นชื่อของที่นี่ทำเหมือนน้ำแข็งไสอย่างที่ป้ากุนเคยซื้อให้ผมกินตอนเด็กๆ ต่างกันแค่น้ำแข็งของเขาจะไสแบบละเอียดฟูนุ่ม มีขนมปังชิ้นเล็กๆ เฉาก๊วย เม็ดสาคูที่ทำจากบุก และไข่มุกอย่างที่เรากินกับชานม เราสามารถเลือกได้นะครับว่าจะราดน้ำหวานแบบไหน น้ำแดงแบบโบราณก็ได้ แต่ผมแนะนำให้ราดชาไทยครับ” ตาสืบบรรยายจนฉันอยากกิน

พนักงานนำเมนูมาวาง ตาสืบให้ฉันเป็นผู้สั่งอาหาร ฉันจึงเลือกสั่งสี่ห้าอย่างทั้งของเรียกน้ำย่อยและอาหารจานหลัก เมื่ออาหารมาเสิร์ฟหลานก็ตักกับข้าวให้ฉันพร้อมชี้ชวนให้กินโน่นนี่อย่างเอาใจใส่

“ป้ากุนกินข้าวสักครึ่งทัพพีก็พอนะครับ กินกับข้าวมากๆ อย่างปลาสามรส กับหลนปลาเค็มแกล้มผักนี่ก็ดีต่อสุขภาพนะครับ” ตานะหยิบชิ้นขมิ้นขาวมาใส่จานฉันแล้วราดด้วยหลนปลาเค็ม “…ป้ากุนลองกินขมิ้นขาวดูครับ หอมมันแล้วก็ช่วยขับลมดีมากเลยครับเหมาะกับผู้ใหญ่”

มื้อเที่ยงวันนี้ฉันรู้สึกเจริญอาหารมาก อาจเป็นเพราะได้เปลี่ยนบรรยากาศ แต่ที่แน่นอนกว่าคือสืบธารดูแลฉันอย่างเอาใจ หลังจากอิ่มของคาวแล้วเขาก็สั่งขนมหวานอย่างที่โฆษณาไว้ตั้งแต่ต้นมาหนึ่งถ้วย เป็นน้ำแข็งไสราดด้วยซอสชาไทยสีส้มนวลน่ากิน วางทับด้วยหน้าขนมปังและของแกล้มอื่นๆ ทำให้ฉันคิดถึงวัยเด็ก แต่ก็ไม่กล้ากิน “ป้าเป็นเบาหวาน กินไม่ได้หรอกตาสืบ”

“ป้ากุนชิมสักคำสองคำไม่เป็นไรหรอกครับ เมื่อกี้ป้ากุนก็กินข้าวไปแค่ครึ่งทัพพีเอง น้ำตาลยังไม่เกินหรอกครับ เดี๋ยวเราเดินเล่นกันสักพักก็ใช้พลังงานจากน้ำตาลหมดแล้ว” เขาขยั้นคะยอให้ฉันลองชิม ฉันจึงลองชิมตามที่หลานชักชวน เพียงคำเดียวที่เข้าปาก ฉันรู้สึกว่าความสุขของการได้กินของหวานมันดีเช่นนี้เอง มื้ออาหารผ่านไปอย่างชื่นมื่น ธารีหยิบอาหารเสริมจากกล่องใส่ยาที่เตรียมมาส่งให้ฉัน มื้อนี้สืบธารขอเป็นเจ้ามือ หลังจากนั้นพวกเราเดินเล่นดูข้าวของสักพักจึงกลับบ้าน

หลังจากส่งฉันและธารีที่บ้านแล้ว ตาสืบก็ลาฉันกลับ “ว่างๆ มาเยี่ยมป้าอีกนะ” ฉันบอกหลาน

“ช่วงนี้ผมมีเวลาว่างอยู่บ้างครับ เพราะหุ้นส่วนยังไปเจรจาธุรกิจกับผู้ลงทุนที่ต่างประเทศ ผมก็แค่ดูแลระบบที่ยังรันไม่เต็มที่ ถ้าผมว่างจะแวะมาเยี่ยมป้ากุนอีกครับ”

