บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 46 : ระทึก

บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 46 : ระทึก

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

ท่าน้ำ ริมคลองบางบำหรุ แม่เตยกำลังนั่งคร่ำครวญเมามาย

“ไอ้ฮุนมันร้ายกาจนัก อาฮุนมันพาน้องเขากลับไป มันกีดกันฉัน  มันเห็นว่าน้องเขาเกี้ยวฉัน มันไม่พอใจ”

เหล่าชายที่ยืนสังเกตการณ์อยู่นั้น พากันฉงน

“มิใช่เช่นนั้นดอก พี่เตย เจ้าเฉกเขาต้องการจะกลับเอง แต่เขาไม่อยากรบกวนพวกกระผม

เจ้าฮุนจึงอาสาพาไป”

หนุ่มตาบ ผู้น้องหนุ่มพัดชี้แจง

“ฉันกับพ่อเฉกกำลังจะลงเอยดีอยู่แล้วทีเดียวเจียว หากไอ้ผมเปียมันไม่มาเป็นก้างขวางคอ

มันอิจฉา!”

เตยระเบิด

“หา…เจ้าฮุน…มันชอบ…ยุ่งขิงกับเด็กหนุ่มๆ กระนั้นรือ”

พ่อพัดตบอก

“เอ่อ มิใช่เช่นนั้นดอก พ่อพัด เจ้าฮุน…มันรักพูหญิงเหมือนเราๆ นี่แหล มันเพียงแค่…เสียสละไปส่งแขก ให้คนอื่นสนุกกันต่อเท่านั้น”

ครูพุดแก้ตัวให้ศิษย์คนสนิท

“แล้วไปที…”

พัดคลายใจ

เตยกวาดตามองทุกคน ทำหน้าลับลมคมใน

“ถ้าอยากจะรู้ความจริงกัน ฉันก็จะบอก…ที่จริง…อาฮุนมันหลงรักฉันอยู่ตั้งนานแล้ว”

พลัน ทุกคนเงียบกริบ มองหน้ากันไปมาเลิ่กลั่ก

“…เป็นความสัตย์รือ เจ้าเตย”

คงแป๊ะผู้ลุงเหงื่อผุด ปล่อยให้เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นใต้จมูกตนแล้วไม่รับรู้ได้อย่างไร

“สาบานได้จ้ะ ลุงคง มันคอยไล่ชายทุกคนที่เข้ามาใกล้ฉัน เพราะเช่นนี้อย่างไรเล่า ฉันจึงต้องแก่คาบ้านเป็นสาวเทื้อ ให้ลุงเลี้ยงอยู่เช่นนี้น่ะ”

เตยฟาดแขนฟาดขา

“บ๊ะ! เช่นนั้น ลุงจักต้องบีบบังคับให้มันยอมรับ แลมาสู่ขอเจ้าเสียให้รู้แล้วรู้รอดแล้วซี”

คงแป๊ะใคร่ครวญจริงจัง

“ไม่เอ๊า ไม่เอาๆๆ เจ๊กผมเปีย ฉันไม่เอา”

“อ้าว…แล้วเจ้ามานั่งร้องไห้น้ำตาเป็นเต่าโดนเผาเช่นนี้ ต้องการอันใด”

คงแป๊ะชักงง

“ต้องการพ่อเฉก…ข้ารักพ่อเฉกหนาลุงคง…ฮือๆๆ จะเอาพ่อเฉกๆๆ”

หญิงสาวดิ้นไปมา

เหล่าศิษย์คงแป๊ะถอยกันกรูด จะเข้าไปยับยั้งจับต้องเนื้อตัวสตรีผู้ให้ข้าวให้น้ำดูแลทุกคนเสมอดั่งญาติสาวที่น่ายำเกรงมานาน ก็ไม่กล้า

ท่านภู่ส่ายหัว

“เอาละซี เกิดคดีรักสามเส้าเข้าแล้ว พ่อเฉกศิษย์ข้า ต้องรบรากับเจ้าฮุน ศิษย์พ่อคง เปิดศึกชิงนางเตยกันเสียแล้ว”

“อ้าว…พ่อเฉกเป็นศิษย์พ่อตั้งแต่เมื่อใด”

พัดสงสัย

“พ่อจักรับมันเป็นศิษย์…จักชิงมันมาจากคุณพุ่มให้ได้แล”

อดีตอาลักษณ์จริงจัง

 

ยามนั้น คุณพุ่มนั่งมองเงาในกระจกที่คันฉ่องโต๊ะเตี้ย ในแสงตะเกียงห้องนอน ดวงหน้าขรึมเคร่ง

แม่เต็มกางมุ้งให้นายเสร็จแล้ว กำลังกางให้ตัวเองที่มุมห้อง

เสียงกลองจากหอกลอง บอกเวลาดังมา ตุ้ม ตุ้ม ตุ้ม ตุ้ม ก่อนจะเงียบไป

แม่เต็มเอียงหูฟัง

“สี่ทุ่มแล้วค่ะ คุณ”

