
เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 7 : อย่างนั้นก็แย่เลย
โดย : กุลวีร์
เทพารักษ์ภัสดา โดย กุลวีร์ นวนิยายสนุกๆ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านใน www.anowl.co กับเรื่องราวของเทพารักษ์ผู้มีสัตย์ว่าจะรักเพียงหนึ่ง ต้องลงมาใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์เพราะหญิงสาวผู้เปลี่ยนหัวใจเขาตลอดกาล ภารกิจพิชิตใจจึงเริ่มต้น ท่ามกลางความวุ่นวายของเพื่อนบ้าน และบททดสอบของความรักที่ไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียง
“พ่อหนุ่มคนนั้นใช่ไหม”
คนถูกถามไม่ให้คำตอบ อีกทั้งยังไม่มองหน้าคนถามซึ่งเป็นหญิงชราที่ช่วยพยุงตัวให้ลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้มีพนักพิง
พอเริ่มจะไม่ไหวที่เขาพูดรบเร้าคล้ายออกคำสั่งอยู่หลายนาที จนไม่อาจทนฟังคำต่อว่าต่อขานที่เหมือนคนแล้งน้ำใจ และกลัวเขาจะประณามหยามหมิ่น ถ้ายังนิ่งเฉยไม่คิดจะช่วยเหลือเพื่อนบ้าน แพรพิไลจึงยินยอมเข้าไปในบ้านของยายเอี่ยมเพื่อให้จบเรื่องและหยุดเสียงหนวกหูจากเขา
หลังจากตะโกนเรียกเจ้าของบ้านก็ไร้เสียงโต้ตอบ หากประตูหน้าบ้านไม่ได้ล็อก หล่อนถือวิสาสะเข้าไปด้านใน พอมือจับลูกบิดประตูก็ได้ยินเสียงโอดครวญในบ้านดังขึ้นแผ่วเบา
ยายเอี่ยมเผลอสะดุดขาตัวเองจนล้มลงไปกับพื้น ส่วนปลายของไม้เท้าที่ใช้เป็นประจำโดนขาโต๊ะ เป็นเหตุให้ผ้ากองโตหล่นลงมาจนท่วมตัว ด้วยความเจ็บเคล็ดขัดยอกตรงสะโพกทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงขยับเขยื้อนไปไหนได้เลย
หล่อนเห็นผู้ประสบเหตุก็รีบให้ความช่วยเหลือโดยพลันจนลืมเรื่องบาดหมางใจไปชั่วขณะ
เมื่อคนสูงวัยไม่เป็นอะไรมากอย่างที่คิด ความรู้สึกชิงชังเพื่อนบ้านผู้นี้ที่มักจะสร้างปัญหาต่อกันพร้อมทั้งอาการเคืองขุ่นก็กลับคืนมาเฉกเช่นเดิม จึงเป็นเหตุให้หล่อนยังไม่ตอบคำถามนั้น
“ขอบคุณนังหนูมากนะที่มาช่วยกันไว้” ยายเอี่ยมเอ่ยอีกครั้ง
“ถ้าเขาไม่บอก แพรก็ไม่คิดจะเข้ามาในนี้หรอกค่ะคุณยาย” หล่อนเน้นย้ำด้วยการบอกไปตามตรง
“พ่อหนุ่มที่เป็นชู้คนนั้นละสิ”
แพรพิไลหันมองอีกฝ่ายทั้งที่ไม่อยากจะมองหน้ากัน ก่อนจะแก้ความเข้าใจผิด หญิงชราก็พูดขึ้นอีกราวกับสั่งสอนหล่อน
“ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง แค่คิดจะมีชู้ มันก็ไม่สมควรแล้ว ยิ่งเป็นผู้หญิงริจะมีมากผัวคงเป็นเรื่องงามหน้า ถ้าเลิกได้ก็ดีกับตัวเอง ทำไมไม่คิดเรื่องผัวเดียวเมียเดียวบ้างล่ะ ยายว่ามันดีกว่าการที่พาชู้มาอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ไม่กลัวชาวบ้านจะพูดกันสนุกปากว่าเป็นหญิงสองผัวหรอกเหรอ”
“คุณยายคะ” แพรพิไลเอ่ยขัดด้วยเสียงกระด้าง “ถ้าคุณยายยังไม่รู้ความจริงอะไร ก็อย่าไปพูดแบบนี้ให้ใครได้ยินดีกว่าค่ะ”
หรือเรื่องหล่อนมีชู้ที่ชาวบ้านร่ำลือกัน อาจมีต้นตอมาจากเพื่อนบ้านผู้นี้ก็เป็นได้
