เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 17 : มีแต่เรื่องพิกล

เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 17 : มีแต่เรื่องพิกล

โดย : กุลวีร์

Loading

เทพารักษ์ภัสดา โดย กุลวีร์ นวนิยายสนุกๆ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านใน www.anowl.co กับเรื่องราวของเทพารักษ์ผู้มีสัตย์ว่าจะรักเพียงหนึ่ง ต้องลงมาใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์เพราะหญิงสาวผู้เปลี่ยนหัวใจเขาตลอดกาล ภารกิจพิชิตใจจึงเริ่มต้น ท่ามกลางความวุ่นวายของเพื่อนบ้าน และบททดสอบของความรักที่ไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียง

“มีการใดต่อกันรึ”

เขาถามขึ้นพร้อมทั้งเปิดเผยกายให้อีกฝ่ายได้เห็น

ตลอดช่วงสายของวันนี้ เวธัสเห็นเพื่อนบ้านคนสนิทของหล่อนเดินเทียวไปเทียวมาตรงประตูหน้าบ้านพร้อมทั้งสอดส่องข้างในบ่อยครั้งจนอดแปลกใจไม่ได้

บุษบงสะดุ้งตัวเล็กน้อย ก่อนเลื่อนสายตาไปทางเสียงที่ได้ยิน

“สุดหล่อมายืนตั้งแต่ตอนไหน ทำไมน้าเพิ่งเห็น”

“มีเรื่องอันใด” เขาถามย้ำ ขณะประเมินท่าทีของคนตรงหน้าซึ่งมีโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือ

“น้ามาดูว่ามีคนอยู่ในบ้านหรือเปล่า เห็นประตูไม่ได้ล็อก” บุษบงเปิดประตูเหล็กดัด เดินมาคุยกับเขาที่ยังยืนอยู่ใกล้ๆ ต้นทับทิม “นึกว่าสุดหล่อจะไปอยู่ที่บ้านยายเอี่ยม เห็นบ้านเงียบๆ”

ในท่าทีเป็นกันเองและใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา เวธัสรับรู้ถึงแววตาที่เจือด้วยความกังวลอยู่ไม่วาย จึงเอ่ยถามเมื่อเห็นบุษบงมองไปยังบ้านของตนสลับกับมองเขา

“มีอะไรให้ผมช่วยไหม”

“ไม่มีหรอกจ้ะ” บุษบงรีบปฏิเสธ “ถ้าสุดหล่อไปหายายเอี่ยม ล็อกประตูไว้ก็ดีนะ จะได้รู้ว่าไม่มีคนอยู่บ้าน”

หลายวันที่ผ่านมา ยามเขาไปนั่งพูดคุยกับหญิงชราก็แค่ปิดประตูบ้านไว้เฉยๆ เพราะถ้ามีเหตุผิดแปลกเกิดขึ้นกับบ้านหลังนี้คงรับรู้ได้ทันที จึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้แม่กุญแจคล้องประตู

“ถึงคนในชุมชนนี้จะไม่มีเรื่องลักขโมย แต่ผู้คนสมัยนี้ก็ไว้ใจยาก น้าอยากให้กันไว้ก่อนดีกว่า” บุษบงพูดต่อ เมื่อเขายังยืนเงียบ “แล้วไม่ต้องทำเหมือนยายเอี่ยม ตั้งแต่เสียสามีไปก็ไม่เคยล็อกประตูหน้าบ้านเลย น้าเคยเตือนบ่อยๆ แต่เหมือนจะไม่ฟังกัน นี่ดีนะที่บ้านนั้นมีแต่ขยะ น้าก็เลยปล่อยๆ ไป แต่บ้านของหนูแพรคงมีของมีค่า อยากให้ระวังไว้ให้ดี”

“ผมดูแลปกป้องได้ อย่าห่วงเลย” เวธัสหมายถึงทั้งบ้านและตัวเจ้าของบ้าน

“น้าเบาใจที่ได้ยินสุดหล่อพูดอย่างนั้น” หากปากพูดไป แต่ความวิตกยังไม่เลือนหายไปจากดวงตาของบุษบงซึ่งมองนาฬิกาข้อมือบ่อยครั้ง

