
เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 9 : เหตุใดมันจึงร้อง
โดย : กุลวีร์
เทพารักษ์ภัสดา โดย กุลวีร์ นวนิยายสนุกๆ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านใน www.anowl.co กับเรื่องราวของเทพารักษ์ผู้มีสัตย์ว่าจะรักเพียงหนึ่ง ต้องลงมาใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์เพราะหญิงสาวผู้เปลี่ยนหัวใจเขาตลอดกาล ภารกิจพิชิตใจจึงเริ่มต้น ท่ามกลางความวุ่นวายของเพื่อนบ้าน และบททดสอบของความรักที่ไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียง
“คุณพูดว่าอะไรนะ ฉันได้ยินไม่ถนัด”
แพรพิไลเดินผ่านเขาไปแบบไม่ไยดี วางถุงอาหารไว้บนโต๊ะในครัว
เวธัสลุกขึ้นยืน ก้าวขาไปหยุดอยู่ไม่ไกลจากหล่อน ย้ำคำกล่าวนั้นด้วยระดับเสียงเท่าเดิม
“น้าบุษเป็นใคร เกี่ยวข้องอันใดกับคุณ”
หญิงสาวหยิบจานสองใบ ยื่นให้เขาหนึ่งใบ ส่งสายตาให้ช่วยกันเทอาหารใส่จาน ก่อนเอ่ยขึ้น
“วันนู้นก็พูดถึงยายเอี่ยม วันนี้มาถามถึงน้าบุษ วันๆ ที่คุณอยู่บ้านฉัน คือตั้งใจจะรู้จักผู้คนในซอยทุกบ้านเลยหรือไง แต่บอกไว้ก่อนเลยนะ ฉันก็ไม่รู้จักใครมากนักหรอก”
“ผมแค่อยากรู้”
“แล้วคุณจะสอดรู้ให้ได้อะไร อยู่เฉยๆ ไม่ได้เหรอ”
“สอดรู้เป็นเยี่ยงไร ดีรึไม่”
แพรพิไลวางถุงอาหารไว้ในจาน เท้าเอวมองคนที่ทำเป็นยอกย้อนแกล้งถามกัน แต่สีหน้าและท่าทีแสนใสซื่อของเขาก็ลดความเคืองขุ่นได้บ้าง
“มันไม่ดีหรอก เอาเวลามารู้เรื่องราวของตัวเองให้ได้ก่อน ค่อยไปรู้เรื่องของชาวบ้าน”
หล่อนเห็นเขาเดินกลับไปนั่งโซฟาตามเดิมก็ยอมพูดโดยไม่กระทบกระเทียบกัน
“น้าบุษเป็นเพื่อนบ้านของฉัน รู้จักกันก็ตอนมาเช่าอยู่ที่นี่ น้าบุษเป็นกันเองดีนะ ชอบมาคุยกับฉันจนฉันได้รู้หลายเรื่องของคนในซอย”
เวธัสไม่แปลกใจกับเรื่องราวที่ได้ยินซึ่งเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งที่อยากรู้
เมื่อเขาดูคล้ายยังไม่พอใจ แพรพิไลก็พูดต่ออีก
“น้าบุษเป็นแม่บ้าน มีสามีที่คนแถวนี้เรียกกันว่าครูดิษย์ ฉันเองก็ไม่ค่อยได้เห็นหน้าครูดิษย์ เพราะออกไปสอนหนังสือแต่เช้าแล้วกลับช้ากว่าฉัน วันหยุดยังต้องไปโรงเรียน จนน้าบุษมาบ่นให้ฟังบ่อยๆ”
หล่อนรู้เรื่องราวของเพื่อนบ้านที่มักจะสุงสิงกันเสมอเพียงแค่นี้ ถ้าเขาอยากรู้เพิ่มเติมคงต้องให้ไปสอบถามด้วยตัวเอง
“คงไม่แปลกอันใด ถ้ามาคุยกัน”
“เห็นไหมล่ะ ฉันยังมีเพื่อนบ้านที่พอจะพึ่งพากันได้ ไม่ใช่ไม่มีเลยสักคน” แพรพิไลยิ้มน้อยๆ โดยไม่เห็นความจำเป็นจะต้องไปเกี่ยวข้องกับเพื่อนบ้านเจ้าปัญหาให้ต้องปวดหัวเพิ่มขึ้น “คุณอยากจะรู้จักน้าบุษไปทำไมล่ะ หรือมีอะไรกันหรือเปล่า”