สมัยที่คนทั่วไปยังไม่มีนาฬิกาใช้กันอย่างแพร่หลาย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอกลองของกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นที่บริเวณป่าช้าหน้าวัดโพ ที่สวนเจ้าเชต ที่สมัยหลังเป็นที่ตั้งของกรมการรักษาดินแดน เป็นอาคารทำด้วยไม้สูงสามชั้น รูปทรงสูง ไม่มีฝาผนัง หลังคาเป็นรูปมณฑป  กลองย่ำพระสุริย์ศรี เป็นกลองขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง 82 เซนติเมตร ตั้งอยู่ชั้นล่าง ใช้ตีบอกโมงยามเพื่อให้ราษฎรที่อาศัยอยู่ภายในกำแพงพระนครรู้เวลา  ชั้นสองตั้งกลองอัคคีพินาศ ตีเมื่อเกิดไฟไหม้ และชั้นสามตั้งกลองไพรีพินาศ ตียามมีข้าศึกมาประชิดพระนคร  คำเรียกเวลาว่าโมง บอกเวลาตอนกลางวัน ตามเสียงฆ้องดังโมงๆ คำเรียกเวลาว่าทุ่มมาจากเสียงกลอง ดังตุ้มๆๆๆ  คำเรียกเวลาตอนดึก ว่าตี มาจากการตีแผ่นเหล็กของยาม ส่วนการเรียก ยาม1 ยาม2 ยาม3 ก็หมายถึงจำนวนครั้งของการผลัดเวรยาม

“สี่ทุ่ม สำหรับผู้หลักผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพวกผู้ชายกินดื่มสนทนา นับว่ายังไม่ดึกดื่นนักดอก แม่เต็ม

“รือว่าจะกลายเป็นปล่อยเสือเข้าป่า  มันไม่กลับออกมาง่ายๆ เสียแล้ว”

แม่เต็มบ่นพึม

“ป่านนี้มันจะเมามายตามอย่างเพื่อนฝูงชาวคณะของท่านภู่ไปแล้วหรือก็มิอาจรู้ได้”

คุณพุ่มแกล้งกล่าวให้ขำ ทว่าแม่เต็มไม่ขำ

“อย่างไร แม่ลำจวนก็เป็นผู้หญิง ไปขลุกอยู่กับพวกผู้ชายหลายคนอย่างนั้น อิฉันเกรงว่าจะใจแตก”

คุณพุ่มยังยิ้มพราย

“หากได้รู้เช่นเห็นชาติเสียแต่เนิ่นๆ ก็ดีหนา  ข้าก็จะไม่ต้องทุ่มเทฝากผีฝากไข้กับมันจนหมดเนื้อหมดตัว”

แม่เต็มค้อน

“คุณละก้อ…อะไรก็ว่าดีไปเสียหมด”

“กลัวก็แต่…ท่านอาลักษณ์ใหญ่นั่นแหล หากลัวผู้อื่นไม่”

“หา…ท่านภู่ท่านชอบกินหญ้าอ่อนรือเจ้าคะ”

แม่เต็มกระซิบระรัว

คุณพุ่มถอนใจเพลียๆ

“โอ๊ย… แม่เต็ม  พูดอะไรเช่นนั้น ข้ามองเห็นว่าท่านอาลักษณ์ท่านติดอกติดใจเจ้าเฉกหนุ่มน้อยรูปงามทรามคะนองต่างหากเล่า ตัวมันรือ ก็สมาทานท่านภู่เป็นศาสดามานาน…”

“มันได้พบครูพักลักจำของมัน ดุจคนโดยสารเรือมาถึงท่าแล้ว มิใช่จะถีบหัวเรือจ้างลำเก่าที่ลำบากลำบนพามาส่งนะเจ้าคะ”

แม่เต็มคาดการณ์ อันทำให้คุณพุ่มถึงแก่เงียบงันไป เพราะเกรงกริ่งในประเด็นนี้เป็นที่สุด

 

เรือของท่านอดีตอาลักษณ์ผ่านสวนผืนใหญ่คุณนายนอบ และเรือนนายสุ่นมาไม่ไกล  ยังอยู่ระหว่างละแวกสวนผลไม้บางกอกน้อย ทำให้เจ้าเฉกสงบงุด ก้มหน้าราวจะมุดลงไปให้ผ้าขาวม้าคลุมหัวปิดตัวให้มิดทั้งร่าง แม้ว่าคลองช่วงนั้นจะค่อนข้างมืดมิดเพราะไม่มีบ้านคนก็ตาม ฮุนเองก็เหมือนจะตกอยู่ในความรู้สึกเดียวกัน เขาจึงเร่งฝีพายเร็วรี่อย่างสังเกตได้ ซึ่งลำจวนกับคนเรือก็พายจ้ำตาม ทำให้เรือพุ่งไปเร็วขึ้น

