A MIND จิตอริยะ บทที่ 17 : บิดเบี้ยว

A MIND จิตอริยะ บทที่ 17 : บิดเบี้ยว

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

A MIND จิตอริยะ โดย ไข่เจียวหมูสับ กับเรื่องราวซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของระบบสลับจิตที่นำมาทั้งการตามล่า บททดสอบทางศีลธรรมและความรักที่อาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา และนี่คือนวนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับเลือกจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 ที่จะถูกนำไปสร้างเป็นละครและเป็นนวนิยายที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์บนเว็บไซต์ anowl.co

หลายสัปดาห์ก่อน

วิริยะได้ข่าวการระเบิดที่ตึกการ์ด แอนด์ ลิงก์แล้ว และเขาแทบจะอ้วกออกมาเป็นโลหิต มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ มิใช่การเปรียบเทียบ

ต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่ออนาคตของทุกคน…

 

ผู้มาเยือนคือสตรีวัยกลางคน มีหน้าตาขึงขังและเฉลียวฉลาด คางแหลม ร่างบาง ผิวเกรียมแดด ไว้ผมสั้นประมาณติ่งหู สวมชุดเดรสผ้าบางมีลวดลาย มีตำแหน่งหัวหน้าแห่งฝ่ายตรวจสอบส่วนกลางพิเศษของประเทศนี้ บริษัทของเขากับเธอมีนัดกันในอีกสองสัปดาห์ ที่มาในวันนี้จึงไม่ใช่การพูดคุยตามปกติ

“ลินดา ยินดีที่ได้เจอครับ” เขาทักทายอย่างอ่อนล้า รู้ดีว่าทักได้ดีกว่านี้ แต่ไม่มีอารมณ์จะปรุงแต่งคำพูดใดๆ อีกอย่างเจ้าตัวก็ไม่ได้มาเพื่อสังสรรค์หรอก

“ผมมีหลายเรื่องที่ต้องบอก” เขาเชิญให้เธอนั่ง แต่ลินดาโบกมือปฏิเสธ

“คุณวิริยะ ฉันรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว” ลินดาเข้าเรื่องทันที “และทั้งหมดที่ว่านั้น รวมถึงเรื่องของปกป้อง ปักษ์ดนูด้วยค่ะ”

“มีตาทิพย์อย่างที่ใครหลายคนเปรียบเปรยจริงๆ ไปรู้มาจากไหนล่ะครับ”

“จากผู้หวังดีมากๆ” หัวหน้าฝ่ายตรวจสอบตอบพร้อมเชิดคางขึ้น เป็นบุคลิกประจำตัวของหล่อน แน่นอนว่าท่าทียียวนนั้นน่าหมั่นไส้เอาเรื่อง

“เขาสร้างปัญหาพอดูเลยนะคะ” ลินดามองตาเขา คงหมายถึงเรื่องระเบิดที่อาคาร การ์ด แอนด์ ลิงก์

“ไม่ต้องทำหน้านิ่วอย่างนั้น ฉันก็แค่บอกว่ารู้เรื่องเท่านั้น แต่ที่มาวันนี้เพราะธุระของคุณนะ มีอะไรก็ว่ามาได้เลย” สีหน้านั่นราวกับสัตว์ป่าที่กำลังรอตะครุบเหยื่อ

วิริยะสูดหายใจเข้า และเอ่ยปากช้าๆ “ผมมีเรื่องที่ต้องคุย เกี่ยวกับทิศทางต่อไปของ A MIND”

“ลองว่ามาสิ” ลินดายิ้ม
“ผมต้องการให้มันดำเนินต่อไปได้ สัญญาว่าจะแก้ไขเรื่องที่ผิดพลาดทั้งหมด”

ลินดายังไม่ตอบอะไร คงรอยยิ้มได้รูปไว้ราวกับเป็นภาพนิ่ง

“ผมยินดีจ่าย” วิริยะเปิดไพ่ อีกฝ่ายไม่ใช่คนชอบคุยนาน วิธีนี้ดูจะเสี่ยงน้อยกว่าด้วยซ้ำ “A MIND ของเอ็ดเวิร์ดยังมีประโยชน์ต่ออนาคตของประเทศชาติ อีกอย่าง ผมจะมอบตัวพร้อมอลิน ริช และจะยอมให้ส่วนกลางยึดโครงการนี้ไปดูแลเอง ขออย่างเดียว อย่ายุบมัน อย่าทำลายมรดกของเอ็ดเวิร์ด มันไม่ใช่ความผิดของเขา”

ลินดาหัวเราะเสียงแหลมสูง “ขอเวลาสิบวัน และตัวโครงการก็จะถูกส่งต่อไปยังผู้บริหารคนใหม่”

“ขอบคุณ” วิริยะโล่งใจ “แล้วคุณพอจะทราบไหมว่าใครจะมาคุมต่อ”

“กรฤทธิ์กับดวงตา”

เท่านั้นเองที่ใจของเขาหล่นไปอยู่ใต้ดิน ที่ได้ยินคือชื่อพ่อแม่ของปกป้อง ปักษ์ดนู

วิริยะเข้าใจเรื่องทั้งหมดในทันที

คุณทำอย่างนั้นไม่ได้ พวกนั้นไม่ใช่คนดี เขาพยายามจะโต้ แต่เสียงไม่ยอมออกมา

“ฝากติดต่อให้อลินมอบตัวด้วย ไม่งั้นเรื่องคงจะยุ่งกว่านี้” ลินดาเดินเข้ามาใกล้เขาที่เหม่อไปแล้ว “ความคิดของคุณถูกต้อง เราต้องยืดหยุ่น แต่ไม่ใช่ในแบบของคุณ”

“หมายความว่าอย่างไร…”

“นกบางชนิดหากินในที่มืดได้ดีกว่าที่สว่าง”

“คุณจะแจ้งปิดโครงการนี้ และปรับไปเป็นโครงการลับ…”

