บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 70 : พสุธาจะอาศัย

บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 70 : พสุธาจะอาศัย

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

ไม่กี่วันจากนั้น เจ้าคุณอินทรากับสามหัวหมื่น คือโชค เดช และรวยที่เดินมาเป็นแผงหน้ากระดานข้างหลัง ก้าวเหยียบขึ้นบันไดเรือนคุณพระมหามนตรี เจ้ากรมพระตำรวจในขวา ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไป ว่าเป็นผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทอย่างยิ่งบุคคลหนึ่ง

พระมหามนตรีเดินออกมารับ  ไหว้กลางอก พองาม อย่างคนเสมอกัน พลางเชื้อเชิญขึ้นหอนั่งด้วยตนเอง

“ คุณพระมหามนตรี..ตำรวจวังใหญ่มีกิจสำคัญอันเป็นทางลับอันใด ถึงกับเชิญกระผมมาถึงเรือน ”

“ ขอบพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณ..กรุณาให้เกียรติ ”

โชค เดช และรวย  จะก้าวตาม เหลียวซ้ายแลขวา เห็นเหล่าตำรวจวังนั่งยืน พากันก้มคารวะท่านเจ้าคุณนครบาลกันแน่นหนา ถึงกับชงัก

“ พ่อมหาจำเริญทั้งสาม อยู่รอตรงข้างหน้านี่เถิด เดี๋ยวจะมีหมากพลูบุหรี่น้ำร้อนนำชามาต้อนรับ ”

ท่านเจ้าบ้านบอกยิ้มแย้ม ใจดี

เจ้าคุณอินทราหันมาพยักให้บริวารทั้งสามเชื่อฟัง

ทว่าเมื่อเจ้าคุณมาถึงหอนั่ง ก็งงงันยิ่งนัก

สุภาพสตรีงาม นุ่งห่มมิดชิดเป็นทางการ ยืนดูนกเขาในกรงที่ชายคาหอนั่งอยู่ หันมาพนมมือ

“ ท่านเจ้าคุณ..”

“ คุณพุ่ม! ”

เจ้าคุณอินทราไม่เชื่อสายตา

“ เหตุไรมาอยู่ในเรือนคุณพระ..รือว่า..จะมาร่วมกันแต่งกลอนแต่งละครอันใด? ”

คุณพุ่มยิ้มให้อย่างนุ่มนวล

“ มิได้ค่ะ ดิฉันมาพึ่งคุณพระตำรวจให้ช่วยรู้เห็นเป็นพยาน เพื่อเจรจาสำคัญกับท่านเจ้าคุณ แลดิฉันยังมีแขกอีกสองรายมาด้วย ”

ทั้งสอง กลับเป็นนายโรงสุ่นและนางจำปาที่นั่งพับเพียบเคร่งขรึมกันอยู่ ตรงหน้าคือห่อผ้าที่แก้ออกแล้ว เห็นเครื่องเพชรเครื่องทอง วางแผ่อยู่ในนั้น

“ เอ๊ะ! ”

นายโรงสุ่น นางจำปา  รีบกราบ

เจ้าคุณนั่งลงบนพรมที่ปูรับรอง มองหน้าทุกคน ตึงเครียด

คุณพุ่มเปิดฉากทันทีอย่างไม่อ้อมค้อม

“ ของที่ติดตัวแม่ลำจวนมาครั้งที่ขึ้นจากน้ำมาขอความช่วยเหลือจากอิฉันถึงที่แพ ก็ขอสารภาพกันตรงๆ ว่าอิฉันต้องขอประทานโทษ ที่ให้ที่อยู่ ที่กิน แลสอนหนังสือหนังหาให้แม่ลำจวน อีกทั้งยังสนับสนุนให้แต่งตัวเป็นชาย ได้ไปทำงานทำการเป็นเสมียนในกองพระคลังหมาสมบัติ เพื่อพึ่งพาตนเองได้ ไม่เป็นภาระแก่ใคร ”

“ รู้ไหมว่าพ่อแม่เขาทุกข์ขนาดไหนอยู่เป็นแรมปี ที่คิดว่าลูกสาวตายไปแล้ว ”

“ อิฉันทราบแลยอมรับผิดทุกอย่าง  หากท่านเจ้าคุณ รือบิดามารดาแม่ลำจวนจักฟ้องเอาผิดให้อิฉันชดใช้อย่างใดก็ยอมทั้งสิ้นค่ะ แต่ที่ทำลงไป..ก็เพราะสงสารหัวอกเด็กผู้หญิงไม่มีทางสู้ ”