ทันใด เสียงร้องเพลงของคนเมา ดังโหวกเหวกมาในคุ้งน้ำแต่ไกล

 “โอ้ลูกน้อยหอยสังข์ของแม่เอ๋ย             กรรมสิ่งใดเลยมาซัดให้

จะร่ำร้องเรียกเจ้าสักเท่าใด                   ก็ช่างเฉยเสียได้ ไม่ดูดี”

ลำจวนและฮุนสะดุ้งทั้งคู่ หญิงสาวเงยขึ้น พร้อมกับที่เขาหันมามองหน้าทันควัน

แสงไฟจากเรือที่พายสวนมาแต่ไกล ค่อยๆ สว่างขึ้น พร้อมเสียงที่ใกล้เข้ามา

“สิ้นวาสนาแม่นี้แน่แล้ว  เผอิญให้ลูกแก้วเอาตัวหนี

จะขอลาอาสัญเสียวันนี้  เจ้าช่วยเผาผีมารดา…”

ต้นเสียงดังฟังชัดนั้น คือเสียงของเนตร พี่ชายคนโตของลำจวน ที่กลับมาเป็นคนควบคุมดูแลการงานของคุณหลวงวิจิตรเจษฎา ซึ่งทุกวันนี้ฮุนก็ยังต้องทำงานร่วมโบสถ์กับเขาอยู่

ลำจวนหน้าซีด ตาตื่น

“นายเนตร…ศิษย์ครูทองอยู่”

ฮุนเอ่ยออกมา

เรือพายลำใหญ่ที่เนตรและพี่น้องช่างเขียนคณะของครูทองอยู่แล่นสวนทางมา แสงตะเกียงสว่างที่ตั้งตรงหัวเรือส่องเห็นหน้าเนตรที่นั่งองอาจอยู่หัวเรือ รำป้อ โยนตัวไปมาอย่างเข้าถึงอารมณ์นางยักษ์พันธุรัตน์ที่หัวใจกำลังแหลกสลาย

เขียนพลางทางเรียกลูกน้อย  มาหาแม่สักหน่อยพ่อหอยสังข์

แต่พอให้ได้ชมเสียสักครั้ง     ขอสั่งสักคำจะอำลา

“ดับตะเกียง…จอดเรือซุ่มก่อนเถิด”

‘คุณเฉก’ สั่ง ควบคุมเสียงให้มั่นคง

ฮุนรีบไขตะเกียงดับมืดสนิทลงทันที

“มีอันใดขอรับ”

คนเรือตกใจ

“ขอร้องละ  ช่วย…ช่วยจอดเรือ…ซุ่มรอจนเรือลำนั้นผ่านไปก่อนเถิดขอรับ”

เฉกเร่ง

แต่ไม่ทันเสียแล้ว เรือเนตรมาใกล้เกินไป สุดที่จะพายหนีไปหาพงหญ้าที่ตลิ่งเพื่อซุ่มซ่อนซึ่งหน้าได้

เนตรเพ่งสายตามอง เห็นเรือที่ลอยแช่มช้า มีคนเรือคนเดียวก้มๆ เงยๆ อยู่ในความมืด

“เฮ้ยๆๆ หยุด!”

พวกในเรือเนตรยังงง

หากเนตร ผู้นิยมทำตัวเป็นผู้จัดระเบียบรายรอบและโลกหล้า ยิ่งเมามาย ภารกิจนี้ก็ยิ่งดูเหมือนจะเข้มข้นขึ้นอีกหลายเท่า

“นั่นเรือผู้ใด มาทำงุ่มง่ามเงอะงะอยู่มืดๆ เป็นพิรุธ รือเป็นพวกโจรมารอจี้ปล้นคนผ่านทาง เข้าไปดูหน่อยถี!”

พรรคพวกในเรือได้ยินดังนั้นพากันกระเหี้ยนกระหือขึ้นมาทันที ได้เขียนโบสถ์ของเจ้าคุณนครบาล ก็คลับคล้ายกลายเป็นเจ้าพนักงานของนครบาลไปด้วย เนื้อตัวเบ่งกร่าง พร้อมจับโจรใดๆ

คนเรือไม่รอช้า พายเรือเบนหัวเข้าไปให้

เนตรชูตะเกียงขึ้นสูง เห็นหน้าคนเรือที่นั่งหน้าเผือดนิ่งเป็นเบื้ออยู่ท้ายเรือ กลางเรือมีอะไรกองๆ มองไม่ถนัด

คนเรืออาลักษณ์ภู่ก้มหน้า ไม่สู้ตาชายหนุ่มผู้มีสง่าแต่เมาหน้าแดงฉานเบ่งพลังอำนาจอิทธิพลคับคลอง ที่เบื้องหลังมีคนหนุ่มที่เมาอยู่พอๆ กันอีกเต็มลำเรือ หากจะประพลังไม้พายกันก็มีแต่จะพ่ายยับ

ในน้ำ ฮุนที่จมตัว เกาะซ่อนอยู่ท้ายเรือ โผล่เฉพาะหน้าที่หงายพ้นปริ่มน้ำขึ้นมาในเงามืด กระซิบดังพอได้ยิน

