เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 10 : บอกให้รู้ไว้ก่อน

เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 10 : บอกให้รู้ไว้ก่อน

โดย : กุลวีร์

Loading

เทพารักษ์ภัสดา โดย กุลวีร์ นวนิยายสนุกๆ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านใน www.anowl.co กับเรื่องราวของเทพารักษ์ผู้มีสัตย์ว่าจะรักเพียงหนึ่ง ต้องลงมาใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์เพราะหญิงสาวผู้เปลี่ยนหัวใจเขาตลอดกาล ภารกิจพิชิตใจจึงเริ่มต้น ท่ามกลางความวุ่นวายของเพื่อนบ้าน และบททดสอบของความรักที่ไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียง

“คุณอยากให้ผมเห็นสิ่งใด”

เวธัสเอ่ยถาม พลางก้าวขาไปตามแรงฉุดแขนของหล่อน จนถึงประตูหน้าบ้านซึ่งถูกเปิดค้างไว้

“คุณเห็นหรือยังว่าคืออะไร” แพรพิไลถามกลับ

เขามองตามสายตาของหล่อนก็เห็นหลายสิ่งหลายอย่างเกลื่อนกลาดตรงบริเวณด้านหน้าทางเข้าบ้าน

“ขยะกองเต็มหน้าบ้านอีกแล้ว นี่ยังดี น้อยกว่าครั้งก่อนๆ” หล่อนส่ายศีรษะ แล้วหันมองไปทางบ้านของยายเอี่ยมซึ่งมั่นใจว่าเป็นตัวการ

“ข้าวของมากมายมาอยู่แถวนี้ได้ยังไงรึ”

“คุณนี่ก็ถามแปลก ขยะพวกนี้คงไม่มีขาเดินมาเองแล้วหยุดพักตรงหน้าบ้านฉันหรอกนะ ต้องมีคนนำมาเทตอนที่ฉันนอนหลับอยู่น่ะสิ” แพรพิไลตอบอย่างคนไม่สบอารมณ์ “ถ้าเป็นวันที่ไปทำงาน พอฉันตื่นก็ต้องออกมาดูก่อนไปอาบน้ำ ถ้าเจอก็รีบเก็บ เดี๋ยวชาวบ้านจะหาว่าฉันมักง่ายทิ้งขยะไม่เป็นที่ มันเสียเวลาไม่เข้าท่า”

เวธัสเพิ่งทราบเหตุผลที่ทุกเช้าของวันทำงาน หล่อนจะต้องเดินไปบริเวณหน้าบ้าน ก่อนจะกลับเข้ามาเตรียมอาหารง่ายๆ แล้วค่อยอาบน้ำแต่งตัว

ทั้งที่ตอนดึกดื่น เขามักจะไปอาศัยในต้นทับทิม พอใกล้รุ่งสางค่อยมานอนบนโซฟาเพื่อรอเวลาที่หล่อนลงมาชั้นล่างเหมือนเช่นเคย แต่ก็ไม่รู้สึกถึงเหตุการณ์ใดตรงประตูหน้าบ้านสักนิดเดียว หรือตอนนี้อำนาจของการเป็นเทพารักษ์จะถดถอยลงไปมากนัก

“นี่แค่อย่างหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกหลายอย่างที่ยายเอี่ยมจะสร้างเรื่องรบกวนกัน คุณคงได้เจอแน่นอน ฉันรับรอง” แพรพิไลหัวเราะในลำคอ ทั้งที่มีความอัดอั้นตันใจสำหรับปัญหาที่เพื่อนบ้านก่อขึ้น

“คุณทำเหมือนที่เคยทำเถิด ตรงนี้ผมจัดการให้เอง” เขาขันอาสาเก็บขยะ

“มีคุณมาอยู่ด้วยก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้มีเวลาทำอาหาร ไม่ต้องรีบอาบน้ำ แต่งหน้าแต่งตัว หรือกลัวจะเข้างานสาย เพราะมัวแต่เก็บขยะให้พ้นทาง” หล่อนเพิ่งค้นพบข้อดีที่มีชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน

“จะดีกว่านี้ ถ้าไม่คิดให้ผมไปที่แห่งใด”

“พอสักวัน คุณจำทุกอย่างได้ คุณก็ต้องไปตามทางของคุณอยู่ดี ส่วนฉันก็อยู่บนทางของฉันตามเดิม” แพรพิไลเดินผละเข้าไปในบ้าน