เจ้าคุณหน้าแดง ข่มความโกรธไว้ยากเย็น

“ คุณไม่ใช่องค์อสัญแดหวาที่จะมาดลบันดาลชีวิตใคร คุณเป็นเพียงสตรีที่หาความสำราญเมื่อได้เล่นสนุกอย่างผิดแผกแหวกธรรมเนียม โดยไม่ใส่ใจ ว่าได้ทำให้ใครต้องเดือดร้อนบ้าง ”

“ อิฉันทำตามมโนธรรมเท่านั้นเองค่ะ ”

สตรีผู้ถือดีว่ามีคนเกรงใจอยู่มากหาได้สลดไม่

“ คุณพระ..คุณสนับสนุน เห็นดีเห็นงามไปกับคุณพุ่มหรือไร? ”

 

เจ้าคุณอินทราหันมาอุทธรณ์กับพระมหามนตรี เค้าลางปรากฏมาไรๆ ว่าจะเผชิญผลลัพธ์อย่างที่โดนจากเจ้าคุณสุระเสนากลาโหม

โอ้ ไอ้ฮุนจีนต่ำช้า มันถูกหนุนหลังด้วยคนใหญ่คนโตที่ให้ความเมตตากรุณาอย่างเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัวโต พระยาราชสุภาวดี  หลวงสิทธิ์นายเวร บุตรชายเจ้าพระยาพระคลังดิศ ไปจนถึงคุณพุ่ม ธิดาเจ้าคุณราชมนตรี กรมพระคลังมหาสมบัติ ต่างพร้อมใจกันปกป้องคุ้มครองมันอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้

“ ผมก็เพิ่งทราบเรื่องทั้งหมดนี้เหมือนกัน คุณพุ่มเธอต้องการเพียงให้กระผมเป็นพยาน..

เวลาคืนทรัพย์สินของกลางที่บังเอิญไปตกในเรือนเธอให้เจ้าของ มิเช่นนั้น จะกลายเป็นเนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ”

เจ้ากรมพระตำรวจในขวาออกตัว แสดงความเป็นกลาง

“ ทางนครบาลประกาศนักหนาว่า..แม่ลำจวนถูกจีนฮุนฉุดไป แลหยิบฉวยทรัพย์อันเป็นทรัพย์ของเจ้าคุณไปด้วย ทั้งๆที่ความเป็นจริง ลำจวนกับจีนฮุนไปด้วยกันตัวเปล่าอย่างปัจจุบันทันด่วน  ไม่มีแม้แต่หีบใส่เสื้อผ้า แลของพวกนี้ ถูกทิ้งไว้ที่แพดิฉัน ”

คุณพุ่มเรียนเทียมฟ้อง เหมือนจะประจานว่าหนุ่มสาวคู่นั้นที่แท้ถูกใส่ความ ทำเอาเจ้าคุณอินทราหน้าชา

“ มันคือของที่กระผมให้เจ้าสาวไปแต่งตัวก็จริง แต่เมื่อเจ้าสาวทรยศ หนีไป ของพวกนี้ พ่อแม่เจ้าสาวต้องคืนให้ฝ่ายเจ้าบ่าวด้วยผิดสัญญา หรือนายสุ่นจะว่ากล่าวอย่างไรก็บอกมา ”

เจ้าคุณอินทราหันไปเอาเรื่องทางอีกฝ่าย

“ นายสุ่น แม่จำปา เห็นเป็นเช่นนั้นหรือไม่? ”

พระมหามนตรีเล่นไปตามบทอันสมควร

‘ พ่อแม่เจ้าสาว ’ มองหน้ากัน จำปาพยักหน้ารับแทนคำตอบ

“ ในห่อนี้ มีของบางสิ่งเป็นสมบัติของลำจวนแต่แรก ผมได้แยกไว้ตรงนี้แล้ว..”

