บ่วงเวรา บทที่ 2 : ผูกบ่วงเวรา

บ่วงเวรา บทที่ 2 : ผูกบ่วงเวรา

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

บ่วงเวรา นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศ โครงการอ่านเอาก้าวแรก ๓  โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ กับเรื่องราวของวังวนความรักและความแค้น ความมุ่งมั่นที่จะตอบแทน ทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามให้สาสม แล้วความรักจะเยียวยาใจแก้ไขความแค้นได้จริงหรือ…อ่านเอาขอเชิญทุกท่านร่วมเพลิดเพลินไปกับนวนิยายพีเรียดสุดเข้มข้นเรื่องนี้ที่ anowl.co

งานบูรณะฐานพระปรางค์เรียบร้อยด้วยดี พระเจ้าอยู่หัวทรงเปรมปรีดิ์ที่งานสำเร็จตามพระราชประสงค์ จึงทรงตกรางวัลตามควรแก่ฐานะของผู้ที่เกี่ยวข้องแต่ละคนจนครบครัน

ค่ำวันนั้นเรือนหมู่ใหญ่ของนายแม้นก็ได้มีโอกาสต้อนรับจางวางอู๋สหายสนิท จางวางอู๋นำข่าวจากพระเยาวราชผู้นับองค์ว่าเป็นหลานของเจ้าของเรือน เนื่องด้วยพระมารดาของพระองค์คือท้าวศรีจุฬาลักษณ์นั้นเป็นพี่สาวต่างมารดากับภรรยาของนายแม้นนี้ แม้น้าสาวของตนจะถึงแก่กรรมไปหลายปีแต่พระองค์ก็ยังสมัครรักใคร่ผูกพันกับคนในเรือนนี้เป็นอย่างดี

คืนนี้พระเยาวราชเองมีข้อราชการสำคัญต้องการแจ้งมายังนายแม้นผู้น้าเขย จึงทรงตรัสใช้ให้จางวางอู๋ซึ่งสนิทชิดเชื้อกับนายแม้นแสร้งทำมาเยี่ยมเยียนตามปกติ แต่ความจริงแล้วนั้นต้องการสื่อสารบางประการให้นายแม้นทราบ

นางเภาจัดการต้อนรับขับสู้จางวางอู๋อย่างดี เมื่อจัดวางสำรับอาหารและของต้อนรับเรียบร้อยแล้วก็ถอยออกมา ด้วยรู้ว่าทั้งสองน่าจะมีเรื่องลับเร้นที่ต้องพูดจากัน ส่วนมาศเมื่อบิดาเรียกให้ออกมากราบจางวางอู๋ ตัวก็ได้รับของเล่นจากจางวางอู๋ชิ้นหนึ่งเป็นห่วงเหล็กสามห่วงร้อยด้วยเชือกเส้นหนึ่งที่ขดวงอ้อมไปมา

“เอ้า ของเล่นชิ้นใหม่ ข้าให้เจ้ามาศลองไปแก้โจทย์เล่นๆ ทำอย่างไรก็ได้ให้เชือกที่คล้องห่วงทั้งสามอยู่หลุดออกจากห่วงโดยห้ามตัดเชือกเด็ดขาด” จางวางอู๋ส่งของเล่นชิ้นใหม่ให้พร้อมทั้งบอกกติกา มาศรับแล้วก็ถือเดินเล่นลับเข้าเรือนไปด้วยความเพลิดเพลิน

เมื่อทุกคนลับหายไปหมดแล้ว ที่หอนั่งเหลือเพียงนายแม้นและจางวางอู๋สนทนาเพียงแต่ลำพัง จางวางอู๋จึงแถลงความที่พระเยาวราชฝากข่าวมา

“พ่ออยู่หัวทรงกริ้วหนักเทียวพ่อแม้น พระเยาวราชทรงว่า ก่อนหน้าพ่ออยู่หัวทรงกังวลว่าเหล่าขุนนางบางกลุ่มจะคิดไม่ซื่อเพราะมีข่าวจากจารบุรุษว่า มีขุนนางบางพวกซ่องสุมกำลังเหมือนจะคิดการใหญ่ พระองค์ก็จับตาอยู่ว่าเป็นใครบ้าง ประจวบกับท่านทูลฟ้องว่าออกญายมราชไล่สักเลกชาวเขมรในสังกัดของท่าน พ่ออยู่หัวที่ทรงหวั่นระแวงอยู่แล้วก็เลยยิ่งพิโรธหนัก”

