บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 12 : ชะตากรรม

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

บรรดาทาสบ้านนายสุ่น กำลังเอาทุเรียน เงาะ มังคุด เข่งใหญ่ๆ หลายเข่งลงที่ท่าเรือใหญ่หน้าวัดเพื่อถวายพระ มีพระบุญลือและศิษย์วัดช่วยกันแบกหามจากเรือ เมื่อฮุนเดินออกมา เอาพวกภาชนะเปื้อนสี กะลา พู่กันหลายๆ อัน มานั่งล้างที่บันไดท่าเล็กๆ สำหรับลูกวัดใช้งานกัน ห่างออกมาเล็กน้อย

ฮุนล้างไปเหลียวมองไป แล้วก็ถึงกับหัวเราะ เมื่อมองเห็น

ทีแรกฮุนตะลึง ไม่เชื่อสายตา

ลำจวนหมอบแอบหลังเข่งผลไม้ ด้วยความรู้เห็นเป็นใจของพวกทาส ที่กระซิบกระซาบ ดูขบขัน สนุกสนานกันมาก ในการเล่นซ่อนหากับพระบุญลือ โดยฝ่ายพระไม่รู้ไม่เห็นด้วย

“บอกโยมสุ่น โยมนอบด้วย ว่าอนุโมทนาสาธุ จะเอามาเลี้ยงพวกช่างที่มาบูรณะวัดแลพวกช่างเขียนพระอุโบสถ ตามศรัทธาของท่าน”

ลำจวนก้มตัว หมอบ ย่องๆ อยู่ตามหลังเข่งผลไม้ จนไต่ขึ้นมาบนบกได้ เป็นที่เรียบร้อย

“ขนเอาไปไว้ที่ศาลาการเปรียญ ให้พวกแม่ครัวเขาคิดอ่านยักย้ายแจกจ่ายให้ทุกคนกินกันด้วย”

พระบุญลือสั่งงานศิษย์ แล้วเดินแยกย้ายไปทางอื่น

เมื่อพวกเด็กวัดเอารถสาลี่ล้อไม้มาขนผลไม้นั้น ลำจวนหายไปแล้ว

 

ลำจวนวิ่งจู๊ดมาที่บันไดหน้า กำลังจะขึ้นไปดูโบสถ์ซึ่งประตูแง้มเผยอไว้ เอื้อมไปจะผลักบานประตูเปิด

“อย่าขอลับ” เสียงฮุนกระซิบ

“ห้ามเข้าขอลับ”

ลำจวนสะดุ้ง หันไป

ฮุนยืนอยู่ใกล้ๆ

“ห้ามเข้าหรือ”

“มาทางด้านหลังขอลับ”

ฮุนยังคงพูดด้วยเสียงลม หน้าของเขาซุกซนเหมือนชักชวนให้ไปดูอะไรที่น่าดูที่สุด

ฮุนวิ่งนำลงไปด้านข้างโบสถ์ พาเดินเลียบกำแพงไปด้านหลัง ลำจวนงงนิดหน่อย แล้วไม่รอช้าที่จะตามไป

ทั้งสองย่องเข้ามาทางประตูด้านหลังพระพุทธรูป

ลำจวนมาหยุดยืนมองม่านผ้าที่กั้นอยู่ตรงกลางหน้าต่างทางซ้ายมือพระประธานอย่างสงสัย

“เหตุใดจึงต้องมีผ้านี้มากั้น”

ลำจวนเดินปราดๆ จะเข้าไปดู

แต่ฮุนรีบก้าวตามมาติดๆ

“อย่าไปตงนั้น คุงหนู ลูนี่ๆๆ”

ฮุนรีบโดดมาขวาง แล้วชี้ให้ดูต้นไม้บนผนัง ที่ตนวาดเสร็จแล้ว

“คุงคูพุกให้อั๊วะเขียงต้งไม้ ต้งนั้ง แล้วต้งนี้ล่วย แล้วคุงคูคง…คุงหลวงเสนีบอลิลัก ก็มาลู บอกว่า

ลีเลี้ยวๆ”

เด็กหนุ่มโอ้อวด ภาคภูมิใจอย่างที่สุด

ลำจวนเท้าสะเอว เอียงคออ่อนใจ

“ยังพูดไม่ชัดอีก ไม่ได้มีความพากเพียรที่จะพูดให้ดีๆ เท่าชาวบ้านชาวช่องเขารือ”

ฮุนหน้าจ๋อย

“คุณหลวงเสนีบริรักษ์ๆๆๆ”

ลำจวนเอ็ดใส่หน้า

ฮุนสูดลมหายใจลึก

“คุง…”

ลำจวนทำหน้าเบื่อหน่ายสุดขีด

“คุณ…”