นายสุ่นชี้ที่เครื่องทองสวมติดตัวเล็กน้อย

“ ส่วนกองใหญ่นี้ เป็นของเจ้าคุณ  ผมขอมอบคืน ”

เครื่องเพชรเครื่องแต่งตัวทั้งหมด ถูกผลักมาที่ตรงหน้าเจ้าคุณ

ผู้ยิ่งใหญ่แห่งนครบาลนิ่งอึ้ง

พระตำรวจในขวารับลูกทันที

“ เชิญเจ้าคุณตรวจนับให้ถูกต้อง แลลงลายมือไว้เป็นหลักฐาน ก่อนจะนำกลับไป กระผมกับนายสุ่นได้ทำบัญชีไว้โดยถี่ถ้วนแล้ว แลทางนครบาลเห็นจะต้องประกาศใหม่ ว่าจีนฮุนกับนางลำจวน..หาได้มีข้อหาลักทรัพย์ปล้นทรัพย์แต่อย่างใด ”

 

เรือกำปั่นใหญ่โตที่สำเร็จสมบูรณ์ ถูกนำลงลอยลำสง่าอยู่ในแม่น้ำ กางใบขึ้นเหนือเสาทั้งสาม สวยงามอลังการ สะท้อนเงาลงในผืนน้ำเป็นระลอกในแสงตะวันทอประกายส้มเทาฉาบเงินฉาบทองระยิบระยับ

มีคนงานจำนวนหนึ่ง เมเนเจอร์ ช่างและกัปตันชาวตะวันตก ประชุมปรึกษาหารือกันจริงจังคร่ำเคร่งอยู่บนหัวเรือ

ฮุน ที่แต่งตัวกางเกงฝรั่ง สวมเสื้อข้างในเสื้อข้างนอก ยืนแอบอยู่ในเงาไม้ใหญ่ใกล้เรือนครัว เมื่อไห่ ซาน และแช กินข้าวเสร็จ เดินออกมา จึงยื่นไม้ตะพดออกไปขวาง

ทั้งสามเห็นเข้า รีบวิ่งหลบมุมมาหา

“ เอาเรือลงน้ำแล้ว บัดเดี๋ยวก็คงออกทดลองแล่นดูหนา เรือแบบบาร์ก(BARK)นี่ งามที่สุด อั๊วะชอบกว่าแบบอื่น ”

ฮุนชื่นชม

“ เมื่อเช้าเขาลองกันแล้ว แต่เส้นสายกลไกบังคับพังงาเรือมันพันพัวสับสนบางประการ ต้องมานั่งไล่ระบบกันใหม่ ”

แชเล่า

“ อ้าว! ”

ไห่พยักเพยิดให้ดูบรรยากาศเอาเอง

“ นี่เขากำลังแก้ไขกันอยู่  พรุ่งนี้เช้าคุณชายน้อยช่วงจะมาดู จึงต้องรีบทำให้เสร็จทันเวลา  ”

“ อย่างไร ภายในวันสองวันนี้ จะต้องออกเดินทางไปจริงๆแล้ว ลมกำลังพัดลงใต้แรงดี มิเช่นนั้น หากพ้นเดือนอ้ายไป ..อาจจะเสียหายมาก เพราะต้องเอาสินค้าไปส่งถึงเมืองแขกให้ทันตามสัญญา ”

ซานบอกสถานการณ์

“ แล้วลื้อเป็นอย่างไร สุขสบายดีรือ ดูผอมแลคล้ำไป ”

ไห่จับข้อมือเพื่อน เมื่อสัมผัสถูกฝ่ามือที่หยาบแห้งผิดที ก็จับมือเพื่อนออกมาเผยให้ทุกคนดู

“ เมื่อทำงานเรือ มือมันยังไม่น่ายับเยินปานนี้ ”

“ มีอันใดจะให้พวกอั๊วะช่วยได้บ้างไหม ”

สามสหายร้อนใจ

 

กงก้มหน้าก้มตาทำกิจวัตร จัดของที่ผู้คนนำมาเซ่นไหว้เจ้า ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งรอบกาย เช่น

นครบาลสองนาย ที่นั่งเฝ้าอย่างเปิดเผยอยู่ห่างๆ

แชหอบสิ่งของบางอย่างไว้ตรงท้อง ภายใต้เสื้อคลุมนูนโป่ง เดินเข้ามา เห็นเจ้าหน้าที่ ก็ยั้งฝีเท้า หลบไปยืนแอบหลังเสาต้นใหญ่ด้านนอก

พลันมีมือเย็นเฉียบมาแตะแขน

“ ไอ๊หยา! ”

แชโดดโหยงเพราะหวาดระแวงอยู่เป็นทุนเดิม กลิ่นหอมระรื่นที่โชยมา ทำให้คลายใจ หันไปเห็นว่าเป็นสาวโฉมสคราญคนคุ้นเคย จึงค่อยโล่ง

“ ไปทำอันใดมารือ จึงกลัวพวกนครบาล ”

อาเหมยดุ

“ ไม่..ไม่มี..อันใด ”