“เรียกว่าโครงการเฉพาะกลุ่มระหว่างประเทศจะฟังดูดีกว่า ทำไมเราต้องยึดติดกับนักโทษร้ายแรงขนาดนั้น มันมีความเสี่ยงมากเกินไป อันที่จริงแค่มีความสัมพันธ์กันแบบพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนสนิท หรือแม้แต่คนรัก เท่านี้ก็เพียงพอต่อการสลับกันได้แล้ว”

“นั่นไม่ใช่แนวคิดของเอ็ดเวิร์ด”

“แล้วฉันต้องสนใจแนวคิดของเอ็ดเวิร์ดด้วยหรือคะ ในเมื่อมันทำให้เกิดเหตุร้ายแรงถึงขนาดนี้” ลินดาเดินออกจากห้อง ไม่ลืมหันมาพูดทิ้งท้าย “เราจะรอให้ระเบิดที่พวกคุณเผลอปล่อยไปทำงาน มันจะเป็นข้ออ้างที่เหมาะสมในการสั่งปิดโครงการชั่วคราว”

 

เครื่องสร้างความถี่พิเศษทำงานได้ผลดีเกินที่คาดไว้มาก…มินเมืองเองก็ใช้งานได้ดี นายทุนชื่อพันทศก็เช่นกัน

เสียงล้อของซูเปอร์คาร์สีมะกอกบดไปกับถนนสายใต้ อากาศสดชื่นกว่าเมืองไทยไหลเข้ามาผ่านช่องว่างของกระจก

ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ปกปักษ์ ปักษ์ดนู ยิ้มกริ่ม

สองเดือนก่อนเขาได้คุยกับลินดา จ่ายเงินไปพอควรจึงทราบว่าแท้จริง A MIND มีช่องโหว่อยู่ นางเป็นคนจ้างรุจี ผู้จัดการของฝ่ายตรวจสอบความทรงจำให้เป็นสายข่าว แล้วจึงนำเรื่องนี้มายั่วเขาเพื่อหวังบางสิ่ง

แน่นอนว่าเขาไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับลินดา สัญญาที่ว่าเธอจะมีเอี่ยวในยุคใหม่ของ A MIND อย่างเต็มที่

…ไอ้โครงการน่ารำคาญ ทำอะไรไม่สุดสักอย่าง หนทางหาเงินอยู่ตรงหน้าเสือกไม่รู้จักยืดหยุ่น ต่างกับของตระกูลเขาที่ฉลาดเฉลียว กิจการของพ่อแม่ปกปักษ์นั้นไม่ได้มีเพียงการ์ด แอนด์ ลิงก์ แต่ยังครอบคลุมองค์กรอื่นอีกมาก พวกที่ไม่ติดตามข่าวไม่มีทางทราบ รวมถึงยังมีธุรกิจสีเทาไว้สำหรับกลุ่มเศรษฐีตัวปลอมที่ต้องการหลอกคนมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารอีกด้วย

ที่ผ่านมาพวกเขาไม่จำเป็นต้องขยายกิจการมากเกินไปนัก เพราะมีเป้าหมายในการครอบครองบางสิ่งที่สำคัญกว่า นั่นก็คือโครงการสลับจิตนั่นเอง

พ่อกับแม่ รวมถึงตัวเขาเองอยากจะคุมโครงการของเอ็ดเวิร์ดมาตั้งนานแล้ว แต่ฝ่ายกรรมการนั้นยึกยักน่ารำคาญ พวกเขาจึงเน้นที่การเจรจากับทางฝ่ายตรวจสอบส่วนกลางของประเทศแทน เพื่อรอให้ตัวเอ็ดเวิร์ดพลาด หลังจากนั้นก็แค่เข้ายึดโดยไม่ต้องลงแรงอะไร

ปกปักษ์ส่ายหัวไปมาหลังพวงมาลัย ไม่ใช่เพราะมึนจากงานหนัก แต่เพราะวิสกี้กับอะไรสักอย่างที่ซดไปก่อนหน้านี้

…คับแคบ ล้าหลัง ต้องเปลี่ยนแปลง สามคำที่เหมาะกับ A MIND ในช่วงเวลาของเอ็ดเวิร์ดและวิริยะ

 

ที่ผ่านมาเขาเริ่มพัฒนาเครื่องสร้างความถี่ที่เอาไว้รบกวนผู้ฟื้นสติ ซึ่งก็ไม่ยากเท่าไรสำหรับคนฉลาดและมีเวลาว่างอย่างเขา

ตัวเครื่องสร้างความถี่นั้นจริงๆ ถูกออกแบบเพื่อมุ่งหวังในการแยกแยะคลื่นสมองของคนที่มีแนวโน้มจะเป็นอาชญากร ใครจะไปรู้ว่ามันจะสื่อกับพวกผู้ฟื้นสติได้ และบางทีอาจจะสื่อกับพวกโจรผู้ร้ายได้ด้วย แม่งผลงานชิ้นเอกชัดๆ แค่เอางานเก่าๆ ของไอ้ปกป้องมาดัดแปลงนิดเดียวเท่านั้นเอง…

โชคดีหน่อยที่ปกป้องมันเสือกโดนยิงพอดี เพราะการกระทำที่เป็นวีรบุรุษนั่นบวกกับทางเขาที่ยัดเงินก้อนใหญ่ มันจึงได้เป็นผู้ฟื้นสติในเวลาต่อมา

และแผนการก็ง่ายขึ้นไปเรื่อยๆ อา เริ่มเวียนหัวอีกแล้ว…

 

พูดถึงปกป้อง…สำหรับเขาแล้ว…มันก็แค่หนูทดลองความถี่เท่านั้น ไอ้หน้าโง่นั่นมันคิดจริงๆ หรือว่าจะตบตาเขาได้ เขาทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าความทรงจำของฆาตกรกำลังกลับมา

ปกปักษ์หัวเราะอยู่หลังพวงมาลัยรถแสนแพง ขีดวัดความเร็วชี้ไปที่เฉียดสองร้อย ทางในถนนสายยาวนี้เร่งโคตรมัน