สืบธารลาฉันกลับไปแล้วฉันจึงคิดขึ้นได้ “ดูสิธารี พี่มัวแต่ดีใจว่าตาสืบมาเยี่ยม จนลืมถามไปเลยว่าหลานทำธุรกิจอะไร” ฉันบอกกับธารี

“ไว้เดี๋ยวเขามาเยี่ยมคราวหน้าพี่กุนค่อยถามเขาก็ได้ค่ะ”

 

สืบธารมาเยี่ยมฉันในสัปดาห์ถัดมา “ผมกะว่าจะมาเยี่ยมป้ากุนตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แต่ต้องคุมโปรแกรมเมอร์เขียนระบบของบริษัทให้เรียบร้อยก่อนครับ”

“ถ้างานยุ่งก็เอางานก่อนก็ได้ลูก ว่างเมื่อไรก็ค่อยมาหาป้า ป้าไม่ได้ไปไหนหรอก…ป้าจะถามตั้งแต่คราวก่อนว่าสืบธุรกิจอะไร ป้าถามแม่เรา แม่เราก็ตอบไม่ได้ บอกให้มาถามกันเอง”

“อ้อ…ป้ากุนรู้จักธุรกิจเทรดค่าเงินไหมครับ”

แล้วสืบธารก็นั่งอธิบายลักษณะธุรกิจที่ทำอย่างจริงจัง “ผมอธิบายอย่างง่ายๆ แล้วกันครับ เวลาป้ากุนไปเที่ยวต่างประเทศป้ากุนต้องแลกเงินให้เป็นสกุลตามประเทศปลายทางที่เราไปเที่ยวใช่ไหมครับ อย่างเวลาเราไปสหรัฐฯ เราก็จะเอาเงินบาทไปแลกเป็นดอลลาร์สหรัฐ ผมไม่แน่ใจว่าเวลาป้าแลกเงินไปกลับเคยสังเกตไหมครับว่า ค่าเงินเวลาแลกไม่เท่ากัน เช่น ตอนเราซื้อเงินดอลล่าอาจจะสามสิบสิงบาทต่อหนึ่งดอลลาร์ ขาแลกกลับเป็นเงินบาทอาจจะเหลือสามสิบเอ็ดบาทยี่สิบห้าสตางค์ ต่อหนึ่งดอลลาร์ ตามแต่สถานการณ์ บริษัทผมทำกำไรจากการแลกเปลี่ยนอย่างนี้ละครับ”

แม้ฉันจะเข้าใจแต่ก็ยังมีข้อสงสัย “แต่กำไรมันก็น้อยเสียเหลือเกิน ดอลลาร์หนึ่งได้กำไรแค่ครั้งละห้าสิบสตางค์เต็มที่ก็หนึ่งบาท กำไรที่ได้จะพอต้นทุนบริษัทหรือตาสืบ ไหนจะค่าเช่าออฟฟิศ ค่าสาธารณูปโภค ไหนจะค่าจ้างพนักงานอีก…” ฉันซักถามตามประสบการณ์ที่เคยจัดการบัญชีบริษัทขนาดใหญ่มา ก่อนให้ความเห็นต่อว่า “…ป้าเคยเห็นว่าพวกที่ทำธุรกิจค้าเงินตราต่างประเทศเพื่อได้กำไรส่วนต่างนอกจากธนาคารแล้วก็มีบริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนี้ละ แต่บริษัทพวกนี้เขาได้กำไรสองต่อนะหลาน ตอนลูกค้ามาซื้อเขาก็ได้กำไรจากอัตราแลกเงินที่สูงกว่าตลาด ตอนมาขายคืนก็เขาได้กำไรจากอัตราแลกเงินที่ต่ำกว่าตลาด ถ้าบริษัทมีเงินเย็นก็รอจนค่าเงินสูงขึ้นแล้วไปขายเปลี่ยนเป็นเงินไทยเพื่อเอากำไรที่ก้อนใหญ่ๆ ความเห็นป้านะถ้ามีเงินเย็นสูงเอาไปซื้อทองคำแท่งมาเก็บ สักสี่ส้าห้าปีก็ได้กำไรหลายบาทแล้ว”