แชอึกอัก

เหมยยิ้มเยาะ

“ อั๊วะจักช่วยลื้อเอง

เหมยหัน ก้าวถี่ๆ วิ่งซอยเกี๊ยะส้นไม้ดังสนั่นบนพื้นหิน ทำเสียงหอบๆ ประกอบด้วยหน้าตาแตกตื่น

“ ใต้เท้าเจ้าขา ใต้เท้า..ช่วยไปดูที่ท่าน้ำถีเจ้าคะ เร็วๆเจ้าค่ะ ”

สองนครบาลลุกพรวดขึ้น ตื่นตัว

“ ที่ท่าน้ำเจ้าค่ะ..มีคนจะจมน้ำตายแล้วเจ้าค่ะ..เร็วเจ้าค่ะ ไปช่วยกันที  ”

ว่าแล้วหญิงสาวก็ออกวิ่งนำไป ทำให้พวกนครบาลต้องวิ่งตามไปติดๆ

ปล่อยกงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร ได้แต่ยืนงุนงงไว้ให้แชตามสบาย

แช ลากแขนกงเข้ามาที่ห้องหับด้านหลัง วางถุงผ้าดิบใหญ่ หนักอึ้งลงที่โต๊ะตรงหน้า

“ อันใดหวา ”

กงเปิดดู

ในนั้นคือข้าวสารที่ตำเอาเปลือกข้าวออกไปแล้ว เมล็ดขาวนวล กลิ่นหอมเป็นพิเศษ

“ ข้าว..ของผู้ใด? ”

“ เอ่อ..”

แชเหลียวหลัง หวาดระแวง

เหมยเดินมาถึง ได้ยินเต็มสองหู

“ อาฮุน..มันทำนาจึงได้มา  ข้าวดีมาก มันบอกว่าทำข้าวต้มอร่อยกว่าข้าวอื่นใด อยากให้กงได้กิน แล้วก็..มีเงินอีกนิดหน่อย ”

แชจับมือกงมา เอาถุงเงินเล็กๆวางลง แล้วจับมือให้กงกำไว้

ชายชรายืนตัวชา น้ำตาพลันไหลริน

กงเอาหีบหนังเล็กๆเก่ากร่อนของตนมาวางให้แช ที่กำลังรวบรวมเครื่องมือช่างเขียนของฮุนอยู่

“ ใส่หีบนี้ไป เอาไปให้มัน ..กระดาษพวกนั้นด้วย ”

กงพยักหน้าบุ้ยใบ้ไปที่ตั้งกระดาษสาเนื้อดีละเอียดชนิดราคาแพง ที่วางซ้อนๆบนชั้นด้านหนึ่ง

แชรีบจัดการตามที่กงบัญชา แล้วไปเอากระดาษสา เลือกที่แผ่นใหญ่ๆมาม้วนรวมกัน

เหมยไม่เข้าไปรบกวนชายทั้งสอง เพียงแอบดูอยู่ภายนอก ทำหน้าที่ดูต้นทางไปด้วย

 

ไม่กี่วันต่อมา หีบเครื่องมือช่างเขียนของฮุน ก็ได้มาวางเผยกลางเพิงพักริมนา ให้ผู้เป็นเจ้าของได้ใช้เขียนภาพทุ่งกว้างเบื้องหน้า

บนกระดาษสาแผ่นใหญ่ คือภาพที่เขียนด้วยสีฝุ่นผสมน้ำ เป็นทิวทัศน์ทุ่งนา ชายป่า ลำคลอง เด็กเลี้ยงควายที่กำลังเลี้ยงควาย ทิวตาล กลุ่มหมู่บ้านไกลๆ ที่แวดล้อมด้วยดงสวนผลไม้ กล้วย มะพร้าว หมาก

เพื่อนๆเด็กทวายของชายหนุ่ม ที่ต้อนควายมาใกล้ ชวนกันวิ่งมาดู ว่าพี่เมฆกำลังทำอะไร น่าสนใจยิ่งนัก

ครั้นได้เห็นว่ามีตัวเองกับเจ้าทุย นางเผือก ไอ้แหง่อยู่ในรูปด้วย ก็ชอบใจเป็นหนักหนา ในที่สุดก็วิ่งไปเรียกพ่อแม่พี่ป้าน้าลุงมามุงกัน

ความสุขของคนเขียน ไม่มีสิ่งใดเกินคนดูชมชอบ

บ่ายนั้นถึงเย็นย่ำ บนกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า ฮุนทำการแสดงฝีมือเขียนรูป ทั้งตัวบุคคล สัตว์ ต้นไม้ใบหญ้า ที่มีผู้ขอให้เขียนให้ชม วางเรียงรายเอาก้อนหินทับไว้เต็มชานเพิง