“ขอบคุณที่เตือนกัน”

“ไม่เป็นไรหรอก เพื่อนบ้านกันทั้งนั้น” บุษบงยิ้มให้เขา “สุดหล่อไม่ออกไปหางานทำบ้างเหรอ เห็นอยู่บ้านทุกวันเลย น่าสงสารหนูแพรนะที่ต้องทำงานมาเลี้ยงดูผู้ชายแบบนี้”

“อีกไม่นานคงได้งาน ตอนนี้กำลังมองหาอยู่”

เวธัสเห็นบุษบงมีสีหน้าโล่งใจ ก่อนจะแย้มยิ้มให้กันเช่นเคย

หลังจากพูดคุยกันจนรู้ความ ผู้มาเยือนก็ขอตัวผละห่างออกไป

เวธัสยืนมองบุษบงเดินไปถึงหน้าประตูบ้านของอีกฝ่าย แล้วค่อยติดต่อใครบางคนผ่านทางโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าเสวนากันเรื่องใด

พอยามบ่ายก็มีเรื่องชวนสงสัยจากเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ติดกันอีกครา

ช่วงสายผู้เป็นภรรยามีท่าทีระแวดระวังเกินเหตุ หากที่เห็นอยู่ตอนนี้คือผู้เป็นสามีทำตัวลับๆ ล่อๆ ตรงหน้าบ้านที่เป็นเจ้าของ

เขาเห็นครูดิษย์กลับมาที่บ้านหลังนั้นทั้งที่ไม่ใช่เวลาเลิกงาน อีกทั้งยังผิดปกติวิสัยยิ่งนัก โดยจอดรถยนต์ไว้ห่างจากหน้าบ้านพอสมควร แล้วเดินมาเปิดประตูด้วยพฤติการณ์เหมือนไม่อยากให้คนในบ้านรับรู้ถึงการมาเยือน

เวธัสคิดจะเข้าไปไถ่ถาม ตอนที่ครูดิษย์เดินผ่านหน้าบ้าน แต่หลายการกระทำนั้นสร้างความคลางแคลงใจ จึงทำได้แค่เฝ้าดูในขอบเขตที่แลเห็นได้ชัดเจน จนกระทั่งผ่านไปไม่ถึงสามนาที ครูดิษย์ก็ออกมาจากบ้านด้วยท่าทีเหมือนตอนเข้าไป

ถ้าเขาไม่เห็นกับตา คงไม่คิดว่าวันนี้ครูดิษย์กลับมาบ้านแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว

สามีภรรยาคู่นี้ทำตัวน่าสงสัยมากขึ้นทุกที หรือมีอะไรซ่อนเร้นที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ก็ได้

 

“คุณว่างหรือยังไง ถึงส่งข้อความให้ฉันทุกสองชั่วโมง”

แพรพิไลถามทันทีที่กลับถึงบ้านแล้วเจอหน้าคนส่งข้อความ

“ผมส่งข้อความจีบคุณตามที่มนุษย์สมัยนี้มักทำกัน ไม่ดีรึ” เขายิ้มให้หล่อน

จะว่าดีมันก็ดีที่หลายข้อความทำให้หล่อนรู้สึกดีและยิ้มได้ แต่ต้องรีบเอ่ยแก้อาการคล้ายผีเสื้อกระพือปีกตรงอกด้านซ้าย

“ส่งบ่อยแบบนี้ รู้หรือเปล่าว่าเป็นข้อความที่ส่งแล้วเสียเงิน”

“รู้” เวธัสยังยิ้มแฉ่ง

“มีงานทำแล้วหรือไง ถึงมีเงินมาจ่ายค่าส่งข้อความ” แพรพิไลไม่รอช้า เมื่อเข้าทางที่จะทำให้เขาหยุดส่งข้อความซึ่งเปิดอ่านทุกครั้งก็เสียอาการทุกที แต่ถ้อยคำของเขาคล้ายดับความประสงค์ของหล่อนฉับพลัน

