บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 1 : ลำจวน

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

เรื่องของลำจวน เริ่มต้นขึ้นเมื่อฤดูร้อน เดือน 4 พุทธศักราช 2373 ในหลวงรัชกาลที่ 3 ผู้มีพระฉายานามว่า เจ้าสัวทับ เสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 6 ปีแล้ว

หลังคามุงหญ้าแฝกใหม่เอี่ยมสีฟางสว่างของเรือนไม้หมู่ใหญ่สะท้อนเล่นแสงตะวันบ่าย ให้ได้มองเห็นวาบผ่านสุมทุมพุ่มพฤกษ์ เช่นเดียวกับเสียงมโหรีปี่พาทย์ เสียงร้อง เสียงเล่น เสียงซ้อมละคร ที่ดังลอยลมดังบ้างแผ่วเบาบ้าง ผ่านสวนผลไม้ มากล่อมคุ้งน้ำให้ได้ยินทุกวี่วัน เมื่อชาวบ้านชาวเรือสัญจรไปมาในคลองบางกอกน้อย

สวนผลไม้ผืนใหญ่หลายขนัดนี้ ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นสินเดิมและเป็นรายได้หลักของคุณนายนอบ คหปตานีเมียเอกของนายสุ่นนายโรงละครนอก มีผลผลิตทั้งทุเรียน มังคุด เงาะ รสชาติดีมีชื่อเสียงของย่านวัดทอง (1)

 

************

หลายปีมาแล้ว ที่เรือนไม้สมบัติตกทอดของครอบครัวคุณนายนอบ ถูกต่อเติมทีละเล็กละน้อยจนกลายเป็นเรือนกลุ่มใหญ่ ให้เป็นที่อยู่ของชาวคณะละครชายล้วนหลายคน

แต่ระยะนี้เสียงเพลงที่เคยครึกครื้นอยู่ทุกบ่าย เปลี่ยนไปจากลีลาสนุกคะนอง จัดจ้าน สลับ เพลงรักหวานจัด และโศกรันทดโอดครวญหวนโหย อย่างดนตรีที่เร้าอารมณ์ชาวบ้านร้านตลาด กลับเป็นเพลงประณีตอ่อนหวานอ้อยส้อยละเอียดอ่อน อย่างสำเนียงดนตรีจากในรั้วในวัง

บทร้องของนางยักษ์แม่เลี้ยงใจร้ายของนางสิบสองซึ่งร้องรำโดยชาวคณะละครผู้ชายของชาวบ้านร้านตลาด ที่แต่งเครื่องละครตัวนาง เป็นเมียน้อยเมียหลวงช่วงชิงผัวอย่างวิมาลา เลื่อมลายวัน ร้องทุ่มเถียงด่าทอนางตะเภาแก้ว ตะเภาทองอย่างถึงพริกถึงขิง ตามธรรมชาติของละครนอก กลับกลายเป็นเพลงชมโฉมบุษบา เจ้าหญิงแห่งวงศ์อสัญญแดหวา นางเอกละครอิเหนา ละครผู้หญิงของนางใน ซึ่งแต่ก่อนเป็นละครต้องห้ามสำหรับสามัญชน

ต่างพินิจพิศโฉมอุณากรรณ     ว่างามดังอสัญแดหวา

อันบุรุษสุดสิ้นแดนชวา        ทั้งในใต้ฟ้าไม่เทียมทัน

ลำจวน เด็กหญิงวัยประมาณ 8 ขวบ ยังไม่โกนจุก นุ่งโจงกับเสื้อคอกระเช้า ล้อเล่นกับเจ้าลูกแมวที่ไล่พันแข้งพันขาที่ใส่กำไลทองตรงข้อเท้าดังกรุ๋งกริ๋งเบาๆ ย่องตามเสียงเพลงขึ้นบันไดเรือนมา ขณะที่เสียงร้องแหลมเล็กคมหวานชัดถ้อยชัดคำของแม่ครูหญิงดังไพเราะ มีเสียงฉิ่งประกอบให้จังหวะจะโคนพริ้งพราว