อัจฉริยะเช่นเขาสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่ามันมีอะไรแปลกไป พอลองตรวจสอบดูก็รู้อย่างง่ายๆ ไอ้ปกป้องคนเดิมมันไม่กล้าพอจะชกเขาหรอก

พอได้เรื่องแล้วปกปักษ์ก็ไม่จำเป็นต้องตามสืบอีก ยิ่งใกล้ยิ่งอันตราย เขาไม่อยากยุ่งกับฆาตกร จากนั้นจึงนำเรื่องนี้ไปบอกกับพ่อแม่ ทั้งสองเองก็พอทราบข่าวจากทางกรมตำรวจ ว่าอลิน ริชเข้ามาที่สถานีตำรวจใกล้ๆ เพื่อเป้าหมายอะไรสักอย่าง แค่นั้นก็ไม่ต้องเดาอีกแล้ว ทุกอย่างชัดขนาดนี้

…เพียงแต่มันยังขาดตัวกระตุ้นไปนิด

และเมื่อปกปักษ์เริ่มตามหาตัวฆาตกรที่ยิงน้องชาย เพียงตั้งใจจะตบรางวัลให้อย่างงาม โชคชะตาก็เข้าข้างเขาอีก

มินเมืองคือคนสำคัญของแผน เพราะมันคือเพื่อนรักของธาดาร์ โพ้นวิไสย และมันก็ยอมทำตามทุกอย่าง ขอแค่ให้สัญญาของมันกับธาดาร์กลายเป็นความจริง

และสัญญานั่นคือการสร้างความวิบัติให้กับประเทศ อะไรมันจะลงตัวขนาดนั้น

ในเช้าวันนั้น วันที่ได้คุยกับมินเมือง ราวกับแสงสาดส่องเข้าชีวิต ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางไปหมด มันกับปกป้องคู่ควรแล้วที่จะเป็นผู้ทำลายโครงการโง่ๆ นี้ให้แตกสลาย และถือกำเนิดขึ้นใหม่ภายใต้การดูแลของเขากับพ่อแม่ แน่นอนว่าต้องไม่ลืมส่วนของฝ่ายตรวจสอบส่วนกลางด้วย…

จากนั้นเขาจึงวางแผนหลบไปเที่ยวต่างประเทศ รอให้พวกอลินกับปกป้องตีกันเอง รอเวลาให้มินเมืองอาละวาด อันที่จริงการถูกระเบิดตึกนั้นก็น่าตกใจอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่เสียหายอะไรมาก แถมมันยังเร่งให้ความวิบัติเกิดเร็วขึ้นไปอีก…

ไอ้ห่าเอ๊ย ทำไมทุกอย่างแม่งคาดเดาได้ง่ายอย่างงี้วะ กูแม่งโคตรอัจฉริยะ

ตาพร่าและปวดหัว ปกปักษ์คิดไว้ว่ากลับโรงแรมแล้วจะดื่มอีกสักแก้ว เขาสะบัดหัวไล่อาการ ระหว่างนั้นมีแสงไฟจากรถที่ขับสวนทางสาดเข้าสองตา ยิ่งทำให้มึนงงหนักขึ้น กว่าจะรู้ตัวว่าข้างหน้าเป็นทางโค้งหักศอก ก็หักพวงมาลัยไม่ทันแล้ว…

 

ภาพตรงหน้าทำให้ใจแหลกสลาย ในห้องที่เต็มไปด้วยสายไฟสีแดง มีแคปซูลยักษ์สีขาวสองหลอดที่วางใกล้กัน หนึ่งในนั้นมีปกปักษ์นอนนิ่งอยู่

แขนขาด ตับใหม่ที่เพิ่งได้มาแตกไม่เป็นชิ้นดี…ดวงใจพ่ออย่างเขานั้นไม่รู้จะทนได้อีกนานเท่าใด

กรฤทธิ์ทราบดีว่าปกปักษ์…ลูกชายคนโตของเขาเป็นอัจฉริยะ

ใช้เวลาไม่นาน ลูกชายคนเก่งของเขาก็ตระหนักได้ว่าการสลับจิตของปกป้องไม่ปกติ และแกล้งเข้าไปหาเรื่องเพื่อทำการทดสอบ จากนั้นจึงเกือบถูกต่อยกลับมา ช่างน่านับถือหัวใจนัก และนั่นคือช่องทางในการขยับขยายกิจการของพวกเขาทั้งสามคนพ่อแม่ลูก

ทว่าอุบัติเหตุน่าเศร้าพรากลูกชายคนเก่งไปจากเขาและภรรยา โลกนี้สูญเสียอัจฉริยะไปแล้ว

เพื่อประเทศนี้และเพื่อความยุติธรรมในสังคม เขากับดวงตาต้องหาทางแก้ไขมัน สมองของลูกชายนั้นไม่เสียหายมาก มันยังทันเวลาอยู่

…หากคนอ่อนแออย่างปกป้องยังฟื้นขึ้นมาได้ ปกปักษ์ก็ต้องฟื้นขึ้นมาได้เช่นกัน

 

พิณเพลงได้แต่นอนทอดร่างบนเตียงที่ห้องพัก ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในการขยับตัว ที่ผ่านมาเธอพยายามมองหาหนทางเอาชีวิตของตนเองและปกป้องให้รอด และเธอก็ทำได้ดีมาโดยตลอด แต่วันนี้มันต่างออกไป สมองไม่สามารถคิดหาทางอะไรได้อีกแล้ว

ปกป้องกำลังจะตาย และเธอไม่มีปัญญากระทั่งจะไปส่งเขาด้วยซ้ำ…

ไม่กล้าคิดว่าควรจะตายตามไปดีไหม แต่ถ้าทำเช่นนั้นจริง ปกป้องกับธาดาร์ก็คงไม่ดีใจ

แล้วต้องทำอย่างไรเล่า เธอพร่ำถามตนเอง

เวลาผ่านไปถึงช่วงสายของวันอาทิตย์ มีสายเข้ามาในสมาร์ตโฟน

“สวัสดีค่ะ คุณตำรวจ” พิณเพลงใช้เสียงเรียบ พยายามไม่คาดเดาว่าเขาจะโทรมาแจ้งข่าวด้านลบหรือไม่ แต่เสียงของหมวดพิศวัติที่อยู่ปลายสายนั้นกลับดูมีความหวัง ซึ่งขัดกับบรรยากาศในช่วงเวลานี้อย่างสุดกู่