บทสนทนาได้บอกถึงโทษาที่ออกญายมราชได้รับ คือ นอกจากการให้ปล่อยคนเชื้อสายเขมรในปกครองของนายแม้นกลับคืนไปสู่นายตัวแล้ว ยังมีการสอบพบว่าไพร่สมที่สังกัดอยู่กับออกญายมราชนั้นมีมากกว่าที่ควรจะมี พระเจ้าอยู่หัวจึงสั่งให้ริบไพร่ที่เกินกว่าความจำเป็นให้มาสังกัดเป็นไพร่หลวง และลงพระราชอาญาเฆี่ยนเพียงยกกึ่ง ด้วยยังทรงเมตตาว่าเป็นความผิดครั้งแรก แต่กว่าจะลงอาญาสำเร็จออกญายมราชก็สลบคาหวายไปเสียถึง 3 หน

“นางฉายถึงแก่ต้องต่อแคร่ให้บ่าวมาหามพ่อมันกลับไป นี่คงต้องนอนซมเพราะพิษไข้หวายไปอีกหลายเพลา… ”

“อ้ายเชื้อคงไม่กล้ากำแหงไปอีกนาน” นายแม้นเปรยขึ้น

“คงเป็นดังนั้น แต่พระเยาวราชให้มาเตือนท่านว่าอย่าวางใจ ด้วยวิสัยของออกญาผู้นี้อาฆาตมาดร้ายนัก การโดนลงพระราชอาญาหนักหนาถึงเพียงนี้ออกญายมราชต้องผูกอาฆาตท่านเป็นแน่”

“ให้มันมาเถิด คนอย่างข้าหาได้เกรงกลัวคนอย่างอ้ายเชื้อไม่”

จางวางอู๋ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ท่านคิดว่าท่านเป็นคนตรงแล้ว ทุกคนจะตรงอย่างท่านหรือ คนมากเล่ห์ร้อยเหลี่ยมอย่างออกญายมราชย่อมไม่เดินมาหาความกับท่านตรงๆ แน่ ขอท่านจงระแวดระวังให้จงดี”

 

ใต้แสงตะเกียงวับแวมที่จุดในห้องอับทึม ไพลสดที่ฝนบนฝาละมีส่งกลิ่นอ่อนอยู่ในอณูอากาศ เสียงโอดโอยดังขึ้นเป็นระยะ เมื่อลูกประคบที่ป้ายไพลสดนั้นสัมผัสถูกแผล

ฉายมองแผลที่หลังของบิดายิ่งรู้สึกเคียดแค้น แผ่นหลังที่เคยสะอาดของบิดา บัดนี้แล้วล้วนด้วยเรียวหวาย มองตรงไหนก็หาที่ดีไม่ได้ ซ้ำบางแผลก็ทั้งแตกทั้งระบมช้ำฟกเพราะรอยหวายซ้ำที่แผลเดิม เพียงยกกึ่งคือ 45 ที แผลยังหนักหนาถึงเพียงนี้ นี่ถ้าลงพระราชอาญาเต็ม 2 ยก ชีวิตของบิดาก็น่าจะปลิดปลิวไปกับหวายเส้นนั้นแล้ว

“คุณฉายเจ้าขา” บ่าวคนหนึ่งคลานเข้ามาร้องเรียกบุตรสาวของออกญายมราชอย่างเกรงกลัว ฉายยังดำดิ่งในความคิดของตัวจึงไม่ได้ยิน นางบ่าวจึงเอื้อมมือไปสะกิดที่หลังเท้าของนายสาวเพื่อเรียกสติ แต่หารู้ไม่ว่าตนต้องกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ที่กำลังเคียดแค้นของนายสาว

โครม…เสียงบ่าวผู้นั้นกระเด็นไปชนฝาเรือนเพราะแรงถีบของบุตรสาวเจ้าของเรือน “อีสาระแน…ใครให้มึงมาต้องตัวกู” นางบ่าวทั้งเจ็บทั้งกลัวละล่ำละลักยอมรับความผิดโดยดี เพราะรู้ดีว่าการอธิบายนั้นคือการยิ่งสุมไฟโกรธให้นายหญิงของตน คุณฉายผู้นี้ไม่เคยผิด ไม่เคยยอมฟังผู้ใดนอกจากบิดา ด้วยถือตัวว่าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของออกญายมราช ถึงจะเกิดจากเมียบ่าวก็เถิด แต่ในเมื่อออกญายมราชไม่ยกย่องใครเป็นเอกภรรยา ลูกเมียบ่าวเพียงคนเดียวอย่างคุณฉายก็ย่อมได้เป็นใหญ่ในเรือนนี้