“บ้างว่าเปรียบเทวัญนั้นเห็นผิด    ดูจริตรูปร่างเหมือนนางสวรรค์

นวลละอองผ่องพักตร์ผิวพรรณ     ดังบุหลันวันเพ็ญอำไพ”

ลำจวนพูดกลอนท่อนที่ต่อจากนั้นด้วยเสียงเบาในลำคอพอได้ยินคนเดียวเร็วปรื๋อ เพื่อดักหน้าแม่ครู

บทร้องนั้นเป็นบทละครพระราชนิพนธ์อิเหนา ของล้นเกล้าฯ แผ่นดินกลาง

บ้างว่าเปรียบเทวัญนั้นเห็นผิด    ดูจริตรูปร่างเหมือนนางสวรรค์…

เสียงแม่ครูร้องบทเพลงนั้นตามมา ตามจังหวะจะโคนช้าเนิบของเพลง โดยถ้อยคำไม่ผิดไปจากที่ลำจวนได้พูดนำไว้แม้แต่คำเดียว เหมือนลำจวนคือผู้บอกบทละคร ทำให้ลำจวนยิ้มพอใจที่ตัวเองจำกลอนนั้นได้ทันทีอย่างแม่นยำตั้งแต่ได้ยินเขาหัดรำกันครั้งแรก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ถ้อยคำง่ายสำหรับเด็กๆ

พวกลุงๆ อาๆ ชาวคณะของพ่อกระซิบเล่ากันว่า แม่ครูท่านนี้ เดิมทีเป็นนางละครจากในวังหลวง แต่ในหลวงองค์ปัจจุบันทรงไม่โปรดให้มีละครผู้หญิงในวังอีกต่อไป เพราะทรงเห็นว่าเป็นเรื่องสิ้นเปลืองฟุ่มเฟือย และเป็นกิจกรรมอันเร้ากิเลสทำให้ห่างไกลจากพระนิพพาน ด้วยพระองค์ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัดยิ่ง

แม้ครั้งยังดำรงตำแหน่งพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ จะเคยทรงเป็นนายกอง ควบคุมการก่อสร้างสวนขวาที่เป็นเสมือนสถานที่ทรงพระสำราญของพระราชบิดา ท่ามกลางบรรดานางละครและคณะมโหรีหญิงล้วน ประกอบด้วยโรงละคร อุทยาน สวนน้ำ เกาะแก่ง จำลองป่าเขาห้วยหนองคลองบึงในธรรมชาติ ชะลอมาไว้ในวังหลวง ทว่าหลังจากทรงขึ้นครองราชย์ก็ทรงรื้อทิ้ง นำวัสดุอิฐหินปูนทรายทั้งหลายนั้นไปถวายวัดต่างๆ

เป็นที่รู้กันว่าทรงทุ่มเท เน้นย้ำให้มีการสร้างวัดขึ้นใหม่ และบูรณะวัดวาอารามเก่าๆ ให้ทั่วทั้งแผ่นดิน ถึงขนาดที่กล่าวกันว่าใครอยากเป็นคนโปรดของในหลวงพระองค์นี้ ก็ให้สร้างวัด

ทรงโปรดให้บรรดานางละครหญิงในวังกราบบังคมทูลลาราชการ กลับไปอยู่บ้านตามสมัครใจ หรือใครจะไปอยู่ตามวังนอกของเจ้านายที่เป็นลูกหลานญาติพี่น้องทั้งหลาย ผู้ใดต้องการสืบทอดวิชาละครผู้หญิงต่อไป ไม่ว่าเจ้านายหรือเสนาบดีที่มีอำนาจวาสนาบารมีอยากจะตั้งคณะละครผู้หญิงขึ้นมาในอุปถัมภ์ ก็ทรงอนุญาตให้ท่านเหล่านี้นำความรู้ความสามารถไปเผยแพร่สั่งสอนกันได้ตามสมควร