เวธัสยืนมองหล่อนที่ค่อยๆ ห่างออกไปพร้อมทั้งเอ่ยในใจ

ข้าต้องทำให้เจ้าอยากให้ข้าอยู่กับเจ้าตลอดชั่วชีวิตนี้

หลังจากเขานำขยะไปทิ้งลงถังขยะซึ่งอยู่ไม่ไกลเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็เตรียมพร้อมออกไปทำงาน และยังบอกให้รู้ถึงอาหารทั้งมื้อเช้าและมื้อกลางวันซึ่งทำไว้ให้เขาเหมือนทุกวัน

พอในบ้านเหลือเขาเพียงคนเดียว จากนั้นก็กะเวลาไปหาหญิงชราโดยไม่ถือเป็นการรบกวน เวธัสจึงกลายเป็นแขกของบ้านใกล้เรือนเคียงอีกครา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ประตูหน้าบ้านไม่ได้ล็อกไว้

เขาเข้าไปในตัวบ้านก็เห็นยายเอี่ยมกำลังนอนเอนหลัง

“พ่อหนุ่มมีอะไรกับยายหรือเปล่า วันนี้มาหากันแต่เช้าเลย” ยายเอี่ยมทำตัวเป็นกันเองเหมือนเคย หากสีหน้าและแววตาเริ่มฉายแววของความสุขเกษม

“ผมมีเรื่องจะถามคุณยายเอี่ยมสักเล็กน้อย” เขาเริ่มเข้าสู่ประเด็น

“ว่ามาสิ”

“คุณยายเอี่ยมนำของที่ไม่ต้องการไว้ที่ใด ถ้าไม่ได้ทิ้งในถังขยะ”

“คงเห็นข้าวของในบ้านยายเยอะละสิ” หญิงชราขบขันเล็กน้อย ก่อนมองรอบบ้าน “สงสัยใช่ไหม ทำไมไม่ยอมเก็บให้เรียบร้อย วันๆ ก็มีเวลาว่าง ปล่อยให้รกตาอย่างนี้ได้ยังไง”

แม้เวธัสรับฟังด้วยท่าทีนิ่งเฉย ยายเอี่ยมก็ยังพูดต่อ

“ยายไม่อยากเก็บของพวกนี้ ทุกสิ่งคือภาพความทรงจำที่ยายได้เห็นตาอยู่ตรงนั้น ตรงโน้นทั่วบ้านเหมือนตอนที่ยังอยู่ด้วยกัน ยิ่งกองผ้าที่ทับยายวันนั้นก็ยังกองพะเนินอยู่เลย มันเป็นเสื้อผ้าของตา ยายตัดใจทิ้งไม่ได้จริงๆ”

“เมื่อเช้ามีขยะหน้าบ้านคุณแพร” เขาเอ่ยเพียงแค่นั้น เพื่อแจ้งให้ทราบ

“ดูเอาเองสิ ของในบ้านยายเหมือนขยะพวกนั้นบ้างไหมล่ะ” ยายเอี่ยมไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุย “ถ้าพ่อหนุ่มไม่ได้เป็นชู้ แล้วเป็นอะไรกับนังหนูคนนั้นล่ะ มาอยู่กินด้วยกันแบบนี้จะเป็นเดือนแล้วไม่ใช่เหรอ”

ยังไม่ทันจะพิจารณาข้าวของในบ้านตามถ้อยคำของหญิงชรา เขาก็ได้ยินคำถามดังกล่าวจนมีท่าทีอ้ำๆ อึ้งๆ

“เป็นผัวของนังหนูใช่ไหม ไม่ต้องบอกยายก็ดูออก” ยายเอี่ยมหาคำตอบให้ตัวเองได้โดยพลัน

“ผัวรึ” เวธัสมองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจถ้อยคำนั้น

“ก็คำเดียวกับสามีนั่นแหละ คนบ้านๆ อย่างยายเรียกกันว่าผัว พ่อหนุ่มคงไม่ชินหูละสิ ดูท่าแล้วน่าจะเป็นเจ้าขุนมูลนายจริงๆ ผิวพรรณผุดผ่องดูมีชาติมีตระกูล”

เขายิ้มน้อยๆ โดยไม่พูดจา ระหว่างนั้นหญิงชราก็นึกถึงผู้เป็นคู่ชีวิตที่เคยอยู่กินกันมาหลายสิบปี