พ่อมลิวันก็มาดูกับเขาด้วย ฮุนจึงเขียนรูปแกกับแม่มะเอ่มอบให้

สายตาของนายบ้านทวาย มีแววพิศวงสงกาปะปนอยู่ นอกจากความปลาบปลื้ม

“ เอ็งเป็นช่างเขียนด้วยรือ เจ้าเมฆ? ”

พ่อถามตรงๆ

“ ก็..พอจักเขียนได้บ้างขอรับ ”

ฮุนอ้อมแอ้ม

“ เยี่ยงนี้..เขาไม่เรียกว่าพอเขียนได้ดอก  เหตุใด ไม่อาสาท่านสมภาร..ขอเขียนฝาโบสถ์เล่า

ในหลวงท่านซ่อมวัด สร้างวัดออกมากมาย ต้องการช่างเขียนจำนวนมาก มีเท่าใดก็ไม่พอ ”

ฮุนเงียบกริบ ก้มหน้าก้มตา เก็บของ

พ่อมลิวันมอง คลางแคลงใจนัก

ตลาดคลองกรวย บ้านลาว เช้าหลายวันต่อมา ลำจวนร้องกลอนขายของเจื้อยแจ้ว ลูกค้ามารุมอุดหนุนและฟังกลอนเป็นที่เจริญใจ

“ ห่อหมกแม่เอ๊ย มาแล้วจ้า   มีทั้งปลาช่อนต่อนใหญ่ๆ

หมกเห็ด ขนุนอ่อน  หมกหน่อไม้     แม่ข้อยอยู่แสนไกลไม่พบกัน

แต่น้อยๆข้อยกินหมกของแม่     แซ่บแท้ๆดังห่อหมกจากสวรรค์

เร่เข้ามาลองลิ้มชิมเร็วพลัน           ชิมรสมือของฉันจะติดใจเน้อ..พี่น้อง..”

แม่ทวายช่วยขาย หยิบไม่หยุด รับเงินมือระวิง สนุกสนาน

แม่ค้าขายข้าวหมากอยู่ตรงข้าม ป้องปากมา

“ ขอกลอนขายข้าวหมากให้ข้อยแน ”

“ ข้าวหมากรือ? ”

ลำจวนลุก ข้ามไป กระหยิ่มยิ้มย่อง มือหนึ่งท้าวสะเอว มือหนึ่งวาดฟ้อน

“ ข้าวเอ๋ย ข้าวหมาก        ชุ่มหวานชื่นปากข้าวหมากหอม ”

แม่ค้าข้าวหมากร้องฮิ้ว..

“ รสปานเปรียบน้ำผึ้งหลวงพวงพะยอม      หยาดมาย้อมยั่วให้อยากข้าวหมากนาง ”

ผู้คนมาหยุดฟัง หลายคนฮิ้ว ปรบมือ หัวเราะฮากัน

ทันใดนั้น พลตระเวนนครบาลสองนายเดินอาดๆ กร่างประกาศส่งเสียงดังแทรกขึ้น

“ ทุกคนๆเงียบ!! ฟังทางนี้! ”

“ ทุกคนฟัง!! ”

เสียงหนึ่งเริ่ม อีกเสียงหนึ่งตามเป็นลูกคู่

“ นับจากวันแรมสองค่ำ เดือนสิบสองที่ผ่านมา มีชายจีนผมเปียจากอู่บางคอแหลม มาอยู่อาศัย แฝงตัวอยู่แถวคลองกรวย..วัดลาวรือไม่? ”

แม่ค้าข้าวหมากลุกขึ้นมาตอบ

“ คนจีนบ่อมีดอก ท่านพลตระเวณ บ่อนนี้มีแต่คนลาวเวียงเท่านั้น ”

“ ทั้งหมู่บ้าน เป็นลาวล้วนๆเลยรือไร ”

นครบาลยืนกางขา ท้าวสะเอวผึ่งผาย กลางวงชาวตลาด

“ หมู่เฮาเป็นลาวเวียงล้วนๆ ถูกเทครัวมาเมื่อครั้งเจ้าอนุวงศ์ถูกจับ กับมีลาวเก่าจากคลองบางไส้ไก่ ย้ายมาอยู่ปนๆนำกัน ”