ตาสืบฟังแล้วยิ้มแล้วอธิบายต่อไปว่า “ป้ากุนลองคิดดูนะครับ บริษัทของผมไม่ได้ซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักสิบหรือร้อยดอลลาร์ ถ้าสมมติผมได้กำไรอย่างต่ำดอลลาร์ละหนึ่งบาท ลงทุนไปล้านดอลลาร์ผมจะได้กำไรเท่าไร แล้วถ้าสิบล้านดอลลาร์ผมจะได้กำไรเท่าไร”

“มันก็ได้กำไรเยอะจริงอย่างที่หลานว่า แต่ป้าก็ยังมีข้อสงสัยและเป็นห่วง อย่างแรกคือถ้าเราลงทุนหนึ่งล้านดอลลาร์ เราต้องมีเงินทุนที่เป็นเงินไทยอย่างน้อยสามสิบสองถึงสามสิบห้าล้านเลยนะ เราจะหาทุนขนาดนั้นจากไหน และที่สำคัญค่าเงินเป็นสิ่งที่เราพยากรณ์ได้ยากมาก ตอนซื้ออาจจะราคาขึ้นแต่พอจะขายราคาอาจตก อย่างนั้นเราไม่ขาดทุนย่อยยับเลยหรือตาสืบ”

“เรื่องทุนไม่ต้องห่วงเลยครับป้ากุน ตอนแรกพวกผมก็ลงทุนกันแค่คนละล้านครับ แรกๆ ก็คิดแค่ว่าทำสนุกๆ เป็นรายได้เสริม แต่ทำไปทำมาเราจับทางธุรกิจได้และมีตัวช่วยดี จากเงินประเดิมทุนผมกับหุ้นส่วนคนละล้าน ตอนนี้บริษัทเราสะสมเงินกันได้ถึงห้าสิบล้านแล้วนะครับ สัปดาห์หน้าหุ้นส่วนผมก็จะไปเจรจาธุรกิจกับผู้ลงทุน ตั้งใจว่าจะระดมให้ได้สักร้อยล้านเพื่อจะทำกำไรมากขึ้น ผมกับหุ้นส่วนมีความคิดว่าเราจะขยายตลาดซื้อขายเงินสกุลหลักๆ ของโลกเพิ่มเติมจากสกุลเงินดอลลาร์ด้วยครับ ส่วนเรื่องเราจะรู้ได้ยังไงว่าค่าเงินสกุลไหนจะขึ้นจะลง ผมโปรแกรมตัวนี้ครับ…” นายสืบเปิดคอมพิวเตอร์วางตักที่นำมาด้วยให้ฉันดู ข้างในเป็นกราฟเส้นสีเขียวสีแดงและเส้นสีอื่นๆ ที่ตัดกันขึ้นๆ ลงๆ บนพื้นสีดำ คล้ายกราฟที่แสดงอัตราการขึ้นลงของราคาหุ้นในตลาดหุ้น หลายสีหลายเส้นดูแล้วน่าเวียนหัว

“ป้ากุนดูนี่นะครับ เส้นสีเขียวนี่คืออัตราซื้อขายเงินในตลาดโลกตามแต่ละช่วงของเวลา ส่วนเส้นสีแดงคือเส้นที่โปรแกรมกำลังคาดการณ์ว่าในวันนี้เงินสกุลที่เรากำลังเล่นอยู่นี้ราคาจะขึ้นจะลงช่วงเวลาใด ซึ่งเราก็จะใช้ข้อมูลพวกนี้ในการวางแผนซื้อขาย อย่างที่ป้ากุนเห็นในกราฟ…” สืบธารชี้ให้ฉันดูช่วงกราฟที่ลงต่ำสุดจุดหนึ่ง “…ช่วงนี้ครับค่าเงินจะตกลงมากที่สุด ผมก็จะลงไปกวาดซื้อมาเก็บไว้ แล้วป้ากุนมาดูตรงนี้ พอมาถึงช่วงเวลานี้ ค่าเงินก็จะดีดกลับมาสูงขึ้นและน่าจะสูงสุดของวัน ผมก็จะรีบเทขายเพื่อทำกำไร แล้วป้ากุนลองสังเกตกราฟที่รายงานวันนี้ดูนะครับ…” ตาสืบชี้ให้ดูกราฟในภาพรวม “…ป้ากุนจะเห็นความผันผวนของค่าเงินทั้งวันว่าจะมีการคาดการณ์ว่ามีจุดต่ำและสูงหลายช่วงเวลา ถ้าเราขยันก็สามารถซื้อเข้าขายออกได้หลายครั้ง จะทำกำไรต่อวันได้หลายรอบเลยละครับ”