“อยากครองเรือนกันให้นานเหมือนตากับยายไหมล่ะ” ยายเอี่ยมถามเขา

“บ้านนั้นไม่ใช่ของคุณแพร คงอยู่กันได้ไม่นาน”

ยายเอี่ยมหัวเราะให้กับความซื่อของคนตรงหน้า “ไม่ใช่ครอบครองบ้านเรือนนั้น แต่หมายถึงอยากครองคู่กันไปจนแก่เฒ่าหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตายจากไปก่อนบ้างไหมล่ะ”

“ผมอยากให้คุณแพรรักกันหมดทั้งใจ” เขาแจ้งความประสงค์เพื่อให้ก่อเกิดบางอย่าง หลังจากเป็นไปตามคำกล่าวนั้น

“คงคล้ายๆ กัน พอรักกันหมดใจแล้วก็อยู่กันได้นานๆ เหมือนยายรักตาหมดทั้งหัวใจ” ยายเอี่ยมยิ้มอย่างเป็นสุข “ยายจะแนะนำสิ่งที่ตาทำกับยายไว้ ดีไหมล่ะ พ่อหนุ่มจะได้เอาไปใช้กับนังหนู ลองดูคงไม่เสียหายหรอก ถ้าอยากจะได้ใจเมีย”

เวธัสให้ความสนใจทันที ตั้งอกตั้งใจรับฟังคำเล่าขานจากหญิงชราซึ่งจดจำได้ดี สำหรับหลายสิ่งหลายอย่างที่สามีเคยปฏิบัติต่อกัน อีกทั้งยังมีความคิดถึงผู้ที่จากไปปะปนอยู่ในทุกถ้อยคำ

“นำไปทำตามได้ ยายรับรองเมียต้องรักต้องหลงแน่นอน” หญิงชราทิ้งท้ายอย่างคนอารมณ์ดี “พ่อหนุ่มมีอะไรจะถามไหมล่ะ คงรู้แล้วนะว่าต้องทำกับเมียยังไงบ้าง”

“อย่าบอกใครได้ไหมว่าผมกับคุณแพรเป็นอย่างที่เคยลั่นวาจา”

ยายเอี่ยมครุ่นคิด ก่อนจะถามให้แน่ใจ

“เป็นผัวเป็นเมียกันน่ะรึ”

เวธัสพยักหน้าเป็นคำตอบ เพราะไม่อยากสร้างเรื่องให้หล่อนต้องกังวลใจ

“ยายไม่บอกใครหรอก เอาไว้แต่งงานกันเมื่อไหร่ เดี๋ยวผู้คนคงรู้กันเองแหละ”

เขาเบาใจ แค่อีกฝ่ายรับปากกัน แม้บางคำจะยังไม่ค่อยเข้าใจนักก็ตาม

“ผมช่วยจัดระเบียบของในบ้านให้เอง” เวธัสตั้งใจตอบแทนความปรารถนาดีที่มีให้กัน

“ไม่ต้องหรอก เห็นมันวางอยู่แบบนี้ ยายชินแล้ว” หญิงชราเอ่ยแทรก หากเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ จึงพูดต่อ “ถ้าพ่อหนุ่มอยากเดินดูว่ามีชิ้นไหนเหมือนขยะหน้าบ้านนังหนูก็เอาสิ”

เขาถือโอกาสสำรวจตรวจตราข้าวของและห้องหับต่างๆ ในบ้านหลังนี้ พลางนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่กองเรี่ยราดอยู่หน้าประตูบ้านของหล่อน

พอเดินถึงประตูของห้องห้องหนึ่งซึ่งถูกปิดไว้สนิท ก่อนเวธัสจะยกมือขึ้นจับลูกบิด ยายเอี่ยมก็เอ่ยห้ามด้วยเสียงดัง

“พ่อหนุ่มอย่าเข้าไปเลย นั่นห้องครัว ไม่มีอะไรหรอก”

 

“คุณใช่ไหมครับที่เข้ามาอยู่กับหนูแพร”

เสียงทักจากชายผู้หนึ่ง ทำให้เวธัสต้องหันไปมองคนที่เพิ่งเจอหน้าเป็นครั้งแรก

เขาเดินเข้าเดินออกบริเวณหน้าบ้านบ่อยครั้งซึ่งเปิดประตูค้างไว้เพื่อรอต้อนรับหล่อนกลับถึงบ้าน เป็นเหตุให้อีกฝ่ายมองเห็น จนเดินเข้ามาใกล้