ยังไม่ทันที่เขาจะเอื้อนเอ่ยตามที่บุษบงได้ฝากให้พูดกับหล่อน เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น จนเห็นแขกผู้มาเยือนเปิดประตูเข้ามาในบ้าน โดยไม่ต้องรอให้เจ้าของบ้านออกไปเชื้อเชิญ
“ทำไมแกไม่บอกฉันว่าจะมาที่นี่ จะได้ติดรถมาด้วย” แพรพิไลบอกเพื่อนสนิทซึ่งทำงานที่เดียวกัน
“ถ้าบอกก็ไม่เซอร์ไพรส์น่ะสิ ใช่ไหมคะคุณเทพ” คณิศรหันไปหาพรรคพวก “คงยังไม่ได้กินข้าวกันใช่ไหม แคนดี้ซื้อกับข้าวมาให้ด้วยนะคะ เผื่อจะเบื่อกับข้าวถุงของยัยแพร นี่ยังร้อนๆ อยู่เลย”
“เอาใจแต่ผู้ชาย” หญิงสาวค้อนใส่เพื่อนที่ทยอยนำของใช้มาให้เขา จึงช่วยลดภาระได้มาก
คณิศรเข้าไปจับแขนหล่อน “ฉันก็มีธุระของฉันบ้างสิ ให้แกติดรถไปด้วยไม่ได้หรอก ฉันซื้อมาเผื่อแกด้วยนะ ฉันไม่ได้เห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อนหรอก”
หล่อนแกล้งแบะปากพลางมองบน หากยังเชื่อถือคำพูดของเพื่อนที่คบกันมาหลายปี
เวธัสยืนด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง มองคนทั้งสองคุยกัน
“เราเข้าไปกินกันดีกว่าค่ะคุณเทพ กินข้าวนะคะ ไม่ใช่กินแคนดี้” คนพูดขบขันเบาๆ กับการตบมุกตลกของตัวเอง “แคนดี้เอาของมาให้คุณเทพด้วยนะคะ กินให้อิ่มท้องก่อนดีกว่าจะได้นั่งคุยกันยาวๆ”
เจ้าของบ้านเหมือนไม่มีตัวตนในสายตาของเพื่อนไปชั่วขณะ เดินตามหลังเขาเข้าไปในครัวซึ่งถูกคณิศรจูงแขนให้ไปพร้อมกัน
เวธัสทำได้แค่นั่งรอคนสองคนจัดเตรียมอาหารตามคำบอกของผู้มาเยือน
คณิศรกระซิบพูดกับหล่อนโดยไม่สนใจว่าเขาจะได้ยินหรือไม่
“ฉันถามแกจริงๆ เลยนะ คุณเทพไม่ชอบกะเทยอย่างฉันหรือเปล่า ทุกครั้งที่ฉันเอาของมาให้ คุณเทพไม่ค่อยคุยกับฉันเลย เหมือนฝืนยิ้มนิดๆ ให้กันเท่านั้นเอง”
“คุณเทพเคยชมว่าแกเป็นคนดีนะ คงไม่ชินที่แกทำตัวแปลกๆ มากกว่า จึงไม่รู้จะพูดอะไร”
“ฉันแปลกยังไง” คณิศรลืมตัวเท้าสะเอวถามออกไป
“ก็ร่างเป็นชายไม่ต่างจากคุณเทพ แต่มีกิริยาออกสาวมากกว่าฉันเสียอีก” แพรพิไลนึกถึงตอนที่เขาเอ่ยถามถึงเพื่อนผู้นี้ “แต่คุณเทพก็อยากผูกมิตรกับแกนะ เขาเคยบอกฉัน”
คณิศรยิ้มได้ทันควัน “อย่างนั้นก็ดี ของที่ตั้งใจจะให้คุณเทพวันนี้คงทำให้ชินกับฉันได้บ้าง เผื่อสักวันฉันอาจเป็นยิ่งกว่ามิตรของคุณเทพก็ได้”
หล่อนส่ายศีรษะให้คนที่ยังหวังลมๆ แล้งๆ
หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จสิ้น คณิศรก็ไม่รอช้าจูงแขนเขาไปนั่งบนโซพา จนแพรพิไลต้องละทิ้งจานชามในอ่างด้วยความอยากรู้ว่าเพื่อนนำสิ่งใดมาให้เขา