“คุณวาววาฟื้นแล้วครับ และผมอยากให้คุณมาที่โรงพยาบาลโดยด่วน”

 

พิณเพลงใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีในการแต่งตัวและเตรียมข้าวของ ขึ้นรถแท็กซี่ไปโรงพยาบาลที่ได้รับแจ้ง

วาววาคือหญิงสาวที่ถูกผลักตกจากอาคารร้าง…ทว่าแม้จะผ่านไปหลายวันเธอก็ยังรอดชีวิตราวกับปาฏิหาริย์ เห็นทางฝ่ายตรวจสอบสถานที่ให้ข้อมูลว่าพื้นดินบริเวณนั้นนุ่มกว่าปกติเพราะความชื้น จะเรียกว่าปาฏิหาริย์ก็ไม่ผิดหรอก

เมื่อไปถึงชั้นสิบสองซึ่งเป็นโซนของห้องผู้ป่วยพิเศษ ก็พบพิศวัติรอที่หน้าลิฟต์ เขาพาไปในห้องของวาววา และทันทีที่เข้าไปก็ต้องชะงักกับภาพที่เห็น สภาพของวาววานั้นจะว่ารอดก็คงรอด จะว่าสาหัสก็ไม่เกินไปนัก ผ้าพันแผลและสายอะไรต่อมิอะไรเสียบพันทั่วร่างเต็มไปหมด แต่สีหน้าและแววตาของหญิงสาวนั้นกลับจริงจัง

“ปกป้องจะถูกพาไปสลับจิตในคืนนี้” พิศวัติกล่าวจากด้านหลัง “แต่คุณวาววามีแผน”

พิณเพลงพยักหน้าว่าพร้อมจะฟังแล้ว

เสียงเบาหวิวค่อยๆ ถูกเปล่งออกมาช้าๆ “ประธานวิริยะเคยบอกกับฉัน ว่า…ระบบในสมารต์โฟนที่เขาให้มานั้น…มันสามารถตรวจสอบและสั่งการระบบได้แทบทั้งหมด แต่…มีบางเรื่องที่ทำไม่ได้ เช่นการปิดระบบการสลับจิตหรือควบคุมจิตตัวอย่าง…แต่หากมีอีกเครื่องคอยดำเนินการไปพร้อมๆ กัน.. ระบบจะปลดล็อกฟังก์ชันทุกอย่างได้”

พิณเพลงสัมผัสได้ว่าเสียงนั้นออกอาการเหนื่อยและเจือความทุกข์ตรมอยู่ วาววาเกี่ยวข้องอะไรกับประธานวิริยะที่เพิ่งเสียชีวิตไปนะ แต่ช่างมันก่อนเถิด

“มีหลายเครื่องไว้คานอำนาจกันในกรณีฉุกเฉินสินะ แต่เครื่องของวิริยะนั้นถูกฝ่ายตรวจสอบส่วนกลางเก็บไปแล้ว…คนที่มีอีกเครื่องก็คือเอ็ดเวิร์ดใช่ไหมครับ”

“ใช่ เดิมทีควรจะมีสาม แต่เมื่ออลินมาอยู่ในร่างของนักโทษ ท่านเอ็ดเวิร์ดจึงทำลายเครื่องนั้นทิ้งไปแล้ว…อีกเครื่องที่เป็นของท่านเอ็ดเวิร์ด…คิดว่าน่าจะอยู่ในตู้เซฟพิเศษที่ห้องทำงานของประธานวิริยะ เขาไม่ใช่คนที่จะเอางานกลับไปที่บ้านหรอก”

พิศวัติพยักหน้า “แล้วเราจะเอาออกมาอีท่าไหนดีล่ะครับ พวกฝ่ายตรวจสอบคงยึดทุกอย่างไปแล้วมั้ง หรือต่อให้ยังอยู่ในตู้เซฟ แต่จะบุกเข้าไปก็คงศพไม่สวย”

“พวกเราจะเข้าไปเอาให้เองค่ะ” เสียงมาจากด้านหลัง เล่นเอาพิณเพลงกับพิศวัติหันขวับ

เจ้าของเสียงเป็นหญิงกลางคนในชุดค่อนข้างแพง เธอเพิ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมลูกน้องที่ดูทรงภูมินับสิบ

“ผู้จัดการ…” วาววาส่งเสียงอันไร้กำลัง เหมือนเธอกำลังดีใจ

“ฉันชื่อรุจี เป็นหัวหน้าของวาววา ที่ผ่านมาพวกเราถูกเงินฟาดหัวและปล่อยให้เรื่องนี้มันลุกลาม เป็นความฉิบหายที่เกิดจากพวกเราเอง เราจะชดใช้ให้ค่ะ”

วาววาเอ่ยขอบคุณ และอธิบายเรื่องของรุจีให้พิณเพลงกับพิศวัติฟังคร่าวๆ ด้วยแรงที่ยังพอมี

รุจีเอ่ยอย่างมั่นใจ มีความสำนึกผิดในน้ำเสียง “พวกเราสามารถเข้าถึงห้องทำงานของประธานวิริยะได้ ใช้ข้ออ้างเล็กน้อยกับภาษายากๆ คนที่เฝ้าห้องก็คงยอมแล้ว นอกจากนี้อุปกรณ์ที่เราต้องการมันไม่น่าจะอยู่ในตู้เซฟหรอก ฉันที่แอบคบกับเขามานานรู้ดีว่ามีช่องลับอยู่ตรงกำแพงห้องทำงาน…ทางฝ่ายตรวจสอบส่วนกลางก็ไม่รู้เรื่องนี้แน่”