“บอกมันว่ารับจ้างพายเรือไปส่งคนเมา”

ลำจวนที่จมตัวอยู่ข้างกันในน้ำ หันมามองหน้าฮุน พรึงเพริดไปกับปฏิกิริยาฉับไวตอบสนองเหตุวิกฤติ และไหวพริบที่เฉียบคม

ฮุนหันมามองหน้าลำจวน เห็นดวงตาของหญิงสาวในคราบชายไหวตระหนก ฮุนมองตอบ ส่งสายตามั่นคงปลอบไป ว่าไม่มีอะไรต้องกลัว

เรือเนตรเข้ามาใกล้จนแทบเกยกัน

ฮุนกับลำจวน ดำหายลงไปใต้น้ำแล้ว

เนตรชูตะเกียง ส่องดูในเรือลำนั้น  เห็นร่างมนุษย์ที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย นอนคลุมผ้าขาวม้ามิด

“มึงเป็นใคร มาจากไหน จะไปไหน ทำไมมาจอดเรือดับตะเกียงซุ่มมืดเยี่ยงนี้”

กระแสน้ำเบื้องล่างนั้นเย็นและไหลเชี่ยวกราก มืดมิดจนไม่เห็นสิ่งใด ได้แต่สังเกตดูแสงตะเกียงของเนตรที่พร่าๆ อยู่เบื้องบน เฝ้ารอเวลาให้มันจางหายไป ซึ่งหมายว่าเรือเนตรออกไปแล้ว

ลำจวนโผล่เพียงปลายนิ้ว มือทั้งสองเกร็งเกาะสันขอบท้ายเรือพยุงร่างไว้ แต่ปรากฏว่าน้ำแรงและขอบเรือภายนอกนั้นลื่นเกิน ลำจวนกำลังจะพลัดลอยหลุดไหลไป

“กระผมรับจ้างพายเรือรับส่งคนเมาขอรับ”

บนเรือ คนเรือนั่งค้อมตัวสุภาพ ก้มหน้าต่ำ

“คนเมาที่ไหน นอนนิ่งราวกับศพคนตาย ไหน ขอดูหน้าหน่อย”

เนตรยื่นตะเกียงมาส่องใกล้ กระชากผ้าขาวม้าจากหน้านายหมายที่เมาไม่สมประดี พวกข้างหลังชะโงกตามมาดูกันเป็นตาเดียว

ลำจวนต่อสู้กับแรงน้ำและความเย็นเยือกเหนือคาดเดา อีกทั้งความมืดที่กดทับ ทำให้ความอึดอัดในการกลั้นหายใจเพิ่มขึ้น มือเธอหลุดจากเรือแล้ว ได้แต่ฟาดแขน เตะขาระรัวไป เพื่อประคองร่างตนไม่ให้ลอยขึ้นโผล่เหนือน้ำ ตราบใดที่แสงสว่างจากตะเกียงที่ส่องลอดลงมาพริบๆ พรายๆ นั้นยังไม่ดับไป

ลำจวนเตะไปโดนขาที่แข็งเหมือนต้นไม้ของฮุน เขาหันมา แม้มองไม่เห็นอะไร ทว่ารับรู้ได้ ว่าลำจวนกำลังต้องการความช่วยเหลือ ชายหนุ่มยื่นมือออกมา คว้าจับได้ข้อมือเล็กๆ นั้นทันท่วงที จึงออกแรงกระชากดึงเธอกลับเข้ามา พลิกตัวเธอให้หันกลับมาหาเรือ

ลำจวนค่อยๆ คลำไปข้างหน้า จนพบเรือ แล้วสืบมือขึ้นไปถึงขอบท้ายเรือ

เธอรีบเอาสองมือจับไว้แน่น แล้วค่อยๆ เกร็งแขน ยกตัวโหนขึ้น ให้โผล่เพียงปลายจมูกขึ้นไปเหนือน้ำ ในความมืดและเย็นเยือก เธอได้อากาศให้หายใจแล้ว และร่างของฮุนก็เข้ามาประกบหลังเธอไว้ ด้วยการโหนท้ายเรือด้านหลังของลำจวนอีกที สองแขนของเขากั้นอ้อมตัวเธอไว้แน่นหนา ด้วยการเกาะยึดขอบเรือตำแหน่งที่กว้างออกไป

ฮุนพยายามเว้นระยะห่างไว้ให้ร่างกายสัมผัสกันน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

นายหมายถูกไฟตะเกียงทั้งสว่าง ทั้งร้อน ยื่นเข้ามาแทบนาบหน้า เขาสะดุ้งเฮือก ผุดลุกผึงมานั่ง พลันลืมตาโพลงขึ้น  ตาดำตาขาวลอยเคว้งคว้าง ไร้ทิศทาง

เนตรมองดูบุคคลที่ไม่เคยเห็น ที่อยู่ในสภาพซึ่งไร้สภาพสิ้นเชิง

“โอ…โอ๊ย…โอละนอ…น้องเอย… โอ๊ย…อ้ายบ่อเคยพบผู้สาวใดงามปานนี้…ละนอ…อ้วก  อั่ว”