แม่ครูท่านนี้ก็เช่นกัน บัดนี้ออกมาเป็นครูละครผู้หญิงในวังเจ้านายพระองค์หนึ่งที่พ่อของลำจวนไปถวายรับใช้อยู่ จึงมีความสนิทสนมคุ้นเคยพอที่จะออกมาช่วยสอนรำละครแก่ลูกสาวสองคนของพ่อที่กำลังอยู่ในวัยแรกรุ่น…พี่นวลและพี่น้อย พี่สาวของลำจวน ลูกคู่เล็กของคุณนายนอบเมียเอกของพ่อ

ลำจวนโผล่หน้าพ้นบันได แอบซุ่มดูพวกคุณพี่อย่างเพลินใจ พลางหยอกเล่นกับแมวน้อยไปพลาง

 

พี่นวลอายุ 16 ปี ผิวนวลผุดผาดสมชื่อ ร่างกลมกลึงอ้อนแอ้น ส่วนพี่น้อยอายุ 15 ปี ใบหน้าคมคาย เหลี่ยมคางชัด รูปร่างองอาจผึ่งผาย จังหวะและวงรำแม่นยำกว่า กำลังรำคู่กัน ต่างตั้งใจสุดฝีมือเหมือนแข่งขันประกวดประชันกันอยู่

นักดนตรีที่บรรเลงอยู่ คืออาๆ และลุงๆ ในคณะละครของพ่อนั่นเอง นั่งเล่นกันอย่างขรึมและระมัดระวังกว่าเคยเพราะเกรงบารมีแม่ครูที่งามสง่า แต่งกายสวยประณีตด้วยแพรพรรณอันผิดจากชาวบ้านชาวสวน ร่างบอบบางเล็กจ้อยนิดเดียวเหมือนตุ๊กตาชาววังที่ทำจากกระเบื้องขาวสดใส เป็นประกายด้วยเครื่องประดับเพชรทองพราว ร้องเพลงด้วยเสียงแหลมพุ่งแข็งแรง ใช้ไม้เรียวหุ้มแพรสีขาวที่ถือติดตัวเสมอ เคาะจังหวะไปด้วยอย่างเฉียบขาด สีหน้านิ่ง ดวงตาคมกริบ

ไม้เรียวนี้ใช้สำหรับตีมือ เคาะตาตุ่มคนเรียนรำที่ไม่ตั้งใจ

พ่อนั่งหน้าเคร่ง ควบคุมวงอยู่ตรงที่นั่งประจำบนยกพื้นหน้าบริเวณการแสดง มีคุณนายนอบ นั่งเอนๆเคี้ยวหมาก ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ชื่นชมลูกๆ ของท่าน

 

พ่อของลำจวนที่ทุกคนเรียกว่า นายโรงสุ่น เป็นชายที่ลำจวนเห็นว่างามมาก ด้วยใบหน้าคมสัน ผิวเข้ม ร่างสันทัด บึกบึน ฟันแข็งแรงดำสนิทดุจนิล ยังไม่ผุหักแม้ในวัยสี่สิบปีแล้วในเวลานี้ เช่นเดียวกับแผ่นหลังตรง ช่วงแขนแน่นตึง มือไม้นิ้วก้านยังอ่อนช้อยยามกรีดกรายร่ายรำ

เมื่อสมัยยังหนุ่ม พ่อรำละครเป็นพระเอกด้วยเป็นนายโรงด้วย เสียงร้องกังวานสว่าง เสียงพูดทุ้มหนักมีอำนาจ หูตาแววไว ไปเล่นที่ใดมีแม่ยกตามมามอบเงินทองของกำนัลไม่ขาดสาย