วาววายิ้มน้ำตาซึม แต่ยังคงสีหน้าเคร่งเครียด…“แต่การจะคุมระบบก็ต้องใช้ตัวสมาร์ตโฟนสองในสาม ถ้าเครื่องของประธานวิริยะ…ยังอยู่กับฝ่ายตรวจสอบ เราคงต้องหาทางเอาออกมาให้ได้”

เวลานั้นเองผู้หมวดพิศวัติที่นิ่งเงียบไปนานยกมือขัด “เอ่อ นั่นคงไม่จำเป็นหรอกครับ” ก่อนจะเปิดไฟล์วิดีโอจากในมือถือให้ทั้งห้องฟัง

 

ถึง ร.ต.ท.พิศวัติ พอพลน์ ผมแจ้งให้คริสตี้ ภรรยาของผมส่งไฟล์วิดีโอนี้ให้กับคุณ

เวลานี้จิตของผมกับฆาตกรกำลังสลับกันไปมา อีกไม่นานก็คงคุมไม่อยู่

ผม นาย อลิน ริช ขอมอบหุ้นและสิทธิการดูแลทั้งหมดที่ผมมีในโครงการให้กับ ร.ต.ท.พิศวัติ พอพลน์ เอกสารจะส่งถึงคุณในไม่ช้านี้ แน่นอนว่ามันอาจจะไม่มีผลทางกฎหมาย เพราะผมไม่อยู่ในสภาพที่ปกติ หุ้นและสิทธิที่ผมมอบให้ก็ยังไม่ผ่านการประชุมวิสามัญ แต่เชื่อเถอะว่ากรรมการและผู้ถือหุ้นในโครงการต้องมีเกรงใจคุณกันบ้างละ และอีกอย่าง ผมมีของที่จะให้ มันคืออุปกรณ์ที่เอาไว้ควบคุมระบบของ A MIND จากภายนอก อันที่จริงมันควรจะถูกทำลายไปแล้วหลังจากผมได้เป็นผู้ฟื้นสติ แต่เอ็ดเวิร์ดไม่คิดเช่นนั้น เป็นครั้งเดียวที่เขาแอบหลับตาข้างหนึ่ง และหลงเหลืออุปกรณ์นี้ไว้ในมือผม เขาเชื่อในตัวผมจวบวาระสุดท้าย และผมทำให้เขาผิดหวัง

ผมส่งมอบอุปกรณ์นี้ให้คริสตี้ไปแล้ว เพราะมันไม่ควรอยู่ในมือผม ผมให้เธอกับลูกสาวออกจากบ้านคืนนี้เพื่อไปอยู่ต่างประเทศชั่วคราว ไปให้ไกลจากมือผม และเมื่ออะไรลงตัวเธอจะหาทางนำไปให้คุณเอง

ไม่รู้เหมือนกันว่าผมหวังอะไรในตัวคุณ แต่เชื่อจริงๆ ว่าในเวลาที่ผมกลายเป็นบางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง คุณคงจะใช้สิ่งที่ผมมอบให้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อเถอะว่าคุณทำได้ เพราะปานรุ้ง…ภรรยาของคุณคงจะนำทางให้คุณจากบนสวรรค์แน่นอน

ชักเข้ารกเข้าพงไปใหญ่แล้วสินะ เอาเป็นว่าผมฝากด้วยแล้วกัน ฝากดูแลลูกเมียผมด้วย รวมถึงผู้ฟื้นสติทุกคน ได้โปรดทำทุกวิถีทางไม่ให้พวกเขาถูกจับไปเคลียริง ผมขอขอบคุณ

 

คุณคริสตี้จัดการเรื่องที่ต่างประเทศเสร็จก็ได้ข่าวเรื่องของอลินกับมินเมือง เธอจึงรีบจัดการให้” เสียงของพิศวัติดูอ่อน เนือย และไร้เรี่ยวแรง

พิณเพลงไม่ทราบจริงๆ ว่าตนควรจะรู้สึกอย่างไร แต่สีหน้าสำนึกบาปของอลิน ริช ในวิดีโอนั้นไม่เหมือนกับวายร้ายที่จ้องจะฆ่าปกป้องกับเธอเลยสักนิด ส่วนพิศวัตินะหรือ ท่าทางยังกลัวอำนาจที่ตนเพิ่งได้รับเสียด้วยซ้ำ

จากวันที่ในไฟล์ มันก่อนหน้าการวางระเบิดเสียอีก…แต่เรื่องนั้นช่างมัน เพราะพวกเธอเริ่มมีความหวังแล้ว…

ทุกคนในห้องส่งเสียงฮือ และเริ่มแบ่งงานกัน

“ผมได้รับเครื่องมาแล้ว คุณคริสตี้โทรนัดผมออกไปรับพร้อมส่งไฟล์วิดีโอนี้ให้ ก่อนหน้าที่คุณพิณเพลงจะติดต่อมาพอดี” พิศวัติหยิบสมาร์ตโฟนแห่งความหวังออกจากกระเป๋าเสื้อคลุม ทำหน้าเหมือนไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร สีขาวของตัวเครื่องเริ่มออกเหลืองแล้ว

“พวกเราจะรีบไปเอาอีกเครื่อง จากนั้นค่อยติดต่อกันเพื่อปิดระบบจากภายนอก” รุจีกล่าว และเตรียมจะออกจากห้อง

“งั้นผมไปด้วย” พิศวัติเดินตาม สีหน้าดูออกว่ายังไม่เชื่อใจพวกรุจี ซึ่งก็สมควรแล้ว

ทว่าทางฝั่งรุจีกลับผงกหัวแสดงความจริงใจ ทั้งหมดจึงออกไปพร้อมกัน ทิ้งไว้เพียงนักวิจัยคนหนึ่งที่ตัวหนาสูง ดูเหมือนจะทำหน้าที่ดูแลวาววา

“คุณพิณเพลง คุณวาววา ผมฝากที่เหลือด้วยนะ” พิศวัติทิ้งท้าย กลายเป็นฝ่ายต่อต้านโครงการตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ

พิณเพลงหันไปทางวาววาที่ดูเหนื่อยล้าและกำลังจะหลับไปอีกรอบ “ขอโทษนะคะ ที่ฉันไม่มีประโยชน์อะไรเลย”

“ใครว่าล่ะ” วาววากระซิบทั้งๆ ที่กำลังหลับตา “ได้ฟังเรื่องราวจากปากผู้หมวดพิศวัติแล้วถึงเข้าใจ หน้าที่ของคุณนั้นสำคัญที่สุดเลยค่ะ”

 

พิณเพลงไม่ชอบในสิ่งที่ตนกำลังเห็น ไม่ชอบสถานที่ที่ตนกำลังเดินอย่างแข็งเกร็ง ไม่ชอบเสื้อคลุมสีเขียวหนักอึ้งที่ตนต้องสวมทับ ไม่ชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้

มันเป็นทางเดินยาวกลางอากาศที่คล้ายท่อกระจกใส ด้านนอกคือพื้นที่อาคารวิจัยของฝ่ายตรวจสอบส่วนกลางของประเทศ ด้านล่างเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่และเครื่องมือเต็มไปหมด ทุกอย่างเป็นระเบียบอย่างน่าตกใจ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าถูกสร้างมานานและสร้างอย่างตั้งใจ ราวกับเชื่อมั่นว่าสักวันจะถูกใช้เป็นสถานที่ในการสลับจิตของมนุษย์…

นักวิจัยร่างใหญ่แต่หน้าตาใจดี ชื่อวิชิต เขาพาพิณเพลงเดินไปตามทาง ทั้งสองสวมหน้ากากอนามัยแบบรัดแนบหน้าและหมวกทดลองสีเขียว

วิชิตหันมาคุยด้วยเสียงอู้อี้ “ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญของผมมีสิทธิพานักศึกษาเข้าไปได้หลายคนต่อหนึ่งการสลับจิต และกฎนั้นไม่ได้โดนเปลี่ยนไปด้วย นิ่งไว้นะครับ แล้วก็…แม้จะยังไม่มีการประชุมวิสามัญเรื่องสิทธิของผู้หมวดพิศวัติ แต่ทางเขากับคุณคริสตี้ก็เคลียร์หลายๆ เรื่องไว้ให้แล้ว พวกกรรมการของ A MIND ก็ไม่คิดจะห้ามพวกเราหรอก”

‘พวกนั้นก็คงอยากให้โครงการภายใต้การดูแลของการ์ด แอนด์ ลิงก์ล่มน่ะสิ’ เธอทราบดี แต่รู้ว่าไม่ควรพ่นออกมา จึงทำได้แค่แช่งในใจ

สุดทางเดินกลางเวหา คือห้องที่ปิดด้วยประตูกระจก เต็มไปด้วยผู้คนที่สวมอะไรสักอย่างคล้ายชุดผ่าตัดสีเขียว ลึกเข้าไปอีกมีห้องเล็กๆ ที่ถูกครอบเป็นห้องกระจกสี่เหลี่ยมสูงสามถึงสี่เมตร ด้านในมีแคปซูลสองหลอดที่ถูกจัดวางให้ฐานเลื่อนมาชนกัน

และมีร่างมนุษย์เปลือยกายนอนอยู่ภายใน

ฝั่งขวาคือไอ้ชั่วที่ตายไปแล้ว ส่วนฝั่งซ้ายคือปกป้อง คนที่เธอห่วงใยและหวังจะใช้ชีวิตร่วมด้วยไปตลอด

“สิ่งที่คุณต้องทำคือให้กำลังใจเขาจากตรงนี้” วิชิตกระซิบ ส่วนคนอื่นๆ เริ่มกระจายตัวกันไป บางก็จัดการอุปกรณ์ บ้างก็เดินเข้าไปในห้องกระจกที่มีแคปซูลสองหลอดนั่น

“เขาจะมองเห็นฉันไหม” พิณเพลงกล่าวและสะอื้นเบาๆ สายตายังคงจดจ้องไปที่ปกป้องที่นอนไม่ได้สติในแคปซูล

“เห็นสิ เห็นแน่นอน” เสียงยืนยันจากวิชิตนั้นหนักแน่น “มันมีการวิจัยนับสิบชิ้นที่อ้างถึงความเป็นไปได้ว่าในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ผู้ป่วยจะรับรู้สภาพแวดล้อมรอบตัวได้ และเรื่องนั้นสำคัญมากต่อแผนของเรา แค่ระบบจากสมาร์ตโฟนนั้นยังไม่ชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก อีกอย่าง…”

อีกอย่างคืออะไร พิณเพลงสงสัย แต่วิชิตไม่ได้พูดต่อ

ครู่หนึ่งเกิดแรงสั่นจากกระเป๋ากางเกง มีข้อความเข้ามายังสมารต์โฟนของเธอ วิชิตเองก็ได้รับเช่นกัน

เป็นข้อความจากผู้หมวด ส่งมาบอกว่า

ได้รับอีกเครื่องมาแล้ว แต่การปิดระบบจากสองเครื่องนั้นทำได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ฝั่งการ์ด แอนด์ ลิงก์คงปรับให้เครื่องของวิริยะมีสัดส่วนสูงกว่าตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แม้คุณภาพและอัตราความสำเร็จของการสลับจิตจะลดต่ำลงมาก แต่กระบวนการจะยังคงดำเนินต่อไป

ใจของเธอเต้นระรัว วิชิตพึมพำว่า “เป็นไปตามที่วาววากลัวเลย”

ที่เหลือต้องฝากไว้กับคุณพิณเพลงและปกป้องแล้ว นั่นคือคำลงท้ายของพิศวัติ และเมื่อนั้นเองที่มีเสียงคำสั่งดังขึ้นจากในห้องกระจก มันมาจากคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของปฏิบัติการนี้

“เริ่มการสลับจิตได้!”