ฉันพอจะเข้าใจหลักการที่ตาสืบอธิบายอยู่บ้างแต่ก็ยังสงสัย “แล้วไอ้เจ้าโปรแกรมนี้มันมาจากไหนล่ะตาสืบ แล้วคนอื่นๆ เขาไม่มีอย่างเราหรอกหรือ”

สืบธารยิ้มก่อนจะอธิบายอย่างใจเย็นว่า “ป้ากุนรู้จักปัญญาประดิษฐ์หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าเอไอไหมครับ…” ฉันส่ายหน้า “…โปรแกรมที่ป้ากุนเห็นเป็นอาวุธลับของผมและหุ้นส่วนเลยก็ว่าได้ครับ เราทุ่มเทสมองช่วยกันเขียนโปรแกรมโดยให้เอไอประมวลข้อมูลจากฐานข้อมูลเกี่ยวกับตลาดค้าเงินทั่วโลกแบบเรียลไทม์ จากนั้นเอไอจะแสดงผลออกมาเป็นกราฟเพื่อให้เราตัดสินใจว่าจะซื้อเข้าขายออกตอนไหนเพื่อให้เกิดกำไรสูงสุด…”

ระหว่างที่สืบธารอธิบายการทำงานของโปรแกรมอยู่นั้นก็มีสายโทรศัพท์เข้ามา “สักครู่นะครับ…” สืบธารหันมาบอกฉันและธารี ก่อนเดินปลีกตัวออกไปไม่ไกลนัก “…ขายออกแล้วใช่ไหม สรุปกำไรรอบนี้เลยได้เท่าไร…ห้าล้านเองหรอ…ผิดจากที่คาดไปเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไรวันนี้ยังมีช่วงทำกำไรใหญ่ได้อีก ถึงเวลาที่แจ้งในแผนก็ซื้อรอบใหม่ได้เลยนะ ดำเนินการตามนั้น” สืบธารเดินกลับมาหาฉันและธารี “ที่ออฟฟิศโทรมารายงานกำไรการซื้อขายรอบนี้ครับ ผิดคาดไปนิดหน่อยครับ ตอนแรกคาดว่าน่าจะได้กำไรสักหกหรือเจ็ดล้าน แต่รอบนี้ทำได้ห้าล้านเองครับ”

“โอ้ย ลูกพูดมาได้ยังไงแค่ห้าล้าน ชีวิตแม่ทั้งชีวิตทำงานยังไงก็ไม่มีทางได้หรอกครึ่งวันห้าล้านบาท พูดแล้วก็อย่าหาว่าแม่อย่างนั้นอย่างนี้ แม่มีเงินเก็บอยู่ห้าแสนขอลงทุนกับบริษัทลูกด้วยได้ไหม”

“ผมก็อยากให้แม่มีรายได้นะครับ แต่ผมกับหุ้นส่วนคุยกันตั้งแต่ต้นแล้วครับว่าจะไม่รับผู้ลงทุนรายย่อย เพราะจะดูแลจัดการยาก ความจริงมีญาติๆ ของหุ้นส่วนผมหลายคนจะขอลงทุนด้วย บางคนลงหลักแสน บางคนลงหลักล้าน แต่พวกผมกลัวยุ่งยากเลยไม่ขอรับ แต่เพราะตอนนี้พวกผมอยากขยายไปลงทุนสกุลเงินตัวอื่นด้วย เลยให้หุ้นส่วนไปเจรจาร่วมทุนกับผู้ลงทุนรายใหญ่ซึ่งน่าจะลงทุนอย่างน้อยห้าสิบถึงร้อยล้านขึ้นไปครับ” สืบธารอธิบาย