นายหมายแหกปากกว้าง โก่งคอ ชะโงกหน้าไปข้างเรือจะอาเจียน

“อั่ว…อ้วก…”

เนตรแขยง ผลักกราบเรือ ถอยกรูดออกห่าง หดตะเกียงเข้ามา

“…พวกเที่ยวดูแอ่วลาวเป่าแคนนี่เอง…ไปเว้ย…”

เขาตะโกนสั่ง

นายหมายอาเจียนไม่ออก พะอืดพะอม

“ไปๆๆ ขยะแขยงพวกคนเมาสถุนว่ะ”

เรือเนตรขยับห่าง ส่วนนายหมายล้มหงายลงนอนต่อ หาได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรกับใครไม่

 “แม่อ้อนวอนว่านักหนาแล้ว

น้อยฤๅลูกแก้วไม่มาหา

ทุ่มทอดตัวลงทรงโศกา

สองตาแดงเดือดดังเลือดนก

ทั้งรักทั้งแค้นแน่นจิตร

ยิ่งคิดเคืองขุ่นมุ่นหมก

กลิ้งกลับสับส่ายเพ้อพก

นางร่ำร้องจนอกแตกตาย”

เรือเนตรแล่นลึกสวนเข้าไปในคลอง เสียงตะโกนร้องเพลงก้องคุ้งน้ำต่อเนื่อง

ใต้เงามืดสนิทของขอบท้ายเรือ ฮุนถอนหายใจเบา เขาค่อยๆลอยตัวห่างออกไปจากลำจวน ที่เกาะขอบเรือแน่น ลำจวนมองไป เห็นฮุนแหวกว่ายวนระวังหลังอยู่ช้าๆ

เธอปีนกลับขึ้นเรือเงียบๆ

เงาพระจันทร์ครึ่งดวงในน้ำไหวระริก

พระจันทร์ครึ่งดวงบนฟ้าที่หน้าแพให้แสงมัวซัว

ฮุนกับคนเรือช่วยกันแบกนายหมายขึ้นมาบนแพ  เฉกถือตะเกียงให้แสงสว่างนำทาง

พอนายหมายขึ้นมาได้ ก็เดินเอาหัวนำตัวลิ่วๆ ไปที่เรือน ไปถึงที่ก็เอาหัวพิงซุกประตู แล้วรูดตัวนั่งลง หลับต่อคายกพื้นธรณีประตู เงียบนิ่งไป

ฮุนและคนเรือหัวเราะกันเบาๆ

เฉกแขวนตะเกียงตรงเสาที่สำหรับแขวนตรงท่าหน้าแพ  เปิดตุ่มน้ำฝน ที่วางเรียงรายริมท่า ใช้กระบวยตักน้ำจนเต็ม ประคองมาให้คนเรือ

“พี่นั่งพัก กินน้ำให้เหงื่อแห้งก่อนเถิด พายเรือมาไกล”

คนเรือท่านอดีตอาลักษณ์ที่เป็นไพร่สักข้อมือในเจ้าฟ้าอะไรสักพระองค์ นั่งยองลง ไหว้เฉก ก่อนรับกระบวยน้ำมาดื่มอย่างกระหาย

“เกรงใจพี่เหลือเกินที่ต้องข้ามฟากมาส่ง  แถมยังต้องเจอคนเมาน่ากลัวอีก”

“ไม่เป็นไรมิได้ขอรับ”

เขาตอบอุบอิบ

ฮุนกระพือเสื้อที่ยังเปียกชื้นเกาะตัว หวังจะให้แห้ง

“คืนนี้ลมสงัดจริงๆ ออกจะร้อนอบอ้าว”

เฉกมองฮุน แล้วก้มมองตนเองที่ห่มผ้าข้าวม้าคลุมบ่าทับเสื้อที่ยังเปียกชื้นเช่นกัน

“นายฮุนร้อนออกมาจากภายใน เพราะดื่มเข้าไปมากต่างหาก”

เธอแย้ง ไออุ่นผ่าวของร่างฮุนที่แผ่มาห้อมล้อมร่างลำจวนในน้ำเย็นเฉียบ ดูเหมือนจะหลงเหลืออยู่รอบกาย

ทันใด มีลมกระโชกมาวูบ ผ้าขาวม้าของเฉกปลิวสะบัด พลัดลอยไป

แต่ฮุนว่องไวเสมอ เขาเอื้อมคว้าไว้ได้ทัน

“พูดถึงลม ลมก็มา”

เขาส่งผ้าคืนให้คนที่โจงกระเบนเปียกลู่แนบร่าง

เฉกรับมา คลี่คลุมบ่าตามเดิม
“ขอบพระเดชพระคุณ”

เฉกเห็นแววตาที่มองเธอทั่วตัวแล้วก้มลงซ่อนแววยิ้มขบขันของฮุน

เธอรีบเมินไป ทำไม่รู้ไม่ชี้ เดินไปหยิบกระบวยอีกอัน ที่แขวนเรียงบนเสาใกล้ตุ่ม ตักน้ำฝนให้ฮุนบ้าง