“ยายไม่ได้ว่าอะไร แค่อยากให้รู้ว่ามันไม่ดี”
“หยุดพูดเถอะค่ะ คุณยายจะคิดอะไรก็เรื่องของคุณยาย ส่วนแพรจะทำอะไรก็เรื่องของแพร”
“ยายไม่อยากพูดกับนังหนูมากนักหรอก รู้ๆ กันอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร”
“นั่นสิคะ พูดไปก็เท่านั้น แต่ยังทำอยู่ดี”
หล่อนคิดเสมอว่าต่างคนต่างอยู่โดยไม่ต้องพูดคุยสุงสิงกันคงจะดีที่สุด เพราะพูดอะไรไป อีกฝ่ายก็ไม่เข้าใจและไม่เคยเห็นใจกันอยู่ดี
แพรพิไลไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด หรือต้องเท้าความถึงปัญหาที่หญิงชราก่อขึ้นจนสร้างความวุ่นวายให้แก่กัน จึงหันหลังให้แล้วผละออกมาอย่างเร็วไว โดยไม่สนใจเจ้าของบ้านแม้แต่น้อย
“อ้าว! นังหนู นึกว่าจะอยู่ทายาให้ยาย”
“พ่อหนุ่มอยู่ไหน พ่อหนุ่ม”
หลังจากหญิงสาวออกไปทำงาน เขาเริ่มทำกิจวัตรเช่นเคยโดยอาศัยในต้นทับทิม ยกเว้นช่วงที่ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาเจ้าของบ้านก็จะนั่งบ้างนอนบ้างบนโซฟายาวที่หล่อนมอบให้เขาใช้เป็นที่พักพิงยามราตรี
ขณะทำสมาธิฝึกผสานกายและใจเพื่อดำรงตนให้ตระหนักต่อสิ่งต่างๆ ตรงหน้า รวมทั้งมีสติกับปัจจุบัน เขารับรู้ถึงเสียงกริ่งดังขึ้นตามด้วยเสียงเรียกจากผู้ที่มาหากันซึ่งยังยืนเฝ้าคอยให้ออกไปพบหน้า
พอสบโอกาสที่อีกฝ่ายละความสนใจในเขตบ้าน เวธัสจึงปรากฏกายตรงประตูหน้าบ้าน
“ยายมาขอบคุณพ่อหนุ่มที่ให้นังหนูไปช่วยยาย” หญิงชราพูดขึ้นทันทีที่เห็นเขา
อาการปวดสะโพกทุเลามากแล้ว เหลือเพียงแค่รอยพกช้ำ ยายเอี่ยมจึงเดินมาที่บ้านหลังนี้เพื่อทำตามความตั้งใจ ยามเห็นลู่ทางเหมาะเจาะที่หญิงสาวไม่อยู่ในบ้าน
เวธัสยืนมองด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเป็นอาจินต์
“ถ้ายุ่งอยู่ ยายขอรบกวนแค่นี้แล้วกัน”
“อย่าเพิ่งไป” เขารั้งคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากหล่อนเมื่อสามวันก่อน
ในวันนั้น เวธัสไม่คิดจะใช้อำนาจเพื่อรับรู้ทุกเหตุการณ์ในบ้านของหญิงชรา เมื่อแพรพิไลกลับเข้าบ้านก็ไม่ได้บอกกล่าวให้รู้บ้างเลย แสดงว่าไม่มีเหตุร้ายใดอย่างที่เคยสังหรณ์
จนบัดนี้เขายังแคลงใจที่หล่อนเจรจากันน้อยลง ตอนแรกคาดว่าคงยังไม่หายโกรธเคืองที่ถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่เต็มใจ หากไตร่ตรองอีกทีอาจมีเรื่องมากกว่าที่คิดไว้เสียแล้ว จึงอยากหาคำตอบ
ยายเอี่ยมหันมองชายหนุ่มซึ่งทำทีเหมือนจะเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านในก็รีบบอก
“ยายไม่เข้าไปในนั้นหรอก กลัวจะมีเรื่อง ไปนั่งคุยในบ้านยายดีกว่าไหม อย่าปล่อยให้คนแก่ยืนพูดนานๆ อย่างนี้เลย”
เวธัสจำเป็นต้องเดินตามหลังหญิงชรา
“เข้ามาสิ แล้วปิดประตูให้ด้วย” ยายเอี่ยมหันหน้าไปบอกคนที่ยืนนิ่ง หลังจากก้าวขาเข้าไปในเขตบ้านของตัวเอง
“เจ้าต้องบอกเจ้าที่เจ้าทางให้ข้าเข้าไป ถ้าเจ้าไม่อนุญาต ข้าก็เข้าไม่ได้”