“แกมันงกกระทั่งกับแม่” ธารีบ่นพึมพำ

“แม่กับป้ากุนรอกินกำไรของผมก็พอแล้วครับ ไม่ต้องมาลงทุนกับผมสักบาทเดียว”

สืบธารนั่งคุยกับฉันอีกสักพักก่อนลากลับไป ฉันเห็นธารีหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลซองหนึ่งเดินถือไปให้สืบธารที่รถ ก่อนพูดจาอะไรกันไม่กี่คำ สืบธารก็ขับรถหรูออกไป

“ตาสืบน่าจะชอบรถนะธารี มาเยี่ยมพวกทีไรก็เปลี่ยนรถใหม่ทุกคราว” ฉันเปรยกับน้อง

“คงอย่างนั้นแหละค่ะ”

 

สืบธารหายไปหลายสัปดาห์กว่าจะมาเยี่ยมธารีและฉัน คราวนี้สืบธารพาหญิงสาวท่าทางกระฉับกระเฉงคนหนึ่งมาด้วย สืบธารแนะนำว่าเป็นพนักงานบริษัทประกันชีวิตที่ตนเองพามาต่อกรมธรรม์ให้ธารี

“ผมขออนุญาตป้ากุนพาพนักงานของบริษัทประกันมาบ้านนะครับ ผมเพิ่งเห็นว่าประกันชีวิตของแม่หมดอายุแล้ว ผมบอกให้ต่อตั้งหลายที่ก็อิดเอื้อนไม่ยอมต่อ ผมเลยต้องพาพนักงานมาจัดการถึงที่เลยจะได้ไม่ต้องมีข้อแม้อีก” สืบธารบอกฉัน

“จะต่อไปทำไม แพงยังกับอะไรดี กรมธรรม์อะไรตั้งสี่ห้าหมื่น” ธารีบ่น

“ไม่แพงเลยค่ะคุณท่านขา ราคานี้คุ้มครองหมดเลยนะคะ เจ็บป่วยต้องรักษาทั้งเป็นผู้ป่วยนอก หรือต้องแอดมิตนอนโรงพยาบาลเบิกได้หมด ถ้าเกิดอุบัติเหตุต้องพักรักษาในโรงพยาบาลนอกจากค่ารักษาแล้วเรายังมีเงินปลอบขวัญให้อีกวันละหนึ่งพันเลยค่ะ” พนักงานสาวอธิบายโน้มน้าวอย่างยิ้มแย้ม

“แม่ก็แค่เซ็นกับเตรียมเอกสารให้ผมก็พอครับ ส่วนค่าใช้จ่ายผมรับผิดชอบเอง” สืบธารบอกกับธารี

พนักงานขยับนำเอกสารจำนวนหลายแผ่นให้ธารีเซ็นชื่อ ธารีเซ็นไปก็บ่นไป “ทำไมมันมากมายขนาดนี้”

“อ๋อ ก็มีตัวสัญญาของกรมธรรม์ เอกสารประกอบอื่นๆ แล้วก็ใบเคลมด้วยค่ะ เผื่อกรณีที่ต้องเคลมประกัน หนูจะได้นำไปเสร็จไปแนบก็พร้อมขอรับเงินชดเชยได้เลย…แต่คุณท่านไม่ต้องกลัวนะคะ เพราะเงินสินไหมทดแทนทุกรายการทางบริษัทจะจ่ายเป็นเช็คขีดคร่อมชื่อของคุณท่านเท่านั้นค่ะ รับรองไม่มีใครโกงได้แน่นอนค่ะ” พนักงานสาวอธิบายอย่างยิ้มแย้ม