คุณนายนอบเคยเป็นแม่ยกที่ตามอุปถัมภ์ละครคณะนายโรงสุ่นมายาวนาน จนตกล่องปล่องชิ้นเป็นสามีภรรยาในที่สุด ด้วยฐานะและความเหมาะสม พ่อจึงเป็นฝ่ายแต่งเข้าบ้านคุณนาย ทำให้คุณนายนอบอยู่ในฐานะภรรยาเอก

 

คุณนายนอบไม่ใช่หญิงขี้ริ้ว ยังเป็นลูกสาวชาวสวน หนักเอาเบาสู้ เข้มงวด ละเอียดถี่ถ้วนในการค้าขายจนฐานะดีขึ้นๆ ทั้งรวยมรดกที่ดินจากพ่อแม่ปู่ย่าตายายเพียงผู้เดียว เพราะญาติพี่น้องล้มหายตายจากไปหมดด้วยโรคภัยไข้เจ็บแต่ยังเยาว์

ลำจวนเพลินเผลอเคาะนิ้วตามจังหวะของแม่ครู เจ้าแมวคงนึกว่าเธอชวนเล่น จึงโดดเข้าตะครุบนิ้ว ลำจวนสะดุ้ง ตกใจ สะบัดมือแรงไปโดนมันเต็มรัก

“ว้ายๆ”

“แง้วววววว”

เจ้าแมวส่งเสียงหลง กระโจนหนีลำจวน วิ่งถลาฝ่าตรงเข้าไปในวงซ้อมรำ แม่ครูผงะ เสียงร้องเพลงชะงักขาดตอน นวลกับน้อยชะงักค้าง ทุกคนหันมาที่ลำจวนจนได้

เด็กหญิงหน้าเป็นเห็นขัน ทำหน้าทะเล้น หัวเราะแก้เก้อให้ทุกคน พลางค่อยๆ ถดถอย พร้อมเผ่นลงจากเรือนใหญ่

พี่นวล พี่น้อย ต่างยืนมองปฏิกิริยาน้องสาวอย่างขำปนอนาถ แต่คุณนายนอบไม่ปล่อยผ่าน

“มาแล้ว แม่ตัวดี เขาตามหากันแทบพลิกเรือน”

“มานี่ซิ ออลำจวน”

แม่ครูส่งเสียงรับราวกับคู่บท เสียงเรียกดุแหลมปรี๊ด น่ากลัว

ลำจวนหน้าซีด จำต้องคลานเข้าไปกราบ และหมอบกระแตอยู่เบื้องหน้า

“เหตุใดไม่มาหัดรำกับพี่ๆ เขา ข้ามาทีไรไม่เคยเห็นแม้เงา หน้าตาหน่วยก้านก็ดี น่าเสียดาย เป็นลูกสาวนายสุ่น หากไม่รำให้งามแล้วจักไปทำสิ่งไร”

พ่อก็ตอบสนองด้วยการลุกไปอย่างว่องไวเพื่อหยิบไม้เรียวประจำบ้าน ซึ่งเป็นไม้ไผ่เหลาเป็นลำผอมยาวพอเหมาะเสียบไว้ที่รอยต่อผนังเรือนเอาไว้เพื่อการนี้โดยตรง คือขู่เด็ก ซึ่งอันที่จริงก็มีเพียงลำจวนคนเดียวที่เป็นเด็กในเรือนหลังนี้ มาสะบัดขวับเขวียว

“ไป…ลุกขึ้นรำบัดเดี๋ยวนี้”

ลำจวนขนลุกซู่ ตัวสั่น มองหาทางหนีทีไล่ แต่คุณนายนอบนั่นเองที่กลับชี้ทางสว่างให้เด็กหญิง

“แม่จำปาไปไหน”

ลำจวนได้ยินชื่อแม่ จึงเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อกี้แม่ของตนไล่ให้ไปล้างหน้าล้างตาสวมเสื้อใหม่ให้สวยงามจะได้ไปฟังเทศน์มหาชาติที่วัดทองด้วยกัน แต่เด็กหญิงก็เอาแต่ทอดธุระ เอ้อระเหยลอยลมเรื่อยเปื่อยตามวิสัย