แม้คำพูดของชายหนุ่มจะแปร่งหูไปบ้าง แต่ยายเอี่ยมก็หันไปทางศาลพระภูมิพลางบอกกล่าวในใจตามความประสงค์ของชายตรงหน้า
“บ้านไม่ค่อยสะอาดมากหรอกนะ พ่อหนุ่มเลือกที่นั่งได้ตามสบาย” เจ้าของบ้านพูดขึ้น ยามพาเขามานั่งคุยกันในบ้าน “ถ้าอยากกินน้ำก็บนโต๊ะนั้น ลุกไปหยิบได้เลย ที่นี่ไม่มีน้ำเย็นหรอก ยายขอนั่งพักสักประเดี๋ยว”
เวธัสจ้องมองหญิงชรานั่งบนเก้าอี้มีพนักพิงและมีเบาะรองนั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เมียงมองรอบตัวก็เห็นข้าวของมากมายตามมุมต่างๆ โดยเฉพาะเสื้อผ้ากองใหญ่ที่เห็นเด่นชัด
“พ่อหนุ่มชื่ออะไรล่ะ” ยายเอี่ยมชวนคุย
“ข้าชื่อเทพ” เขาตอบเหมือนที่เคยตอบหล่อน แล้วถามต่อ “ไม่มีคนอยู่กับเจ้าเลยรึ”
ยายเอี่ยมหัวเราะในลำคอ “แต่ก่อนเคยมี เดี๋ยวนี้อยู่คนเดียว”
ยามมีเพื่อนคุยและคนคอยรับฟัง หญิงชราก็สาธยายประวัติคร่าวๆ ของตนซึ่งอยู่ในบ้านเพียงลำพัง ทนใช้ชีวิตโดดเดี่ยวตั้งแต่สามีเสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อน ยายเอี่ยมไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีลูกหลาน เป็นผู้สูงอายุตัวคนเดียวแสนว้าเหว่เพื่อรอวาระสุดท้ายของชีวิตอย่างน่าอนาถใจ
“มนุษย์ต้องชดใช้กรรมต่อไป ถ้ายังไม่ถึงคราว” เวธัสบอกอีกฝ่าย
“ยายแค่รอวันตายในบ้านนี้ แต่ยังไม่ถึงวันนั้นสักที ไม่รู้ตาที่อยู่บนฟ้ายังจะรอยายไหวไหม” คนพูดมองไปทางภาพขาวดำบนฝาผนังซึ่งเป็นรูปของสามี
“เจ้ายังมีเวลาสะสมบุญ ข้าบอกได้เพียงเท่านี้”
ยายเอี่ยมจ้องหน้าเขา เนื่องจากตงิดใจกับวาจาที่ได้ยินมาได้สักพักหนึ่ง
“ถามจริงๆ เลยนะ ที่พูดเจ้าพูดข้ากับยาย พ่อหนุ่มเป็นเจ้าขุนมูลนาย มีเชื้อเจ้าเชื้อกษัตริย์หรือเปล่า” หญิงชราไม่รอฟังคำตอบ “ถ้าไม่ใช่ก็อย่ามาทำเป็นยี่เกแถวนี้เลย ยิ่งพูดกับคนแก่อย่างยาย มันเหมือนคนไม่มีสัมมาคารวะ ไม่มีใครสั่งใครสอน นี่ยายหวังดีหรอกนะ ถึงบอกให้รู้ เลิกพูดซะ”
ตั้งแต่เป็นเทวดา เวธัสเอ่ยเยี่ยงนี้จนติดปาก ทั้งที่พยายามพูดให้ไม่ต่างจากมนุษย์ แต่ลืมตัวทุกครั้งจึงจนปัญญา ไม่รู้จะปรับเปลี่ยนคำพูดคำจาได้อย่างไร
พอถูกติเตียนขนาดนั้น เขาจำเป็นต้องเงียบปาก ไม่ถามถึงเรื่องที่อยากรู้อีกเลย
เมื่อชายหนุ่มยังนั่งนิ่งเฉยด้วยใบหน้าเรียบตึงดุจเดิม ยายเอี่ยมจึงยื่นข้อเสนอ “ให้ยายช่วยแนะนำไหมล่ะ ถ้าอยากดูเป็นคนนอบน้อมกับผู้หลักผู้ใหญ่มากกว่านี้”
เวธัสพยักหน้าเป็นคำตอบ ยามรับรู้ถึงความปรารถนาดีของอีกฝ่าย
ด้วยความเป็นครูมาก่อน หญิงชราก็อดที่จะสอนสั่งไม่ได้
“หัดพูดใหม่แล้วกัน ถ้าเป็นชายอย่างพ่อหนุ่ม ต้องเรียกแทนตัวเองว่าผม ลองพูดสิ” เมื่อชายหนุ่มทำตามคำบอกอย่างตั้งใจ ยายเอี่ยมก็เอ่ยต่อ “แล้วเรียกคนที่พูดคุยกันว่าคุณ หรือจะตามด้วยชื่อ หรือจะเรียกแค่ชื่อก็ได้ ถ้ารู้ชื่อรู้นาม”
“ผมขอบใจคุณเจ้ามากที่ช่วยบอกกัน” เขาเอ่ย