“บ่าวสาระแนเองเจ้าคะ คุณฉายเจ้าขา บ่าวบังอาจเอามือสกปรกไปต้องเท้าของคุณฉาย โดนเท่านี้ก็ถือว่าคุณฉายเมตตาบ่าวมากแล้ว…” พูดไปก็ลอบสังเกตดูสีหน้านายผู้หญิงไป เจ้าโทสะก็เท่านั้น โกรธทีเหมือนไฟไหม้ฟาง ฮือขึ้นสักประเดี๋ยวหากรู้เส้นพลิกลิ้นก็สามารถเอาตัวรอดได้แล้ว

นายสาวหน้าสดขึ้น เพราะนางบ่าวรู้จักยอมรับผิดแต่โดยดี ลองมันไม่รับว่ามันผิดดูซี นอกจากเท้าที่ประเคนให้ไปเมื่อกี๋แล้ว มันจะได้หวายเป็นของแถมพกอีกขนาน

เมื่อโทสะคลายลงแล้วจึงมีแก่ใจถามว่า “อีสดมึงมาเรียกกูด้วยเหตุอันใด”

อีสดที่เพิ่งคลายจากความตกใจกลัวและหายจากอาการจุกเพราะถูกถีบแล้ว ก็รีบตอบนายสาวว่า “พะทำมะรงเปี่ยมให้คนมารับค่าจ้างที่คุณฉายว่าไว้เจ้าค่ะ”

“ไอ้เวรเปี่ยม กูติดสินบนให้มันเพลามือกับพ่อกู นี่ล่อเสียหลังของพ่อกูระยำเยินแบบนี้ ยังกล้ามารับเงินสินบนจากกูอีกหรือ…อีศรีมึงตามกูลงมา กูจะด่าไอ้คนที่มาขอรับอัฐให้สาแก่ใจกูทีเดียว” ว่าแล้วนางฉายก็ฮึดฮัดลุกขึ้น

พลันออกญายมราชที่นอนพักรักษาตัวอยู่ก็ฉวยมือบุตรสาวไว้ แล้วว่า “อ้ายเปี่ยมมันช่วยพ่อแล้ว หากมันตีเพียงเปาะแปะพ่ออยู่หัวต้องทรงรู้แน่ว่าเราติดสินบนพะทำมะรงให้เฆี่ยนไม่เต็มแรง และหากเป็นเช่นนั้นพ่อคงต้องรับโทษหนักกว่าเดิมแน่”

“แต่หลังพ่อท่านไม่เหลือเนื้อดีเลยสักที่ มันช่วยยังไงถึงได้เจ็บตัวขนาดนี้”

“มันช่วยพ่อแล้ว…หากมันคิดไม่ซื่อจะฆ่าพ่อ มันลงหวายซ้ำๆ ที่บั้นเอว ป่านนี้เจ้าคงได้ทำศพพ่อแทนทำแผลอย่างนี้แล้ว…อีศรีเอ็งเอาเงินในถุงนั่นให้มันไป แล้วบอกว่าเงินส่วนที่เกินมานั้นถือว่าข้าขอขอบน้ำใจพะทำมะรงเปี่ยมที่ยั้งมือ วันหน้าข้าจะไปตอบแทนน้ำใจด้วยตนเองให้ถึงขนาดทีเดียว”

ศรีพี่เลี้ยงและบ่าวคนสนิทของฉาย คลานตุบตับไปฉวยถุงใส่เงินแล้วคลานออกไปตามคำสั่งนาย

“คราวนี้ทำไมพ่ออยู่หัวถึงทรงกริ้วหนัก เมื่อก่อนลูกก็เห็นว่าโปรดพ่อท่านนัก แต่เหตุใดครานี้ถึงลงพระราชอาญาหนักหนาเพียงนี้”