“แคนดี้เอามือถือมาให้คุณเทพค่ะ”
เวธัสจ้องมองของในมืออีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ จนได้ยินคณิศรกล่าวต่อ
“พอดีแคนดี้ซื้อเครื่องใหม่ เครื่องนี้พร้อมเบอร์นะคะ ใช้งานได้เลย คุณเทพรับไว้เถอะค่ะ ไม่ต้องเกรงใจกัน แคนดี้ชอบเปย์อยู่แล้ว”
“แกจะเอามือถือมาให้คุณเทพทำไม ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องใช้เลย” หล่อนแทรกขึ้น
“ฉันจะได้โทรมาคุยกับคุณเทพบ่อยๆ น่ะสิ คงคุ้นเคยกันมากขึ้น” คณิศรหันหน้าไปตอบหล่อน แล้วมองเขา “ในนี้มีแค่เบอร์ของแคนดี้กับเบอร์ยัยแพร เผื่อไว้เป็นกรณีฉุกเฉิน คุณเทพรับไว้นะคะ”
“คุณแคนดี อย่ามอบสิ่งใดให้ผมอีกเลย แค่นี้ก็เกินพอ”
คณิศรวางโทรศัพท์มือถือไว้บนโซฟาไม่ห่างจากเขา แล้วทิ้งตัวลงไปบนพนักพิงอย่างคนไร้เรี่ยวแรงทั้งที่ใบหน้าส่อแววมีความสุข
“แกเป็นอะไรหรือเปล่าแคนดี้” แพรพิไลรีบเข้าไปเขย่าแขนของเพื่อน
“ชาตินี้ฉันคงตายตาหลับที่คุณเทพพูดกับฉันเกินสามคำ แกได้ยินเหมือนที่ฉันได้ยินไหม” คณิศรกระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งตามเดิม “ฉันดีใจ ในที่สุดคุณเทพก็ยอมคุยกับฉันสักที”
“คุณแคนดีเป็นคนมีจิตใจดี ผมชื่นชม”
“คุณเทพพูดกับแคนดี้ใช่ไหมคะ อย่างนี้แคนดี้คงเริ่มมีหวัง” คณิศรสนใจแต่ชายหนุ่มตรงหน้าเพียงผู้เดียว “แต่คุณเทพเรียกแคนดี้ว่าอะไรนะคะ”
“คุณแคนดี” เวธัสหันไปหาแพรพิไลพร้อมส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
เจ้าของชื่อเล่นนั้นจึงต้องแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
“แคนดี้ค่ะไม่ใช่แคนดี แต่คุณเทพจะเรียกอย่างนั้นก็ได้ แค่คุณเทพพูดคุยกันบ้างก็ดีใจมากแล้ว ตอนแรกนึกว่ารังเกียจกันซะอีก เป็นแคนดีของคุณเทพก็ยังดีกว่าชั่วหรือเลวจริงไหมคะ”
เขายิ้มให้กับคนที่ทำทียกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาด้วยความปลาบปลื้มใจ
อยู่ดีๆ โทรศัพท์มือถือบนโซฟาก็มีเสียงเรียกเข้า
“เหตุใดมันจึงร้องเช่นนั้น” เวธัสเขยิบตัวให้ห่างจากสิ่งของที่ส่งเสียงได้ หากยังจ้องมองไม่วางตา
“แคนดี้โทรเข้าเองค่ะคุณเทพ ทำเป็นตกอกตกใจไปได้ ไม่เคยเห็นหรือไงคะ” คณิศรพูดกลั้วหัวเราะ มือข้างหนึ่งถือเครื่องใหม่แนบหู ส่วนมืออีกข้างหยิบเครื่องเก่าส่งให้เขา “นี่ค่ะคุณเทพ ลองรับดูคะ”
เขานำโทรศัพท์มือถือมาไว้ในมือ “ผมรับแล้ว”
“รับสายค่ะ ไม่ใช่รับของที่แคนดี้ยื่นให้” คนพูดเหลือบตามองบน แต่ยังไม่วายแนะนำต่อ เมื่อเห็นเขายังนั่งนิ่ง “เห็นสีเขียวไหมค่ะ ใช้นิ้วจิ้มไปตรงนั้นแล้วปัดไปทางไหนก็ได้ค่ะ”