“เอ้า ดื่มน้ำฝนในตุ่มหวานๆ เย็นๆ ล้างอุ สาโท แลยาดองออกไปสักหน่อย สติจะได้แจ่มใส”

“หวานน้ำฝนยังไม่เท่าหวานน้ำใจขอรับ”

ฮุนพูดคะนองปาก ด้วยสำนวนเสมือนเกี้ยวพานั้น

จู่ๆ ฟ้าก็ทำการแสดงชุดใหม่ทันใด เมฆเทาลอยไหลมาจากไหนจนหนาหนัก เหมือนมีใครรูดม่าน ปิดบังจันทร์ครึ่งดวงจนมิด

คนเรือแหงนมองฟ้า พลางดื่มน้ำ ลมพัดมาแรงอีก จนผ้าเคียนพุงปลิวสะบัด

“เกรงว่าจะไม่ได้กลับง่ายๆ แล้วขอรับ”

คนเรือรีบปลดตะเกียงวิ่งนำเข้าไปใต้ร่มชายคาหน้าแพ

ทันทีทันใด ฝนก็โรยละอองบางลงมาเบาๆ

ละอองฝนหล่นกระทบน้ำในแม่น้ำ ส่งเสียงซ่าๆ เบาๆ นุ่มนวล

 

หน้าประตูที่นายหมายนอนหลับอยู่เป็นจระเข้ขวางคลอง เหลือพื้นที่ใต้ชายคากันสาดไม่มาก

คนเรือเข้ามานั่งปุ๊กลงข้างศีรษะนายหมาย เฉกอ้อมไปยืนที่ปลายเท้า มีฮุนตามมายืนชิดใกล้

ต่างแหงนมองดูสายฝนจากชายคาหญ้า

“คุณเกรงกลัวนายเนตร บุตรนายโรงสุ่นมากหรือ”

ฮุนถามขึ้นลอยๆ

เฉกนิ่งไป แล้วหันมาทำหน้าซื่อ

“นายเนตร ผู้ใด”

ฮุนลังเลไปเล็กน้อย

“ก็…คนเมาเอะอะในเรือลำนั้นอย่างไรเล่า”

เฉกทำเหมือนเพิ่งนึกออกกะทันหัน

“อ๋อ…กลัวซี…คนเมาสวนทางกันยามมืดค่ำ ควรเลี่ยงเสีย มิฉะนั้น เกิดวิวาทต่อยตีหัวร้างข้างแตก…อีกหน่อย…จะขอคุณอาไปไหนมาไหนยามวิกาลไม่ได้อีก”

ฮุนยิ้มรับ

“ผมเป็นคู่วิวาทของเขา ด้วยเป็นศิษย์ช่างเขียนต่างสำนัก ขนาดพบกันดีๆ ตามวัดวา เขายังพร้อมจะวางมวยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มาพบกันยามไร้สติเช่นนี้ ผมจึงต้องหลบก่อน ไม่เช่นนั้น ประเดี๋ยว…”

ฮุนมองเฉก แล้วหันไปพยักหน้ากับพี่คนเรือ

“ผู้ร่วมลงเรือลำเดียวกันจะพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย”

เขาให้เหตุผลที่ต้องลงไปหลบในน้ำเช่นนั้น

คนเรือพยักรับ เข้าอกเข้าใจ

ลมแรงขึ้น ฝนเม็ดหนาขึ้นอีก คนเรือที่อ่อนเพลียมาทั้งวัน จึงหลับตาลง นอนเอาแรงไว้ก่อน

 

ลำจวนเฉกเองก็เมื่อยล้าเต็มกำลัง เธอทรุดตัวลงนั่งก่อน เหยียดขาออกไปยาวพอดีขอบชายคา

ฮุนนั่งลงตามบ้าง ไหล่และต้นแขนของเขาเสียดสีกับเฉก เธอค่อยๆขยับห่างออกเล็กน้อย ระวังไม่ให้เขารู้สึก แต่ฮุนรู้สึก

เขาจึงห่อเนื้อตัวให้เล็กลง ระมัดระวัง

“วันหน้าวันหลัง…หากใต้เท้าอยากไปที่ใด ไปเที่ยวไปดูสิ่งใด หรืออยากไปพบปะเยี่ยมเยียนผู้ใด ที่ไหน ใต้เท่าเรียกกระผมได้หนา ผมจะพาไป ไม่ว่าใกล้ไกล รือจักเป็นยามเช้าสายบ่ายเย็น รือยามวิกาล อย่าได้เกรงใจ”

ลำจวนในร่างเฉกอ้ำอึ้ง

“เพราะเหตุใด ฉันจึงจะต้องไปคอยรบกวนนายฮุน”

“เพราะ…ผมต้องการจักรับใช้ใต้เท้า”