“ไม่พ้นเพราะอ้ายแม้นมันทูลฟ้องเป็นแน่…” ออกญาผู้รับพระราชอาญากัดฟันพูด

“อ้ายพวกเขมรก๊กวัดพุทไธศวรรย์นั่นหรือพ่อ” นางฉายกัดฟันกรอด

“อือ…” เขาตอบ ก่อนจะจมลงไปในห้วงคำนึงถึงอดีตที่ผ่านมา…

 

อ้ายแม้นผู้นี้เป็นเหมือนศัตรูกับเขาแต่อดีตชาติก็มิปาน แต่เล็กจนโตชิงดีชิงเด่นกันมาตลอด ตั้งแต่การร่ำเรียนในสำนักวัดพุทไธศวรรย์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นวิชาอักษรศาสตร์ เลขผานาที ตำรับตำราต่างๆ ท่านพระครูผู้อาจารย์ก็ล้วนแต่ต่อวิชาให้มันจนสิ้นไส้ ด้วยมันรู้ทั้งอักขรพากย์สยามและอักขรพากย์ขอมมันจึงได้เคล็ดวิชาต่างๆ ในตำรา ด้วยโบราณาจารย์ที่จารคัมภีร์นั้นมักจะจารเคล็ดลับต่างๆ ไว้ด้วยอักขรขอม เมื่อตระกูลมันเป็นเขมรมาแต่กัมพุชพระนคร มันจึงสามารถในด้านอักขรภาษาขอมอย่างดี นานทีจะมีศิษย์ที่มีความสามารถฉลาดเฉลียว ท่านพระครูก็ตั้งใจและทุ่มเทสอนมันอย่างสิ้นวิชา ส่วนเขาหรือกว่าจะอ่านออกเขียนได้ก็กินเวลาเสียนานนม

คราวหนึ่งท่านพระครูผู้อาจารย์ใช้ให้เขาจารตำรับยาขึ้นถวายเจ้านายเพื่อฉลองพระเดชพระคุณที่อุปัฏฐาก ท่านพระครูว่ายาตำรับนี้ ‘กินก็ได้ทาก็ได้’ เขาก็จารว่า ‘กินกะได ทากะได’ ท่านพระครูเห็นก็สัพยอกว่า ‘ยาของกูไว้รักษาคนโว้ยไอ้เชื้อ ไม่ได้ใช้รักษากะไดอย่างที่เอ็งเขียน’ แล้วก็เปลี่ยนมาให้อ้ายแม้นจารแทน เขาต้องทนอัปยศถูกเพื่อนร่วมสำนักล้อเลียนมาโดยตลอด

วิชาพักอักษรไม่สู้มัน เขาก็พยายามเอาดีด้านวิชาต่อสู้และอาวุธ ซึ่งสำนักวัดพุทไธศวรรย์นับว่าเป็นยอด แต่ครูดาบท่านก็ติติงว่าเขาดีแต่ใช้แรงฟาดฟันเอาโครมๆ ไม่รู้จักใช้กลดาบอย่างอ้ายแม้น ที่ถึงแม้มันจะแรงน้อย แต่ก็สามารถเอาชนะศัตรูได้อย่างง่ายดายเพราะรู้จักและชำนาญกลดาบและอาวุธต่างๆ

เขาเป็นรองมันไปทุกด้าน…จนเข้ารุ่นวัยหนุ่มใกล้จะมีเรือน เหตุการณ์ที่ทำให้เขาแตกหักกับมันก็อุบัติขึ้น

เขาจำได้ดีวันนั้นที่วัดพุทไธศวรรย์มีการเทศน์มหาชาติ สาธุชนที่ปรารถนาจะพบพระศาสนาของพระศรีอาริย์ต่างก็มาชุมนุมฟังเทศน์มหาชาติกันอย่างเนืองแน่นทั้งไพร่และผู้ดี

เขาพบเธอคนนั้นเดินมาในห้อมล้อมของบ่าวไพร่ ความงามพิลาสสะดุดตา ทำให้เขามองเธออย่างไม่วางตา ในวิหารหลวงเธอถูกกันให้นั่งแยกจากบุรุษเพศหลังม่านโปร่ง เขาทราบได้ทันทีว่านางต้องไม่ใช่บุตรสาวของคหบดีทั่วไป แต่น่าจะเป็นหญิงราชนิกุลผู้หนึ่งเป็นแน่ เขานั่งพินิจรูปโฉมหลังม่านโปร่งอย่างเคลิบเคลิ้มและตั้งปณิธานว่าจะต้องได้หญิงผู้นี้มาเป็นศรีเรือน