เวธัสทำตาม จนสิ่งของในมือหยุดส่งเสียง
คณิศรหันหลังให้เขาแล้วพูดใส่โทรศัพท์มือถือของตน “คุณเทพได้ยินเสียงแคนดี้ไหมคะ”
“ผมได้ยินเสียงคุณแคนดี” เขาเอ่ยตอบ
คณิศรหันมาเห็นเขานั่งถือของที่ได้รับมาไว้ในมืออยู่เช่นเดิมก็ทอดถอนใจหนักหน่วง “เสียงในสายค่ะ”
เวธัสถูกคนตรงหน้าจับแขนให้ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาไว้ใกล้หู แล้วฟังเสียงที่อีกฝ่ายพูดขึ้นอีกครั้ง จนกระทั่งเขาพอจะเรียนรู้สิ่งของที่ได้มาประมาณหนึ่ง
“นี่แค่รับสายยังต้องสอนขนาดนี้ แล้วโทรออกจะต้องสอนขนาดไหน”
“เดี๋ยวฉันสอนต่อให้เอง มันใช้ไม่ยากหรอก มือถือสมัยนี้” แพรพิไลอดไม่ได้ที่จะขบขันท่าทีเหนื่อยอ่อนของเพื่อนสนิท
“ถ้าไม่หล่อจริงหรือน่ากินขนาดนี้ ฉันคงเซย์กู๊ดบายไปตั้งนานแล้ว” คณิศรพูดขึ้นหลังจากเรียกเรี่ยวแรงกลับคืนมา “นี่ถ้าไม่ใช่ชีวิตจริง แคนดี้คงคิดว่าคุณเทพหลุดมาจากกรุงศรีมาอยู่ในยุค 5G นะคะ”
เวธัสยิ้มน้อยๆ ให้กับคนตรงหน้าที่ยังแจกจ่ายรอยยิ้มและน้ำใจให้กันไม่เคยเปลี่ยน ถึงแม้เขาจะทำตัวไม่ค่อยได้ดังใจนักก็ตาม
แพรพิไลได้ยินคำที่เพื่อนหันมาบอกกัน ก่อนจะขอตัวกลับ
“ฉันเชื่อแล้วว่าคุณเทพเป็นคนความจำเสื่อมจริงๆ ขนาดมือถือยังจำการใช้งานไม่ได้เลย”
เขาพอใจที่จะทำให้คนทั้งสองคิดเช่นนั้น เพราะจะได้มีเวลาทำความปรารถนาให้สำเร็จในสักวันหนึ่ง
ทว่ารุ่งเช้าของวันใหม่ แพรพิไลยังไม่ทันจะออกไปทำงาน ก็เดินกลับเข้าบ้านอย่างคนหัวเสีย
“นั่นไงคุณ เกิดขึ้นอีกแล้ว ทีนี้จะได้เห็นฤทธิ์ยายเอี่ยมสักทีนะ”
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 10 : บอกให้รู้ไว้ก่อน
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 9 : เหตุใดมันจึงร้อง
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 8 : ฝากด้วยนะ
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 7 : อย่างนั้นก็แย่เลย
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 6 : เชื่อสิ!
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 5 : ขอไปทำไม
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 4 : เลิกพูดเถอะ
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 3 : ดีหรือไม่ดี
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 2 : ไม่ใช่ใช่ไหม
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 1 : ขออยู่ที่นี่ได้ไหม
- READ เทพารักษ์ภัสดา : บทนำ