“คุณเฉยๆ ไม่ต้องมีคำว่าเจ้า”
“ผมขอบใจคุณเฉยๆ มากที่ช่วยบอกกัน” เขากล่าวอีกครั้ง
“พ่อหนุ่มเป็นคนซื่อดีนะ” ยายเอี่ยมเริ่มขบขัน “เรียกยายแค่คุณสั้นๆ เอาเฉยๆ ทิ้งไป”
เขาพยายามทำความเข้าใจพร้อมทั้งแก้ไขคำกล่าวนั้น
“ผมขอบใจคุณสั้นๆ ที่ช่วยบอกกัน”
“พ่อหนุ่มเป็นคนตลกนะเนี่ย หรือจงใจทำเป็นตลกโปกฮา” หญิงชราพูดกลั้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี
เวธัสยังนั่งทำหน้านิ่ง ทั้งที่ไม่เข้าใจใดๆ เลยทั้งสิ้น
ยายเอี่ยมต้องรีบแก้ทั้งประโยค ก่อนให้ผู้ที่ทำตัวประสาคนซื่อค่อยพูดตาม “ผมขอบใจคุณมากที่ช่วยบอกกัน ต้องพูดแบบนี้ ไหนพูดสิ”
เมื่อเขาเอ่ยได้ถูกต้อง คนสอนก็ยิ้มด้วยความพอใจ
“แต่ยายเป็นคนแก่หรือคนมีอายุมากกว่าพ่อหนุ่ม ควรเรียกยายว่าคุณยายจะเหมาะที่สุด” ยายเอี่ยมทิ้งท้ายด้วยความหวังดี “ถ้าไปเจอคนมีอายุมากกว่าก็อย่าไปเรียกคุณยายเสียหมดล่ะ ดีไม่ดีจะถูกแพ่นกบาลเอาได้ ยายไม่รู้ด้วยนะ”
หากเวธัสคิดว่าคงไม่มีมนุษย์ผู้ใดมีอายุอานามมากกว่าตน แล้วทวนประโยคนั้นด้วยความเข้าใจ
“ผมขอบใจคุณยายมากที่ช่วยบอกกัน”
“ยายชื่อเอี่ยม ไม่ได้ชื่อมาก ไม่ต้องมาขอบอกขอบใจกันหรอกพ่อหนุ่ม” หญิงชราขบขันกับมุกตลกของตัวเอง “แล้วพูดกับผู้ใหญ่ ต้องพูดว่าขอบคุณ ส่วนขอบใจเอาไปใช้กับคนรุ่นเดียวกัน แต่ยายไม่ถือสาหรอก แค่บอกให้รู้ไว้”
เวธัสพยายามทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ใหม่จากคนตรงหน้า
เรื่องคำพูดคำจา ถ้าจะสอนทั้งวันก็คงไม่หมดทุกถ้อยกระทงความ ยายเอี่ยมจึงแนะนำแค่พอประมาณ เผื่อเขาจะทำตามบ้างเท่านั้นเอง แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“ยายรู้นะว่านังหนูคนนั้นไม่ค่อยชอบยายมากนักหรอก”
เขารู้ทันทีว่าคนที่ถูกกล่าวถึงคือแพรพิไล ก่อนเอ่ยถามถึงสาเหตุ อีกฝ่ายก็ถามขึ้นมาก่อน
“ตกลงพ่อหนุ่มกับนังหนูเป็นชู้กันจริงๆ ใช่ไหม หรือเป็นอะไรกันแน่”
“ข้า…” เวธัสเปลี่ยนวาจาใหม่ “ผมไม่ได้เป็นชู้”
“อย่างนี้ค่อยมีกำลังใจที่จะสอนอะไรให้อีก หัวไวเหมือนกัน” ยายเอี่ยมเอ่ยอย่างคนอารมณ์ดี พอนึกขึ้นได้ก็เปลี่ยนท่าทีแล้วพูดเสียงอ่อน หลังจากได้ยินคำตอบของเขา
“ถ้าอย่างนั้นก็แย่เลย นังหนูคงเข้าใจยายผิดไปอีกน่ะสิ ไม่น่าเลย”
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 7 : อย่างนั้นก็แย่เลย
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 6 : เชื่อสิ!
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 5 : ขอไปทำไม
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 4 : เลิกพูดเถอะ
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 3 : ดีหรือไม่ดี
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 2 : ไม่ใช่ใช่ไหม
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 1 : ขออยู่ที่นี่ได้ไหม
- READ เทพารักษ์ภัสดา : บทนำ