“ทำไมไม่มาขนาบลูกตัว คนอื่นเขาดุด่ามากๆ เข้าจะมาหาว่าใจร้าย ในเมื่อลูกตัวซุกซนราวกับม้าดีดกะโหลก จะตัดจุกอยู่อีกไม่กี่ปี แต่ยังทำตัวเป็นเด็กอมมือพูดไม่รู้ฟังอยู่ได้”

คุณนายนอบบ่น แล้วหันไปหานางทาสที่นั่งพัดให้พวกนายอยู่พะเยิบพะยาบ

“อีปุก มึงไปตามแม่จำปามานั่งกำกับลูกสาวตัวเองหน่อย”

นางปุกขยับลุก ท่าทางขยับเขยื้อนยากเพราะก้นหนัก

“ปุก ไม่ต้อง…”

โอกาสของลำจวนมาถึงแล้ว

“นายแม่เจ้าขา ลูกจะไปตามแม่จำปาเองนะเจ้าคะ”

ลำจวนทำเสียงอ่อนเสียงหวานประจบ แล้ววิ่งจู๊ดสุดฝีเท้า

“นางลำจวน หยุด…”

พ่อเผ่นโผน โจนเข้ามาหมายจะดึงคอลำจวนไว้ แต่มีหรือจะทัน เด็กหญิงวิ่งหัวแทบทิ่มลงเรือนไป ทิ้งให้นายโรงสุ่นยืนมือถือไม้เรียวเก้อ หน้าเสีย

“แม่ครูขอรับ กระผมขอประทานโทษ”

เมียหลวงกับพวกลูกสาววัยรุ่นและแม่ครู มองมายังพ่ออย่างอ่อนใจแทน แต่พวกนักดนตรีในวงแอบสบตา ขำกันไปเงียบๆ

 

โชคดีที่เมื่อลำจวนวิ่งมาถึงท่าน้ำหน้าบ้าน ก็พบว่าเรือลำใหญ่ของที่บ้านจอดเทียบอยู่พอดี บรรดาทาสชายประจำหน้าที่พายบ้าง ช่วยกันขนของที่จะนำไปติดกัณฑ์เทศน์ลงเรือบ้าง

แม่จำปากับนางทิมข้าเก่า แต่งตัวสวยงามเรียบร้อยอย่างจะไปวัด กำลังชะเง้อรอ พากันอกสั่นขวัญแขวน เมื่อลำจวนวิ่งนำหน้าโดดขึ้นเรือไปก่อน

“คุณลำจวน!”

นางทิมรีบตามมานั่งขนาบ

“อ้าว นึกว่าจะไม่ไปแล้ว”

แม่จำปาทำสีหน้าหน่าย

“อ้ายไปล่ เร็วๆ เร่งพายเถิด เกลือกไม่ทัน ฉันแย่แน่”

ลำจวนกระทืบเท้าบอกทาสชาย

“ไม่ทันอันใด แล้วนี่ ไยมอมแมมปุกปุยยับยู่ยี่ไปทั้งตัวเช่นนี้”

แม่มองโจงกระเบนที่หลุดลุ่ย ไม่อยู่ในที่ในทางของลูกสาวอย่างอ่อนใจ แต่ลำจวนหาสะทกสะเทือนไม่

“เร็วๆๆ จ้ำๆๆๆ เข้าเร็ว อ้ายไปล่”

ทาสหนุ่มหัวเราะ รีบจ้ำบึ๊ดๆ พาเรือแหวกน้ำพุ่งไปเร็วรี่

“หนีผู้ใดมารือคะ คุณ…”

นางทิมพลอยเหลียวหน้าเหลียวหลังระวังระไวไปด้วย ทว่าลำจวนปิดปากนิ่ง ส่ายหัวแทนคำตอบ

 

เชิงอรรถ :

(1)วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร 

 



Don`t copy text!