“คุง”

ลำจวนท้อใจ กับความผิดซ้ำซากของเจ้าเปียดื้อ

“ไม่ใช่ ดู…ดูปาก ดูดีๆ”

ฮุงยื่นหน้ามาจนใกล้ปากเด็กหญิง เพื่อจับสังเกตจริงจัง

“คุน…น่ะ”

ลำจวนลากเสียงตัว น.ที่เปิดท้ายคำ

“คุง…ง่ะ”

“โอ๊ย…เหตุใดจึงทำไม่ได้ มันไม่ได้ยากเย็นอันใดเลย คุณ คุณคุณๆๆๆๆ”

“คุง….คุณ…”

“คุณๆๆๆ”

“คุณๆๆๆๆ”

ในที่สุด ฮุนก็ทำสำเร็จ

เด็กหญิงกระโดดโลดเต้น

“อ๊า…ได้แล้วๆ คุณ-หลวง-เสนี…”

“คุณหลวง เสนี”

ฮุนเน้น อย่างไม่ยอมพลาดอีกต่อไป

“ดี…ดี ดี ดี”

ลำจวนยื่นหน้าไปให้ฮุนดูถนัดๆ ขณะเปลี่ยนโจทย์ให้ยากขึ้นอีกขั้น

ฮุนจ้องเป๋งที่ปากลำจวน พยายามทำตาม

“…ดี…”

ลำจวนปรบมือกราว
“ได้แล้วๆๆ”

ฮุนหัวเราะ ดีใจมากๆ

“ได้แล้วๆๆ”

เขาเลียนถ้อยคำเธอ

ลำจวนแทบเต้น
“คุณครูคงแป๊ะ คุณหลวงเสนีบริรักษ์”

“คุณครู……ครูๆๆๆๆ”

ฮุนกระดกลิ้นคำควบกล้ำ

ลำจวนน้ำตาแทบไหล

“ใช่…ครู…แล บริรักษ์ ตัวรอเรือ…ออกเสียงเหมือนกัน”

“ร…เรือ…คุณครู หลวงเสนี…บริรักษ์”

เด็กหนุ่มอวดความสามารถอย่างช้า…ชัด…

“เก่งมาก ลื้อเก่งมาก เจ้าเก่งมาก เจ้าฮุน!”

ลำจวนจับมือทั้งสองของฮุนบีบแน่นๆ

ฮุนยิ้มหน้าบาน ปากถึงหู

ทันใด ผ้าม่านนั้นถูกเลื่อนเปิดออกพรืด เนตรยืนจังก้าอยู่ มีศิษย์ครูทองอยู่อีกสองคนที่ยืนซ้อนหลังเป็นบริวาร

“นางลำจวน!”

ฮุนและลำจวนตกใจจนยืนตัวแข็งทื่อทั้งคู่

“อ้ายลูกจีนคนนี้มันเหิมใจนัก อย่าเอาไว้เลย”

เนตรถลันเข้ามา คว้าหางเปียฮุนลากเหมือนดึงเชือกผูกคอสัตว์เลี้ยงอะไรสักตัวออกไปนอกโบสถ์รวดเร็ว           ฮุนต้องวิ่งหัวซุนไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ไม่ได้ตั้งสติจะขืนสู้แม้แต่นิดเดียว

ศิษย์ทองอยู่ทั้งสองคนวิ่งตามออกไปอย่างไม่รู้จะห้ามอย่างไร มีเพียงศิษย์พี่ผู้หนึ่งที่ส่งเสียงห้ามไปตลอดทาง

“ออเนตร อย่าไปทำมัน ถ้าครูรู้ ครูต้องโกรธมาก ครูสั่งแล้ว ว่าอย่าวิวาทกัน”

ลำจวนวิ่งตามออกไปสุดฝีเท้า สังหรณ์ร้ายจนตัวสั่นระริก น้ำตาไหลพรู

ที่ลานปูนหน้าโบสถ์ เนตรลากฮุนมาเหวี่ยงโยนลง แล้วปรี่เข้าประเคนทั้งมือตีนไม่นับอย่างหนักหน่วงยิ่ง โดยที่ฮุนไม่ยอมสู้ ได้แต่เพียงยกแขนกันส่วนศีรษะและหน้าตาเอาไว้

ศิษย์ทองอยู่ทั้งสองต่างเพียงร้องห้าม แต่ไม่เข้าไปกีดกันขวางกั้นอันใด

“เจ้าเนตรๆ พอที พอเถิด”

ลำจวนวิ่งมาทัน ก็พุ่งเข้าไปกอดเอวเนตรไว้จากเบื้องหลัง แล้วออกแรงดึงสุดชีวิต

“พี่เนตร ฉันขอเถิด หากจะตี ตีฉันเถิด เจ้าฮุนไม่ได้ทำผิดอันใด”