“คุณแคนดี้เติมเงินให้ บอกให้ผมใช้ได้ตามสะดวก”

หล่อนถอนหายใจที่มีเพื่อนสายเปย์เต็มที่ซึ่งไม่เคยเข็ดหลาบสักที

“แล้วคุณก็ใช้ไม่บันยะบันยัง ส่งข้อความให้ฉันมากมายขนาดนี้”

“ผู้ให้ให้ด้วยความสมัครใจ ผู้รับจึงต้องรับไว้อย่างยินดี”

“คุณต้องเกรงใจกันบ้างสิ ระวังไว้นะ พอคุณใช้เต็มที่ แคนดี้คงรอเอาคืนจากคุณเต็มที่เหมือนกัน” หล่อนยังอ้างต่อ “คุณก็รู้คนเรามักหว่านพืชหวังผลกันทั้งนั้น”

“แต่มนุษย์บางคนก็ให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน อย่างเช่นคุณแพร” เขาจ้องมองหล่อน “หรือคุณแพรแอบหวังจากผมรึ”

“แค่คุณจำทุกอย่างได้ก็พอ ไม่ต้องตอบแทนฉันหรอก ฉันไม่เคยหวังอะไรจากคุณเลย”

หากเวธัสพยายามตอบแทนหญิงสาวตรงหน้าโดยใช้ตัวเขาเองพร้อมด้วยการเป็นคู่ครอง

“วันนี้ผมเห็นสองคนนั้นทำตัวผิดแปลกไป” เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“สองคนไหนอีกล่ะ”

“เพื่อนบ้านของคุณหลังนั้น”

แพรพิไลมองตามสายตาเขาที่หันหน้าไปทางบ้านของบุษบง อีกทั้งยังแก้ตัวให้ “พวกเขาไม่แปลกหรอก มีแต่คุณนั่นแหละแปลกที่ไปเห็นพวกเขา”

“สองคนนั่นมาให้เห็นเอง” เวธัสมีน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น “อาจมีสิ่งใดที่คุณแพรไม่เคยรู้ก็ได้”

“ไม่ใช่ฉันจะรู้ทุกเรื่องของเพื่อนบ้าน ยิ่งคุณเห็นอะไรที่ฉันไม่เคยเห็นก็ไม่แปลกใจหรอก เพราะคุณอยู่บ้าน ถ้าเรื่องนั้นเดือดร้อนมาถึงฉัน คุณค่อยบอกฉันดีกว่า” หล่อนตัดบท

เมื่อเขายังนิ่งคล้ายกำลังใช้ความคิด แพรพิไลจึงเอ่ยถามเรื่องที่ติดค้างในใจ

“ตอนฉันไม่อยู่บ้าน คุณแอบไปคุยกับสาวที่บ้านไหนมาบ้างล่ะ สารภาพกับฉันซะดีๆ”

“สาวที่ไหนรึ”

เขาถามกลับพลางมองด้วยความไม่เข้าใจ

แพรพิไลหัวเราะในลำคอ ลอยหน้าลอยตาเอ่ย “ฉันจะรู้เหรอ สาวๆ ในซอยเห็นคนหล่อๆ อย่างคุณ อาจชวนไปคุยกันถึงบ้านก็ได้”

“ถ้าสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณแพร ผมก็คุยอยู่คนเดียวคือคุณแพร” เวธัสมีเสียงหนักแน่นในประโยคท้าย

“แล้วผู้หญิงคนอื่นที่ไม่มีอายุพอๆ กับฉันล่ะ คุณหว่านเสน่ห์ไปกี่คนแล้ว” หล่อนกอดอกถามเขา ทั้งที่แปลกใจตัวเองว่าเหตุใดต้องเคืองขุ่นถ้าเขาจะพูดคุยกับหญิงผู้อื่น

“คุณน้าบุษกับคุณยายเอี่ยมที่ผมเจรจาด้วยเสมอ” เขายอมรับ

หญิงสาวหันหน้ามาถามเขา “คุณยังไปสุงสิงกับยายเอี่ยมอีกเหรอ”