หลังจากวันเทศน์มหาชาติไม่นาน ในที่สุดเขาก็สืบรู้ว่าหญิงผู้นั้นมีนามว่า ‘วาดง นางเป็นราชนิกุลในราชวงศ์พระร่วง นางมีศักดิ์เป็นน้องสาวต่างมารดากับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ มาบัดนี้แม่หยัวศรีจุฬาลักษณ์ทรงครรภ์ ทางบ้านเดิมจึงให้นางมาดูแลรับใช้ใกล้ชิดท้าวศรีจุฬาลักษณ์ผู้เป็นพี่สาว

วันหนึ่งแม่วาดมากราบท่านพระครูด้วยท่าทางทุกข์ร้อน เขาแอบฟังจึงรู้ว่าท้าวศรีจุฬาลักษณ์แพ้ครรภ์ใคร่เสวยดินใจกลางเมือง พระนางมีพระทัยกังวลว่าการแพ้ท้องคราวนี้จะเป็นนิมิตดีหรือร้าย แต่หากแพร่งพรายออกไปฉวยคนคิดไม่ดีจะเล่นลิ้นพลิกผันให้พ่ออยู่หัวระแวงบุตรในครรภ์ นางและลูกจะตกที่นั่งลำบาก พระนางจึงใช้ให้แม่วาดน้องสาวที่ไว้ใจ ไปกราบเรียนปรึกษาท่านพระครูที่ทั้งรู้วิชาหมอยาและโหราศาสตร์ ท่านพระครูจึงใช้อ้ายแม้นทำนายนิมิตนี้ ด้วยไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการบ้านการเมือง อ้ายแม้นทำนายว่าบุตรในครรภ์จะเป็นชายที่มีใจจงรักภักดีต่อพ่ออยู่หัว ดินที่ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ใคร่เสวยนั้นหมายถึงแผ่นดินที่พระบุตรในพระครรภ์จะนำมาถวายพ่ออยู่หัว แล้วเขาก็มอบดินสอพองที่อบร่ำจนหอมกรุ่นให้แม่วาดนำไปถวาย พร้อมสั่งว่า ‘ทูลว่านี่คือดินใจกลางเมืองละโว้ เมื่อพระนางเสวยแล้วอาการประชวรพระครรภ์จะหายไปทันที’

ท้าวศรีจุฬาลักษณ์เสวยดินสอพองนั้นแล้ว อาการแพ้ครรภ์ทั้งปวงก็หายเป็นปลิดทิ้ง ข่าวร่ำลือคำทำนายของอ้ายแม้นลอยไปถึงพ่ออยู่หัว พระองค์ก็ทรงยินดีเพราะพระองค์ก็ยังทรงกังวลว่าเจ้านายในวงศ์อู่ทองยังคิดที่จะชิงราชสมบัติอโยธยาศรีรามเทพนครไปจากพระองค์ผู้สถิตในวงศ์สุพรรณภูมิ การที่พระบุตรในครรภ์ใคร่เสวยดินใจกลางเมืองละโว้ ซึ่งเป็นฐานกำลังเดิมของพวกวงศ์อู่ทองนั้นก็เป็นนิมิตอันดีต่อพระราชอำนาจและพระราชบัลลังก์ พระองค์จึงยิ่งพูนพิสมัยในตัวแม่หยัวและพระราชกุมารในควรรภ์

วาดเองก็ไม่อาจทราบว่าคำทำนายนั้น ต้องตามตำราหรือพ่อแม้นพลิกแพลงชิวหาช่วยให้พี่สาวตนพ้นเคราะห์ วาดซึ่งเป็นเหมือนนกที่ต้องอาศัยไม้ใหญ่ หากไม้ใหญ่ล้มวิหคนกกาที่ทำรังอาศัยไม้ใหญ่ก็ย่อมต้องประสบภัยไปด้วย บัดนี้พ่อแม้นช่วยเหลือพี่สาวของตนก็เหมือนได้ช่วยตน ใจจึงนึกนิยมพ่อแม้นอยู่หนักหนา