เวธัสพยักหน้าโดยไร้วาจา ยืนรับฟังคนตรงหน้าแนะนำตัวเอง

“ผมอยู่บ้านข้างๆ เป็นสามีของคุณบุษ จะเรียกผมว่าครูดิษย์ก็ได้” คนพูดยิ้มให้อย่างผู้มีอัธยาศัยดี “ได้ยินคุณบุษพูดให้ฟังอยู่หลายวัน เพิ่งได้มาพบกันสักทีนะครับ”

เขายังเป็นผู้ฟังที่ดี จึงมีเพียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ตั้งใจรับฟังครูดิษย์พูดต่อด้วยความเป็นกันเอง

“ผมเพิ่งกลับถึงบ้าน วันนี้เลิกงานเร็วกว่าปกติ พอดีเห็นคุณก็อยากทักทายกันสักหน่อย จะได้รู้จักกันไว้ครับ”

เวธัสรับรู้เจตนาของอีกฝ่ายโดยการยืนพยักหน้าอีกหน

“ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ ผมจะได้เรียกถูก”

“เทพ” เขาตอบสั้นๆ หากใบหน้าไม่ได้เรียบเฉยเหมือนเคยเพื่อให้ผู้ที่เข้ามาสานสัมพันธ์นั้นรู้ว่าตอบรับไมตรีที่มีให้กัน

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณเทพ” ครูดิษย์ยื่นมือมาให้เขา

“รู้จักกันไว้คงไม่เสียหาย” เวธัสยังยืนนิ่ง มองด้วยความไม่เข้าใจ

ครูดิษย์จึงต้องยกมือลูบด้านหลังต้นคอตัวเองเพื่อแก้เก้อที่เขาไม่นำมือมาจับกัน “ผมขอตัวก่อน ต้องรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จะพาคุณบุษออกไปกินข้าวนอกบ้าน นานๆ จะมีโอกาสสักครั้ง เพราะผมไม่ค่อยว่าง ถ้ามีเวลาค่อยคุยกันใหม่นะครับ หรือเจอที่ไหนก็ทักทายกันได้”

“ได้” เขาจับจ้องชายหนุ่มตรงหน้า ใช้เวลาพินิจพิเคราะห์ก็เห็นแต่ความบริสุทธิ์ใจต่อกัน

แม้ท่าทีและคำพูดคำจาของเขาจะทำให้รู้สึกแปลกๆ หากครูดิษย์ยังมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี จึงพูดทิ้งท้าย ก่อนเดินห่างออกไป

“คุณเทพมาอยู่แถวนี้ก็ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ทีนะครับ”

เขามองอีกฝ่ายลับสายตาไปด้วยความไม่เข้าใจในคำกล่าวสุดท้ายสักนิดเดียว

เวธัสละความสนใจจากคนที่เพิ่งพบเจอเมื่อสักครู่ กลับมาเฝ้ารอหล่อนอย่างใจจดใจจ่อ เนื่องจากจะลองทำตามคำแนะนำของหญิงชราที่จำได้ขึ้นใจ

ไม่นาน แพรพิไลก็มาถึงบ้านในยามโพล้เพล้

“คุณจะออกไปไหนหรือเปล่า” หล่อนทักด้วยความสงสัยที่เห็นเขาอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน “หรือเพิ่งจะกลับมา”

เขาส่ายหน้า “ผมมารอรับคุณแพร”

หญิงสาวจ้องมองคนที่อยู่ด้วยกันเป็นเดือน แต่เพิ่งเรียกชื่อหล่อนให้ได้ยินเป็นครั้งแรก

“ทุกทีฉันเห็นคุณอยู่แต่ในบ้าน นึกยังไงถึงออกมารอฉันล่ะ หรือคุณจะจำได้บ้างแล้ว”

“ผมมาช่วยถือของ” เขาส่งสายตาไปที่ถุงอาหารในมือหล่อน

“ไม่ต้องหรอก ของไม่ได้หนัก ฉันถือเข้าไปในบ้านได้”

“ให้ผมช่วยถือ คุณแพรจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก”

แพรพิไลมองเขาไม่วางตาด้วยความแคลงใจกับการกระทำดังกล่าวซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน “มาทำดีกับฉัน เพื่อหวังจะกลบเกลื่อนความผิดอะไรหรือเปล่า”