“นังเด็กใฝ่ต่ำ มึงนั่นแหล ตัวดีนัก ไป”

เนตรผลักน้องสาวร่วมบิดากระเด็นล้มไปกลางดิน แล้วหันกลับมาที่ฮุนที่กำลังพยายามตะกายลุก

มือทั้งสองของฮุนกำลังค้ำพื้นปูนเพื่อยันร่างขึ้นยืน

เนตรตาลุก ได้ที เล็งที่มือข้าวขวาของฮุน แล้วเงื้อตีนกระทืบไปเต็มแรง

“อ๊าก”

ฮุนร้องลั่น

“นี่แน่ะๆ มึงอยากเป็นช่างเขียนนักใช่รือไม่ มึงอย่าได้เขียนอันใดอีกเลย”

เนตรกระทืบๆๆไปบนนิ้วมือทั้งห้าของมือข้างนั้น

แม้เกือกที่สวมจะเป็นชนิดพื้นแบน มิใช่ส้นหนาอย่างรองเท้าฝรั่ง แต่แรงตีนที่จงใจกระแทกแล้วบดขยี้ซ้ำบนแต่ละนิ้ว ก็ทำให้ฮุนลงไปนอนดิ้น

ลำจวนร้องไห้โฮๆ สลับกับหวีดร้องสุดเสียง

พระบุญลือกับครูพุดวิ่งมาถึงด้วยใครไปตามก็ไม่แจ้ง แต่ทันทีที่มาถึง พระก็กระโดดเข้าไปเอาแขนเกี่ยวคอเนตร ลากตัวชายหนุ่มผู้นับตามศักดิ์แล้ว เป็นโยมพี่ชาย ผู้มีร่างกายแข็งแรงกำยำออกมาทันที

“โยม พอแล้วๆ โยมเนตร”

ส่วนครูพุด เป็นผู้เข้าไปประคองฮุน

“อันใดกันๆ เหตุไรจึงทำกันถึงเพียงนี้”

เนตรสลัดตัวออกจากเงื้อมมืดพระบุญลือ กล่าวหาโวยวายดังลั่น แม้จะหอบหายใจแทบไม่ทัน

“มันมุดม่านเข้าไปแอบดูภาพของพวกข้า มันแอบดูภาพเนมิราชของคุณหลวงวิจิตรเจษฎา มันทำผิดข้อตกลงของท่านครูทั้งสอง”

เขาหันไป ถลึงจ้องตาลำจวนเขม็ง เป็นทำนองข่มขู่ไม่ให้พูดอะไรออกมา

“จริงรือ”

ครูพุดกวาดตาดูหน้าศิษย์ครูทองอยู่ทั้งสอง แต่ทุกคนหลบสายตา และพยักหน้ารับแกนๆ

เนตรแสยะแยกเขี้ยว สาแก่ใจ

“เหตุเพียงเท่านั้น ก็ไม่น่าทำกันถึงเพียงนี้ คุณหลวงทั้งสองท่านเพียงท้าทายกันสนุกๆ เล่นๆ เท่านั้น”

พระบุญลือแย้ง

ลำจวนจ้องหน้าเนตร แค้นใจ น้ำตากบตา

พระบุญลือเพิ่งเห็นลำจวน รู้สึกไม่ชอบมาพากลทันที

“ออลำจวน เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร มาตั้งแต่เมื่อใด”

ลำจวนไม่ตอบ กัดฟัน กลั้นสะอื้น หันไปมองฮุนอย่างแสนวิปโยค

ฮุนยังทรุดกองอยู่บนพื้นปูนที่มีหยดเลือดกระจายชวนสยด หน้าตาเลอะไปด้วยโลหิต กัดฟันแน่น ดวงตาที่มีน้ำตาหยาดหยด จ้องมองมาที่ดวงตาเธอ

มือซ้ายของเขาประคองมือขวาที่หักผิดรูป ที่เจ็บปวดจนสั่นระริก!