เชื้อพยายามก้อร่อก้อติกแม่วาดทุกครั้งที่นางมากราบท่านพระครู แต่เขารู้อยู่แก่ใจว่าการมากราบท่านพระครูนั้นคือข้ออ้าง ความจริงแล้วนางใคร่จะมาพบหน้าอ้ายแม้นมัน

ไอ้ระยำมึงมันเป็นศัตรูกับกูในทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องหัวใจ เขาสบถในใจเมื่อเห็นแม่วาดยืนคุยกับมันด้วยท่าทีที่มีน้ำใจให้ ‘ทีกับกูแม่วาดไม่แม้จะชายตา

ทั้งรักทั้งแค้น สุดท้ายเขาวางแผนทำข้าวสารเป็นข้าวสุก วันนั้นแม่วาดมากับบ่าวเพียงสองคน เป็นโอกาสอันดี เมื่อแม่วาดเดินทางกลับ เขาเอาเรือหัวหุ้มเหล็กมาดักกลางทาง หมายพุ่งชนเรือนางให้ล่มแล้วจะฉวยโอกาสที่นางตกน้ำลวนลามนางเสีย หญิงที่ต้องมือชายเป็นราคีแล้วก็ย่อมไม่พ้นมือไปได้ เขาจะใช้เรื่องนี้ข่มขู่ให้นางยอมปลงใจเป็นเมียเขา

แต่การไม่เป็นดังที่เขาหวัง เมื่อเรือหัวหุ้มเหล็กของเขาพุ่งชนกลางลำเรือของแม่วาดกับบ่าวอย่างจัง เรือของนางพลิกคว่ำลง ขณะที่เขากำลังจะกระโดดจากเรือลงไปปล้ำนางที่ในน้ำ ก็ได้ยินเสียงร้องโวยวายมาจากด้านหลัง อ้ายแม้นและบ่าวของมันพายเรือตามมาห่างๆ นี่มันคงห่วงแม่วาดที่มาลำพังกับบ่าวเพียงสองคน จึงแอบพายเรือตามมาส่งอยู่ไม่ห่าง เขากลัวหากแผนการแตกแล้วจะได้รับโทษทัณฑ์จึงรีบเบนหัวเรือจ้ำหนีไป

อ้ายแม้นกระโดดลงไปช่วยแม่วาด นางรอดจากความตาย และสุดท้ายหญิงที่เขามาดหมายก็ออกเรือนไปกับไอ้ศัตรูตัวฉกาจของเขา

วันที่แม่วาดแต่งงานเขาเมามายจนไร้สติ เมื่อตื่นขึ้นมาเขาปฏิญาณกับตนเองว่า จะต้องทำให้ตนเองมั่งมี สักวันแม่วาดต้องเสียใจที่ไม่เลือกเขา

จากนั้นเขาก็มุ่งทำทุกทางทั้งทางที่ถูกและผิด เพื่อให้ตนเองก้าวหน้าและยิ่งใหญ่ แต่ก็เปล่าเลยในวันที่เขาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ อ้ายแม้นยังเป็นเพียงเจ้าราชนิกุลต่างเมืองที่ไม่มีหน้าที่ ไม่มีอำนาจใดๆ เป็นเพียงช่างคุมการก่อสร้างของหลวงตามแต่พ่ออยู่หัวจะมีพระราชบัญชาสั่ง แม่วาดก็ยังคงไม่เหลียวแลเขาแม้แต่น้อย นางยังคงมีความสุขกับอ้ายแม้น สิ่งที่เขาเพียรพยายามล้วนสูญเปล่า ในสายตาของแม่วาดเขาคือคนไร้ราคาคนหนึ่ง จนวันหนึ่งแม่วาดได้ตายจากไปเพราะคลอดไอ้เด็กเวรนั่น

ความคั่งแค้นและริษยายังคงอยู่ในใจของเขาเหมือนไฟสุมขอนที่รอวันคุหากต้องลมแรง และวันนี้ลมแรงนั้นได้โหมขึ้นอีกครั้งในรูปพระราชอาญา วันนี้เขาต้องพระราชอาญาปางตายเพราะอ้ายแม้น เขาสัญญากับตัวเองว่าเขาจะต้องเอาคืนในสาสมทั้งหนี้แค้นเก่าและใหม่ เขาปฏิญาณกับตนเองอย่างแน่นหนักว่า เขาจะต้องทำให้อ้ายแม้นสิ้นโคตรสิ้นวงศ์!

 



Don`t copy text!