“รับใช้ทำไม ฉันไม่มีคุณมีโทษอันใดจักบันดาลให้นายฮุนดอก ค่าจ้างค่าออนอันใดก็ไม่มี”

“กรุณารับผมไว้ใช้…เป็น…เช่นบ่าวคนหนึ่งก็ได้”

ฮุนไม่ระย่อ

“ไฮ้!  เหตุใดจึงจักมาเป็นบ่าว…เอาเถิด…ฉันรับนายฮุนเป็นเสมือนเพื่อนเกลอก็แล้วกัน”

เจ้าหนุ่มจีนดีใจ นึกไม่ถึง

“เพื่อนเกลอ…”

ลำจวนเฉกมองหน้าที่ยิ้มกว้างขวางและดวงตาอันแสนปรีดานั้น พลัน รู้สึกอิ่มเอมเต็มตื้นหัวใจ จึงแง้มบานประตู เผยออกอีกเล็กน้อยให้ลมพัดพา

“ฉันไม่มีเพื่อนดอก ฉันมา…ไกล จากบ้านจากถิ่นที่อยู่มา นอกจากคุณพุ่ม…คุณอาพุ่มและคนที่แพนี้ ฉันก็ไม่มีใคร”

ทั้งสองสบตา ตาใกล้ตานิดเดียว

“เป็นเกียรติยศของกระผมนักหนา”

ลำจวนได้กลิ่นลมหายใจอุ่นๆ  ของชายหนุ่ม เธอหลบตาลง เสียงแผ่วเบา

“หยุดพูดจายกย่องประจบฉันเสียทีเถิด”

ฮุนหัวเราะเสียงต่ำลึกในทรวงอก

“ขำอันใด”

“ผมจักประจบใต้เท้าเพื่ออันใด”

“นี่ไง…เรียกฉันว่าใต้เท้า ทำราวกับว่าฉันเป็นเจ้าคุณแก่ๆ จักเป็นเกลอกันมิใช่รือ มิตรสหายเขาไม่เรียกกันใต้เท้าคุณท่านคุณเธอดอก”

ดวงตาของเธอกลมโตสุกใส มองราวแก้วมุกดาอันเปล่งรัศมีเรืองรองจับตา รัดรึงใจ

ดวงใจของฮุนเต้นแรงทว่านุ่มนวล

“เช่นนั้นเรียกว่า…คุณเฉก คงจะได้”

“ได้…”

ฮุนยิ้มกว้าง เหมือนเด็ก

ลำจวนยิ้มตอบ

ไม่รู้ว่าเป็นอัตโนมัติหรือจงใจ ที่ดูเหมือนร่างกายของฮุนจะขยายออกทุกขุมขน จนไหล่ที่หุบห่อ แขนที่รวบเก็บตึง และมือที่บีบประสานบนตักแต่แรก ผ่อนคลาย กว้างขวาง จนต้นแขนของเขาเบ่งออกมาเบียดแนบสนิทกับแขนเฉก แต่หญิงสาวกลับไม่ขยับหนีอีก ปล่อยให้ผิวเนื้อผ่าวๆ นั้นชนชิดกันอยู่เช่นนั้น

“ดีใจเหลือเกิน จากนี้ ผม…คงจะไปมาหาสู่ แลไปไหนมาไหนกับคุณได้…ใช่หรือไม่”

ดวงตาคู่งามกลม กับดวงตาคู่เฉียงคมประกายกล้า เหมือนจะเคลื่อนเข้าใกล้กันทุกที

จนลำจวนในร่างเฉกตระหนักรู้สึกว่าใกล้เกินไป อันตรายเกินไปแล้ว

เฉกพลันขยับตัว ลุกขึ้นยืนปุบปับ

“ฉัน…ฉันจะเข้าเรือนแล้ว…”

ฮุนกะพริบตาปริบ ตั้งตัวไม่ทัน

“ขอรับ…”

“นายฮุน…กับพี่คนเรือ…หลบฝนอยู่ต่อไปได้ตามจำเป็นเถิด แต่…ฉันควรเข้าไปหาคุณอาแล้ว ท่านคงรอ…”

ฮุนลุกขึ้นช้าๆ มองสบตาลำจวนแน่วแน่

“เชิญตามสบายเถิดขอรับ ไม่ต้องวิตกไปดอก ผมจักไม่ทำให้คุณต้องลำบากเดือดร้อน”

เฉกพลันระวัง ห่างเหิน

“ฉันจักต้องเดือดร้อนอันใด เพราะนายฮุน”

แต่ชายหนุ่มยังคงกล่าวยืนยัน ราวร่างข้อสัญญาอย่างเป็นทางการ

“ผมเข้าทางตรอก ออกทางประตู  แลจักไม่เอาเรื่องร้อนแต่เก่าก่อนตามมาให้คุณถึงที่นี่ ขอให้คุณได้เล่าเรียนวิชา ทำการงานให้เจริญก้าวหน้า ตามที่คุณปรารถนา…”

 