“…คุณท่านขา รบกวนเซ็นที่ท้ายกระดาษเปล่าสักห้าหกใบนะคะ คือหนูจะต้องเขียนแผนที่บ้านของผู้เอาประกันค่ะ แต่หนูชอบสะเพร่าชอบเขียนผิดบ่อยๆ เลยขอให้คุณท่านกรุณาเซ็นทิ้งไว้เผื่อให้หนูหน่อย”

ธารีเซ็นให้อย่างว่าง่าย ก่อนที่พนักงานจะตรวจสอบเอกสารแล้วทวนผลประโยชน์ให้ฟังอีกครั้ง

“หนูขออนุญาตทวนผลประโยชน์นะคะ ถ้าเจ็บป่วยรักษาแบบผู้ป่วยนอก เบิกได้ครั้งละไม่เกินสามหมื่นบาทไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อสัญญา เจ็บป่วยต้องนอนพักรักษาในโรงพยาบาลจ่ายตามจริงครั้งละไม่เกินห้าแสนไม่จำกัดจำนวนครั้ง แต่หากมีความจำเป็นต้องผ่าตัดวงเงินจะเพิ่มเป็นสองล้านทันทีค่ะ อุบัติเหตุจ่ายตามจริงแต่หากนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ทางเราจะเพิ่มเงินปลอบขวัญวันละหนึ่งพันบาทสูงสุดสามสิบวัน กรณีร้ายแรงที่สุดเสียชีวิตทางบริษัทจะจ่ายสินไหมทดแทนเป็นเงินก้อนจำนวนห้าล้านบาททุกกรณี…ว่าแต่ในกรมธรรม์จะให้หนูใส่ชื่อใครเป็นผู้รับผลประโยชน์ในกรณีเสียชีวิตคะ”

“ใส่ชื่อป้ากุนเป็นผู้รับผลประโยชน์ ป้ากุนเป็นพี่สาวแท้ๆ ของแม่ และเป็นญาติคนเดียวที่แม่เหลืออยู่” ตาสืบพูดสั่งพนักงาน

“ใส่ชื่อสืบเถิดลูก” ฉันทักท้วง

“ใส่ชื่อพี่กุนนั้นละค่ะ ตาสืบมันจะเอาไปทำไมเงินห้าล้าน เศษเงินสำหรับเขาแท้ๆ” ธารีบอก

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ แต่ป้ารับรองว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ ป้าจะไม่เอาแม้แต่บาทเดียว”

“คิดเสียว่าน้องฝากผีฝากไข้กับพี่กุน ถ้าเกิดอะไรขึ้นปุบปับจะได้ไม่เป็นภาระพี่กุนไงคะ”

“เอกสารของคุณท่านธารีเสร็จแล้วคะ อีกไม่เกินสองสัปดาห์กรมธรรม์น่าจะอนุมัติ” พนักงานแจ้งพวกเรา

“อ้อ ผมก็มัวแต่วุ่นวายเรื่องแม่ ป้ากุนล่ะครับ ถ้าเจ็บป่วยรักษายังไง” สืบธารหันมาถามฉัน

“ไม่ต้องห่วงหรอกสืบ ป้ามีสิทธิ์สวัสดิการของข้าราชการ” ฉันตอบ

“คงใช้สิทธิ์มารดาของตานกุลสินะคะ…” ธารีถาม

‘สิทธิคู่สมรส…’ ฉันคิดจะตอบออกไป แต่ยั้งปากทัน เพราะไม่อยากอธิบายให้ธารีฟังว่าทำไมจึงยังไม่ได้หย่าขาดจากพี่ติ

“…แต่ปกติน้องเห็นคุณหมอประจำตัวพี่กุนอยู่โรงพยาบาลเอกชนนี่คะ” ธารีพูด ดึงฉันกลับมาอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้า

“นะกับนันท์สงสารที่พี่ต้องไปนั่งรอโรงพยาบาลรัฐแกร่วอยู่ทั้งวัน เลยให้ไปหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชนแทน ค่าใช้จ่ายลูกๆ ก็จ่ายให้ทุกครั้ง”