นายบ้านลาวแทรกวงเข้ามา

“ พวกข้อยเป็นคนงานของท่านเจ้าคุณดิศ  ท่านให้หมู่เฮามาตั้งบ้านตั้งเฮือนกันอยู่ปากคลองกรวย ให้มาต่อเรือหลวงข้ามทะเลไปรบอานาม   หมู่บ้านเฮาบ่อมีคนจีนจั๊กคนดอกขอรับ พวกคนจีนผูกปี้รับจ้างต่อกำปั่น เขาอยู่กันแถวคลองขวางข้างๆอู่บางคอแหลมพู้น ”

ลูกค้าห่อหมกท่านหนึ่งว่า

พลตระเวนอีกนายตบมือฉาด

“ อ้ายฮุนก็เคยเป็นคนทำเรือกำปั่นนั่นแหล ตอนหลังมันไปเป็นพวกอั้งยี่ซ่องโจร ค้าฝิ่น แล้วเหิม

เกริม ไปเป็นชู้ พาลูกเมียผู้อื่นหนี  เผื่อมันมาหาที่ซุกหัวกบาลแถวนี้ ก็รีบแจ้งนครบาลด้วยก็แล้วกัน ”

ลำจวนค่อยๆถอยออกมาจากกลุ่มชาวตลาด ก้มหน้าก้มตา เดินหลบไป

แม่มะเอ่มองหา ทว่าลำจวนหายหน้าไปจากวงชุมนุมเสียแล้ว

“ ทุกคนๆ ฟังไว้ด้วยเน้อ ถ้าเห็นชายหนุ่มจีนร่างกายสูงใหญ่ กับหญิงไทยหน้าตาสะสวยอยู่ด้วยกัน  ก็คือมันนั่นแหล ช่วยแจ้งนครบาลด้วย จักมีรางวัลให้อย่างงาม ”

พลตระเวนนครบาลกำชับ เดินผ่านไป มุ่งสู่ชุมชนอื่นๆในละแวกนั้นต่อ

“ มีรางวัลนำเว่ย ”

พ่อค้ายาเส้นบอกพ่อค้าข้าวพอง

“ รางวัลจั๊กกี่อัฐกันหวา? ”

พ่อค้าข้าวพองทำเสียงไม่ศรัทธา เรียกเสียงหัวเราะประปราย

 

ฮุนถึงกับหน้าเจื่อน เมื่อลำจวนวิ่งเข้ามาเล่าเสียงสั่น

“ แล้วแม่ว่าอย่างไร? ”

“ แม่ไม่พูดอันใดเลย  รีบชวนกลับตั้งแต่ยังขายของไม่หมดด้วยซ้ำ ”

ลำจวนถอนใจใหญ่

“ แล้วน้องไม่ได้ตามไปพูดจากันที่บ้านพ่อแม่รือ? ”

ลำจวนส่ายหน้า

“ ฉันไม่กล้า ”

ทั้งสองมองหน้ากัน แววตาหวั่นสะพรึง

“ พ่อกับแม่อาจจักต้องเดือดร้อน หากพวกนครบาลมาพบเราที่นี่ ”

ลำจวนเผยความคิดออกมาในที่สุด

“ พ่อเห็นพี่เขียนรูป ก็ซักถามไม่ใช่น้อย ”

หญิงสาวจับแขนชายหนุ่มเขย่า

“ เราจักบอกพ่อแม่ว่าอย่างไร? ”

“ หรือว่า..ถึงเวลา..ต้องไปแล้ว ”

ฮุนเสียงเบา

“ ไปไหน? ”

ฮุนคิด เอ่ยรำพันออกมาเป็นกลอนครู

เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้  ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย ”

ลำจวนถอนใจ

ล้วนหนาวเหน็บเจ็บช้ำระกำใจ    เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา ”

“ นิราศภูเขาทอง..ของท่านอาลักษณ์..เขียนไว้เมื่อสิบปีก่อนโน้น ”

ชายหนุ่มว่า ทำให้ภรรยาอดหัวเราะขื่นๆออกมาไม่ได้

“ พี่เก่งกว่าฉันแล้ว เรื่องจดจำงานท่านอาลักษณ์”

“ท่านเดินทางไปนมัสการภูเขาทอง ที่กรุงเก่า ”

ฮุนขยายต่อ

“ เมื่อสิ้นแผ่นดินกลาง เพลานั้น ท่านตัดพ้อไว้มาก ว่าไม่มีที่พึ่ง ”

ลำจวนดูใจลอยไป

ฮุนพลันตัดสินใจฉับไว

“ ถ้าที่นี่เราไม่มีที่พสุธาจะอาศัย เราก็ต้องไปที่อื่น..ลำจวน..ในโลกนี้ ยังมีที่พสุธาอีกมากมายนัก ที่เรายังไม่เคยเห็น ”