“คุณจะห้ามผมรึ” เวธัสไม่เล็งเห็นถึงความไม่สมควรใดๆ กับสิ่งที่ได้กระทำ “คนเฒ่าคนแก่ควรได้รับความเห็นอกเห็นใจจากคนรุ่นลูกรุ่นหลาน”

“ฉันไม่ได้ห้าม แต่สำหรับฉัน เพื่อนบ้านที่สร้างความเดือดร้อนให้กัน ฉันคงไม่คิดญาติดีด้วยแน่นอน” แพรพิไลยืนกรานเช่นเดิม “มันเป็นสิทธิ์ของคุณอยู่แล้ว จะเห็นใจคนแก่หรือสนใจสาวคนใด”

“ผมสนใจแค่นางเดียว ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้” เขาส่งสายตาไปที่หล่อน

แพรพิไลเสมองไปทางอื่นเพื่อเลี่ยงความหวั่นไหวในอก จากนั้นกลับเข้าสู่ประเด็นเดิม

“หลายวันแล้วนะ ตอนฉันกลับถึงบ้าน จะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมาด้อมๆ มองๆ ตรงรั้วหน้าบ้าน แล้วยังถามถึงผู้ชายในบ้านนี้ จะให้ฉันคิดยังไง”

หล่อนนึกถึงหญิงผู้นั้นซึ่งเคยเจอหน้ากันถึงสามวันติด หากถูกสอบถามเพียงแค่วันเดียว

“ทำไมผมไม่เคยเห็นใครเลย”

ทั้งที่ตอนกลางวัน เขาสถิตในต้นทับทิมแค่บางครั้งบางคราวก็ไม่เคยเห็นมนุษย์ผู้ใดผ่านตา นอกจากสามีภรรยาคู่นั้น

“แล้วจะรู้ไหมล่ะ ฉันก็พูดตามที่เคยเจอ”

เวธัสนึกในใจว่าทำไมช่วงนี้มีแต่เรื่องพิกลเกิดขึ้นไม่ว่างเว้น

“ตกลงคุณไม่รู้จริงๆ หรือคิดจะปกปิดเจ้าของบ้านอย่างฉัน” แพรพิไลเอ่ยต่อ พลางจ้องมองเพื่อจับผิดเขา

“ผมไม่คิดมีใจปฏิพัทธ์กับใครทั้งสิ้น นอกจากนางเดียวตรงหน้านี้”

แพรพิไลต้องรีบหลบสายตาที่แฝงด้วยความมาดมั่นไม่แปรเปลี่ยน

ยิ่งเขาพูดถ้อยคำคำนั้นก็ยิ่งวาบหวามในอก

“ถ้าคุณพาผู้หญิงเข้าบ้านตอนที่ฉันไม่อยู่ ต่อให้คุณจำอะไรไม่ได้ ฉันจะให้คุณออกไปทันที นี่บ้านฉันไม่ใช่โรงแรม”

เขายิ้มด้วยความมั่นใจ “ไม่มีทาง”

“ไม่มีทางที่ฉันจะรู้”

“ไม่มีทางที่ผมคิดเสน่หานางผู้อื่น” เวธัสส่งสายตาเป็นประกายให้รู้ความในว่าหล่อนคือนางผู้เดียวจนสิ้นอายุขัย

“อย่าให้ฉันจับได้ก็แล้วกัน” แพรพิไลตอบตัวเองไม่ได้เช่นกัน ยิ่งอยู่กับเขานานวันก็ยิ่งเชื่อถือในคำพูดของเขา ขณะเดียวกันก็สัมผัสถึงความเจ้าเล่ห์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

“ผมยอมให้จับ” เขายื่นมือให้หล่อน หวังสัมผัสฝ่ามือแสนอ่อนนุ่มที่ไม่ได้แตะต้องนานหลายเดือน

หล่อนรู้ทันจึงรีบผละออกมา ปล่อยคำขู่ไว้กับเขาโดยไม่ขยายความเพิ่มเติม

เวธัสบอกไล่หลังหญิงสาว

“ผมจะต้องรู้ให้ได้ สาวที่คุณเคยเจอคือผู้ใดกันแน่”

 



Don`t copy text!