ลำจวนไม่มีวันลืมภาพนั้นเลยไปจนชั่วชีวิต

 

ฤดูหนาว วันศุกร์ เดือน 2 ขึ้น 7 ค่ำ ปีพุทธศักราช 2379 ลำจวนอายุย่างสิบห้าปี

ณ พระราชวังเดิม ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์

เสียงแอ่วลาวเป่าแคนดังไพเราะทำนองเศร้าที่สนาม นางฟ้อนแสนสวยสองคนกำลังร่ายรำ กล่อมตัวโยกย้ายไปกับเสียงแคนทำนองลาวแพนของเก่าดั้งเดิม

ครูหมอลำชายท่านหนึ่ง ร้องคลอขึ้นเบาๆ

แสนอดแสนจน เหมือนอย่างคนตกนาฮก

มืดมนฝนตก เที่ยวหยกหยกถกเขมร

ถือข้องส่องคบ ไปไล่จับกบทุ่งพระเมรุ

เปื้อนเลนเปื้อนตม เหม็นขมเหม็นคาว

ที่ศาลาริมสวนที่เต็มไปด้วยกระถางไม้ดัด บอนไซต่างๆ แม่จำปากับนางทิมกำลังเอาผ้าไหมต่างๆ วางเรียงราย คลี่ให้ลูกค้า ซึ่งเป็นหม่อมห้ามของท่านเจ้าของวัง

หม่อมเป็นสตรีลาวอุบลราชธานี ใบหน้างาม โหนกแก้มสูง คางเหลี่ยม คิ้วคม ดวงตารีเฉียงสวยแปลกตา ไว้ผมสั้นแบบยอดนิยม มีจอนยาวทัดหู ด้านหน้าตัดสั้นเป็นพุ่มตั้งขึ้นอย่างหญิงสยามเวลานั้น แต่แต่งกายแบบลาว นุ่งซิ่นไหมลายละเอียดซับซ้อนอย่างสตรีสูงศักดิ์

ลำจวนที่เป็นสาวน้อยแจ่มใส ดวงตาตื่นเต้นกลมโต เป็นประกายมีชีวิตชีวา ฉายแววชื่นชมโสมนัสกับเสียงร้องของครู ที่นุ่มนวลหวานเศร้า คลอกับเพลงแคนอันพริ้งพราย

จับทั้งอ่างท้องขึง จับทั้งอึ่งท้องเขียว จับเปี้ยวจับปู จับหนูท้องขาว

จับกบขาเหยียดเหยียด จับเขียดขายาวยาว จับเอามาให้สิ้น มาต้มกินกับเหล้า

ลำจวนตัดผมสั้นด้านหน้า ไว้ด้านหลังยาวประบ่า สวมเสื้อแขนกระบอก มีผ้าสไบทับบนเสื้อกับโจงกระเบน สุภาพเรียบร้อยอย่างไปวังเจ้านาย เคี้ยวหมากปากแดงเรื่อ ใส่ต่างหูทอง และก็เป็นลำจวนคนเดิมที่เคลิบเคลิ้มไปกับมนตราแห่งดนตรีเสมอ

เธอพยักหน้า เคาะนิ้ว กระดิกเท้าไปตามจังหวะเพลง

คุณหม่อมคนงาม มองลำจวนอย่างชอบใจ

“ลำจวนชอบฟังแอ่วลาวเป่าแคนหรือ”

“เสียงแคนฟังม่วนเหลือเกินค่ะ หม่อม”

ลำจวนตอบเป็นภาษาลาว

หม่อมหัวเราะ หันไปปรบมือให้สัญญานให้หยุดแสดง แล้วเรียกให้มาอุดหนุนผ้าไหมแทน

“เอ้า…พอก่อนๆ มาเบิ่งผ้าซิ่นงามๆ กันก่อนจ้า ทุกคน”

เสียงแคน การฟ้อน การลำเงียบลง

“ผ้าไหมน้อยของเมืองสุรินทร์งามมากค่ะ สีแปลกแตกต่างไปจากผ้าเมืองอื่น ผ้าสมปักของผู้ชายงามละเอียดลออวิจิตรพิสดารมาก ส่วนผ้าโฮลสะไรย์ของผู้หญิงสีราวกับฝนต้องแดดเลื่อมพรายรุ้ง”

ลำจวนสาธยาย เมื่อลูกค้าสาวหนุ่มวงแคนมารุม

หม่อมมองลำจวน ชอบใจ

“คำอู้คำจาเพิ่น…สมเป็นลูกสาวนายโรงละครจริง”

นางจำปายิ้มแก้มปริ เมื่อมีคนชมลูก

แม่จำปาคลี่ผ้าออกแสดงตามคำที่ลำจวนบรรยาย

เมื่อลำจวนโตขึ้น นางก็เบาแรงลงมาก เพราะสาวน้อยขายเก่ง คุยเก่ง ช่วยงานแม่ได้ดีอย่างนึกไม่ถึง

ความสวย ไม่เท่าเสน่ห์

แม่จำปาต้องยอมรับว่าลำจวนมีเสน่ห์ มีนะเมตตา มีไหวพริบปฏิภาณว่องไว แถมยังพูดเก่ง หว่านล้อมจูงใจเก่ง เข้ากับใครได้ง่ายดาย ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับอาชีพแม่ค้าจริงๆ

 



Don`t copy text!