 

ด้านบนคือท้องฟ้าสีขาวที่สว่างราวกับแสงอาทิตย์ น่าแปลกที่แสงสีทองนั้นไม่ได้รบกวนสายตาสักนิด ถึงขั้นจ้องมองตรงๆ ได้ด้วยซ้ำ

ทิวทัศน์นี้เคยเห็นมาก่อน เขาทราบดี แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตัว

อยากพักอีกสักนิด…

เวลาผ่านไปเท่าไรไม่ทราบ แต่นานจนกระทั่งเริ่มหายเหนื่อย ปกป้องรู้ตัวว่ากำลังนอนหงายบนพื้นที่นุ่มสบาย ก่อนจะลุกขึ้นมาแล้วเริ่มสำรวจตนเอง ไม่มีรอยแผลที่ช่วงตัว แถมยังรู้สึกดีอย่างประหลาด ราวกับว่าตนเป็นอิสระแล้ว รอบกายเป็นพื้นที่คล้ายทะเล เขากำลังลอยตัวอยู่กลางทะเลงั้นหรือ

ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองแว่วมาจากด้านขวามือ

ปกป้อง ปกป้อง

เสียงเรียกเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เสียงของผู้ชาย แต่ไม่แน่ใจว่าใคร

พ่อครับ แม่ครับ ผมกำลังจะไปหาแล้ว ปกป้องลุกขึ้นท่ามกลางแสงสว่าง แล้วเดินไปตามเสียงนั่น

ก่อนจะมีสองมือพุ่งมาบีบคอ เป็นมือท่วมเลือดของพี่ชายที่ดวงตาหลุดออกมาข้างหนึ่ง…ไม่ช้าก็โถมทั้งร่างมาทับเขา บรรยากาศรอบกายกลายเป็นสีดำมืดทันที

“เอา…ร่าง…ของ…มึง…มา…” ปกปักษ์ร้องครวญด้วยเสียงหวีด

ภาพความทรงจำพรั่งพรูผ่านเข้ามาราวกับกระแสน้ำเชี่ยว งานปาร์ตี้ที่เต็มไปด้วยไวน์ราคาสูงกับกลุ่มคนแต่งตัวหรู…ภาพที่ปกป้องในวัยเด็กที่กำลังถูกทุบตีจากเจ้าของความทรงจำ

และแสงไปที่สาดเข้าตา ไม่กี่วินาทีก่อนที่รถจะพุ่งชนกับขอบถนน

มันคือความทรงจำของปกปักษ์สินะ…ปกป้องเข้าใจและพยายามสลัดมันออกไป เข้าใจสถานการณ์ดีแล้ว

“ยกร่างให้กู ไอ้คนอกตัญญู มึงฟื้นขึ้นมาได้ก็เพราะพวกกู เกิดมาได้ก็เพราะพ่อแม่ ทดแทนแค่นี้จะเป็นไรไป หา!” เสียงตะคอกนั่นสลับกับความทรงจำที่ทะลักเข้ามามากกว่าเดิม เกือบจะถมทับเต็มจิตวิญญาณของเขาไปแล้ว

“พี่ตายไปแล้ว พักผ่อนเถอะนะครับ”

มึงมันชั่ว…ไม่มีมึงก็ไม่เห็นจะเป็นไร แต่หากขาดกูไปสักคน พนักงานของบริษัททั้งหมดจะเป็นยังไง กิจการของพ่อแม่จะเป็นยังไง มึงเคยคิดเรื่องนี้บ้างไหม”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นแรงใจก็อ่อนลง…ปกป้องหายใจไม่ออก ได้แต่พยายามง้างมือออก แต่ไม่สำเร็จ เขาจึงเปลี่ยนเป็นชกต่อยไปที่หน้าของพี่ชาย ทว่าก็ไม่ได้ผลเช่นกัน

ในขณะที่รู้สึกทรมานแทบจะดับสลาย สายตากลับพบว่ามีบางอย่างสว่างไสวที่ด้านขวามือ เขาเหลือบไปมอง และพบเธอคนนั้นที่สุดจะโหยหา

 

 

 

พิณเพลงได้ยินเสียงจอแจ เจ้าหน้าที่ในห้องกระจกมีท่าทีตกใจ คนที่ดูเหมือนหัวหน้าสั่งการให้ฉีดสารอะไรบางอย่างใส่ท่อที่เชื่อมกับแคปซูลของปกป้อง

“ระบบกำลังมีปัญหา” วิชิตอธิบายเสียงเครียด “เป็นผลจากทางฝั่งผู้หมวดพิศวัติ แต่อย่างที่เรารู้ มันไม่น่าจะพอ”

พิณเพลงใจสั่น แอบมองเข้าไปเห็นหนึ่งในหน้าจอมอนิเตอร์นั้นแสดงผลออกมาเป็นกราฟสองเส้นที่ถูกนำมาทับซ้อนกัน

“จิตของปกป้องคงกำลังต่อต้านอยู่ด้วยครับ มันจึงเชื่อมกันไม่ติดเสียที” วิชิตอธิบายในสิ่งทีเธอเห็น

พริบตานั้นพิณเพลงรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ราวกับมีคนกำลังมองอยู่ ไม่มีจิตมุ่งร้ายหากแต่เป็นความโหยหา เธอไม่ทราบว่าสายตานั้นถูกส่งมาจากที่ใดของห้องนี้ แต่ปากกลับกระซิบออกมาเบาๆ

“ปกป้อง สู้เขานะ”

 

ไกลออกไปนั้นคือพิณเพลงนั่นเอง เธออยู่ในชุดที่เขาไม่คุ้นเคยแถมยังสวมหน้ากากและหมวกทับไว้ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ เขาจำเธอได้ไม่ผิดแน่นอน และนั่นก็เพียงพอแล้ว…

มือของปกปักษ์ซีดลงคล้ายเลือดในกายหายไปหมด แรงบีบถดถอย ปกป้องพยายามง้างออกเต็มกำลังแม้จะยังยากเย็น ภาพโดยรอบเริ่มสว่างไสว หมอกดำเริ่มจางลง