ฝนค้างหยดติ๋งๆ ที่ชายหญ้าคา หลังฝนขาดเม็ดไปครู่ใหญ่  เมฆที่บังดวงจันทร์ครึ่งดวงข้างแรมตกลงมาเป็นน้ำหมดแล้ว ไม่เหลือม่านบัง

คุณพุ่มยังนั่งเลือกหนังสือจากหีบอยู่ ในแสงตะเกียงสว่าง ส่วนนางเต็มหลับสัปหงกคาพัด

เสียงเคาะประตูห้องนอนดังแผ่วๆ

“เข้ามา…”

คุณพุ่มบอกเสียงเรียบ

ประตูที่งับไว้เหลื่อมๆ ถูกผลักเข้ามา เจ้าหลานปลอมๆ ตัวดีเข้ามานั่งลง พับเพียบเรียบร้อย พนมมือ

“กระผมกลับมาถึงตั้งแต่ก่อนฝนลงขอรับ”

“ได้ยินแล้ว…”

ดวงตาที่เหลือบขึ้นมองปราศจากโทสะใด ทว่าสงบเยือกเย็น ทำให้ลำจวนต้องรีบแก้ตัวพัลวัน

“กระผมอยู่ดูให้คนเรือแลผู้ที่มาส่งได้พักหลบฝนเรียบร้อยแล้ว จึงเข้าเรือนมา นายหมายอยู่ข้างนอกกับพวกนั้นขอรับ”

แม้ไม่ได้โกหก แต่หาบอกเล่าจนหมดจดไม่

“เล่ามาสิ ว่าท่านภู่พาเจ้าไปกินดื่มกันที่ไหนอย่างไร สุขสำราญดีรือไม่”

คุณพุ่มยังคงมีทีท่าเรื่อยเอื่อย

“สหายท่านเป็นช่างเขียน…บ้านอยู่ที่บางบำหรุ มีเลี้ยงข้าวปลาแลสุรา มีแสดงเพลงแอ่วลาวเป่าแคนแลรำฟ้อนกัน”

ลำจวนกล่าวโดยย่อ

“ตาภู่แกแน่นเหนียวกับวังฟากโน้นจริง เจ้า…มิได้ดื่มเหล้ายากับเขาดอกรือ”

“มิได้ขอรับ”

หรือสักจิบสองจิบหนอ…ลำจวนไม่ค่อยมั่นใจนัก

คุณพุ่มทิ้งหางตา แสดงความหมายว่ารู้เท่าทัน

“เพลานี้…เจ้าเป็นชาย ประพฤติตนเยี่ยงชาย มิให้เป็นที่เพ่งเล็งว่าแปลก แต่ก็ควรเป็นชายที่ดี มิใช่ชายที่เลว มัวเมา หมกมุ่นอบาย เจ้าอย่าได้หลงลืม ว่าตัวมาอยู่ตรงนี้ เพราะอะไร แลเพื่ออะไร”

“ขอรับ”

ลำจวนก้มหน้า

“เจ้าเสี่ยงตาย ทิ้งทุกสิ่ง หนีชีวิตสตรีที่เปรียบเสมือนเป็นทาสชนิดหนึ่งของโลกนี้ มาเป็นไทแก่ตัวด้วยวิธีห่มคลุมคราบของบุรุษ  เหมือนลูกวัวที่เอาหนังเสือมาหุ้มตัว ข้าคือคนที่สนับสนุนให้เจ้าแปลงกายเป็นเสือ แถมยังปล่อยเจ้าเข้าไปปะปนอยู่กับเหล่าเสือ  ทั้งๆ ที่อันตรายรอบด้าน คิดไปแล้ว ไม่แน่ว่าแท้จริงเจ้าได้เป็นไทแล้ว รือถูกจองจำอีกแบบกันแน่”

ลำจวนคิดตาม ให้ทันความหมายที่คุณพุ่มสื่อ

“ข้าก็ไม่รู้ว่าผิดหรือถูก ผลจะออกมาเป็นเช่นไร ปลายทางของเจ้า จะเป็นไปทางไหน แต่จะให้ข้าห้ามหวง ห่อเจ้าเก็บซุกไว้ในหีบก็ทำมิได้ เจ้าจงคำนึงเสมอว่าข้าร่วมเสี่ยงไปกับเจ้าด้วย อยู่ที่เจ้าที่จะประคับประคองตัวอย่างไร ให้ตลอดรอดฝั่ง ไม่นำสิ่งเสื่อมมาถึงข้า”

“กระผมจักเตือนตนอยู่เสมอขอรับ”

คุณพุ่มมองหญิงสาวที่ดูเหมือนจะเติบโตเต็มวัยแล้ว อยู่ในเครื่องห่อหุ้มอย่างชาย ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจากแรกพบ แต่ความงามก็ฉายชัดเพิ่มขึ้นตามตัว จนเธอตระหนักว่าไม่อาจวางใจได้เลย ว่าความ

‘เจริญเติบโต’ นี้  จะทำให้ลำจวนปลอดภัยมากขึ้น หรือเป็นอันตรายมากขึ้นกันแน่



Don`t copy text!