“ทำไมไม่บอกผมล่ะครับ ไปหาหมอเอกชนแต่ละทีไม่ใช่บาทสองบาท เอาอย่างนี้คุณนุ่มนิ่มผมซื้อกรมธรรม์ประกันสุขภาพให้ป้าผมอีกหนึ่งกรมธรรม์ ทำไปพร้อมกันกับของแม่ผมเลย”

“แต่ป้าเป็นเบาหวานกับความดันนะตาสืบ ประกันเขาจะยอมรับทำเหรอ”

“รับสิคะ เพียงแต่เบี้ยประกันจะแพงขึ้นมาอีกนิด ต้องเซ็นเอกสารเพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย แต่สิทธิพิเศษทุกอย่างจะได้เท่ากันกับของคุณท่านธารีเลยคะ” พนักงานสาวพูดไปพร้อมทั้งรื้อเอกสารในกระเป๋าของตัวเองออกมาเพิ่ม

ระหว่างที่พนักงานถามข้อมูลเพื่อกรอกในเอกสาร ธารีก็นำเอกสารมาให้ฉันเซ็นไปด้วย ระหว่างนั้นฉันต้องทั้งเซ็นและตอบคำถาม เอกสารแผ่นแรกๆ ฉันก็อ่านอย่างละเอียด แต่พอสืบธารเร่งพนักงานว่า “คุณนุ่มนิ่มเร่งมือกันนิด เดี๋ยวผมต้องกลับไปประชุม” ทั้งฉันและพนักงานคนนั้นก็เร่งจนสุดมือ ทำให้เอกสารแผ่นท้ายๆ ฉันเซ็นไปโดยไม่ได้อ่านแม้แต่น้อย

“ข้อมูลสุดท้ายแล้วค่ะ หนูขออนุญาตถาม ถ้าในกรณีร้ายแรงที่สุดคือเสียชีวิต คุณท่านประสงค์จะให้ใครเป็นผู้รับผลประโยชน์คะ”

ฉันกำลังคิดใคร่ครวญ แต่สืบธารก็ตอบแทนฉันว่า “ใส่ชื่อพี่นะ นายนกุล…และพี่นันท์ นางสาวศาตนันท์…เป็นผู้รับผลประโยชน์แบ่งสัดส่วนกันคนละห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทั้งสองคนเป็นลูกแท้ๆ ของคุณป้า”

ฉันยอมรับว่าเมื่อแรกที่ตาสืบชักชวนให้ฉันทำประกันชีวิต แถมยังออกค่าเบี้ยประกันให้ฉัน ลึกๆ ฉันมีความรู้สึกเป็นกังวล และคิดฟุ้งซ่านไปไกล เพราะเคยได้ยินข่าวที่ญาติหลอกให้ทำประกันแล้วลวงฆ่าเพื่อเอาเงินประกันก็มีมาแล้ว แต่เมื่อหลานบอกว่าให้ใส่ชื่อลูกทั้งสองของฉันเป็นผู้รับผลประโยชน์ ความอคติและความรู้สึกในแง่ลบทั้งหลายก็สลายไป กลายเป็นรู้สึกผิดที่คิดกับหลานในทางที่ไม่ดี ทั้งๆ ที่หลานเป็นห่วงและหวังดีกับฉันด้วยความบริสุทธิ์ใจ

ฉันเซ็นเอกสารที่กรอกข้อมูลอย่างครบถ้วนและเอกสารประกอบอีกเล็กน้อย แต่หากรวมกับเอกสารที่เซ็นไปก่อนหน้าก็หลายใบหลายฉบับ แต่ด้วยความรู้สึกประทับใจในความเป็นห่วงและหวังดีของสืบธาร ก็ทำให้ฉันคลายความระมัดระวังในการเซ็นเอกสารต่างๆ ลงไปมาก

สืบธารและพนักงานสาวที่เขาเรียกว่านุ่มนิ่มจากไปก่อนที่ยายนันท์กลับมาจากทำงานไม่นาน และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้พบสืบธาร ก่อนที่มรสุมลูกใหญ่จะพัดเข้ามาในชีวิตของฉันจนทุกอย่างแทบพังพินาศลงไป

 



Don`t copy text!