“ผมไม่ต้องทำสิ่งใดเพื่อลบล้างความผิด เพราะไม่เคยกระทำความผิดกับคุณแพร”

“แน่ใจนะ” หล่อนจำเป็นต้องยื่นถุงอาหารให้เขา เพราะชายหนุ่มยังใช้ตัวขวางไว้ ไม่ให้เข้าไปในบ้าน ถ้าหล่อนยังยืนกรานที่ไม่ให้เขาช่วยถือ

เวธัสเบี่ยงตัวหลบ รีบปิดประตูหน้าบ้าน แล้วเร่งฝีเท้าเดินตามหล่อนไป

“วันนี้คุณแพรทำงานเหนื่อยไหม” เขาถามขึ้น หลังจากหล่อนถอดรองเท้าเสร็จ

แพรพิไลหันมองเขา ก่อนเปิดประตูเข้าไปในตัวบ้าน

“คุณอยากจะรู้ไปทำไม”

“ผมแค่ถามไถ่ ถ้าคุณแพรเหนื่อยก็นั่งพัก อย่าเพิ่งทำอะไรให้เหนื่อยเพิ่มขึ้นเลย ผมเป็นห่วง”

หญิงสาวเริ่มหวั่นไหวในคำกล่าวสุดท้ายของเขา ยามเห็นความจริงใจจากแววตาที่จ้องมองกัน จึงรีบเอ่ยเพื่อหลีกหนีอาการนั้น

“ฉันไปทำงานก็เหนื่อยเหมือนทุกวันแหละ แต่เหนื่อยยังไงต้องยอมทน เพราะทุกวันนี้ไม่มีเงินคงอดตาย”

พอได้ยินหล่อนพูดว่าเหนื่อย เขาจึงเปิดประตูให้หล่อน ผายมือให้เดินเข้าไปด้านใน หญิงสาวทำตามด้วยความเข้าใจดี แม้จะฉงนในท่าทีของเขาก็ตาม

ก่อนหล่อนจะเดินเลี้ยวเข้าไปในครัวตามปกติที่กลับมาถึงบ้าน เขาเอ่ยขึ้น

“คุณแพรไปนั่งพักที่เก้าอี้ดีกว่า” เวธัสคว้าแขนหญิงสาวให้เดินไปลงนั่งบนเก้าอี้ “รอสักประเดี๋ยว”

แพรพิไลไร้ความขัดขืน มองเขาผละออกไป หากในใจคิดเพียงว่าแปลกจากทุกวันที่อยู่ด้วยกัน จนเขาเดินเข้ามาหาอีกครั้งก็ยิ่งแปลกไปจากเดิม

“ดื่มน้ำเย็นๆ สักแก้ว จะได้ชื่นใจ”

“คุณทำแบบนี้ทำไม”

เพราะผมอยากเป็นสามีที่ดีของคุณ นั่นคือคำตอบในใจของเวธัส หากปากพูดได้แค่เพียง

“พอรู้ว่าคุณแพรเหนื่อยจากงานและยังต้องเหนื่อยจากการเดินทางอีก ผมอยากทำให้คุณแพรหายเหนื่อยเท่านั้นเอง ไม่ดีรึ”

หล่อนได้ยินถ้อยคำนั้นก็รู้สึกดีชอบกล

หรือจะเป็นอย่างที่คนอื่นเคยบอก ถ้ากลับถึงบ้านแล้วมีใครสักคนคอยห่วงใย คงทำให้อาการเหนื่อยล้ามาทั้งวันหายเป็นปลิดทิ้ง ยิ่งคนคนนั้นคือคนรักก็ยิ่งเป็นเรื่องดีที่เลือกให้เป็นคู่ชีวิต

แพรพิไลยกแก้วดื่มน้ำ หวังขับไล่ความรู้สึกที่เกิดขึ้น หากความชุ่มเย็นของน้ำทำให้รู้สึกดีทวีคูณ เพียงแค่มีเขาคอยเป็นห่วงเป็นใยกัน

เวธัสต้องกลับเข้าครัวเพื่อจัดเตรียมอาหารมื้อเย็นให้หญิงสาว ก่อนจะก้าวขาห่างออกไปก็ได้ยินหล่อนเอ่ยขึ้น

“พรุ่งนี้เพื่อนฉันจะมาหานะ อาจเอะอะไปสักหน่อย บอกคุณให้รู้ไว้ก่อน”

 



Don`t copy text!