ลำจวนมองหน้าสามี แววตามุ่งมั่นที่มองตอบมา ถึงกับทำให้หญิงสาวขนลุกเกรียว คำตอบทั้งหมดเจิดจ้าอยู่ในดวงตาคู่นั้น

 

กลาสีหลายชนชาติปะปน ทั้งจีน ไทย แขก ปีนเสา โหนเชือก ปีนบันไดเชือก ขึ้นไปบนคานเสาใบ

คลาย ดึง ผูก เชือกเส้นนั้นเส้นนี้ จับคลี่ใบเรือให้รับลมเต็มกำลัง ใบเรือถูกชักให้กางออกสวยงาม ทั้งสามเสา

บนพื้นเรือ คนเรือส่วนหนึ่งเรียงแถวกัน ช่วยดึงชักคะเย่อเชือก โหนเชือก ให้ได้ระดับหย่อนตึงตามต้องการ รอกหมุน ใบเรือคลี่

ลมพัดแรง ธงปลิวไสว สีแดงสดใสในแสงตะเกียงแขวนบนเสาหลายดวง ที่ให้สว่างเรืองรองเต็มพื้นที่ท่าเรือ

ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สอง สยามมีเรือหลวงไปค้าขายที่สิงคโปร์และมาเก๊าแล้ว แต่แรกชักธงแดงเรียบๆ เช่นเดียวกับเรือของชวา มลายู ซึ่งเป็นสีของธงเรืออังกฤษ

เมื่อถูกเจ้าเมืองสิงคโปร์ทักให้เปลี่ยน เพื่อจะได้แยกออกว่าเป็นเรือหลวงของสยาม ในหลวงรัชกาลที่สองก็ทรงกำหนดให้เป็นรูปช้างเผือกขาวกลางวงจักรขาวบนพื้นแดง แต่เรือลำนี้ เป็นเรือสินค้าของเอกชนโดยเจ้าพระยาพระคลังเอง จึงชักธงแดงพื้นเรียบๆ ตามเดิม

ห้องสินค้าชั้นล่างของเรือ มีหีบของบันทุกเพียบเต็ม

หลวงสิทธิ์นายเวร  ทนายพด เมเนเจอร์  และกัปตัน ยืนสั่งเสียกันอยู่อย่างปีติตื่นเต้น เห็นคนงานวิ่งเตรียมการณ์ จัดข้าวของ รายงานความพร้อมจากห้องเครื่องเชื้อเพลิง

ทนายพด ไหว้ลาหลวงสิทธิ์ฯ

“ ไปเที่ยวให้สนุกแทนข้าเถิด เจ้าพด ”

“ กระผมจะทำให้ดีที่สุด แต่ก็อดห่วงทางนี้มิได้..”

หลวงสิทธิ์ฯยิ้มเบิกบาน

“ เจ้าคุณพ่อให้คนมาทำงานแทนเจ้าสามสี่คน ข้าคงไม่ถึงกับลำบากดอก ”

เมเนเจอร์เนื้อเต้น

“ ต้องรีบไปแล้วขอรับ น้ำขึ้นเต็มที่ ตามเวลานาฬิกาเมื่อสิบเจ็ดนาฬิกา ห้าสิบห้านาที ”

ชายต่างชาติชูนาฬิกาพกบอกเวลาแบบฝรั่ง

“..เข้าหัวค่ำน้ำจะลด แลจะลดต่ำลงเรื่อยๆ จนต่ำสุด เพลาราวๆตีสอง  เรือควรผ่านสันดอนปากน้ำออกไปก่อนนั้นขอรับ ”

กัปตันหันไปตะโกนสั่ง

“ ถอนสมอ! ”

กลาสีเข้าไปกลุ้มรุมช่วยกันหมุนรอก กว้านสมอที่หนักมากขึ้น

รอกสมอ หมุนชักให้โซ่สมอค่อยๆพ้นขึ้นจากน้ำ

กัปตันรีบเข้ามาจับมือลากับหลวงสิทธิ์ฯ

“ กู๊ดบ๋าย เสอร์ ”

“ แฮฟอะกู๊ดเจอร์นี่! กะปิตัน! ”

เมเนเจอร์เดินคุยกับหลวงสิทธิ์ฯมาตามบันไดลงจากเรือ

“ โล่งอกไปทีที่เราออกเดินทางได้ตามเวลา แลจักไปถึงทันตามที่สัญญาไว้ ”