“ปกป้อง สู้เขานะ” เสียงกระซิบอันห่างไกลนั้นราวกับน้ำในทะเลทราย

เขามีแรงขึ้นอีกครั้ง เลิกสนใจจะง้างมือออกแล้ว และตัดสินใจบีบคอของพี่ชายกลับไป เสียงอ้อกดังจากลำคอของมัน

กูจะไม่ยอมแพ้ กูจะไม่ยอม เขาพร่ำตะโกนออกมาไม่ยอมหยุด

และในที่สุดมือของปกปักษ์ก็คลายออกและหดกลับไป พยายามจะแกะมือของเขาออกแทน ก่อนที่จะมีอีกสองมือพุ่งเข้ามาล็อกแขนทั้งสองข้างของปกปักษ์จากด้านหลัง ส่งผลให้เขาบีบคอมันได้อย่างถนัดยิ่งขึ้น และแม้จะเงยขึ้นมาแค่ช่วงบน แต่ปกป้องก็มองเห็นได้ชัดเจนว่าผู้ช่วยเหลือคนนี้เป็นใคร

“ขอบคุณมาก ธาดาร์” เขากล่าว

“พอดีผมแวะมาคุยก่อนจะไปนรกน่ะครับ” เสียงนั้นยังคงรื่นหูและสุภาพไม่ต่างจากที่ผ่านมา

และไม่นานร่างของปกปักษ์ก็ค่อยๆ เลือนหายไป กลายเป็นเพียงภาพลวงตาที่ไม่อาจสัมผัส…เงาสีดำรอบตัวเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

ปกป้องค่อยๆ ยันตัวขึ้นโดยมีธาดาร์เข้ามาพยุง เมื่อยืนได้มั่นคงด้วยสองเท้าของตัวเอง ทั้งสองก็มองหน้ากันแล้วหลุดยิ้มเศร้าออกมา

“ขอบคุณนะครับ แต่ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันในที่แบบนี้นะ” ปกป้องมองไปรอบทิศที่เต็มไปด้วยแสงสีขาว มองหน้าธาดาร์ที่ฉายแววเศร้าออกมา

“พี่ชายของผมล่ะ”

“เขายังไม่ไปไหน และกำลังจะกลับมาในอีกไม่ช้า คุณปกป้องจะรับมือไหวไหม” สีหน้านั้นดูราวกับไม่อยากจากไปไหนแต่ก็ไม่อาจฝืนได้

“ผมไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ แต่ผมควรจะทำตามที่พี่ชายบอกไหม”

ธาดาร์ไม่ตอบ แต่กลับมองหน้าเขาตรงๆ ด้วยแววตาที่ไม่อาจเดาได้ว่าคิดสิ่งใดอยู่

“หากไม่มีพี่ชาย กิจการอาจจะมีปัญหาก็ได้ จะมีพนักงานอีกหลายคนที่ได้รับผลกระทบ บางที…”

“ทำไมถึงถามผมเรื่องคุณธรรมกับความถูกต้องล่ะครับ” รอยยิ้มนั้นดูเศร้าหมอง ราวกับมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ปกป้องรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจึงไม่กล้าถามเรื่องนี้ต่อ

“ตอนนี้คุณคือจิตตกค้างในหัวผม หรือเป็นวิญญาณจากปรโลกกันครับ”

“นั่นสินะ” ธาดาร์มองไปยังเบื้องบน “รู้อย่างเดียวคือได้เวลาที่ผมต้องไปแล้ว”

เมื่อนั้นร่างของธาดาร์ก็เริ่มสลายเป็นคลื่นอะไรสักอย่าง

“ผมอยากให้คุณยังอยู่ในหัวผม คุณได้รับโทษตายไปแล้ว ไม่ติดค้างใครอีก”

“ลองบอกเรื่องนั้นกับคนที่ผมฆ่าไปสิครับ เขาคงไม่ยอมหรอก” ธาดาร์หัวเราะแห้ง “ผมจะไม่กลับไป คุณปกป้อง…ผมจะไม่กลับไป” เสียงนั้นฟังดูฝืนใจและแสนทุกข์ทรมาน ริมฝีปากปากนั้นเบ้และน้ำตาซึม ปกป้องไม่เคยเห็นสภาพนี้ของเขามาก่อน

“ฝาก…บอกลาเธอให้ที”

ปกป้องทราบดีว่าธาดาร์หมายถึงใคร เขาพยักหน้า ส่งสายตามั่นใจให้ธาดาร์หมดห่วงในโลกนี้ “ผมสัญญา เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง” และนั่นทำให้ธาดาร์ยิ้มออกมา

“งั้นคุณก็คงได้คำตอบของเรื่องที่ถามแล้วนะครับ”

เมื่อจบคำสุดท้าย ร่างของธาดาร์ก็หายไปกับสายลมที่พัดผ่านมาจากไหนไม่ทราบ สุดท้ายก็เหลือเพียงเขาคนเดียวในความว่างเปล่า

ไม่ช้าความมืดค่อยๆ คืบคลานมารอบกายอีกครั้ง

เสียงของพิณเพลงยังคงกังวานให้มีใจสู้ ก่อนที่ร่างของปกปักษ์จะค่อยๆ เดินออกมาจากความมืดตรงหน้า ท่าทางนั้นราวกับคนที่เต็มไปด้วยความแค้น เลือดและหนองท่วมตัวของผู้ที่เคยเป็นพี่ชาย

และทั้งสองก็พุ่งเข้าใส่กันในทันที

พริบตานั้นราวกับชั่วนิรันดร์ เกิดแสงสว่างและเสียงดังกังวานสะเทือนรอบกายของปกป้อง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับลง แต่ยังคงได้ยินบางอย่างกระซิบจากในความมืด

การสลับจิตเสร็จสิ้นแล้ว คลื่นสมองของเขาคงที่

ยืนยันว่าเป็นคลื่นสมองของปกปักษ์ ปักษ์ดนู

 



Don`t copy text!