“ นั่นซี กว่าจะเชื่อมโยงสายสนกลในให้บังคับทิศทางพวงมาลัยได้ แทบจักล้มประดาตาย ”

 

สมอเหล็กอันใหญ่โผล่พ้นขึ้นจากน้ำ

ขณะนั้นเอง คนงานกุลีกลุ่มหนึ่งที่ต้องไปกับเรือเพื่อทำหน้าที่ยกของอันหนัก ช่วยกันยกหีบใหญ่ขึ้นบันไดเรือ สวนมา

กลุ่มคุณช่วง ที่กำลังจะลงไปจากเรือ ต้องหลบทางให้คนพวกนั้นผ่านขึ้นไปก่อน

“ หีบอันใด เหตุใดไม่ใช้รอกยก กลับใช้แรงคน จัดข้าวของสินค้าครบเข้าที่เรียบร้อยแล้วมิใช่รือ สมอก็ถอนแล้ว เอาของอันใดมาลงเรืออีกเล่า”

กัปตันข้องใจ

“ ชุดรอกเก็บไปแล้ว  แต่จุมโพ่แกเพิ่งนึกได้ ว่าลืมข้าวสารสำหรับกินกันในเรือน่ะขอรับ เลยต้องยกกันเองเพลานี้  หาไม่ ต้องไปเอาข้าวสารในรายการสินค้ามากินกัน ”

หัวหน้ากรรมกรร่างใหญ่โตตอบเสียงดังฟังชัด

“ ไอ้พวกนี้ ลืมอันใด ไม่ลืม ลืมข้าวสาร ”

หลวงสิทธิ์ฯส่ายหน้า

“ มันน่าสั่งเฆี่ยนนัก ”

บุตรท่านเสนาบดีคลัง ผู้เป็นมหาดเล็กคนสนิทส่ายศีรษะ หากน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเป็นเชิงแกมหยอก

“ ไปๆ เร็วๆเข้าเถิด! ”

“ เอ้า  รีบเอาไปจัดวางให้เรียบร้อย เรือจะออกบัดเดี๋ยวนี้แล้ว ”

ทนายพดเอ็ด แล้วเดินตามไปควบคุมด้วยตัวเอง

คนงานทั้งสี่ช่วยกันแบกหีบมุ่งลงสู้ท้องเรือด้านล่าง หันมาเห็นทนายตามติด ก็มีอันหยุดยืนกัน ทำหน้าเลิ่กลั่ก

“ จะเอาไปที่ไหน เสบียงต้องเอาไปไว้ที่ใกล้ๆโรงครัวสิเล่า ”

“ ขอรับๆ ”

เหล่าคนงานก้มหน้าก้มตา รีบเลี้ยวไปในทิศทางนั้นทันที

 

เรือกางใบเต็มที่ ลมตีแรงจนโป่งโค้ง

เตาต้มน้ำได้ที่ กลาสีระดมสุมท่อนฟืน ให้พลังไอน้ำพลุ่งพล่าน

กัปตันเปิดหวูดดัง

เรือค่อยๆเคลื่อนออกจากท่าอย่างสง่าผ่าเผย

กัปตันคุมพังงา นายท้ายคุมหางเสือ กำหนดทิศทางเรือ ประสานกับทิศทางลม

บนท่าเรือหลวงสิทธิ์ฯ เมเนเจอร์ และเหล่าคณะต่อเรือ ต่างโบกมือ บ้างโบกผ้าจนสุดแขน ส่งเสียงสั่งลาและอำนวยอวยชัย

บนเรือ ทนายพด กลับมาโผล่ที่ระเบียง โบกมือให้นายน้อย

เรือกำปั่นลำงาม ค่อยๆลอยออกไปกลางแม่น้ำ ใต้ดวงดาวนับพัน แล้วเพิ่มระดับความเร็วเหลือเชื่อด้วยแรงดันของไอน้ำ

ในเงาไม้ริมฝั่ง ห่างจากบรรดานายๆและลูกจ้างระดับสูง  คนงานจีนสามนาย แช  ไห่ และซาน ชะเง้อตามสุดใจ แลเห็นเรือแล่นห่างออกไปไกลทุกขณะ

สามสหายหันมามองหน้ากัน น้ำตาคลอ

“ ชาตินี้ จะได้พบกันอีกรือไม่หนอ ”

ในความเศร้าอาลัย มีความดีใจ เอาใจช่วย ให้เพื่อนรักได้พ้นเคราะห์กรรม ประสบโชคดีมีชัยในเบื้องปลาย

 



Don`t copy text!